631-635

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 631ถึง635


ดุร้ายเกินไปแล้ว เจ้าหลวงกลัวจนแทบปัสสาวะราด มือสั่นจนไม่อาจถือดาบยาวเอาไว้ได้ สิ่งเหล่านี้คืออะไรกัน? กระทั่งสิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีเทาลุยเองก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ประหนึ่งแตงถูกผ่าภายในพริบตา!


พรวด!


หมอกโลหิตกระเซ็น สิ่งมีชีวิตพิศวงขนเทาอีกตัวถูกสังสาร สสารพิศวงสลายหายไป ตายลงอย่างสมบูรณ์


ผู้ที่ลงมือคือสิ่วที่มีรูปร่างคล้ายพลั่วหกเล่มพุ่งเข้าโจมตีกันทุกทิศทาง สิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีเทาถูกสังหารตายทันทีอย่างไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย!


พริบตาต่อมา สิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีเทาอีกตัวก็สิ้นชีพลงทันที มีดแกะสลักทั้งเก้าเล่มดุร้ายน่าสะพรึงกลัว สิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีเทายังไม่ทันแม้จะได้ตอบสนอง ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตายเช่นไร และถูกผู้ใดสังหาร!


“จอบเซียนผู้เที่ยงธรรมมาแล้ว ความชั่วร้ายจะถูกจำกัดสิ้น!”


จอบเซียนดูน่าเกรงขามชวนหวาดหวั่น การลงมือเรียกได้ว่าโหดเหี้ยมไร้ผู้ต้านทาน สิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีทองที่ต่อกรด้วยราวกับเต้าหู้ ตายสนิททันทีที่ถูกทุบลงไป!


โลหิตสาดกระเซ็น ชิ้นเนื้อปลิวกระจาย เหล่าของวิเศษนั้นไร้เทียมทาน กระทั่งสิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีเทาที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่อาจจะสร้างผลกระทบอันใดได้ ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นภายในชั่วพริบตา!


สิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีเทาที่แข็งแกร่งที่สุดราวกับเป็นแตง ถูกสังหารทิ้งภายในพริบตาเดียว ไม่ต้องพูดถึงสิ่งมีชีวิตพิศวงที่ระดับต่ำกว่า สิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีเขียวตายก่อนครบชั่วพริบตาเสียด้วยซ้ำ ยกเว้นเจ้าหลวงแล้ว สิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีเทา สีเขียว และสีขาวล้วนถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น!


“อ...อะไรกัน!”


“สวรรค์ จะเดือดเกินไปแล้ว!”


สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอาณาจักรอวี้ซวีตื่นตกใจจนหนังศีรษะชาหนึบ จิตวิญญาณสั่นสะท้าน นิ่งค้างพูดอันใดไม่ออก!


สิ่งมีชีวิตพิศวงจำนวนมากถึงเพียงนั้น กลับถูกกำจัดสิ้นในชั่วพริบตา เครื่องใช้เหล่านั้นคือสิ่งใดกันแน่!


เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน...นี่แสดงให้เห็นว่าต้องมีผู้ใช้งานเครื่องใช้เหล่านี้


คนผู้นั้นคือใครกัน?


พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้ เครื่องใช้เหล่านี้ล้วนน่าสะพรึงกลัว พลังล้ำลึกยากหยั่งถึง เช่นนั้นแล้วเจ้าของเครื่องใช้เหล่านี้จะน่าหวาดหวั่นถึงเพียงใด?!


จะต้องเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่เพียงใด!


พวกเขาอดคิดขึ้นมาไม่ได้ บางทีต้นหลิวไร้เทียมทานอาจถูกปลูกโดยผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น?


ฟิ้ว!


มัจฉาสัตมายาทะยานขึ้นไปบนเวหา จัดการพลังที่พันธนาการชางเหยาออกไป จากนั้นก็รับชางเหยามาไว้ในอ้อมแขน แล้วกลับไปทางเหล่าของวิเศษ


“พี่มู่ชวน ท่านยอดเยี่ยมเสียจริง ข้ารู้ดีว่าพี่ชวนนั้นเป็นวีรบุรุษที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ และเป็นผู้ที่จะมาช่วยเหลือข้าเอาไว้!”


ชางเหยาที่อยู่ในอ้อมแขนของมัจฉาสัตมายา เอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มนวล


คนผู้นี้คือชายที่นางชื่นชอบ ชื่นชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น


“ข้า...ไม่ได้ยอดเยี่ยม! ที่ยอดเยี่ยมคือเหล่าพี่ชายพี่สาวต่างหาก ข้ายังไม่ได้ลงมือแม้แต่น้อย!”


มัจฉาสัตมายาปฏิเสธออกมาทันที


“ถ้าไม่มีพี่ชวน เหล่าพี่ชายพี่สาวก็ไม่มาหรอก! ดังนั้นแล้วพี่ชวนยังคงสุดยอดอยู่ดี!”


ชางเหยาซบอกอย่างมีความสุขภายในอ้อมแขนของมัจฉาสัตมายา ความเจ็บปวดบนร่างกายที่รู้สึกได้ก่อนหน้านี้ถูกย้อมด้วยความรู้สึกหวานละมุนแทน นางหวังว่าตนเองจะถูกมัจฉาสัตมายากอดเอาไว้เช่นนี้ตลอดไป


“พี่ชายพี่สาว พวกท่านโปรดช่วยรักษาบาดแผลให้ชางเหยาด้วยเถิด!”


มัจฉาสัตมายามองขึ้นไปยังไม้ประดับที่ลอยอยู่ด้านบน ในแววตาปรากฏคำวิงวอนของความช่วยเหลือ


มันต้องการให้ไม้ประดับช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ชางเหยา เช่นนั้นแล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องอุ้มชางเหยาเอาไว้อีก


แต่มันก็ไม่คาดคิดว่าเหล่าไม้ประดับจะไม่สนใจตัวมันเลย ต่างพากันพูดคุยอย่างประดักประเดิด


“วันนี้อากาศดีเสียจริง!”


“ใช่แล้ว ใช่แล้ว หากมีฝนตกอีกสักหน่อยคงจะสมบูรณ์แบบ”


เหล่าไม้ประดับจะมองไม่เห็นความชอบที่ชางเหยามีต่อมัจฉาสัตมายาได้อย่างไร อีกทั้งพวกมันก็มองออกมามัจฉาสัตมายาเองก็มีใจให้ชางเหยา


ไม่เช่นนั้น มัจฉาสัตมายาคงวางชางเหยาลงบนพื้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องอุ้มเอาไว้เช่นนี้


พูดให้ชัดเจนก็คือมัจฉาสัตมายาใส่ใจชางเหยาเกินธรรมดา


“ขอบคุณพี่ชายพี่สาว!”


ปากเล็ก ๆ ของชางเหยาหวานเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยขอบคุณเหล่าไม้ประดับด้วยเสียงหวานราวน้ำผึ้ง


อีกด้านหนึ่ง เจ้าหลวงกำลังยืนตัวสั่นเทา ตอนนี้เหลือมันอยู่เพียงผู้เดียวแล้ว


“สหายรีบมาเร็วเข้าเถิด!”


มันรีบขอความช่วยเหลือจากจ้าวตะเข้อีกครั้ง ร้องขอให้จ้าวตะเข้รีบมา หัวใจของมันแทบจะอดทนไม่ไหว มันจะสามารถยื้อเวลาจนกว่าจ้าวตะเข้จะมาได้หรือไม่?


“จะลงโทษมันอย่างไรดี?”


“มันส่งเสียงออกมามากที่สุด เช่นนั้นก็น่าจะเป็นตัวหัวหน้า คงไม่อาจปล่อยมันไปได้ใช่หรือไม่?”


“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น! พวกเรากว่าจะออกมาได้สักคราไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจะกลับไปทั้งเช่นนี้ไม่ได้”


เหล่าของวิเศษแย่งกันพูดออกมา ไม่มีความคิดจะฆ่าเจ้าหลวงโดยง่าย และต้องการจะ ‘เล่น’ กับเจ้าหลวง


อย่างไรเสียก็ไม่ง่ายเลยที่จะได้ออกมา จะจบการเล่นสนุกแล้วกลับไปเลยก็ชวนให้เสียดายแย่


“ตกลง!”


ไม้เขี่ยฟืนตอบกลับคนแรก มันประหนึ่งผีสาง ปรากฏตัวด้านหลังเจ้าหลวงภายในพริบตา ก่อนจะตีก้นของเจ้าหลวง


“อ๊าก!”


เจ้าหลวงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก้นที่ถูกตีรู้สึกเหมือนแยกออกเป็นแปดส่วน ปวดร้อนไปจนถึงขั้วหัวใจ!


โป๊ก!


กระบวยไม้พุ่งเข้าไปตีศีรษะของเจ้าหลวง ทำให้หัวของเจ้าหลวงบวมเป่ง


“เจ้าดูอัปลักษณ์เป็นอย่างมาก ให้พวกเราช่วยแปลงโฉมให้เจ้าเถิด!”


เครื่องมือแกะสลักครบชุดพุ่งเข้ามา เพื่อแปลงโฉมให้เจ้าหลวง จับมันแกะสลักราวกับเป็นหินก้อนหนึ่ง


“!!!”


ชั่วขณะนั้นเอง เจ้าหลวงก็ได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่ว่าอยู่ไม่สู้ตาย!


อย่างไรก็ตาม มันยัง ‘ด้อยประสบการณ์’ เกินไป ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ถัดจากนี้ต่างหากที่เป็นการอยู่ไม่สู้ตายอย่างแท้จริง!


ถังขยะลอยขึ้นมาอยู่บนเหนือหัวมันตรง ๆ กลิ่นระเบิดออกมาทำให้น้ำตาของมันไหลอาบหน้า นี่คือการอยู่ไม่สู้ตายอย่างแท้จริง แม้จะปิดกั้นประสาทการรับกลิ่นไปก็ไร้ผล กลิ่นเหม็นเน่าตรงเข้าสู่ส่วนลึกของจิตวิญญาณ!


จากนั้นเหล่าสมบัติทั้งหมดก็ตามมาเล่นสนุก เจ้าหลวงร้องไห้จนไร้น้ำตาแล้ว มันรู้สึกเจ็บปวดจนมีความคิดอยากจะตายเป็นร้อยครั้ง!


“บังอาจ! สหายที่แสนดีของข้า!”


ยังดีที่จ้าวตะเข้มาถึงแล้ว เมื่อเห็นว่าเจ้าหลวงกำลังถูกทรมาน มันก็ลงมืออย่างดุเดือดเพื่อช่วยเหลือเจ้าหลวงทันที


“ในที่สุดท่านก็มาถึงแล้ว!”


เจ้าหลวงรู้สึกตื่นเต้นดีใจราวกับสวรรค์มาโปรด กอดจ้าวตะเข้ร่ำไห้ น่าเสียดายที่น้ำตาของมันไม่ไหลออกมาแม้แต่นิดเดียว ทำให้เป็นการร้องไห้แห้ง ๆ


“นี่...สหาย พวกเรารักษาระยะห่างกันไว้ก่อนเถิด!”


จ้าวตะเข้วิ่งหนีออกห่างจากเจ้าหลวง ร่างกายของเจ้าหลวงเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า มันไม่อาจทนได้จริง ๆ เพียงแค่ได้กลิ่นก็อยากอาเจียนเอาเครื่องในออกมา


“สหายท่านรังเกียจข้า!”


เจ้าหลวงยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม เจ็บปวดราวกับมีมีดเสียดแทงหัวใจ น่าเสียดายที่ยังคงไม่มีน้ำตาไหลออกมา


“ไม่...ไม่ใช่เช่นนั้น เหตุผลก็เพราะไม่อาจทนกลิ่นบนตัวเจ้าได้ไหวจริง ๆ!”


จ้าวตะเข้รีบอธิบาย บัดซบ แม้ปิดกั้นประสาทสัมผัสการรับกลิ่นไปแล้วก็ไม่ได้ผล กลิ่นน้ำเน่านั้นพุ่งตรงเข้าไปยังส่วนลึกของจิตวิญญาณ


“สหายคอยดูให้ดี วันนี้ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าเอง!”


จ้าวตะเข้ไม่ได้สนทนาในหัวข้อนี้ต่อ หันไปจับจ้องทางเหล่าของวิเศษด้วยจิตสังหารบนร่าง


มันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ลมหายใจที่แผ่ออกมาสะท้านฟ้าสะเทือนดิน กดดันจนทำให้ผู้คนหายใจไม่ออก สสารพิศวงสีดำกระโดดโลดเต้นราวกับเปลวเพลิงสีดำ ประหนึ่งสามารถแผดเผาท้องนภาได้!


ร่างกายของมันเป็นจระเข้ แต่ทั้งใบหน้าเป็นของเผ่ามนุษย์ที่ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ด้านหลังเต็มไปด้วยเดือยกระดูก ทั่วทั้งตัวปกคลุมไปด้วยขนสีดำยาวจำนวนนับไม่ถ้วนขยับไปมาราวกับอสรพิษสีดำอัปลักษณ์ ไม่ต้องกล่าวเลยว่าชวนน่าขนลุกถึงเพียงใด!


หลังจากนั้น สิ่งมีชีวิตพิศวงที่มีขนสีดำเหมือนกันหกตัวก็ออกมายืนอยู่ด้านหลังจ้าวตะเข้ ลมหายใจถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่มีเก็บงำไว้ พลังของพวกเขาล้วนน่าสะพรึงกลัว แต่ละคนล้วนสามารถต่อกรกับขั้นจ้าวแห่งเซียนได้


สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต่างโอบกอดความพิศวงเอาไว้ ได้รับสสารพิศวงสีดำเข้าไป แต่พวกมันไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับจ้าวตะเข้ จึงถูกจ้าวตะเข้กำราบให้กลายเป็นสมาชิกนครพิศวง


“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม!”


“ได้เล่นอีกแล้ว!”


เหล่าของวิศษไม่ได้เกิดความเกรงกลัวแม้แต่น้อย กลับกันยังตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าเดิม สิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีดำที่เพิ่งมาดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พวกมันน่าจะเล่นสนุกได้ด้วยหน่อย


“สหาย ล้างแค้นให้ข้าด้วย!”


เจ้าหลวงที่อยู่ด้านหลังตะโกนออกมา “ข้าเชื่อในตัวท่าน!”


“วางใจเถิด ข้าจะจัดการพวกมันเอง!”


จ้าวตะเข้ดูไม่แยแส เห็นได้ชัดว่าของวิเศษเหล่านี้ไม่ธรรมดา


ทว่าตัวมันที่ระเบิดพลังทั้งหมดออกมา กระทั่งระดับสูงสุดของขั้นจ้าวแห่งเซียนก็สามารถสังหารได้ เช่นนั้นมันจะเกิดความหวาดกลัวได้อย่างไร?


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีดำอีกหกตนมาพร้อมกับมันด้วย!


“ฆ่า!”


มันลงมือโจมตีก่อน พลังพิศวงควบแน่นออกมาจากเดือยกระดูกพุ่งเข้าโจมตี


“ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”


เหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงทั้งหกตนพุ่งออกไปด้านหน้าพร้อมกับจ้าวตะเข้


“สหายไร้เทียมทานในใต้หล้า ผู้ใดจะสามารถหยุดยั้ง? พวกเจ้าเหล่าเครื่องใช้จะต้องถูกจัดการ!”


เจ้าหลวงที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง “สหายลุยเลย ให้เครื่องใช้เหล่านี้ได้รู้ว่าท่านแข็งแกร่งเพียงใด!”


มันตะโกนด้วยความเลือดร้อน ทว่าพริบตาต่อมามันก็หันหลังวิ่งหนี!


ใช่แล้ว มันวิ่งหนี วิ่งจากไปอย่างไม่ลังเลโดยไม่มีการยั้งคิด


มันรู้ซึ้งแล้วว่าเหล่าของวิเศษนั้นร้ายกาจเป็นอย่างมาก ไม่สามารถใช้สามัญสำนึกคาดเดาได้ เกรงว่าจ้าวตะเข้ก็อาจไม่ใช่คู่มือของวิเศษเหล่านี้


“สหายรังเกียจข้า ดังนั้นข้าจึงทิ้งเจ้าวิ่งหนี นี่ไม่เกินไปหรอกกระมั้ง?”


มันบ่นพึมพำ ก่อนวิ่งให้เร็วกว่าเดิม หนีจากอาณาจักรอวี้ซวีไปในชั่วพริบตา


“เจ้ารังเกียจข้า ข้าจึงทิ้งเจ้าแล้ววิ่งหนีไป นี่สมเหตุสมผลแล้ว ไม่นับว่ามากเกินไป!”


เจ้าหลวงบ่นพึมพำ รู้สึกว่าจ้าวตะเข้มีโอกาสเกินครึ่งที่จะไม่รอดกลับมา เครื่องใช้เหล่านั้นชื่นชอบการทรมาน นอกจากนี้ยังมีต้นหลิวที่ไม่อาจทราบถึงความแข็งแกร่งว่าล้ำลึกเพียงใด จ้าวตะเข้มีโอกาสอย่างมากที่จะถูกจัดการลงที่นั่น


ภายในใจของมันรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย อย่างไรเสียจ้าวตะเข้ก็เป็นสหายที่ดีของมัน ที่ผ่านมาก็เคยช่วยมันเอา ทว่าเพียงไม่นานความเจ็บปวดภายในใจของมันก็หายไป


ไม่มีทางเลือก การมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปคือสิ่งที่สำคัญสุด


เหล่าผู้ที่เลือกจะโอบกอดความพิศวงเอาไว้ย่อมเข้าใจดีว่าการอยู่รอดนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อีกทั้งด้วยความแข็งแกร่งของมันตอนนี้ การรั้งอยู่ไปก็ไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดจ้าวตะเข้ได้


“สหายที่แสนดีน่าจะเข้าใจในจุดนี้!”


มันกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น


“สหายไปให้สบายเถิด นครของท่านข้าจะเป็นผู้ดูแลให้เอง!”


มันรำพึงกับตัวเอง หากจ้าวตะเข้ตายแล้ว นครของจ้าวตะเข้ก็ไม่อาจปล่อยให้ล่มสลายไปเช่นนี้ได้ ในฐานะสหายที่แสนดี มันย่อมต้องช่วยรับช่วงดูแลนครของจ้าวตะเข้


“ช่างมันเสียเถิด หากเครื่องใช้เหล่านั้นมาหาข้าอีกเล่า?”


มันรู้สึกอึดอัดกระอักกระอ่วนขึ้นมา ถ้าหากมีเรื่องยุ่งยากมาหาจริง ๆ มันก็คงจะต้องวิ่งหนีอีกครั้ง


ยิ่งถ้าจ้าวตะเข้ไม่ตายและกลับมาได้ เช่นนั้นมันก็จะยิ่งแย่ไปกว่าเดิม


‘ใช่แล้ว ข้ายังมีพี่ใหญ่อีกหนึ่งคน แต่ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่จะลืมมันไปแล้วหรือยัง นครที่พี่ใหญ่สร้างนั้นยิ่งใหญ่มาก หากข้าไปหาพี่ใหญ่ก็น่าจะปลอดภัยกว่า!’


เจ้าหลวงครุ่นคิด ก่อนจะนึกถึงพี่ใหญ่ผู้หนึ่งขึ้นมา


พี่ใหญ่ผู้นี้เคยช่วยเหลือมันอยู่บ่อยครั้งในอดีต ระดับสสารพิศวงที่ได้รับอยู่เหนือยิ่งกว่ามันและจ้าวตะเข้


“ไปเถิด ไปหาพี่ใหญ่!”


เจ้าหลวงอดเอ่ยขึ้นมาด้วยความเกลียดชังไม่ได้ “เหล่าเครื่องใช้สมควรตาย เรื่องนี้จะปล่อยไปไว้เช่นนี้ไม่ได้ ข้าจะต้องแก้แค้น! ไม่ใช่แค่เพื่อตนเอง แต่ยังเพื่อสหายจ้าวตะเข้ด้วย!”


มันรีบจากไปอย่างรวดเร็ว ทว่ามันไม่ได้ตรงไปหาพี่ใหญ่ทันที


มันต้องกลับไปเตรียมตัวที่นครของจ้าวตะเข้เสียก่อน


เวลาล่วงผ่านมานาน เป็นไปได้ว่าพี่ใหญ่จะลืมมันไปแล้ว มันจึงไม่สามารถไปหาพี่ใหญ่ด้วยมือเปล่าได้


มันต้องการจะหาขอขวัญไปให้พี่ใหญ่


หลังจากคิดไตร่ตรองดูแล้ว ของขวัญที่ว่ามันก็คงต้องไปหาเอาจากนครของจ้าวตะเข้ อย่างไรเสียมันก็ยากจนมีเพียงตัวเปล่า


“สหายวางใจได้ ข้าไม่ได้เอาไปโดยเปล่า หลังจากที่ข้าพบกับพี่ใหญ่แล้ว ข้าจะต้องขอร้องให้พี่ใหญ่ช่วยล้างแค้นให้ท่านกับข้าอย่างแน่นอน!”


มันเอ่ยขึ้นมาในใจ ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น เรื่องนี้ยิ่งทำสำเร็จไวยิ่งดี ไม่อาจรีรอได้


...


อีกด้านหนึ่ง จ้าวตะเข้นั้นทั้งดุร้ายและทรงพลัง ด้วยการเกื้อหนุนจากพลังพิศวง เดือยกระดูกของมันมีพลังที่แผ่ออกมาเทียบเท่ากับขั้นจ้าวแห่งเซียน แผ่นหินปูพื้นกระโจนไปอีกด้านไม่กล้าปะทะด้วยโดยตรง


สิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีดำตนอื่นก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน การลงมือของพวกเขาต่างสามารถบังคับให้เหล่าของวิเศษล่าถอย กล่าวได้ว่าทรงพลังสะท้านฟ้า!


“สหาย เจ้าเห็นหรือไม่? ดูเสียว่าพวกเราห้าวหาญเก่งกาจเพียงใด เพิ่งลงมือก็ได้เปรียบแล้ว!”


จ้าวตะเข้หัวเราะเสียงดัง


“...”


มัจฉาสัตมายาฟังแล้วก็บื้อใบ้ สหายอันใดกัน?


สหายของเจ้าวิ่งหนีไปนานแล้ว!


มันผู้นั้นไม่แม้แต่จะลังเล หลังจากตะโกนออกมาด้วยความเลือดร้อนว่า ‘ลุยเลย’ มันก็หันหลังวิ่งออกไปอย่างไม่มีรีรอ!


ทุกสิ่งเกิดขึ้นกะทันหันเกินไปอย่างไม่มีเค้าลางล่วงหน้า มันไม่ทันได้สนใจ เหล่าสมบัติเองก็เช่นเดียวกัน ทำให้เจ้าหลวงมีโอกาสได้หลบหนี


“เหตุใดสหายจึงไม่พูดอันใดเลย? เหตุใดจึงไม่ร้องให้กำลังใจให้พวกเราเลย?”


จ้าวตะเข้รู้สึกงงงวยเล็กน้อย ก่อนหน้าที่จะเริ่มต่อสู้ สหายของมันก็โห่ร้องให้กำลังใจกับพวกมันแล้ว


ทว่าตอนนี้พวกมันสำแดงความทรงพลังหน้าเกรงขาม เหตุใดสหายของมันจึงไม่มีเสียงใด?


แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!


มันอดเหลียวหลังกลับไปมองไม่ได้ ก่อนใบหน้าจะเต็มไปด้วยความทึ่มทื่อ “สหายของข้าเล่า?”


ที่ตรงนั้นว่างเปล่า ไม่มีร่างของสหายที่แสนดี มันจึงงุนงงเล็กน้อย สหายที่แสนดีของมัน...หนีไปแล้ว?


“มันวิ่นหนีไปนานแล้ว!”


มัจฉาสัตมายากล่าวออกมา ตอนนี้มันขำจนจะตายแล้ว ยังจะตามหาสหายที่แสนดีอีก?


“มารดามันเถอะ...!”


จ้าวตะเข้สบถ มันโมโหจนแทบระเบิดออกมา ปากจมูกและหูราวกับพ่นลมร้อนออกมา


มันให้ความช่วยเหลือทุกอย่างกับเจ้าหลวง สนับสนุนให้เจ้าหลวงสร้างนครแห่งใหม่ นอกจากนี้เมื่อได้ยินข่าวว่าเจ้าหลวงประสบความพ่ายแพ้กำลังเผชิญวิกฤตในอาณาจักรอวี้ซวี มันก็เร่งเข้ามาช่วยเหลืออย่างไม่มีลังเล


ผลคือมันถูกเจ้าหลวงทิ้งเอาไว้ที่นี่ แล้ววิ่งหนีไปเพียงผู้เดียว?


ถึงกับใช้มันเป็นเครื่องมือเช่นนี้!


“ไม่เชื่อใจข้าหรือ?! ได้ บัญชีนี้จะต้องถูกสะสางในภายหลัง! มิตรภาพของพวกเราขาดกันเพียงเท่านี้!”


จ้าวตะเข้ตวาดอย่างเย็นชา เขาไม่เชื่อในเรื่องสหายอันใดอีกต่อไป มันเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก


“มาให้ข้าสังหารเสีย!”


มันเปลี่ยนความเศร้าเป็นความชิงชัง มุ่งเป้าหมายไปที่เหล่าของวิเศษ เปิดฉากการโจมตีอย่างดุเดือด


เหล่าของวิเศษนั้นไม่ธรรมดา มันจึงไม่เต็มใจจะจากไปเช่นนี้ ต้องการจัดการนำเหล่าของวิเศษไปด้วย


ตู้ม ตู้ม ตู้ม!


เกิดระเบิดขึ้นกลางอากาศ กฎเกณฑ์พลังทลาย สิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีดำระเบิดพลังออกมาจากรอบด้าน ตอบสนองต่อคำสั่งของจ้าวตะเข้ เร่งพุ่งเข้ากำราบเหล่าของวิเศษอย่างรวดเร็ว


พวกมันแข็งแกร่งอย่างแท้จริง หลังจากปะทุพลังออกมาอย่างเต็มที่ ท้องฟ้าก็ระเบิดออก กลายเป็นหลุมสีดำขนาดใหญ่ ด้านในเต็มไปด้วยพลังอันสับสนวุ่นวายไหลออกมา


ความดุร้ายน่าหวาดกลัวของพลังขั้นจ้าวแห่งเซียนสำแดงออกมาอย่างไร้ข้อกังขา!


ทั่วทั้งอาณาจักรอวี้ซวีสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่สามารถทนรับการระเบิดพลังของมันได้ ดูคล้ายกำลังใกล้จะระเบิดออก


“มีมาเพิ่มอีกชุดหรือ?”


กิ่งของต้นหลิวแกว่งไกว ต้นหลิวที่กำลังเพลิดเพลินกับทิวทัศน์เอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา พลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่งแผ่ออกมา ทำให้อาณาจักรอวี้ซวีที่กำลังจะระเบิดออกกลับมามั่นคง


ในขณะนั้นเอง เพียงแค่หนึ่งความคิดของมัน พลังที่มองไม่เห็นก็แผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณ ปกป้องสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของอาณาจักรอวี้ซวีเอาไว้ไม่ได้รับผลกระทบใด


“ดูเหมือนว่าเหล่าของวิเศษจะได้เล่นอย่างเต็มที่”


มันยิ้มบาง ๆ เพียงแค่พริบตาเดียวมันก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นก็เดินชมทิวทัศน์รอบด้านต่อ


อีกด้านหนึ่ง เหล่าสมบัติต่างก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังของต้นหลิว พวกมันจึงรู้สึกวางใจอย่างแท้จริง


เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดต่ออาณาจักรอวี้ซวี และการบาดเจ็บล้มตายของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ พวกมันจึงได้ยับยั้งพลังส่วนหนึ่งของตนเองเอาไว้


ทว่าตอนนี้ต้นหลิวได้ลงมือปกป้องทั้งอาณาจักรอวี้ซวีเอาไว้แล้ว พวกมันก็สามารถลงมือได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด


พวกมันรู้ว่าต้นหลิวแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ภายใต้การคุ้มกันของต้นหลิว พวกเขาก็ไม่มีสิ่งใดต้องห่วงอีก


“ไว้หน้าพวกเจ้ามามากแล้ว! ตอนนี้การต่อสู้จริงจะเริ่มขึ้นแล้ว!”


“ลุย!”


เหล่าของวิเศษต่างปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา ไม่ต้องกล่าวเลยว่ารุนแรงถึงเพียงใด เทียบกับก่อนหน้านี้แล้วแตกต่างกันอย่างลิบลับ!


จ้าวตะเข้ตกตะลึงไม่แปลกใจเลยที่เจ้าหลวงเลือกจะวิ่งหนีไป หลังจากที่ของวิเศษเหล่านี้สำแดงพลังอย่างเต็มที่ กระทั่งมันก็ไม่อาจต้านทานได้!


มันสำแดงพลังออกมาด้วยวิชาแล้ววิชาเล่า แต่ละวิชาล้วนเกี่ยวข้องกับพลังพิศวง นี่ล้วนเป็นเคล็ดวิชาที่ ‘นายท่าน’ มอบให้ ทำให้มันสำแดงพลังพิศวงออกมาได้อย่างเต็มที่และแข็งแกร่งที่สุด


แต่เมื่อมันสำแดงวิชาเหล่านี้ออกมา เพียงพริบตาเดียวก็หายลับไปในทันที หลังจากเหล่าของวิเศษปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ กระทั่งระดับสูงสุดของจ้าวแห่งเซียนก็สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน ไม่ใช่สิ่งที่มันจะต่อกรได้เลย!


มันและสิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีดำอีกหกตนถูกสยบอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นพวกมันก็กลายเป็น ‘ของเล่น’ ถูกของวิเศษ ‘เล่น’ ตามใจชอบ


“ข้าอยากตาย!”


จ้าวตะเข้ร้องไห้ออกมาเหมือนเจ้าหลวงตอนก่อนหน้านี้ มันต้องการตาย เพราะไม่อาจทนรับการทรมานเช่นนี้ต่อไปได้


มันตะโกนออกมานับร้อย ๆ ครั้ง ทว่าน่าเสียดายที่มันไร้ประโยชน์ เหล่าของวิเศษไม่ได้ตั้งใจจะสังหารมันแต่โดยง่าย


สุดท้ายหลังจากเหล่าสมบัติได้เล่นกันจนพอใจแล้ว พวกมันจึงค่อยจัดการกวาดล้างพวกจ้าวตะเข้


“แม่สาวน้อยมาเถิด เวลาก็ผ่านมานานพอสมควรแล้ว”


ไม้ประดับพูดกับชางเหยาอย่างอารมณ์ดี เกิดแสงเจิดจ้าสาดออกมา รักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดของชางเหยาให้หายไปอย่างสมบูรณ์


“ขอบคุณพี่ชายพี่สาว!”


มัจฉาสัตมายารีบเอ่ยขอบคุณ ก่อนวางร่างของชางเหยาที่หายบาดเจ็บลงทันที และวิ่งไปอีกทางด้วยความกลัวว่าชางเหยาจะเกาะติดเขา


เขารู้จักชางเหยาดีเกินไป รู้ว่าชางเหยาจะเกาะตามติดเขาแน่หลังจากหายบาดเจ็บ


ผลก็เป็นดังคาด ชางเหยารีบไล่ตามเขาไปทันที


“พี่ชวนรอข้าด้วย!”


ชางเหยาตะโกนระหว่างไล่ตาม


นางไม่ได้พบมัจฉาสัตมายามาเป็นเวลานานแล้ว ครั้งนี้ได้พบแล้ว นางย่อมต้องการจะอยู่กับมัจฉาสัตมายาให้นานจนพอใจ!


...


อีกด้านหนึ่ง เจ้าหลวงกลับไปยังนครของจ้าวตะเข้


กองกำลังระดับสูงทั้งหมดถูกจ้าวตะเข้พาออกไปแล้ว ดังนั้นมันจึงสามารถกำราบสิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่ในนครได้อย่างง่ายดาย


หลังจากนั้น มันก็ดูดซับสสารพิศวงจากที่แห่งนี้ไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้กระทั่งเส้นผม


กระทั่งเหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงที่เหลือมันก็ไม่ปล่อยเอาไว้ ต้องการจะมอบทุกสิ่งให้กับพี่ใหญ่


“พี่ใหญ่ ข้ามาแล้ว!”


มันเร่งออกเดินทางไปยังนครที่พี่ใหญ่อยู่ทันที



เจ้าหลวงจากไปด้วยความเปรมปรีดิ์


นำสมบัติและสิ่งมีชีวิตพิศวงมหาศาลปานนี้ไปขอสมัครเป็นพรรคพวกพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ต้องยอมรับมันแน่


“เป็นปรปักษ์กับความพิศวงลางร้ายของเรา พวกเจ้ามีกี่ชีวิตให้ตายกัน?!”


มันหัวเราะเย็น ๆ ไม่มีทางยอมปล่อยเหล่าของวิเศษไปง่าย ๆ


ความบาดหมางครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก มันไม่เพียงแต่ถูกทรมานโดยของวิเศษทั้งหลาย ซ้ำร้ายยังสูญเสียจ้าวตะเข้ผู้เป็นเสมือนพี่น้องของมัน จะยอมให้เรื่องราวทั้งหมดจบลงง่าย ๆ ได้อย่างไร


เป็นไปไม่ได้!


รอให้มันตั้งตัวกับพี่ใหญ่ได้ก่อน มันจะให้พี่ใหญ่ล้างแค้นให้มัน!


...


ขณะเดียวกัน ภายในอาณาจักรอวี้ซวี


ของวิเศษทั้งหลายเตรียมกลับ


“ท่านพี่ชวน ท่านจะไปไหนหรือ ครั้งนี้ช่วยพาข้าไปด้วยได้หรือไม่!”


ชางเหยาเกาะติดมัจฉาสัตมายา จ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาน่าสงสาร หมายจะติดตามพี่ชวนไปด้วย เพราะไม่ต้องการแยกจากเขา


“อย่าเลย!”


มัจฉาสัตมายาวิ่งหนี หนนี้มันถึงขั้นแหวกมิติหนีไป ชางเหยาไม่อาจไล่ตามเขาไปได้


“แย่ที่สุด แย่ที่สุด!”


ชางเหยาโกรธจนกระทืบเท้า เอ่ยเสียงเคียดแค้น “คราวหน้าหากข้าได้พบท่านอีก ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านหนีไปได้แน่!”


นางพลันนึกบางอย่างขึ้นได้ กลอกตาไปมา อ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “พี่ชายพี่สาวทั้งหลาย พวกท่านพาข้าไปด้วยคนเถิด!”


“ไม่สะดวกแทรกแซง เราไม่สะดวกแทรกแซง!”


“ฮ่า ๆ ไปก่อนล่ะ!”


เหล่าของวิเศษมิกล้าพาชางเหยาไปยังลานเล็กคุณชายโดยพลการ แม้ว่าพวกมันอยากช่วยชางเหยามาก กระนั้นสุดท้ายพวกมันก็อดทนไว้ได้


หลังจากนั้น พวกมันแหวกมิติ ไปรวมตัวกับมัจฉาสัตมายา


พวกมันร้องเรียกต้นหลิว ต้นหลิวตอบกลับในทันใด ก้านหลิวก้านนั้นปรากฏตรงหน้าของวิเศษทั้งหลาย


“เสร็จเรื่องแล้วหรือ ได้ เรากลับกันเถิด”


ก้านหลิวสั่นไหว ทะลุทะลวงฝ่าอวกาศ พาของวิเศษทั้งหลายเดินทางกลับ


อีกด้าน ชางเหยาเบ้ปากน้อย ๆ ท่าทางโมโหอย่างยิ่ง “ขี้งก ๆ พาข้าไปด้วยหาได้เปลืองแรงไม่!”


ทว่าท่าทางโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ของนางกลับดูน่ารักน่าเอ็นดู


“โอ๊ย ทำอย่างไรดี!”


นางกลัดกลุ้มสุดขีด ว้าวุ่นใจเหลือเกินว่านางต้องทำอย่างไรถึงจะได้ครองคู่กับท่านพี่ชวน


ก่อนหน้านี้ นางเอ่ยว่ารอจนนางได้พบท่านพี่ชวนอีกครั้ง นางจะไม่ปล่อยให้ท่านพี่ชวนหนีไปได้อีก ทว่านางจะทำได้จริงหรือ


เป็นไปไม่ได้เลย!


ขอบเขตพลังของท่านพี่ชวนในยามนี้ไม่รู้ว่าเหนือชั้นกว่านางตั้งกี่เท่า ซ้ำข้างกายท่านพี่ชวนยังมียอดศาสตรา และโอสถวิเศษอยู่อีกนับคณา ขอบเขตพลังของท่านพี่ชวนในวันหน้าย่อมต้องสูงส่งแกร่งกล้ากว่านี้เป็นแน่


เมื่อได้พบท่านพี่ชวนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าท่านพี่ชวนจะบรรลุถึงขอบเขตไหนไปแล้ว!


นางอยากดันทุรังรั้งท่านพี่ชวนไว้ ไม่ยอมให้ท่านพี่ชวนหนีไปไหนได้อีก นับเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างแท้จริง ไม่มีทางเป็นไปได้เลย!


“ไม่ได้การ ความสุขของเรา เราต้องไขว่คว้าด้วยตนเอง! ข้า…ไม่มีวันยอมแพ้!”


ชางเหยาเอ่ยด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว ตัดสินใจยกระดับขอบเขตของตนให้ได้โดยเร็วที่สุด


แต่เพียงไม่นาน นางก็ห่อเหี่ยวลง


คิดจะยกระดับพลังให้รวดเร็ว ทั้งยังต้องไล่ตาม หรืออาจต้องเหนือกว่าพี่ชวนขึ้นไป มิใช่เรื่องง่ายเลย แทบไม่มีหนทางด้วยซ้ำ


ทันใดนั้น คล้ายว่านางนึกอะไรบางอย่างออก ดวงตาสุกสกาวขึ้นมา รอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้า “แดนบรรพโกลาหลอย่างไร! ขอเพียงข้าเข้าไปในแดนบรรพโกลาหลได้ ข้าย่อมเหนือชั้นกว่าท่านพี่ชวนได้แน่ ถึงเวลานั้น ข้าย่อมรั้งท่านพี่ชวนให้อยู่กับข้าได้แน่!”


ตอนนี้ แดนบรรพโกลาหลมิใช่ความลับอันใดในอาณาจักรอวี้ซวีอีกต่อไป แม้จะยังมิได้รู้กันถ้วนหน้า แต่ก็ใกล้เคียงมากแล้ว


คิดมาถึงนี่ นางไม่ลังเลอีกต่อไป ไปหาเสด็จพ่อของนาง จักรพรรดิชางทันที


นางเอ่ยบอกจักรพรรดิชาง “เสด็จพ่อ หม่อมฉันต้องการเข้าไปในแดนบรรพโกลาหลเพคะ!”


“เจ้าไปทำอันใด! อันตรายเกินไป!”


จักรพรรดิชางขมวดคิ้ว ไม่ต้องการให้ชางเหยาเข้าไปในแดนบรรพโกลาหล


“ไม่พบความอันตรายบ้าง ย่อมไม่มีทางได้เติบโต ครั้งนี้นับเป็นอุทาหรณ์ที่ดีเลยมิใช่หรือเพคะ หากว่าไร้ความสามารถ มีแต่ต้องเป็นเหยื่อของผู้อื่น!”


ชางเหยาเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อ


จักรพรรดิชางครุ่นคิด เห็นว่าสิ่งที่ชางเหยาได้กล่าวมานั้นไม่ผิด พวกเขาไม่อาจหวังพึ่งผู้อื่นทุกครั้ง โดยเฉพาะในภายภาคหน้าที่อาจเกิดเรื่องโกลาหลอลหม่านยิ่งกว่านี้


หนนี้ สิ่งมีชีวิตพิศวงอย่างพวกเจ้าหลวงรุกรานอาณาจักรอวี้ซวีอาจเป็นเพียงสัญญาณหนึ่ง


อาณาจักรอวี้ซวีมีต้นกำเนิดจากอาณาจักรแห่งนั้น เขารู้ว่าอาณาจักรนั้นเคยเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ และภัยพิบัติครั้งใหญ่นั้นก็ปะทุออกมาจากความพิศวง


อาณาจักรเก้าตอนบนของพวกเขาทยอยแยกจากอาณาจักรนั้นก็เพราะเหตุนี้


ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน อาณาจักรเก้าตอนบนของพวกเขามิกล้าก้าวล้ำเข้าไปยังอาณาจักรนั้น ยำเกรงในอาณาจักรนั้นเป็นอย่างมาก


ทว่าครั้งนี้ กลับมิใช่เช่นนั้น


อาณาจักรอวี้ซวีมิได้ยำเกรงต่ออาณาจักรนั้นอีกต่อไป สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรต่าง ๆ ล้วนต้องการเข้าไปเสี่ยงในแดนบรรพโกลาหลดู


สาเหตุหลักเป็นเพราะสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรอวี้ซวีรับรู้ถึงภยันตราย รู้สึกได้ว่าอนาคตไม่สงบ จะเกิดความจลาจลครั้งใหญ่ เพราะเหตุนี้ ถึงได้ใส่ใจเรื่องราวของแดนบรรพโกลาหลเพียงนี้


“ได้!”


จักรพรรดิชางพยักหน้า ตัดสินใจส่งชางเหยาไปยังอาณาจักรนั้น


การเอาแต่ปกป้องลูกเดียวรั้งแต่จะเป็นผลเสียต่อชางเหยา เข้าไปในแดนบรรพโกลาหลได้ต่างหาก จึงจะมีความหวัง


“ขอบพระทัยเสด็จพ่อเพคะ!”


ชางเหยายินดีปรีดาอยู่เต็มหัวใจ นางไม่รู้หรอกว่าท่านพี่ชวนที่นางถวิลหาอยู่ทุกคืนวันอยู่ที่อาณาจักรนั้น หากนางรู้ นางต้องปรีดากว่านี้เป็นแน่


“ข้าไปจัดแจงให้เจ้าได้ไปถึงอาณาจักรนั้นโดยด่วนที่สุด!”


จักรพรรดิชางกล่าว “ข้าจะเดินทางไปกับเจ้าด้วย รีบไป รีบเตรียมตัวให้พร้อม!”


พูดจบ เขาก็ไปจากที่ตรงนั้น


ชางเหยาตาเป็นประกาย เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านพี่ชวน รอให้ข้าเข้าไปในแดนบรรพโกลาหลได้เมื่อไหร่ จนเติบโตเต็มที่ในทุก ๆ ด้านแล้ว ข้าจะโอบกอดท่านไว้ในอ้อมอก!”


นางยินดีทุ่มเททุกอย่างเพื่อความรัก ต่อให้การเดินทางเข้าแดนบรรพโกลาหลนั้นเป็นเรื่องอันตราย นางก็ไม่มีทางถอดใจ!


...


ณ ดินแดนฝอ


บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวเดินอยู่เหนือเมฆ สวมชุดนักพรตสีเหลืองอมส้ม สงวนพลังปราณ กระนั้นยังให้ความรู้สึกบีบคั้นอย่างรุนแรง ดูก็รู้ว่ามิใช่คนธรรมดา


“ทะเลมีน้ำขึ้นน้ำลง ทุกเรื่องราวในอดีต ผ่านไปแล้วเฉกเช่นหมู่เมฆลอยหาย”


เขาทอดถอนใจเสียงเบา สถานการณ์ในอาณาจักรนี้ไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้สักนิด ต่างกันเกินไป


ทว่าหากได้ไตร่ตรองดี ๆ ไฉนเลยจะเป็นเหมือนกันได้


เขาจากไปเป็นเวลานมนานจนไม่อาจประเมินได้ ซ้ำอาณาจักรนี้ยังเคยเกิดความพลิกผันอีกคณานับ หากยังหวังให้เป็นเฉกเช่นครั้งเก่า นับว่าเพ้อเจ้อสิ้นดี


“ข้ามิกล้าคลี่แผ่ประสาทสัมผัสเซียนปกคลุมออกไปเต็มที่ มิฉะนั้น ไยต้องงอมืองอเท้า ปราศจากจุดหมายอยู่อย่างนี้!”


เขาถอนหายใจอีกครั้ง หนนี้ เขามาด้วยภาระหน้าที่ใหญ่หลวง จำเป็นต้องตามหาบางสิ่งจากอาณาจักรนี้ ทว่า ภารกิจนี้มิได้มีเพียงเขาที่ทำอยู่ แต่ยังมีผู้คนอีกมากมายทำอยู่เช่นกัน


และคนเหล่านี้ ล้วนเป็นศัตรูทั้งสิ้น!


ใช่แล้ว เขาคือผู้ที่มาจากภพเซียน มาเพื่อกล่องสี่เหลี่ยมนั้น


ตระกูลของเขาให้ความสำคัญกับกล่องสี่เหลี่ยมนี้มากเช่นกัน ส่งจ้าวแห่งเซียนออกมานับสิบ และเขาก็เป็นหนึ่งในจ้าวแห่งเซียน


ทว่าภพเซียนใช่ว่าออกมาได้ง่าย ๆ นอกจากเขา จ้าวแห่งเซียนนับสิบที่เหลือตายกันไปหมด เขาออกจากภพเซียนสำเร็จ และเข้ามาถึงอาณาจักรนี้


จากข่าวที่เขาทราบมา มหาตระกูลอื่น ๆ ในภพเซียนลงมือกับกล่องสี่เหลี่ยมนี้แล้วเช่นกัน เขาสัมผัสได้นานแล้วว่าในอาณาจักรแห่งนี้ มีพลังปราณของจ้าวแห่งเซียนตนอื่นอยู่ นั่นหมายความว่า เขามิใช่เพียงผู้เดียวที่สำเร็จ มหาตระกูลอื่นก็มีจ้าวแห่งเซียนที่ทำสำเร็จเช่นกัน


เพราะเหตุนี้ เขาจึงมิกล้าเผยตัว


ไม่เพียงแค่มิกล้าเผยตัว จ้าวแห่งเซียนตนอื่นมิกล้าเผยตัวเช่นกัน ทั้งหมดล้วนซุ่มอำพราง ปฏิบัติการค้นหาอย่างลับ ๆ


ถึงอย่างไร ทุกคนต่างมาเพื่อตามหากล่องสี่เหลี่ยมใบนั้น และมีสถานะเป็นคู่แข่ง ขืนเผยตัวไป เป็นไปได้ว่าจะถูกจ้าวแห่งเซียนตนอื่นโจมตี


สังหารไปได้หนึ่ง ย่อมมีคู่แข่งน้อยลงไปหนึ่ง โอกาสได้กล่องสี่เหลี่ยมมาครอบครองสำเร็จก็ยิ่งสูงขึ้น ทั้งหมดจึงมีฐานะเป็นศัตรูตัวฉกาจ


ส่งผลให้เขาคืบหน้าได้เชื่องช้า


หากมิใช่ว่าหวั่นเกรงในจ้าวแห่งเซียนตนอื่น เขาสามารถคลี่แผ่ประสาทสัมผัสเซียนออกไปเต็มที่ ปกคลุมทั่วทั้งอาณาจักร ล่วงรู้ทุกสิ่ง


“หือ หรือว่าจะมีบางสิ่งในดินแดนนี้!”


เขาเหยียดยิ้มมุมปาก ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก



“เซียวฮุ่ยเองหรือ!”


ดวงตาของบุรุษวัยกลางคนฉายแววดุดัน เขาดวงดีถึงเพียงนี้เชียวรึ?


เยี่ยมไปเลย!


เขามิกล้าคลี่แผ่ประสาทสัมผัสเซียนเต็มที่ ถึงแม้ว่ายังคลี่แผ่ไม่เต็มที่ เขาก็ยังจับสัมผัสได้หลายอย่าง รับรู้ได้ว่าเซียวฮุ่ยอยู่ที่นี่


“นางพบเจอปัญหาใหญ่ ใช่เซียวฮุ่ยไม่ผิดแน่ มีร่องรอยความเป็นนิรันดร์อยู่!”


เพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาด เขายืนยันกับตนเองอีกครั้ง จนท้ายที่สุดแน่ใจได้ว่าคือเซียวฮุ่ย


เซียวฮุ่ย ผู้อาวุโสตระกูลเซียว จ้าวแห่งเซียนตนหนึ่ง


เขาเคยคลุกคลีกับอีกฝ่ายมาบ้าง


นางหายตัวไปจากภพเซียนตั้งแต่ก่อนกาลเวลาอันยาวนานเริ่มต้นขึ้น ไม่มีข่าวคราวแม้แต่น้อย บัดนี้ลองคิดดูแล้ว เซียวฮุ่ยคงถูกตระกูลเซียวส่งออกมาตามหากล่องสี่เหลี่ยม


“คำนวณเวลาแล้ว เซียวฮุ่ยหายไปตั้งแต่ตระกูลนั้นล่มสลาย…”


เขาพึมพำเสียงเบากับตนเอง


เรื่องของกล่องสี่เหลี่ยม ตระกูลของเขาได้รับข้อมูลมาไม่น้อย


ตระกูลเซียวเป็นกองกำลังแรกที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของกล่องสี่เหลี่ยม และเป็นตระกูลเซียว ที่ฆ่าล้างตระกูลนั้น ตระกูลของเขา รวมถึงเจ็ดมหาตระกูลที่เหลือ ล้วนรับรู้ถึงการมีอยู่ของกล่องสี่เหลี่ยมหลังกาลเวลาอันยาวนานเริ่มต้นขึ้น


อีกอย่าง พวกเขาเพิ่งคาดคะเนได้เมื่อไม่นานที่ผ่านมาว่า กล่องสี่เหลี่ยมนั้นมิได้อยู่ในภพเซียน หากแต่อยู่ในอาณาจักรนี้


หลังตระกูลนั้นล่มสลาย เซียวฮุ่ยก็หายตัวไป บัดนี้เซียวฮุ่ยมาโผล่อยู่ในอาณาจักรนี้ มีเรื่องบังเอิญเช่นนั้นจริงหรือ


คิดแล้วเซียวฮุ่ยคงไล่ตามมาตั้งแต่ยุคนั้น


“ไม่ว่าอย่างไร เซียวฮุ่ยก็ต้องรู้อะไรมาแน่ จับนางไว้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


เขาย่างกรายออกไป พริบตาเดียวก็มาอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งในส่วนลึกของเขาญาณ


เซียวฮุ่ยอยู่บนยอดเขาแห่งนี้


บนเขาญาณมีค่ายกลใหญ่สลักอยู่ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ค่ายกลใหญ่นี้เสมือนเป็นเพียงของตั้งวาง เขาสามารถข้ามผ่านเข้าไปได้ตรง ๆ ซ้ำยังปราศจากการส่งสัญญาณใด ๆ


กระทั่ง ‘ญาณ’ พระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้ายังไม่รับรู้ถึงการมาของเขา


ไฉนเลยจะรับรู้ถึงเขาได้เล่า


เขาคือผู้ที่อยู่บนระดับสูงสุด แม้ว่าคราวออกจากภพเซียนจะได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส ทว่าเขาฟื้นตัวได้เต็มที่ตั้งแต่ก่อนเข้ามาในอาณาจักรแห่งนี้แล้ว


‘ญาณ’ พระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้ามิอาจเทียบได้เลย


“ห้ามอู้ ต้าเต๋อฝอกล่าวไว้ว่า เจ้าต้องท่องคัมภีร์พระธรรมวันละหนี่งร้อยรอบ วันนี้เจ้าเพิ่งท่องไปเก้าสิบเก้ารอบเท่านั้น ยังขาดอยู่หนึ่งรอบ!”


ด้านหน้าเซียวฮุ่ย พระเก้าประทีปพุทธเจ้าเอ่ยกับเซียวฮุ่ยขณะถือไม้บรรทัดสำหรับลงโทษไว้ในมือ


เขามีหน้าที่กำกับตรวจตรา นี่คือภารกิจที่ต้าเต๋อมอบหมายให้เขา


เอ่อ... ใช่ว่าเป็นภารกิจของเขาคนเดียวเสียเมื่อไหร่ เซียวฮุ่ยก็ด้วย พวกเขาทั้งสองต้องกำกับตรวจตราซึ่งกันและกัน ทั้งคู่ต้องสวดคัมภีร์พระธรรมวันละหนึ่งร้อยจบ


กับคำสั่งของต้าเต๋อ เขาไม่กล้าไม่ทำตาม ในทุก ๆ วันจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างขะมักเขม้น มิกล้าละเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไร ชีวิตของเขาก็อยู่ในกำมือต้าเต๋อ


เซียวฮุ่ยก็เช่นกัน มิกล้าไม่ปฏิบัติ


เขาสวดคัมภีร์พระธรรมไปหนึ่งร้อยจบแล้ว เวลานี้ถึงตาเขาจับตาดูเซียวฮุ่ย


และเซียวฮุ่ยก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ต้องหยุดชะงักหลังท่องไปเก้าสิบเก้าจบ ไม่ยอมท่องคัมภีร์พระธรรมรอบที่หนึ่งร้อย


เซียวฮุ่ยต่อต้านหนึ่งร้อยรอบเป็นอย่างยิ่ง!


“อย่าได้เอ่ยคำว่าหนึ่งร้อยรอบต่อหน้าข้า!”


เซียวฮุ่ยถลึงตาใส่พระเก้าประทีปพุทธเจ้าด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว สายตานั้นแทบอยากฉีกพระเก้าประทีปพุทธเจ้าเป็นชิ้น ๆ


“เจ้าว่าอะไรนะ! วางอำนาจบาตรใหญ่อันใดอยู่! อยากโดนตีหรือไร!”


พระเก้าประทีปพุทธเจ้ามิได้กลัวเกรงเซียวฮุ่ยแม้แต่น้อย เขายกไม้บรรทัดขึ้น หวดใส่เซียวฮุ่ย


ทั้งเขาและเซียวฮุ่ยต่างถูกสะกดพลัง แล้วเขาต้องกลัวเซียวฮุ่ยไปไย ไม่ต้องกลัวเลยสักนิด!


“ไม่ให้ข้าเอ่ย แต่ข้าจะเอ่ย! หนึ่งร้อยรอบไปเลยหนึ่งร้อยรอบ!”


พระเก้าประทีปพุทธเจ้าหวดไปตะโกนไป


“เจ้า…อ๊าก ๆๆ!”


เซียวฮุ่ยพิโรธเดือดดาล ลุกขึ้นตีกับพระเก้าประทีปพุทธเจ้า นางขอสาบานเลยว่า หากวันหน้ามีโอกาสเมื่อใด นางจะให้พระเก้าประทีปพุทธเจ้าอยู่มิสู้ตาย!


บุรุษวัยกลางคนยืนตระหง่านอยู่บนท้องฟ้าเหนือเซียวฮุ่ยและพระเก้าประทีปพุทธเจ้า แต่เซียวฮุ่ยและพระเก้าประทีปพุทธเจ้ากลับไม่รู้สึกตัวเลย


“เฮ้อ จ้าวแห่งเซียนเซียวฮุ่ยผู้เคยเลื่องชื่อในภพเซียน บัดนี้กลับตกต่ำถึงเพียงนี้เชียวหรือ”


เขาทอดถอนใจ เซียวฮุ่ยและพระเก้าประทีปพุทธเจ้าต่างสะดุ้งตกใจกันทั้งคู่ ขนลุกขนชัน ผละออกจากกันทันที และแหงนมองท้องฟ้าพร้อมกัน


“เฟ่ยชง เจ้าเองหรือ!”


เซียวฮุ่ยตะลึง จำบุรุษวัยกลางคนได้ นี่คือจ้าวแห่งเซียนตระกูลเฟ่ยอันเป็นหนึ่งในเก้ามหาตระกูลของภพเซียน


เป็นไปได้อย่างไร?


การเดินทางออกจากภพเซียนยากลำบากปานนั้น พลาดพลั้งเพียงนิดอาจถึงแก่ชีวิต เฟ่ยชงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?!


‘รู้จักกันหรือ บัดซบ อย่าได้เป็นมิตรคนสนิทเชียว!’


พระเก้าประทีปพุทธเจ้าภาวนาในใจ


หากเป็นสหายกัน เขาได้แย่แน่!


“เจ้าก้บข้าเคยคลุกคลีกันมา แม้มิใช่สหาย กระนั้นข้าก็มิอาจทนดูเจ้าตกต่ำได้ เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้าฆ่าเขาหรือไม่”


เฟ่ยชงเอ่ยต่อเซียวฮุ่ย


จ้าวแห่งเซียนตนหนึ่งต้องถูกเหยียบย่ำขนาดนี้ เขาทนดูมิได้ จ้าวแห่งเซียนไม่ควรประสบชะตากรรมเช่นนี้


หลังพระเก้าประทีปพุทธเจ้าได้ยินคำกล่าวของเฟ่ยชง ก็ผวาจนหมดเรี่ยวแรงทรุดลงกับพื้น


เขานึกในใจว่า มิใช่สหายแล้วเหตุใดยังต้องช่วยด้วยเล่า!


นี่เขาต้องตายไปทั้งอย่างนี้หรือนี่?!


“ไม่ต้อง ข้าอยากให้เจ้าปล่อยเขาไว้ให้เป็นหน้าที่ข้า”


เซียวฮุ่ยจ้องพระเก้าประทีปพุทธเจ้าด้วยสายตาเคียดแค้นเหลือแสน หากฆ่าพระเก้าประทีปพุทธเจ้าไปง่าย ๆ มิสบายไปหรือสำหรับพระเก้าประทีปพุทธเจ้า


“ได้”


เฟ่ยชงสะบัดมือ ปลดผนึกบนตัวเซียวฮุ่ย คืนพลังให้นาง


ยามปลดผนึก เขาขมวดคิ้วอย่างอดมิได้ ผนึกนี้แม้แต่ตัวเขายังต้องเหนื่อยไม่น้อยยามปลด ไม่สามารถคลายออกง่าย ๆ ผู้ใดลงผนึกให้เซียวฮุ่ยกัน?


พลังของผนึกนี้อยู่ในขั้นเซียนสมบูรณ์เป็นอย่างน้อย หรือว่าอาณาจักรนี้มีกำลังรบเหนือเซียนสมบูรณ์อื่น ๆ ดำรงอยู่


“ดี ขอบใจ!”


เซียวฮุ่ยกล่าวขอบคุณเฟ่ยชง


จากนั้น นางเบนสายตาไปที่พระเก้าประทีปพุทธเจ้า “หนึ่งพันรอบในอดีต เห็นทีเจ้าคงยังไม่หนำใจ ครั้งนี้สักหนึ่งหมื่นรอบ สิบล้านรอบไปเลยแล้วกัน!”


“พี่สาว พี่สาวบังเกิดเกล้า อย่านะ!”


พระเก้าประทีปพุทธเจ้ากลัวจนปัสสาวะแทบราด ประสบการณ์ถูกหมูตัวผู้ขืนใจหนึ่งพันรอบผุดขึ้นในใจ


“ท่านฆ่าข้าไปเลยดีกว่า! ข้าขอร้องล่ะพี่สาว!”


เขาร่ำไห้อ้อนวอน ไม่หวังสูงขนาดเซียวฮุ่ยยอมปล่อยเขา ขอเพียงเซียวฮุ่ยให้เขาได้ไปสบาย อย่าให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานอีกเลย


“ผู้ใดเป็น…พี่สาวเจ้ากันหา!”


เซียวฮุ่ยตบหน้าพระเก้าประทีปพุทธเจ้า ก่อนจะหิ้วคอพระเก้าประทีปพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วออกจากที่นี่


นางต้องการให้พระเก้าประทีปพุทธเจ้าได้สัมผัสประสบการณ์หนึ่งพันรอบนั้นใหม่อีกครั้ง!


“ประเดี๋ยวเปลี่ยนคู่ที่ดีกว่า มีพละกำลังกว่าให้เจ้า วัวก็ดีนะ มีเรี่ยวแรงดี!”


นางเอ่ยเสียงเย็น


“อย่านะ ๆ!”


พระเก้าประทีปพุทธเจ้ากลัวจนหน้าเขียว หมูตัวผู้ก็เกินทนแล้วสำหรับเขา นี่จะเปลี่ยนเป็นวัวเลยหรือ


ไม่นานนัก เซียวฮุ่ยก็เจอวัวตัวผู้แข็งแรงสีดำล้วนตัวหนึ่ง นางโยนพระเก้าประทีปพุทธเจ้าเข้าไป


นางจิ้มนิ้วออกไปหนึ่งนิ้ว ลำแสงลำหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปถึงวิญญาณของวัวดำ ควบคุมวิญญาณวัวดำ ออกคำสั่งสิบล้านรอบแก่วัวดำ


มอ!


วัวดำส่งเสียงร้อง ก่อนจะปรี่เข้าใส่พระเก้าประทีปพุทธเจ้าราวกับอยู่ในช่วงติดสัด ทับเขาไว้ใต้ร่าง


“เจ้ามีรสนิยมแบบนี้หรอกหรือ?!”


เฟ่ยชงตามอยู่ด้านหลังมาตลอด หลังได้เห็นภาพนี้ เขาก็ต้องปากกระตุกอย่างอดมิได้ สะอิดสะเอียนในใจ รีบเบนสายตาไปทางอื่น


บุรุษหนึ่งคน วัวเพศผู้หนึ่งตัว ภาพนี้…เฮ้อ ยากจะพรรณนา!



เซียวฮุ่ยมิได้เอ่ยวาจา


หมายความว่าอย่างไร นางมีรสนิยมเช่นนี้?


เฟ่ยชงไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางผ่านสิ่งใดมาบ้าง!


หากเฟ่ยชงรู้ เฟ่ยชงคงไม่พูดเช่นนี้


ถูกผู้อื่นขืนใจถึงหนี่งร้อยรอบเชียวนะหนึ่งร้อยรอบ ความทรงจำเยี่ยงนี้ ขยะแขยงเกินจะระลึกถึง!


“ข้าขอให้เจ้าช่วยข้าอีกสักอย่างได้หรือไม่ ขอข้าเชือดสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในดินแดนฝอก่อน!” เซียวฮุ่ยเอ่ย จิตสังหารแรงกล้า


“อยู่เฉย ๆ เสียเถิด ข้าไม่ต้องการให้มีเรื่องราวใหญ่โต” เฟ่ยชงส่ายหัวปฏิเสธ


เขาอยากรู้มากกว่าว่า เซียวฮุ่ยประสบเรื่องใดในอาณาจักรนี้มาบ้าง ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้


สั่งให้วัวตัวผู้ขืนใจพระเก้าประทีปพุทธเจ้าไม่พอ ยังตั้งใจสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งปวงในดินแดนฝออีก เซียวฮุ่ยในภาพจำของเขา มิได้กระหายเลือดปานนี้


ดูท่าชีวิตของเซียวฮุ่ยในอาณาจักรนี้คงจะอนาถาอย่างมาก


“ก็ได้”


เซียวฮุ่ยมิได้เอ่ยมากไปกว่านั้น นางมิได้มีสัมพันธ์ใดกับเฟ่ยชง อีกฝ่ายยอมให้นางจัดการพระเก้าประทีปพุทธเจ้าด้วยตนเองนับว่าดีมากแล้ว


หากนางยังดึงดันต้องการมากกว่านั้น ออกจะไม่รู้จักแยกแยะ รนหาที่ตายไปหน่อย


“เล่ามาสิ เหตุใดเจ้าถึงมาปรากฏตัวในอาณาจักรนี้ อย่าได้คิดปิดบังข้า เจ้าคงรู้ดีว่าด้วยสถานการณ์ของเจ้าในยามนี้ เจ้าปิดบังมิได้”


เฟ่ยชงหันมองเซียวฮุ่ย


“ได้”


เซียวฮุ่ยเล่าทุกอย่างโดยไม่ปกปิด และนางก็ตระหนักดีว่าปกปิดมิได้


“จากที่เจ้าเล่ามา กล่องสี่เหลี่ยมอยู่กับซีอย่างนั้นหรือ”


เฟ่ยชงหรี่ตาลง “เช่นนั้นแล้วหยวนอีเกี่ยวข้องอันใดกับซี”


“แม้ข้าจะมิรู้ว่าพวกนางเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ต้องเกี่ยวข้องกันแน่นอน! หลังเจอตัวหยวนอี ก็หาตัวซีได้ง่ายขึ้น”


เซียวฮุ่ยเอ่ยบอก


“เจ้ารู้จักหยวนอีแค่ไหน”


เฟ่ยชงถาม


“ไม่ได้รู้จักมากเท่าไหร่ แต่ข้ารู้ว่ามีคนผู้หนึ่งรู้จักหยวนอีอยู่บ้าง!”


เซียวฮุ่ยกล่าว “หลังพบคนผู้นี้ ก็หาตัวหยวนอีไม่ยากแล้ว!”


“ผู้ใดกัน”


“ต้าเต๋อ!”


เซียวฮุ่ยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ต้าเต๋อผู้นี้หาตัวง่าย ที่นี่คือถิ่นของต้าเต๋อ!”


ลูกประคำในมือต้าเต๋อแทบถอดแบบสี่กระบี่ประหารเซียนในมือหยวนอี มีความสูงของระดับขั้น และความสูงส่งของจังหวะแห่งเต๋าที่ไหลเวียนอยู่ล้วนเหมือนกันหมด


นางมั่นใจว่าต้าเต๋อมีความเกี่ยวข้องกับหยวนอี!


“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเราไปถามจากต้าเต๋อผู้นี้กันเถิด”


เฟ่ยชงพาเซียวฮุ่ยออกจากที่นี่ ด้วยคำบอกของเซียวฮุ่ย เขาพาเซียวฮุ่ยตรงมายังวิหารต้าสยงแห่งเขาญาณ


“อามิตาพุทธ!”


‘ญาณ’ พระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้าตื่นขึ้นมาทันที ประกายพุทธะแผ่ขยาย กีดขวางเฟ่ยชงและเซียวฮุ่ยไว้


ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเฟ่ยชง พระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้าปวกเปียกต้านมิได้แม้แต่การโจมตีเดียว เฟ่ยชงถล่มฝ่ามือข้างหนึ่งลงมา พระพุทธรูปทองคำของพระอมิตาภะพุทธเจ้าพลันถูกกำราบในบัดดล


“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่พวกเจ้าสักการะทุกวี่วันเป็นเพียงข้ารับใช้ผู้หนึ่งของตระกูลเฉิน?”


เฟ่ยชงสั่นศีรษะ เขารู้จักพระอมิตาภะพุทธเจ้า พระอมิตาภะพุทธเจ้ามีโอกาสได้เข้าไปยังภพเซียน ครานั้น เก้ามหาตระกูลเคยต่อสู้กันดุเดือดเพื่อชิงตัวพระอมิตาภะพุทธเจ้า สุดท้าย พระอมิตาภะพุทธเจ้าถูกตระกูลเฉินพาตัวไป


“เข้าภพเซียนได้หรือ”


เซียวฮุ่ยผงะ ทว่าเพียงไม่นานก็เข้าใจ นางพยักหน้าพลางกล่าว “ก็จริง ด้วยความสามารถและพลังระดับเขา เข้าภพเซียนได้นับว่าปกติ”


นางยอมรับในความสามารถและพลังของพระอมิตาภะพุทธเจ้ามาก เขาคือยอดวีรชนคนหนึ่ง คิดค้นพลังความศรัทธาขึ้นด้วยตนเอง บุกเบิกเส้นทางขึ้นมาใหม่ หากมิใช่ว่าเกิดผิดยุค พระอมิตาภะพุทธเจ้าย่อมต้องประสบความสำเร็จยิ่งกว่านั้น


นางตระหนักถึงสถานการณ์ของภพเซียนดี ภพเซียนขาดแคลนทรัพยากรณ์อย่างยิ่งยวด ตระกูลเฉินไม่มีทางทุ่มทุนทรัพยากรในตัวพระอมิตาภะพุทธเจ้ามากนัก ต่อให้พระอมิตาภะพุทธเจ้าทรงพลังเพียงใด ก็ไม่มีทางบรรลุจักรพรรดิภายใต้สถานการณ์ขาดแคลนทรัพยากรณ์เช่นนี้


เมื่อครั้งนางยังอยู่ที่ภพเซียน นางไม่เคยได้เจอพระอมิตาภะพุทธเจ้า คิดแล้ว พระอมิตาภะพุทธเจ้าคงเข้าไปถึงภพเซียนหลังนางจากมา


“แม้ว่าเขาเป็นเพียงข้ารับใช้คนหนึ่งของตระกูลเฉิน แต่ต้องยอมรับว่า เขามีความสามารถจริง ๆ ชื่อเสียงลือนามไม่น้อยในภพเซียน”


เฟ่ยชงกล่าว


เขาเคยประมือกับพระอมิตาภะพุทธเจ้ามาบ้าง อีกฝ่ายเป็นคนแข็งแกร่งมากจริง ๆ ก่อนนี้เขายังพอเอาชนะพระอมิตาภะพุทธเจ้าได้บ้าง ทว่าบัดนี้เกรงว่าคงไม่ไหวแล้ว


พระอมิตาภะพุทธเจ้าก้าวหน้าในภพเซียนได้ว่องไว ข้อนี้ ถึงแม้เขาไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ


“พระอมิตาภะพุทธเจ้า! พระท่านเข้าไปถึงภพเซียนแล้วหรือ”


“พระอมิตาภะพุทธเจ้าของเราตรัสรู้ถึงสัจธรรมแห่งวิถี บรรลุเซียนโพธิสัตว์แล้ว!”


“อามิตาพุทธ!”


ทางนี้มีสิ่งมีชีวิตดินแดนฝออยู่ไม่น้อย หลังพวกเขาได้ยินคำกล่าวของเฟ่ยชง ก็พากันท่องพระนาม สุดท้ายพระอมิตาภะพุทธเจ้าก็ก้าวไปถึงขั้นนั้นสำเร็จ ไปยังภพเซียน กลายเป็นเซียนโพธิสัตว์


“มีประโยชน์อันใด เขาเป็นเพียงข้ารับใช้ผู้หนึ่งเท่านั้น!”


เฟ่ยชงแค่นเสียงเย็น ราวกับไม่พอใจอย่างยิ่งที่พุทธสาวกทั้งหลายท่องพระนามพระอมิตาภะพุทธเจ้า เขาโบกมือ ปิดปากพุทธสาวกทั้งหมดในที่แห่งนี้จนสิ้น


เฟ่ยชงกำราบพระสังฆราชลง นิ้วหนึ่งแตะไปบนหน้าผากของพระสังฆราช สืบค้นความทรงจำทั้งหมด


เรื่องของคุณชายนั้น พระสังฆราชหาได้รู้ไม่ เพราะต้าเต๋อปากหนัก มิเคยเผยข้อมูลของคุณชายให้พระสังฆราชทราบ


กระนั้นเฟ่ยชงยังระแคะระคายถึงบางอย่างได้อย่างเฉียบแหลม


“เขาหยงหมิง…”


เขาพึมพำเสียงเบา รับรู้จากความทรงจำของพระสังฆราชได้ว่า จุดเปลี่ยนของต้าเต๋อมาจากเขาหยงหมิง ตั้งแต่ต้าเต๋อกลับจากเขาหยงหมิง ก็เผยให้เห็นถึงฝีมือน่าทึ่งระคนน่าเหลือเชื่อ ที่พระเก้าประทีปพุทธเจ้าล้มเหลวก็เพราะเหตุนี้


“หลี่จิ่วเต้า”


เขาเรียกชื่อนั้นเบา ๆ รู้สึกว่าหลี่จิ่วเต้าผู้นี้ดูมีพิรุธยิ่ง


เมื่อครั้งอยู่ที่เขาหยงหมิง หลี่จิ่วเต้ามิได้เผยวิชาอันใด ดูภายนอกเสมือนปุถุชนธรรมดา ทว่าผู้คนรอบกายเขาล้วนแต่ไม่ธรรมดา กระทั่งเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบปีอย่างพวกอ้ายฉาน ยังมีพลังฝีมืออัศจรรย์อย่างยิ่ง!


ซ้ำคนเหล่านี้ยังเคารพนับถือชายผู้นี้กันทั้งหมด!


ครานั้น กองกำลังต่าง ๆ เคยแคลงใจในตัวหลี่จิ่วเต้ามาก รู้สึกว่าเขาอำพรางพลัง หรืออาจเป็นผู้อาวุโสที่แกร่งกล้าสุดยอด


ทว่าด้วยเหตุผลนานัปการ มิมีกองกำลังใดสืบทราบตื้นลึกหนาบางของหลี่จิ่วเต้า กระทั่งท้ายที่สุด ยังไม่สามารถแม้แต่จะสืบค้น เพราะมีพลังนิรนามบางอย่างเข้าขัดขวาง


พระสังฆราชมิได้รู้เรื่องหลี่จิ่วเต้าผู้นี้เท่าใด รู้เพียงข้อมูลฉากหน้าเท่านั้น


หลังต้าเต๋อกลับมา ก็สั่งให้พุทธศาสนาหยุดทุกการสืบสาวเรื่องราวของหลี่จิ่วเต้า


“น่าสนใจดีนี่!”


เฟ่ยชงหรี่ตาลง สนอกสนใจในตัวหลี่จิ่วเต้าผู้นี้เป็นอย่างมาก เขาสังหรณ์ราง ๆ ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อาจเกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้า


“ไปหาหลี่จิ่วเต้า!”


เขาก้าวออกไป พาเซียวฮุ่ยออกจากเขาญาณ


ต้าเต๋อไม่อยู่ที่เขาญาณ เห็นว่าออกไปฝึกตนเคี่ยวกรำตัวเอง ทั้งยังบอกอีกว่าคงมิได้กลับมาในเร็ว ๆ นี้ เฟ่งชงรู้สึกว่าต้าเต๋ออาจอยู่กับหลี่จิ่วเต้าผู้นี้!


“ลึกลับถึงเพียงนี้ ข้าขอดูหน่อยเถิดว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าเป็นอย่างไร!”


เฟ่ยชงยิ้มเย็น พลังระดับเขา สังหรณ์มักไม่ผิด เป็นไปได้สูงว่าหลี่จิ่วเต้าคือคนสำคัญ และคือตัวการ


เขาต้องไปพบหลี่จิ่วเต้าผู้นี้ กระชากหน้ากากลึกลับของอีกฝ่ายออกมาให้ได้!