นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 591ถึง595
จ้าวอาณาจักรไม่รู้ว่าจักรพรรดินีเป็น ‘ชนพื้นเมือง’ เหล่านั้นที่ตนเอ่ยถึง กล่าวตามจริงแล้ว จักรพรรดินีก็ไม่ธรรมดาและเหนือชั้น ไม่เหมือนกับผู้ที่มาจากอาณาจักรอ่อนแอเป็นอย่างยิ่งในตอนนี้
นอกเหนือจากนั้น พวกเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นถึงปฏิกริยาของพลังป้องกันที่แตกต่างออกไป ทำให้จ้าวอาณาจักรคิดว่าจักรพรรดินีมาจากต่างอาณาจักร
“มีความลับอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ น่าเสียดาย เหล่าชนพื้นเมืองที่ต่ำต้อยเหล่านี้กลับไม่รู้ว่าด้านหลังตนเองมีภูเขาทองคำอยู่ ชนพื้นเมืองที่โง่เขลาเช่นนี้ มีชีวิตอยู่ต่อก็นับเป็นความผิดพลาดอย่างสมบูรณ์!”
จ้าวอาณาจักรกล่าวต่อ “สหายไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดแต่อย่างใด ที่พวกเรากำจัดชนพื้นเมืองที่โง่เขลาและต่ำต้อย มีแต่จะเป็นการทำคุณครั้งใหญ่เสียด้วยซ้ำ ทั้งยังช่วยปลดปล่อยพวกเขาไปเสียล่วงหน้า”
เขายิ้มกว้างเต็มใบหน้า ก่อนจะกล่าวถึงข้อดีจากการเข้าร่วมกับพวกเขา บอกว่าเมื่อเข้าร่วมแล้วจะได้รับผลประโยชน์มหาศาล การกลายเป็นเซียนในอนาคตไม่ใช่ปัญหาใดแม้แต่น้อย
ทว่าสิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น จักรพรรดินียกมือตบอากาศโจมตีใส่เขา!
ตู้มมม!
เรือโบราณขนาดใหญ่ที่เขายืนอยู่ระเบิดออกในทันที สิ่งมีชีวิตบนเรือปลิวกระเด็น เขาเองก็ไม่เว้น ปลิวกระเด็นออกไปด้วยสภาพน่าสังเวช
“เจ้า!”
เขาพาลโกรธขึ้นมาทันใด อัดอั้นจนอวัยวะภายในแทบจะระเบิดออก ทุกอย่างที่พูดก็ล้วนดีแล้ว เหตุใดจักรพรรดินีจึงลงมือใส่เขาอย่างกะทันหัน?
“มีคำกล่าวว่า การค้าขายไม่สำเร็จแต่มิตรภาพยังคงอยู่ เจ้าไม่ต้องการเข้าร่วมก็ไม่ต้องเข้าร่วม เหตุใดต้องลงไม้ลงมือกันด้วย!?”
เขากัดฟัน นึกไม่ถึงเลยว่าจักรพรรดินีจะลงมืออย่างกะทันหัน
จักรพรรดินีไม่กล่าววาจาใด นางตบมือลงกลางอากาศอีกครั้ง เรือใหญ่ลำอื่น ๆ ก็พลันถูกหยุดยั้ง!
เสียงระเบิดดังขึ้น เรือทั้งหมดระเบิดออกทันใด สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนเรือลอยกระเด็นไม่อาจต้านทานพลังของจักรพรรดินีได้
“ยังไม่หยุดอีกหรือ!?”
จ้าวอาณาจักรกราดเกรี้ยว ไม่คิดว่าจักรพรรดินีจะกล้าลงมืออีกครั้ง
เหตุใดจึงทำเช่นนี้!?
หรือว่าคำพูดของเขามีอะไรผิดพลาดไป?
เจ้าคิดว่าแดนมรณาที่ข้าเพิ่งกล่าวถึงเมื่อครู่ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงการขู่ขวัญเจ้าอย่างนั้นหรือ? เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่! แดนมรณามีอยู่จริง อีกทั้งนายท่านจากแดนมรณาเองก็กำลังเดินทางมาที่นี่จริง!”
เขาจ้องเขม็งไปทางจักรพรรดินี ทว่าก็ไม่กล้าลงมือ เขารับรู้ได้ถึงช่องว่างตนเองกับจักรพรรดินี ด้วยการตบเพียงครั้งเดียวเมื่อครู่ หากเรือใหญ่ไม่สกัดกั้นการโจมตีไว้ส่วนหนึ่ง เกรงว่าหากเขาไม่ตายก็สาหัสปางตาย!
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อ!
จักรพรรดินีมาจากที่ใดกัน?
เหตุใดจึงแข็งแกร่งน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้!?
เขาเป็นถึงเทียนตี้ระดับสูงสุด เหตุใดจึงยังมีช่องว่างห่างไกลถึงเพียงนี้!
ท่ามกลางความสับสนงุนงง คล้ายกับเขาจะสามารถสัมผัสได้ถึงนิรันดร์ภายในการลงมือของจักรพรรดินี หรือว่าจักรพรรดินีจะเป็นเซียน!?
จะเป็นไปได้อย่างไร!
เขาปฏิเสธความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว คิดว่าตนเองอาจรู้สึกผิดพลาดไป อยู่ ๆ จะมีเซียนปรากฏตัวขึ้นมาเช่นนี้ได้อย่างไร!
จะเอาสสารนิรันดร์มาจากแห่งหนใดทำให้สิ่งมีชีวิตกลายเป็นเซียนได้!
ตู้ม!
จักรพรรดินียังคงไม่เอ่ยคำใด ตอบกลับคำพูดของจ้าวอาณาจักรด้วยหนึ่งฝ่ามือ
จ้าวอาณาจักรตกตะลึงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด เขาไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อยที่จะหยุดยั้งมัน!
เขาไม่กล้าลังเล เรียกระดมพลังทั้งหมดของตัวเองออกมาเป็นอย่างแรกในทันที เขาไม่สามารถนั่งรอความตายเช่นนี้ได้
ทว่าทั้งหมดล้วนเปล่าประโยชน์ไม่อาจได้ผล เลือดเนื้อและกระดูกระเบิดออก ร่างกายของเขาปลิวกระเด็นกลายเป็นหมอกละอองโลหิตปลิวว่อน หลงเหลือเพียงแค่ดวงวิญญาณเท่านั้น
จักรพรรดินียังไม่ได้สังหารเขา นางต้องการจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแดนมรณา
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแดนมรณามีความมุ่งร้ายต่ออาณาจักรแห่งนี้เป็นอย่างมาก ถึงขั้นต้องการสังหารล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอาณาจักรแห่งนี้ ทำให้นางเกิดความอยากรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
ที่นี่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของนาง มีความทรงจำที่หลงเหลือเอาไว้มากมาย เมื่อนางได้รับรู้เรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว นางก็ไม่อาจจะนิ่งดูดายได้
หากจำเป็น นางก็ไม่เกี่ยงที่จะต้องทำลายแดนมรณาลงให้สิ้น
ภายใต้การสอบถามของนาง จ้าวอาณาจักรไม่กล้าจะปิดบังสิ่งใด เรื่องทุกอย่างถูกเล่าออกมา อีกทั้งเขายังไม่อาจปิดบังอะไรได้ ตอนนี้ตนเองเหลือเพียงดวงวิญญาณ หากจักรพรรดินีลงมือก็สามารถอ่านความทรงจำทั้งหมดของเขาได้อย่างง่ายดาย
“เพราะเหตุใดจึงทำเช่นนี้!?”
สุดท้ายหลังจากบอกเรื่องราวทุกอย่างแล้ว เขาก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ อยากรู้ว่าเหตุใดจักรพรรดินีจึงโกรธเกรี้ยวและลงมือกับเขา
“เพราะข้าคือ ‘ชนพื้นเมือง’ ที่เจ้ากล่าวถึงอย่างไรเล่า!”
จักรพรรดินีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หือ?”
จ้าวอาณาจักรตกตะลึง ทั่วทั้งดวงวิญญาณเปลี่ยนสี
ไม่น่าแปลกใจเลยที่จักรพรรดินีโกรธเกี้ยวขึ้นมาอย่างกะทันหัน!
เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ล้วนกราดเกรี้ยวออกมา!
ตอนนี้ ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย เมื่อครู่เขาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ชนพื้นเมืองในอาณาจักรแห่งนี้ล้วนโง่เขลาและต่ำต้อย มีชีวิตอยู่ไปก็เปลืองทรัพยากรในการฝึกฝน ฆ่าไปเสียจะดีที่สุด ทั้งยังเชิญจักรพรรดินีให้เข้าร่วมกับฝ่ายตนเองอีกด้วย...
ตอนนี้เขาอยากจะพูดออกมาเหลือเกิน พี่สาว เหตุใดท่านจึงไม่พูดให้เร็วกว่านี้ หากท่านพูดตั้งแต่แรก ข้าคงไม่พูดสิ่งเหล่านี้ออกมาอย่างแน่นอน!
เขาอดน้ำตาไหลไม่ได้ นี่มันอัดอั้นตันใจเกินไปจริง ๆ
พรวด!
เลือดสาดกระเซ็นทุกหนแห่ง ราวกับมีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทว่านั่นไม่ใช่น้ำฝนแต่อย่างใด ล้วนแต่เป็นหยดโลหิตอาบย้อมทั่วบริเวณให้กลายเป็นสีแดง
จักรพรรดินีลงมือ กวาดล้างสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนทั้งหมด กระทั่งวิญญาณของจ้าวอาณาจักรก็ดับสลาย ตายลงไปอย่างสมบูรณ์
ต่อหน้านางที่ฟื้นฟูกลับสู่จุดสูงสุดแล้ว สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนล้วนเป็นเพียงเศษธุลี ไม่มีค่าอันใดให้เอ่ยถึง
ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนเหล่านี้เลย กระทั่งเซียนกลุ่มหนึ่ง นางก็สามารถสังหารทิ้งทั้งหมดได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องพยายาม
ตอนที่อยู่ภพเซียน นางก็เคยสังหารเซียนมาไม่น้อย...
“แดนมรณาอย่างนั้นหรือ? ข้าจะรอเจ้ามา”
จักรพรรดินีเอ่ยเสียงแผ่วเบา ตัดสินใจจะรอนายท่านคนนั้นจากแดนมรณามา
จ้าวอาณาจักรเล่าทุกอย่างออกมาอย่างไม่ปิดบัง แต่ข้อมูลที่ได้ก็มีน้อยจนเกินไป จ้าวอาณาจักรรู้เรื่องเกี่ยวกับแดนมรณาเพียงแค่ผิวเผิน ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
นางนั่งลงบนซากเรือขนาดใหญ่ลำหนึ่ง รอคอยการมาถึงของนายท่านผู้นั้นของแดนมรณาอย่างเงียบงัน
…
ขณะเดียวกัน ภายในจักรวาลหมื่นดารามีร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏตัวสลับหายตัวเคลื่อนผ่านดวงดารา ก้าวข้ามผ่านอากาศ ดูแล้วให้ความรู้สึกแปลกประหลาดและน่าหวาดหวั่นเป็นพิเศษ
เขาไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่ปรากฏตัวออกมาล้วนข้ามผ่านดาวไปดวงแล้วดวงเล่า หายตัวครั้งหนึ่งไม่รู้ว่าเคลื่อนไปได้ไกลเท่าใด ความเร็วนั้นมากเสียยิ่งว่านาวาล่องนภาที่เร็วที่สุดเสียอีก
“ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนใกล้สิ้นสุดลงแล้ว และวันนี้ก็คือการเริ่มต้นของจุดสิ้นสุด!”
เขารำพึงกับตนเอง ประกายตาทอสว่างวาบราวสายฟ้า ลมหายใจเองก็ชวนน่าพรั่นพรึง เพียงแค่หายใจเข้าออกก็สามารถระเบิดดวงดาวที่รายล้อมกลายเป็นเศษกระจัดกระจายไปในจักรวาลหมื่นดารา
“ครั้งนี้เป็นข้าที่จะได้เปิดฉากโหมโรงบทจบ ปลุกวิญญาณวีรชนที่หลับใหลให้ตื่นขึ้น จากนั้นก็ยึดบ้านที่ควรจะเป็นของพวกเรากลับคืนมา!”
แววตาของเขาสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายในน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอย่างชัดเจน
ใกล้จะถึงเวลาที่จะเปิดฉากโต้กลับยึดบ้านให้กลับมาเป็นของพวกเขา!
“แต่ทว่าอาณาจักรเทียนหยวนนั้นย่ำแย่เกินไป กระทั่งอาณาจักรที่ในตอนนี้อ่อนแอถึงเพียงนั้นก็ยังไม่อาจเข้าไปได้...”
เขากล่าวขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่พอใจอาณาจักรเทียนหยวนเป็นอย่างมาก
“ไม่จำเป็นต้องคงอยู่อีกต่อไป!”
สีหน้าของเขาไม่แยแส หลังจากผ่านเรื่องครั้งนี้ไป สิ่งแรกที่เขาจะทำคือการกวาดล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของอาณาจักรเทียนหยวน
ครั้งก่อนอาณาจักรเทียนหยวนจบลงด้วยความล้มเหลว ครั้งนี้ก็ไม่อาจกระทำการอย่างราบรื่น จนต้องร้องขอความช่วยเหลือ อาณาจักรเทียนหยวนนั้นย่ำแย่จนเกินไปจริง ๆ!
“หลังจากไปถึงแล้ว ข้าจะรับหน้าที่สังหารล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของอาณาจักรแห่งนั้นเอง!”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะเร่งความเร็ว
เขาก็คือยอดฝีมือที่มาจากแดนมรณา!
ยอดฝีมือแดนมรณาเร่งความเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ข้ามผ่านดวงดารานับไม่ถ้วน เขามีนามว่า ‘อ้าน’ เขาไม่นับว่าเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยในแดนมรณา เขามีตำแหน่งฐานะอยู่บ้าง ทว่าไม่ได้สูงอะไรมากนัก
ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็มาถึงยังด้านนอกอาณาจักรแห่งนี้
“หืม!?”
เขาขมวดคิ้ว แววตาปรากฏความฉงน สถานการณ์ที่นี้แตกต่างกับที่เขาคิดเป็นอย่างมาก!
บนอากาศเต็มไปด้วยซากเรือขนาดใหญ่ ส่วนสิ่งมีชีวิตของอาณาจักรเทียนหยวนนั้น เขาไม่เห็นแม้แต่เงา
สถานการณ์เป็นเช่นไรกัน? ก่อนหน้านี้มีคนลงมือสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของอาณาจักรเทียนหยวนหรือ?
“ผู้ใดลงมือกัน? อย่าให้ข้ารู้ ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องทำให้มันไม่มีจุดจบที่ดี!”
เขากล่าวออกมาอย่างดุร้าย ภายในใจอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก
ก่อนที่จะมาถึง เขาได้ตัดสินใจจะสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของอาณาจักรเทียนหยวนอันไม่ได้ความ แต่สุดท้ายเขายังไม่ทันจะได้ลงมือ ก็มีผู้ลงมือสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของอาณาจักรเทียนหยวนตัดหน้าเสียแล้ว นี่ทำให้เขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก
“มาแล้ว...”
ขณะนั้นเอง บนจักรวาลหมื่นดาราก็มีเสียงเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ตรงซากเรือขนาดใหญ่มีร่างงดงามอย่างไม่อาจหาที่เปรียบได้นั่งจับจ้องมาทางอ้าน
นางงดงามจนหาพบได้ยากยิ่ง ไร้ผู้เทียบ งดงามจนชวนให้ใจสั่นสะท้าน ประหนึ่งความฝันราวกับภาพมายา เลื่อนลอยเกินความจริง อารมณ์เย็นชาห่างเหินไม่อาจจับต้องคล้ายแยกจากทุกสิ่ง ทำให้ผู้คนไม่กล้าทำให้ขัดเคืองใจ
“เจ้า...เป็นผู้ลงมือหรือ?”
อ้านเงยหน้าขึ้น มองร่างงดงามอันหาที่เปรียบไม่ได้ คิ้วของเขาอดขมวดเข้าหากันไม่ได้
แปลก...แปลกเกินไปแล้ว!
ก่อนหน้านี้ เขาไม่อาจรับรู้ได้ถึงตัวตนของร่างงดงามอันหาที่เปรียบไม่ได้ มันทำให้เขารู้สึกคาดไม่ถึง ด้วยขอบเขตความแข็งแกร่งของเขาแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เกรงว่าสตรีผู้นี้...จะรับมือได้ไม่ง่าย
อ้านมองสำรวจจักรพรรดินี เช่นเดียวกับที่จักรพรรดินีมองสำรวจอ้าน ภายในใจของนางก็เกิดความตกตะลึงไม่ต่างกัน แดนมรณาดูเหมือนว่าจะแตกต่างไปจากที่นางคิดเล็กน้อย
นางสามารถสัมผัสได้ถึงปราณนิรันดร์บนร่างของอ้าน!
เป็นไปได้อย่างไร!?
อ้านเคยอยู่ในสถานที่ที่มีสสารนิรันดร์มาก่อนหรือไม่ จึงสามารถกลายเป็นเซียนที่แท้จริงได้?
นางแทบไม่เชื่อเลย ว่านอกจากภพเซียนแล้ว สถานที่แห่งใดยังจะสามารถมีสสารนิรันดร์ได้อีก?
หรือว่าอ้านจะมาจากด้านในภพเซียน!?
รู้ม่านตาของนางหดลง ความคิดนี้แล่นวาบเข้ามาในใจของนาง
“ใช่ ข้าเป็นคนทำ และก็รอเจ้าอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว”
นางยืนขึ้น เผยให้เห็นรูปร่างงดงามสมบูรณ์แบบ พลางตอบกลับอ้าน แดนมรณานั้นไม่ธรรมดายิ่งกว่าที่คิด นางเริ่มเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังมากขึ้น
“เจ้าเป็นใคร มาจากที่ใด?”
อ้านถามอีกครั้ง เขารู้สึกหวาดเกรงหญิงงามผู้นี้ เขามองนางไม่ออกว่าอยู่ขอบเขตใดกันแน่
“ภพเซียน”
จักรพรรดินีมองไปที่อ้าน ไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้น นางต้องการจะรู้ว่าแดนมรณาเกี่ยวข้องอะไรกับภพเซียนหรือไม่
ผลที่ออกมา ดูเหมือนว่าแดนมรณาและภพเซียนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างลึกล้ำ หลังจากอ้านได้ยินคำตอบของจักรพรรดินี สีหน้าและท่าทางจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
“ถึงว่าข้าจึงไม่อาจมองเจ้าออก ที่แท้ก็เป็นเศษสวะจากภพเซียน!”
แววตาของอ้านแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ จิตสังหารล้นทะลัก เขาไม่เอ่ยวาจาใดอีก เรียกดาบสีดำออกมาฟันไปทางจักรพรรดินีทันที
ดาบสีดำวาดออก เจตจำนงดาบพุ่งออกไป กระทั่งจักรวาลหมื่นดาราก็ยังไม่อาจทนรับได้ ถูกผ่าแบ่งเป็นสอง อ้านพุ่งเข้ามาพร้อมมีดด้วยท่าทางดุร้ายทันที ต้องการจะสังหารจักรพรรดินีให้ตายเสีย
หลังจากเห็นดาบดำเล่มนี้ จักรพรรดินีก็หมดข้อสงสัย นี่คือดาบเซียนเล่มหนึ่ง หลอมขึ้นมาจากทองเซียน นอกจากภพเซียนแล้ว ยังจะหาได้จากที่ใดอีก
“เจ้าออกมาจากภพเซียนหรือ?”
จักรพรรดินีเรียกทวนยาวออกมาด้วยท่าทางองอาจ ศัสตราเล่มยาวเปล่งแสงเซียน นางราวกับเซียนหญิงนักรบ เข้าต่อสู้กับอ้าน
เสียงโลหะปะทะกันดังกังวาน ประกายไฟกระเซ็น ทำลายความสงบของจักรวาลหมื่นดารา พลังอันน่าหวาดเกรงแผ่กระจาย ดาวดวงแล้วดวงเล่าระเบิดทลายภายใต้การต่อสู้
“ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าเกรงกลัวหรอกนะ จึงได้ออกมาจากภพเซียนเพื่อจัดการกับพวกเรา!?”
อ้านตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเยนชา ดาบดำถูกฟาดออกมาไม่หยุด ลำแสงจากดาบใหญ่เกินประมาณ ตัดกระทั่งความว่างเปล่า กาลเวลาถึงกับถูกรบกวน!
“หมายความว่าอย่างไร?”
จักรพรรดินีขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจสิ่งที่อ้านกล่าว พวกเขาสองคนคล้ายสื่อสารไปคนละทาง เกิดความเข้าใจไม่ตรงกัน
“หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าวันนี้เจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป!”
สีหน้าของอ้านไม่แยแส เขามีท่าทางดูเคียดแค้นอย่างถึงที่สุด จิตสังหารรุนแรงเป็นอย่างมาก ต้องการจะสังหารจักรพรรดินีลงที่นี่
จักรพรรดินีไม่กล่าวอะไรอีก นางวาดทวนเข้าต่อสู่กับอ้านอีกครั้ง
ต้องกล่าวเลยว่าอ้านนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง หากเทียบกับในภพเซียนแล้ว อ้านก็ไม่อาจนับว่าเป็นเซียนทั่ว ๆ ไปอย่างแน่นอน อยู่เหนือเสียยิ่งกว่าเซียนส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ
ความสงสัยของจักรพรรดินีเริ่มมีมากขึ้น อ้านมาจากภพเซียนจริงหรือไม่?
นอกจากนี้แล้ว ในแดนมรณามีอ้านเป็นเซียนเพียงผู้เดียว หรือยังมีเซียนคนอื่น ๆ นอกจากเขาอยู่อีก
นางร้อนใจอยากรู้คำตอบ จึงไม่ยั้งมืออีกต่อไป แม้อ้านจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เหนือกว่าเซียนทั่วไป แต่ทว่าต่อหน้านางแล้ว อ้านไม่อาจนับเป็นสิ่งใด ยังห่างชั้นมากเกินไป
ไม่ต้องพูดถึงอ้าน คนในภพเซียนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอ้านไม่รู้เท่าไหร่นางยังเคยสังหารมาไม่น้อย ขอบเขตของนางอยู่เหนือยิ่งกว่าเซียน!
ทวนยาวทะลวงนภา ราวกับไร้ผู้ต้านทาน ดาบดำที่ฟาดเข้าใส่ไม่อาจต้านรับ ทวนยาวพุ่งทะลุผ่านเข้าใส่ไหล่ซ้ายของอ้าน เพียงจักรพรรดินีออกแรง ร่างของอ้านก็ปลิวกระเด็นออกไป!
“อ๊าก!”
อ้านกรีดร้องเสียงดังลั่น โลหิตสาดกระเซ็น ทวนยาวไม่เพียงแต่แทงเข้าไปในร่างของเขา ยังแทงทะลุเข้าไปถึงวิญญาณ นำพาความเจ็บปวดมหาศาลเข้าใส่
เขาไม่คาดคิดว่าก่อนหน้านี้จักรพรรดินีจะเก็บงำฝีมือตนเองเอาไว้ ไม่ได้ใช้พลังออกมาอย่างเต็มที่ ตอนนี้เมื่อไม่ยั้งมือ เขาจึงไม่ใช่คู่มือของจักรพรรดินีแม้แต่น้อย ช่องว่างนั้นใหญ่เป็นอย่างมาก
“นี่มันอะไรกัน หากไม่ใช่เพราะตอนนั้น ข้าจะอยู่ในสภาพเช่นนี้หรือ? เจ้าจะสามารถอยู่เหนือข้าได้อย่างไร!”
อ้านมองไปที่จักรพรรดินีอย่างดุร้าย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคับแค้น ครั้งหนึ่งพวกเขาล้วนเคยเป็นเซียน เพียงแต่ถูกทอดทิ้ง ไม่เช่นนั้น เขาเชื่อว่าตนเองจะไม่มีวันอ่อนแอไปกว่าจักรพรรดินี!
จักรพรรดินีไม่พูดอะไรให้มากความ นางสยบอ้านลง หลังจากนั้นก็ใช้พลังอันแข็งแกร่งค้นวิญญาณของอ้าน
นางต้องการจะรู้อย่างรวดเร็ว ภายในวิญญาณของอ้านไม่สามารถปิดบังสิ่งใดได้
ความจริงค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายไปบ้าง แต่ก็ดูแล้วสมเหตุสมผล นางได้รู้เรื่องราวว่าตระกูลต่าง ๆ ในภพเซียนทำเรื่องอะไรลงไปบ้าน
ภพเซียนอันสูงส่งไร้ผู้เปรียบ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นแดนที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง แต่เดิมทีอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ก่อนจะแยกตัวออกไปเป็นเอกเทศ
นานแสนนานมาแล้ว ครั้งที่อาณาจักรแห่งนี้เจริญรุ่งเรือง หนทางการฝึกตนเต็มไปด้วยความเฟื่องฟู เซียนไม่นับว่าเป็นขั้นสูงสุด เป็นเพียงแค่ขอบเขตหนึ่งที่อาศัยอยู่ร่วมกันกับสิ่งมีชีวิตอื่นในอาณาจักรแห่งนี้
ยามนั้น สสารนิรันดร์ปกคลุมอย่างหนาแน่นทั่วทั้งอาณาจักร วัตถุฝึกตนระดับสูงสามารถหาพบเห็นได้ทุกที่ การฝึกตนจนกลายเป็นเซียนนั้นไม่ใช่เรื่องยากลำบาก ไม่ว่าใครที่มีพรสวรรค์ก็ล้วนสามารถก้าวสู่หนทางเซียน กลายเป็นเซียนได้สำเร็จ
น่าเสียดาย ไม่รู้ด้วยเหตุใด ณ ช่วงเวลาหนึ่งกลับเกิดพลังพิศวงปะทุขึ้นมา ไม่มีผู้ใดรู้ชัดเจนว่าพลังพิศวงนั้นคือสิ่งใด แต่กระทั่งเซียนก็ไม่อาจต้านทานได้ เมื่อได้รับพลังพิศวงนี้เข้าไปจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ร่างกายคนจะมีหลากหลายสีปรากฏออกมา กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจบรรยายได้
มันเป็นหายนะครั้งใหญ่ กวาดล้างไปทั่วทั้งอาณาจักร สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนติดเชื้อ ถูกพลังพิศวงเข้ารุกล้ำ ความมืดและความสิ้นหวังเกิดขึ้นกับทุกชีวิต
ส่วนเซียน...กลับหนีไป!
ผู้นำในหมู่พวกเขาได้ใช้พลังอันยิ่งใหญ่รวบรวมสสารนิรันดร์ทั้งหมดหลบหนีออกจากอาณาจักรแห่งนี้ไปด้วย
หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้สร้างอาณาจักรขึ้นมาแห่งหนึ่ง นั่นก็คือภพเซียนในปัจจุบัน
ทว่าไม่ใช่เซียนทั้งหมดที่สามารถหนีไปด้วยได้ มีเซียนส่วนหนึ่งถูกทอดทิ้งเอาไว้ พวกเขาก็คือแดนมรณาในปัจจุบัน!
“นี่หรือภพเซียน!”
จักรพรรดินียิ้มเย้ยหยัน นางอยู่ภพเซียนมาเป็นระยะเวลานาน รู้ชัดแจ้งดีว่าด้านในภพเซียนนั้นคือโลกที่เลวร้ายเพียงใด ไม่ได้สวยงามดั่งที่คนภายนอกมองมา คนส่วนใหญ่ในภพเซียนล้วนเห็นแก่ตัว ทำทุกสิ่งก็เพื่อตนเองเท่านั้น
เกิดปัญหาขึ้นในอาณาจักรแห่งนี้ สสารนิรันดร์ไม่สามารถเกิดขึ้นมาใหม่ได้ ภพเซียนได้นำสสารนิรันดร์ทั้งหมดไปสร้างเป็นแดนของตนเองและไม่ยอมให้สสารนิรันดร์รั่วไหลออกไป
อย่างไรเสียสสารนิรันดร์ก็ไม่อาจเกิดขึ้นใหม่ได้ จำเป็นต้องใช้ให้น้อยที่สุด
การทอดทิ้งเซียนเหล่านี้ เกรงว่าเป็นเพราะไม่ต้องการให้ภพเซียนมีสิ่งมีชีวิตอยู่มากจนเกินไป ทำให้เกิดสถานการณ์ขาดแคลนสสารนิรันดร์
“เลวทรามเป็นอย่างยิ่ง!”
สีหน้าของจักรพรรดินีเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม เมื่อได้รู้ความจริงแล้ว นางก็เกลียดชังภพเซียนมากยิ่งขึ้น
ยามที่อาณาจักรแห่งนี้ประสบกับหายนะ แทนที่เซียนเหล่านั้นจะร่วมมือกันต่อสู้ กลับดึงฟืนออกจากก้นหม้อ*[1] นำสสารนิรันดร์และสสารบ่มเพาะระดับสูงไปด้วยจนสิ้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช้คำว่าเลวทรามมาอธิบายแล้วจะใช้คำใดได้อีก?
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเต็มไปด้วยเรื่องโหดร้ายนองเลือด…
[1] ดึงฟืนออกจากก้นหม้อ (釜底抽薪) หมายถึง ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม หรือ ทำลายที่ตั้งรากฐาน
ประวัติศาสตร์อันนองเลือดถูกเปิดเผย จักรพรรดินีเข้าใจถึงความเป็นมาของภพเซียนแล้ว
นอกจากนี้ นางยังพอจะทราบแล้วว่าเหตุใดด้านนอกภพเซียนจึงมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวปกคลุมอยู่
นี่อาจเป็นการป้องกันของภพเซียนเพื่อไม่ให้พลังพิศวงนั้นเข้ามาได้!
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากนั้นจึงไร้ร่องรอยของเซียน กลายเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน หลงเหลือแค่ตำนานเล่าขาน...”
จักรพรรดินีรำพึง นางยังได้รู้เรื่องราวเหล่านี้จากอ้าน
สิ่งมีชีวิตในภพเซียนนั้นเลวทรามเสียจริง เมื่อพวกเขาจากไปก็จงใจลบร่องรอยทั้งหมดของเซียน ทำให้ผู้อื่นเข้าใจไปว่าเซียนนั้นไม่อยู่จริง ภพเซียนเองก็ไม่มีตัวตน
สิ่งเหล่านี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตอื่นหาหนทางมีชีวิตอยู่ต่อจนเลือกตามหาภพเซียน พวกเขาไม่ต้องการให้สิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาในภพเซียน ไม่ต้องการจะแบ่งปันสสารนิรันดร์
นั่นกลายเป็นการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ สิ่งมีชีวิตรู้ถึงการดำรงอยู่ของเซียนต่างถูกสังหาร คนจากภพเซียนล้วนทำทุกหนทางเพื่อลบร่องรอยของเซียน
เหล่าเซียนที่ไม่ได้ถูกเลือกให้หนีไปด้วยกันก็ถูกทอดทิ้ง และต้องประสบกับการสังหารหมู่เช่นเดียวกัน แต่ทว่ามีเซียนบางส่วนสามารถหลบหนีไปรวมตัวกัน กลายเป็นแดนมรณาในปัจจุบัน
ในช่วงเวลายาวนานที่ผ่านมา แดนมรณาไม่กล้าแสดงตัวเนื่องจากกลัวจะต้องเผชิญหน้ากับการฆ่าล้างจากภพเซียน
น่าเสียดาย แดนมรณาไม่รับรู้ว่าภพเซียนไม่อาจเข้าออกได้ตามใจชอบ ทุกการเข้าออกกล่าวได้ว่าโอกาสตายเก้าส่วนรอดหนึ่งส่วน โอกาสสำเร็จนับว่าต่ำอย่างยิ่ง
“พลังพิศวงนั่นคืออะไรกัน...”
สีหน้าของจักรพรรดินีจริงจัง ต้องการรู้เกี่ยวกับพลังพิศวงอันน่าหวาดกลัวมากขึ้น
เพื่อป้องกันพลังพิศวง ภพเซียนถึงกับปิดผนึกตนเอง ป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตใดเข้าและออก จากตรงนี้สามารถเห็นได้ว่าภพเซียนกลัวพลังพิศวงมากเพียงใด
“นี่หรือคือเหตุผลที่พวกเจ้าต้องการจะสังหารชนพื้นเมืองจนหมดสิ้น เพื่อกลั่นเลือดมาหล่อเลี้ยง ปลุกเซียนเหล่านั้นที่ตายไปแล้ว?”
จักรพรรดินีหรี่ตามองไปยังอ้าน นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดแดนมรณาจึงต้องการจะสังหารสิ่งมีชีวิตพื้นเมืองทั้งหมด
เซียนจำนวนไม่น้อยถูกภพเซียนทอดทิ้ง หนำซ้ำยังถูกฆ่าล้าง แดนมรณาต้องการสังหารสิ่งมีชีวิตพื้นเมืองทั้งหมดก็เพื่อใช้เลือดมาปลุกเซียนที่ตายไปแล้วเหล่านั้น
เซียนอย่างไรเสียก็เป็นเซียน หนทางการฝึกตนของคนทั่วไป เซียนนับว่าอยู่เหนือขอบเขตสูงสุด ย่อมไม่อาจสิ้นชีพแต่โดยง่าย เมื่อยามนั้นภพเซียนรีบร้อนจนเกินไป ไม่มีเวลาจะมากำจัดเซียนเหล่านี้ให้สิ้นซาก เป็นผลให้เซียนเหล่านี้ไม่ตายอย่างสมบูรณ์ สิ่งบางสิ่งเหลือรอดเอาไว้
อาณาจักรแห่งนี้เคยเฟื่องฟูรุ่งเรืองถึงขีดสุด สภาพฟ้าดินย่อมเหนือล้ำ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ภายในย่อมได้รับอิทธพล ทำให้สายเลือดต่าง ๆ ล้วนน่าอัศจรรย์ ไม่มีสายเลือดธรรมดาแม้แต่น้อย
แม้เวลาจะล่วงมาเนิ่นนาน ผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมาย จนพลังสายเลือดของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรแห่งนี้อ่อนแอลงเป็นอย่างมาก อ่อนแอจนไม่อาจเทียบก่อนหน้านี้ได้ แต่ถึงกระนั้นสายเลือดก็ยังคงความพิเศษเอาไว้ หากสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอาณาจักรแห่งนี้ได้ เหล่าเซียนที่ยังไม่ตายอย่างสมบูรณ์ ก็มีโอกาสที่จะถูกปลุกขึ้นมา!
“แดนบรรพโกลาหลใกล้จะปรากฏขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด นี่คือโอกาสของพวกเรา พวกเราย่อมต้องไม่ยอมพลาด!”
อ้านกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “พวกสารเลวจากภพเซียนจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปในครั้งนั้น!”
“เพื่อแก้แค้น พวกเจ้าถึงกับทำเช่นนี้? พวกเจ้าต้องการสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอาณาจักร พวกเจ้ามันก็สารเลวและน่าชิงชังยิ่งกว่าไอ้พวกคนเหล่านั้นของภพเซียน!”
จักรพรรดินีตวาดเสียงดัง ไม่มีความเห็นอกเห็นใจใดต่อแดนมรณา
มีสิ่งใดให้น่าเห็นใจกัน?
ในตอนแรกสิ่งมีชีวิตของแดนมรณาก็เป็นพวกเดียวกับสิ่งมีชีวิตจากภพเซียน ต่างต้องการจะหนีไปยังภพเซียนเพื่อหลีกเลี้ยงพลังพิศวง
ทว่าภายหลังกลับถูกภพเซียนทอดทิ้ง
พูดได้คำเดียวว่าแดนมรณาได้รับผลเช่นนี้ก็สมควรแล้ว เป็นกรรมตามสนอง ไม่มีสิ่งใดให้เห็นใจ
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่แดนมรณากำลังทำอยู่ในตอนนี้ ยิ่งทำให้น่าชิงชังและขยะแขยงมากขึ้น แดนมรณาต้องการจะสังหารล้างอาณาจักรแห่งนี้ เพื่อเริ่มแผนการแก้แค้น!
เป็นเรื่องจริงไม่เกินเลยที่จะกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตของแดนมรณานั้นเลวร้ายและน่าชิงชังเสียยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตของภพเซียน เนื่องจากตั้งแต่แรกสิ่งมีชีวิตของภพเซียนก็ไม่เคยต้องการจะสังหารล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอาณาจักรแห่งนี้
“สุดท้ายพวกมันก็ต้องหาย ไม่สามารถหลบหนีได้ ท้ายที่สุดพวกมันก็จะต้องถูกพลังพิศวงกลืนกิน เช่นนั้นไม่สู้ยอมตายเพื่อให้พวกเราแก้แค้นจะดีเสียกว่า!”
อ้านยังกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส “กลับกันเสียด้วยซ้ำ พวกเราต่างหากที่ช่วยเหลือพวกมัน ยามที่พวกมันถูกพลังพิศวงกลืนกินจะสูญสิ้นความเป็นตนเอง กลายเป็นสัตว์ประหลาดอะไรก็ไม่รู้ มีชีวิตอยู่ก็ไม่สู้ตาย พวกเราจะปลดปล่อยพวกมันล่วงหน้า พวกมันควรจะต้องขอบคุณพวกเราเสียด้วยซ้ำ!”
หลังจากฟังคำพูดของอ้านแล้ว จักรพรรดินีก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร!
ตรรกะอะไรกัน!?
ต้องการจะฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรแห่งนี้ ทั้งยังต้องการให้สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรแห่งนี้รู้สึกขอบคุณด้วย?
“พลังพิศวงอาจมาจากแดนบรรพโกลาหล พวกเจ้าต้องการปลุกเซียนที่ตายไปขึ้นมา จากนั้นก็จะร่วมมือกันเข้าไปในแดนบรรพโกลาหล เช่นนั้นพวกเจ้าไม่กลัวจะถูกพลังพิศวงกลืนกินอย่างนั้นหรือ!?”
จักรพรรดินีตะโกนเสียงดัง
เดิมทีนางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแดนบรรพโกลาหล แต่ตอนนี้นางได้รู้เรื่องราวจำนวนมากของแดนบรรพโกลาหลจากอ้านแล้ว
แดนมรณาปรากฏตัวขึ้น ก็เพื่อเตรียมพร้อมที่จะปลุกเซียนที่ตายไปแล้วขึ้นมา ทั้งหมดเพื่อการเข้าไปยังแดนบรรพโกลาหล แสวงหาพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จากนั้นก็ไปล้างแค้นภพเซียน
หากแดนบรรพโกลาหลไม่ใกล้จะปรากฏขึ้น แดนมรณาก็จะไม่โผล่ออกมา
อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังมีช่องว่างอยู่ ต่อให้เป็นในอดีตพวกเขาก็ไม่ใช่คู่ประมือของภพเซียน นับประสาอะไรกับในยามนี้
หากไม่มีสสารนิรันดร์แล้ว พวกเขาก็ได้แต่ประคับประคองตนเองให้มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ ไม่อาจเทียบสิ่งใดได้กับภพเซียนแม้แต่น้อย
เกรงว่าต่อให้สามารถปลุกเหล่าเซียนที่ตายไปแล้วได้ ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้กับภพเซียน มีแต่จะส่งตัวเองไปสู่ความตาย ไม่ต้องพูดถึงการแก้แค้นเลย
พวกเขาปลุกเซียนที่ตายไปแล้วขึ้นมา จุดประสงค์หลักก็เพื่อร่วมมือกันเดินทางไปยังแดนบรรพโกลาหลเพื่อแสวงหาพลัง
ส่วนเรื่องที่ว่าภพเซียนเองก็วางแผนเกี่ยวกับแดนบรรพโกลาหลและต้องการเข้าไปหรือไม่ พวกเขานั้นไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาต่างก็กระจ่างแจ้งว่าเหตุใดอาณาจักรแห่งนี้จึงเฟื่องฟูและรุ่งเรือง ทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันกับการคงอยู่ของแดนบรรพโกลาหลในอาณาจักรแห่งนี้
พวกเขาทั้งหมดล้วนรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของแดนบรรพโกลาหล
เมื่อพลังพิศวงเพิ่งจะปะทุออกมา พวกเขาก็ต่างคาดเดาว่าพลังพิศวงเหล่านี้น่าจะมาจากแดนบรรพโกลาหล
สิ่งมีชีวิตของภพเซียนกลัวตายเป็นอย่างมาก ทั้งยังกลัวที่จะต้องถูกพลังพิศวงกัดกิน ดังนั้นแล้วจะกล้าเข้าไปยังแดนบรรพโกลาหลที่อาจเป็นแหล่งกำเนิดของพลังพิศวงได้อย่างไร?
คิดอะไรอยู่กัน!
เหล่าสิ่งมีชีวิตของแดนเซียนเหล่านั้นจะต้องไม่กล้า
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความกังวล
“พวกเราแตกต่างจากพวกสารเลวภพเซียน พวกมันมีสสารนิรันดร์ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการสิ้นอายุขัย ทว่าสสารนิรันดร์ในตัวของพวกเราต่างหมดสิ้นแล้ว หากไม่ทำสิ่งใด พวกเราก็ต้องสิ้นอายุขัยตาย!”
อ้านกล่าวอย่างเย็นชา
แดนบรรพโกลาหลใกล้ปรากฏขึ้นแล้ว นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขา หากพวกเขาไม่ยอมทำสิ่งใด ไม่เพียงแต่จะไม่อาจแก้แค้นได้ ยังจะต้องตายจากไปทั้งอย่างนั้น
แม้ว่าจะต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่ร้ายแรงอย่างมาก พวกเขาก็จะทำ!
“หากพวกเราถูกกัดกินด้วยพลังพิศวงก็ไม่กลัว พวกเราจะเข้าไปยังภพเซียน ดึงพวกคนเหล่านั้นในภพเซียนให้ตายตกไปด้วยกัน!”
เขาพูดออกมาด้วยความเคียดแค้นต่อภพเซียนอย่างถึงที่สุด พวกเขาได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว หากพวกเขาสามารถฝ่าฟันแดนบรรพโกลาหลได้สำเร็จโดยไม่ติดเชื้อจากพลังพิศวง ทั้งยังได้พลังอันแข็งแกร่งมา พวกเขาจะมุ่งหน้าไปสังหารสิ่งมีชีวิตในภพเซียน ปกครองภพเซียนและครอบครองสสารนิรันดร์เอาไว้เอง
หากไม่สำเร็จ พวกเขาเกิดติดเชื้อจากพลังพิศวง พวกเขาก็จะไม่ปล่อยภพเซียนไปแน่นอน จะลากภพเซียนลงไปตายด้วยกัน ทำให้ภพเซียนถูกพลังพิศวงกัดกิน
ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร พวกเขาก็จะต้องแก้แค้นให้ได้!
อ้านเล่าเรื่องทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง เพราะจักรพรรดินีล่วงรู้ทุกสิ่งอย่างแล้ว
“ภพเซียนส่งเจ้ามาหรือ พวกเขาคิดทำอันใด รู้สึกถึงอันตรายได้ล่วงหน้า จึงคิดชิงกำจัดพวกเขาลง มิให้พวกเขาเข้าไปในแดนบรรพโกลาหลได้งั้นหรือ”
เขาหันมองจักรพรรดินี เอ่ยเสียงเย็นยะเยือก
เขาไม่เชื่อว่าภพเซียนจะกล้าหมายตาแดนบรรพโกลาหล นอกเสียจากภพเซียนอยู่รอดต่อไปไม่ได้ หรืออยากตาย บางทีอาจมีความคิดบุกเข้าไปในแดนบรรพโกลาหล
ภพเซียนนำสสารนิรันดร์ไปด้วยมหาศาล แม้ในกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมาคงผลาญสสารนิรันดร์ไปแล้วไม่น้อย กระนั้นภพเซียนก็ไม่ถึงขั้นอยู่รอดต่อไปมิได้แน่ และไม่ถึงขั้นจำต้องเข้าไปเสี่ยงในแดนบรรพโกลาหลด้วย
เขารู้สึกว่าที่ภพเซียนส่งจักรพรรดินีเข้ามา ก็เพื่อขัดขวางมิให้พวกเขาเข้าไปในแดนบรรพโกลาหล
เพราะไม่ว่าพวกเขาจะสำเร็จได้หรือไม่ ย่อมต้องเป็นภัยต่อภพเซียนอย่างใหญ่หลวง
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
จักรพรรดินีสั่นศีรษะ ภพเซียนผนึกตัวเองไปนานแล้ว ยากจะเดินทางเข้าออก หาได้คิดต่อกรกับแดนมรณาไม่
นางกล่าวต่อ “พวกเจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว ภพเซียน…ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่าย ๆ”
เห็นได้ชัดว่า แดนมรณามิได้รู้เรื่องสถานการณ์ปัจจุบันในภพเซียนมากนัก ไม่รู้ว่าด้านนอกภพเซียนมีพลังระดับใดคลี่ปกคลุมอยู่
พลังนั้นสยดสยองน่ากลัวเป็นที่สุด ขนาดจักรพรรดิเซียนยังต้านมิไหว ไม่อาจเข้าออกได้โดยง่าย ฝืนบุกเข้าไปก็อาจต้องจ่ายด้วยชีวิต
ภพเซียนลงทุนลงแรงกับสิ่งนี้ไปมาก!
นั่นทำให้นางยิ่งระแวงในความพิศวงและลางร้ายนั่น ภพเซียนหวาดผวาต่อความพิศวงและลางร้ายนั้นเกินไป
ความพิศวงและลางร้ายนั้นคือสิ่งใดกันแน่
จักรพรรดินีไม่ทราบ อ้านก็ไม่ทราบ
กระทั่งความพิศวงและลางร้ายครั้งสุดท้ายหายไปได้อย่างไร จักรพรรดินีก็ไม่ทราบ
ข้อนี้ อ้านก็ไม่ทราบเช่นกัน
สิ่งมีชีวิตในแดนมรณาและอ้านล้วนหนีไปตั้งแต่ก่อนความพิศวงและลางร้ายจบลง ไม่เคยรับรู้ถึงความจริงเบื้องหลังความพิศวงและลางร้าย
ต่อมา พวกเขาได้รู้จักความพิศวงและลางร้ายยังนึกแปลกใจอยู่มาก ทั้งที่สู้ไม่ได้ แล้วเหตุใดความพิศวงและลางร้ายอันไร้เทียมทานถึงหายไปทั้งที่ยังมิได้กล้ำกราย
แปลกยิ่งนัก!
“ไปเถิด ไปแดนมรณา!”
จักรพรรดินีเอ่ยปาก พาอ้านไปจากที่นี่ มุ่งหน้าไปยังที่ตั้งแดนมรณา
ในเมื่อนางรับรู้เรื่องนี้แล้ว ย่อมไม่อาจเมินเฉย แดนมรณาไม่มีทางออกโรงง่าย ๆ และรามือกันไป นางจึงต้องไป ‘เจรจา’ ที่แดนมรณาสักหน่อย
นี่มิใช่ความคิดที่ดีแน่ การเดินทางนี้คงเต็มไปด้วยอันตราย นางอาจไม่มีโอกาสได้กลับมาด้วยซ้ำ
จากสถานการณ์ที่นางได้รับรู้จากอ้าน ภายในแดนมรณามีกำลังรบระดับสูงกว่านั้น กล้าแกร่งทรงพลัง ขอบเขตสูงส่ง สูงยิ่งกว่านางด้วยซ้ำ!
หากไปทั้งแบบนี้ นางคงยากจะรอดกลับมา เกิดเรื่องกับนางได้ง่าย ๆ
ทว่านางต้องไปให้ได้
นอกจากนาง ในอาณาจักรแห่งนี้จะมีผู้ใดไปเจรจากับแดนมรณาได้อีกบ้าง
ไม่มีแล้ว…
บัดนี้ อาณาจักรแห่งนี้ด้อยพลังจนดูมิได้ ไม่มีเซียนแม้แต่ตนเดียว ไฉนเลยจะไปเจรจากับแดนมรณาได้ไหว ห่างชั้นกันเกินไป
นางต้องแบกรับภาระหน้าที่นี้ไว้ เดินทางไปเจรจากับแดนมรณา ดูว่าขอให้แดนมรณายกเลิกความคิดฆ่าล้างผลาญสิ่งมีชีวิตพื้นเมืองได้หรือไม่
ถึงอย่างไร ที่นี่ก็เป็นภูมิลำเนาของนาง นางไม่อาจทนเห็นสิ่งมีชีวิตซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนของตนต้องถูกฆ่าล้างบางไปทั้งอย่างนี้
สายลมเย็นเยียบพัดผ่าน จักรพรรดินีพาอ้านจากไป นี่อาจเป็นการเดินทางมรณะ ทว่าสายตาจักรพรรดินีกลับแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ไร้ซึ่งความขี้ขลาดแม้แต่น้อย
…
ณ เมืองชิงซาน
ภายในเรือนเล็กหลี่จิ่วเต้า
“เดินท่องไปในอวกาศดีกว่าเห็น ๆ ทัศนียภาพงดงามยิ่งนัก”
หลี่จิ่วเต้าเอนตัวบนเก้าอี้โยก เล่นแท็บเล็ตไปมา ช่วงนี้มิได้ไปภพเซียน หากแต่เชยชมทิวทัศน์ดาราจักรเพริศพริ้งในจักรวาลเรื่อยมา
ส่วนลั่วสุ่ยคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง อย่าให้พูดเลยว่าหลี่จิ่วเต้าสำราญเพียงใด
เขานึกใจไป หากเล่น ‘แท็บเล็ต’ เล่นเกมตามใจชอบเช่นนี้ที่ดาวเคราะห์สีฟ้าเห็นทีคงมิได้ อายุน้อยต้องถูกผู้ปกครองดุ อายุมากต้องถูกภรรยาดุ มีหรือจะมีความสุขได้เหมือนเขาในยามนี้!
‘อยากเห็นเหลือเกินว่าหลังจิ้งจอกกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วจะเป็นอย่างไร!’
หลี่จิ่วเต้าหันไปมองลั่วสุ่ยผู้มีโฉมสะคราญ ทั้งบริสุทธิ์ทั้งยั่วยวนข้างกาย ยิ่งใคร่รู้ในรูปลักษณ์จิ้งจอกหลังแปลงเป็นมนุษย์
ถึงอย่างไร โบราณว่าไว้ หญิงงามผู้จำแลงจากจิ้งจอกนั้น งามพิลาศไร้ผู้ใดทัดเทียม!
‘มีโอกาสต้องหาจิ้งจอกมาเลี้ยงสักตัว ไม่ต้องให้นางปรนนิบัติข้า ขอเพียงให้ข้าได้ยลว่างดงามได้เพียงใด!’
หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ
แต่เขารู้ดีว่า เรื่องแบบนี้ใช่ว่าสมปรารถนากันได้ง่าย ๆ เสียที่ไหน ถึงอย่างไร ใช่ว่าจิ้งจอกก้าวสู่เส้นทางฝึกตนกันได้ดาษดื่น
‘แล้วแต่วาสนาจะนำพา!’
หลี่จิ่วเต้าไม่คิดฝืนสิ่งใด เขาบอกตัวเองในใจ
หากวันหน้าได้พบจิ้งจอกผู้ก้าวสู่เส้นทางฝึกตนย่อมเป็นเรื่องเยี่ยมยอด ถึงมิได้พบก็ไม่เป็นไร ขืนจิ้งจอกจำแลงเป็นหญิงงามพิลาศ แล้วเขาควบคุมตัวเองไม่อยู่คงไม่ดีแน่!
...
ณ ดินแดนฮวง
เมืองเก้าวิบัติ
อย่างไรเซียวฮุ่ยก็เป็นตัวตนเหนือเซียน นางฟื้นตัวได้ไม่ช้านัก บัดนี้พลังคืนกลับมาถึงขอบเขตมหาจักรพรรดิแล้ว
แน่นอนว่า สิ่งสำคัญที่สุดก็เพราะมีพลังความศรัทธาคอยเกื้อหนุน
ภายใต้การช่วยเหลือจากพระเก้าประทีปพุทธเจ้า นางได้รับพลังความศรัทธามากมาย และกุมแก่นสารพลังความศรัทธาไว้ได้อย่างรวดเร็ว ซ้ำนางยังเปลี่ยนแปลงพลังความศรัทธานี้ไปบ้างแล้วด้วย ให้พลังความศรัทธาแกร่งกล้ายิ่งขึ้น
และเพราะแรงเกื้อหนุนจากพลังความศรัทธาที่แกร่งกล้าขึ้นแล้ว นางถึงฟื้นตัวได้อย่างว่องไว กระทั่งทั้งเมืองเก้าวิบัติล้วนอยู่ในกำมือของนาง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเมืองต่างเป็นสาวกของนาง!
“พระคุณท่าน คัมภีร์พระธรรมที่ท่านได้สรรสร้างขึ้นช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อคืนข้าสวดอยู่หนึ่งร้อยรอบแล้วหนึ่งร้อยรอบเล่า ยิ่งทวีความสะท้าน พระคุณท่านเก่งกาจเหลือเกิน!”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเซียวฮุ่ย เอ่ยต่อนางด้วยความเลื่อมใสสูงสุด
เขาคือยอดฝีมือเมืองเก้าวิบัติที่เซียวฮุ่ยเพิ่งรับไว้ใต้บัญชา กลายเป็นผู้ติดตามของเซียวฮุ่ย
‘ไอ้…ระยำ!’
หลังได้ยินวาจาของชายวัยกลางคนผู้นี้ พระเก้าประทีปพุทธเจ้าแทบเด้งตัวขึ้น ตะโกนในใจ
หนี่งร้อยรอบ!
เขาอ่อนไหวต่อวจีนี้อย่างยิ่ง!
‘พี่ชาย เจ้ากล้าดีอย่างไร!’
เขาคิดในใจอย่างอดมิได้ ชายวัยกลางคนผู้นี้กล่าวถึงหนึ่งร้อยรอบต่อหน้าเซียวฮุ่ย มิเท่ากับรนหาที่ตายหรือ!?
เซียวฮุ่ยอ่อนไหวต่อคำว่าหนึ่งร้อยรอบยิ่งกว่าเขาเสียอีก!
หวนนึกถึงเขาในครานั้น เพราะเอ่ยคำว่าหนึ่งร้อยรอบ ต้องพบชะตากรรมอย่างน่าสังเวช เซียวฮุ่ยทำให้เขาต้องเสียพรหมจรรย์ ทำเรื่องอย่างนั้นกับหมูตัวผู้ซ้ำไปซ้ำมาถึงหนึ่งพันรอบ…
เขามาคิดดูป่านนี้ยังระทมอยู่ไม่น้อย ไม่อาจปล่อยวางเรื่องนี้ลง เสียพรหมจรรย์ก็เสียเถิด แต่อีกฝ่ายดันเป็นหมูตัวผู้!
หมูตัวผู้ก็ตัวผู้เถิด แต่เขาดันทำไปตั้งหนึ่งพันรอบ!
เขาหันมองเซียวฮุ่ย อย่างที่คิด เซียวฮุ่ยซึ่งกำลังยิ้มอยู่ มีสีหน้าเย็นชาลงในบัดดล
เสียงดังพรวด เซียวฮุ่ยฟาดฝ่ามือเข้าไป กระแทกชายวัยกลางคนผู้นั้นจนร่างเละ กลายเป็นหมอกเลือด!
“บันทึกหนึ่งร้อยรอบลงไปในศีลข้อห้าม ห้ามมิให้ผู้ใดกล่าวถึง! นี่คือคำต้องห้าม ผู้ใด้หลุดปาก ต้องถูกลงโทษสถานหนัก!”
เซียวฮุ่ยเอ่ยเสียงเคียดแค้น ชิงชังคำว่า ‘หนึ่งร้อยรอบ’ เป็นอย่างยิ่ง!
“เข้าใจแล้ว!”
พระเก้าประทีปพุทธเจ้าตอบรับอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ไม่อยากได้ยินคำนี้ มีบาดแผลในใจใหญ่หลวง
“เร่งมือพิชิตสองเมืองที่ติดกับเราให้ได้ ถึงเวลานั้น คงได้เวลาพวกเราบุกไปยังแดนฝอ เอาชนะพุทธศาสนา ทำให้ที่นั่นเป็นพุทธภูมิของเรา”
เซียวฮุ่ยเอ่ยเสียงเย็น
พลังความศรัทธานั้นน่าทึ่งยิ่งนัก หากพิชิตสองเมืองที่ติดกันอยู่นี้ได้ และทำให้ทั้งสองเมืองนับถือบูชานาง กลายเป็นสาวกของนางทั้งหมด นางคิดว่าคงฟื้นพลังไปถึงขั้นเทียนตี้ได้
ทันทีที่ฟื้นพลังถึงขั้นเทียนตี้ นางจักไม่เหลือความกังวลใด ๆ อีก
ถึงเวลานั้น ต่อให้ต้าเต๋อมีเต๋าสวรรค์คอยคุ้มกันก็เปล่าประโยชน์ นางสามารถปราบปรามได้ง่ายดาย!
“ได้!”
พระเก้าประทีปพุทธเจ้ารับบัญชา ไปจากที่ตรงนี้ ลงมือปฏิบัติอย่างรวดเร็ว
เขาอยากรีบเร่งบุกเข้าไปยังดินแดนฝอ ปราบปรามต้าเต๋อเสียยิ่งกว่า ประสบการณ์โศกสลดของเขา หากไล่ย้อนไปแล้วล้วนมีสาเหตุจากต้าเต๋อ!
‘ถึงคราวนั้น ข้าจะหาหมูตัวผู้ให้เจ้าบ้าง ให้เจ้าได้ทำอย่างนั้นกับหมูตัวผู้หนึ่งพันรอบไปเลย ให้เจ้าได้ลิ้มรสความทรมานที่เกิดขึ้นกับข้าบ้าง!’
เขาเอ่ยในใจด้วยเสียงเกือบร่ำไห้
ประสบการณ์หนึ่งพันรอบไปเลยหนึ่งพันรอบนั้น เจ็บปวดเหลือเกิน!
ความทรงจำอันน่าสลดเมื่อครั้งอดีตปรากฏขึ้นในใจ พระเก้าประทีปพุทธเจ้ารีบร้อนออกไปปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็ว เขาแทบอดรนทนไม่ไหว อยากให้ต้าเต๋อได้ลิ้มรสความขื่นขมที่เขาได้รับ!
...
ภายในอวกาศ
เส้นทางที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเชื่อมต่อกับสถานที่หนึ่ง ที่นั่นคือแดนสังสารวัฏ เบื้องลึกเบื้องหลังแยบคาย น่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นที่สุด มีการวางหมากไว้ในอาณาจักรทั้งปวง ทุกอาณาจักรล้วนมีเส้นทางสังสารวัฏที่พวกเขาปูเอาไว้ ดึงดูดยอดฝีมือผู้ใกล้หมดอายุขัยให้ก้าวสู่เส้นทางสังสารวัฏ
อาณาจักรเก้าแดนต้องห้ามผนึกกำลังกรีธาทัพ หมายจะล้างบางแดนสังสารวัฏลง แม้นมิได้คาดคิดว่าสามารถกำจัดแดนสังสารวัฏได้โดยง่าย ทว่าในความคิดพวกเขา ท้ายที่สุดพวกเขาย่อมสามารถกำจัดแดนสังสารวัฏไปได้
แต่ความเป็นจริงได้พิสูจน์แล้วว่า พวกเขาคิดมากเกินไป แดนสังสารวัฏน่ากลัวกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก
อย่าว่าแต่กำจัดแดนสังสารวัฏเลย พวกเขากลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมากในศึกนี้ แต่ละฝ่ายล้วนได้รับความเสียหายร้ายแรง จนจำต้องยอมล่าถอยกลับไป
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงกลับมาแล้ว พร้อมด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาได้รับการสอนสั่งจากคุณชาย ทั้งยังได้รับการชี้แนะอย่างละเอียด ความเข้าใจในวิถีหมากล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง มิใช่ตัวตนในอดีตจะเทียบด้วยได้
นอกจากนี้ เขายังได้ดื่มชาเซียนและทานมื้อเย็นกับคุณชาย ผลประโยชน์ที่ได้มานั้นมิใช่น้อย ๆ ระหว่างทางกลับแดนสังสารวัฏ เขาบรรลุอีกครั้ง ก้าวสู่ขั้นเทียนตี้อย่างสมบูรณ์!
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงสะท้อนใจเหลือแสน ขั้นเทียนตี้เชียวนะ ระดับสูงสุดของการฝึกตนในใต้หล้า ความใฝ่ฝันของผู้ฝึกตนนับล้าน ทว่าจนที่สุดแล้วก็มิอาจก้าวขึ้นไปถึงตลอดชีวิต ขอบเขตพลังที่มีเพียงสิ่งมีชีวิตสะท้านโลกันตร์น้อยยิ่งกว่าน้อยที่สามารถบรรลุไปถึง แต่เขากลับก้าวขึ้นมาได้ง่าย ๆ เช่นนี้ ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เขารู้สึกเหมือนฝันไป
จะให้รู้สึกเหมือนความจริงได้อย่างไร
แค่ดื่มชาไปหนึ่งถ้วย กินอาหารเย็นไปหนึ่งมื้อ เขาก็บรรลุได้แล้ว ซ้ำนี่ยังห่างจากจุดหมายปลายทางอีกมากโข พูดให้ถูกคือ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น การบรรลุเซียนยังมิใช่เพียงความเพ้อฝันสำหรับเขา เมื่อเขามีเวลาฝึกฝนผสานพลัง เขาย่อมบรรลุเป็นเซียนได้แน่!
‘คุณชายเหนือการคาดหมายจริง ๆ!’
เขาเอ่ยเสียงขึงขังในใจ ในใต้หล้านี้ คงมีเพียงคุณชายที่มีพลังฝีมือระดับนี้ หากเป็นผู้อื่น คิดจะหวังพึ่งแค่ชาหนึ่งถ้วย อาหารเย็นหนึ่งมื้อช่วยให้ผู้อื่นได้รับผลประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นจริงได้เลย
ไม่นานนัก เขาก็ข้ามผ่านเส้นทาง กลับเข้ามาถึงแดนสังสารวัฏ
“ท่านกลับมาได้อย่างไร”
มีสมาชิกแดนสังสารวัฏหันไปเห็นจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงแล้วต้องตะลึง ถึงอย่างไร จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงก็เพิ่งได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญ ให้ออกไปสืบทราบเส้นทาง และโครงสร้างฐานทัด กลับมาไวเยี่ยงนี้ เป็นเรื่องที่เกินคาดพวกเขาไปนิดหน่อย
“ข้ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน!”
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงมิได้พูดอันใดให้มากความ ตรงเข้าไปหาระดับสูง แสดงเจตจำนงว่ามีเรื่องรายงาน หวังจะได้พบนายตำหนักหลัก แล้วรายงานท่านต่อหน้า
“มีเรื่องอันใดรายงานพวกเราก็พอ”
ระดับสูงผู้หนึ่งกล่าว มิได้ยอมให้จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงไปพบนายตำหนักหลัก ผู้นี้คือมังกรกระดูกมโหฬารตัวหนึ่ง กระดูกทุกชิ้นล้วนมีอักขระโบราณแฝงความหมายน่าทึ่งสลักอยู่ ขอบเขตพลังสูงส่ง เป็นกำลังรบขั้นเทียนตี้
ก่อนหน้านี้ จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงเคยพบกระดูกมังกรตัวนี้มาก่อน เมื่อคราวอาณาจักรเก้าแดนต้องห้ามโจมตีมา มังกรกระดูกตนนี้เป็นผู้ออกหน้า เข้าเจรจากับอาณาจักรเก้าแดนต้องห้าม มีตำแหน่งสูงยิ่ง
ต้องยอมรับว่า เวลานี้ จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงถือเป็นคนสำคัญมาก หากเป็นเมื่อก่อน เขาไม่มีสิทธิ์ได้พบกระดูกมังกรตนนี้ด้วยซ้ำ
มังกรกระดูกมีสิทธิ์มีเสียงสำคัญในกลุ่มระดับสูง
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงหาได้แปลกใจไม่ เขาคาดการณ์ได้นานแล้วว่าไม่มีทางได้พบนายตำหนักหลักง่าย ๆ
นายตำหนักหลักเป็นจ้าวแห่งแดนสังสารวัฏ น้อยนักจะปรากฏตัว แม้กระทั่งเมื่อคราวอาณาจักรเก้าแดนต้องห้ามผนึกกำลังเปิดศึกกับแดนสังสารวัฏก่อนหน้านี้ นายตำหนักหลักก็มิเคยเผยตัว
“ได้ เรื่องเป็นเช่นนี้…”
จักรพรรดิหมากล้อมคลี่ยิ้ม ลงมือทันที เขามีเรื่องต้องรายงานที่ไหน ทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างตบตาเท่านั้น
กระดานหมากล้อมคลี่ออกในพริบตา ปิดผนึกพื้นที่แถบนี้ ขณะเดียวกัน มีอสนีบาตสีทองขนาดใหญ่เท่าถังน้ำถล่มลงมา ฟาดใส่ยอดฝีมือระดับสูงอย่างพวกมังกรกระดูก
ในสถานที่ตรงนี้มิได้มีระดับสูงเพียงมังกรกระดูกตนเดียว มียอดฝีมือระดับสูงตนอื่นอยู่ด้วย
แต่จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงยังเลือกลงมือโดยตรง ไม่ลังเลสักนิด หาก ‘ทหารเบี้ย’ เหล่านี้เขายังจัดการไม่ได้ แล้วจะต่อกรกับจ้าวแห่งแดนสังสารวัฏได้เยี่ยงไร
ทั้งหมดอยู่ในการคาดการณ์ของเขา!
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น อสนีบาตสีทองเปล่งประกายน่าประหวั่นพรั่นพรึง ผ่าใส่ยอดฝีมือระดับสูงอย่างพวกมังกรกระดูกในบัดดล
มังกรกระดูกคำราม ถึงอย่างไรก็มีขอบเขตพลังสูงส่ง มีปฏิภาณไหวพริบ หลบเลี่ยงการผ่าของอสนีบาตสีทอง
ทว่ายอดฝีมือระดับสูงตนอื่นมิได้แข็งแกร่งเฉกเช่นมังกรกระดูก คราวอสนีบาตสีทองผ่าลงมา พวกเขาตั้งตัวไม่ทันแม้แต่น้อย ถูกถล่มใส่กันถ้วนหน้า เลือดเนื้อสาดกระจาย ซ้ำยังมีเศษกระดูกกระเด็นออกมาด้วย
“เจ้าทำอะไร!?”
มังกรกระดูกคำรามเสียงเกรี้ยว คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าจู่ ๆ มังกรหมากล้อมหวงหลงจะลงมือกับพวกเขา
นี่มันเรื่องอันใดกัน?
หรือว่าจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงคิดก่อกบฏ?
“มิได้ทำอะไร แค่อยากให้เจ้าช่วยนำทางข้าที!”
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงมิได้เอ่ยอันใดให้มากความ ลงมืออีกครั้ง ปล่อยพลังตาเดินหมากล้อม เข้าปราบปรามมังกรกระดูก
จ้าวแห่งแดนสังสารวัฏลึกล้ำเกินหยั่ง ก่อนหน้านี้ เรื่องใหญ่ระดับอาณาจักรเก้าแดนต้องห้ามบุกเข้ามา จ้าวแห่งแดนสังสารวัฏยังไม่เผยตัว มีเพียงยอดฝีมืออย่างพวกมังกรกระดูกที่อยู่รับผิดชอบ เขาอยากเข้าพบจ้าวแห่งแดนสังสารวัฏย่อมมิใช่เรื่องง่าย
เรื่องนี้ เขาคาดการณ์ไว้นานแล้ว และในแผนของเขา เขาคิดปราบปรามยอดฝีมือระดับสูงของแดนสังสารวัฏให้ได้ก่อน ให้ยอดฝีมือระดับสูงเหล่านี้พาเขาไปพบจ้าวแห่งแดนสังสารวัฏ
ครืน!
ตาเดินหมากล้อมเปล่งแสง เจิดจรัสวาววาม ซ้ำยังมีกฎแห่งวิถีหมากล้อมโลดแล่น มังกรสีทองตัวหนึ่งพุ่งออกจากตาเดินหมากล้อม เข้าห้ำหั่นกับมังกรกระดูก นี่คือมังกรสีทองที่หลอมร่างจากพลังตาเดิน
“เจ้าคิดก่อกบฏหรือ!”
มังกรกระดูกยิ้มเย็น จิตสังหารพลุ่งพล่าน เปลวเพลิงสีม่วงพิศวงลุกโชนอยู่ในแววตา “เรื่องที่อาณาจักรเก้าแดนต้องห้ามยังทำไม่ได้ เจ้าคิดว่าจะทำได้หรือ”
มันสำแดงวิชามหาพิฆาต มิใช่กำลังรบเทียนตี้ทั่วไปจะเทียบเทียม มีพลังแกร่งกล้า มิน่าถึงมีตำแหน่งสูงส่งในแดนสังสารวัฏ
ยอดฝีมือระดับสูงอื่น ๆ พากันเด้งตัวขึ้นจากพื้น สำแดงวิชามหาพิฆาตมากมาย เข้าถล่มจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลง พวกมันเดือดดาลเป็นอย่างมาก ไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงลอบจู่โจม
“พวกเจ้าอยู่เฉย ๆ กันจะดีกว่า!”
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงบุกตรงเข้าไปหาเหล่ายอดฝีมือระดับสูง เขาไม่เพียงแต่มีวิถีหมากล้อมไร้เทียมทาน กายเนื้อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พลังที่มีในร่างนั้นแข็งแกร่งขึ้นด้วย
เขาทลายวิชาพิฆาตที่เหล่ายอดฝีมือระดับสูงพากันถล่มใส่ ก่อนจะบุกสังหารเข้าไปอย่างแข็งกร้าว ต่อสู้ห้ำหั่นกับเหล่ายอดฝีมือระดับสูง แสงประหลาดไหลเวียนอยู่ในหมัดและเท้า ออกกระบวนท่าจนยอดฝีมือระดับสูงเหล่านี้ต้านไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็ถูกทำร้ายจนหมอบราบกับพื้น!
อีกด้าน มังกรกระดูกก็พ่ายแพ้ลง ถูกมังกรสีทองซึ่งหลอมร่างจากพลังตาเดินหมากล้อมปราบปราม ไม่เหลือกำลังต่อสู้ได้อีก
“เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้”
มังกรกระดูกจ้องมองจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงด้วยความโกรธเกรี้ยว คิดไม่ถึงเลยว่าจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงจะหักหลังแดนสังสารวัฏ
นอกจากนี้ มันยังสะท้านใจเหลือแสน
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงมีพลังกล้าแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร
พวกมันรุมล้อมเข้าไปยังสู้มิได้ ถูกจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงกำราบในพริบตา
“ไม่มีเหตุผลต้องบอกเจ้า”
จักรพรรดิหมากล้อมลงมือ ปล่อยตาเดินหมากล้อมกระดานหนึ่งเข้าไปในร่างมังกรกระดูก “ไม่อยากตายก็ทำตามคำสั่งข้า”
เขาสั่งให้มังกรกระดูกพาเขาไปพบจ้าวแห่งแดนสังสารวัฏ บอกว่ามีเรื่องร้ายแรงต้องหารือกับจ้าวแห่งแดนสังสารวัฏต่อหน้า
มังกรกระดูกถลึงตาใส่จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลง ทว่ามิได้เอื้อนเอ่ยคำใด ก็พาจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงไปจากที่นี่ เข้าพบจ้าวแห่งแดนสังสารวัฏ
มันไม่อยากตาย ทว่ามันมิได้เลือกยอมจำนนเพราะกลัวตาย
มันเชื่อในจ้าวแห่งแดนสังสารวัฏ แม้ว่าจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงสร้างความตะลึงให้เขาอย่างมาก ยากจะคาดเดาถึงพลังของเขา กระนั้น เขาก็ยังเชื่อใจจ้าวแห่งแดนสังสารวัฏ เชื่อว่าหลังจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงไปถึง จะถูกจ้าวแห่งแดนสังสารวัฏกำราบลง
แดนสังสารวัฏกว้างใหญ่ไพศาล จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงและมังกรกระดูกมาถึงพื้นที่ตรงกลางของแดนสังสารวัฏ ที่นั่นมีคลื่นริ้วค่ายกลลึกล้ำโลดแล่น มีชานไม้ที่สร้างด้วยวัสดุไม้นานาชนิดตั้งอยู่ท่ามกลางมิตินั้น
จ้าวแห่งแดนสังสารวัฏประทับอยู่ในมิติย่อม ๆ นั้นหรือ
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงหวนนึกถึงโลกใบเล็กในแดนสังสารวัฏ
ที่นั้นเป็นมิติย่อม ๆ ที่แดนสังสารวัฏสร้างขึ้น ลึกล้ำเป็นพิเศษ เขาอยู่ในแดนสังสารวัฏมานานแสนปี ยังไม่รู้เลยว่ามีสิ่งใดอยู่ในโลกใบเล็กนั่น
หวนนึกถึงครั้งอดีต สหายที่เคยฝ่าเข้ามาในเส้นทางสังสารวัฏ จนท้ายที่สุดเข้ามาถึงแดนสังสารวัฏพร้อมกับเขา กลับเหลือเขาอยู่ในแดนสังสารวัฏแต่เพียงผู้เดียว ส่วนสหายเหล่านั้นถูกส่งเข้าไปในโลกใบเล็กนั้นทั้งหมด
มังกรกระดูกมาอยู่ตรงหน้าชานไม้ ปากท่องไปเรื่อย ๆ สัญลักษณ์มากมายปรากฏออกจากปากของมัน โรยลงไปบนชานไม้ ประสานเข้ากับคลื่นริ้วค่ายกลที่โลดแล่นอยู่บนชานไม้
จากนั้น ลำแสงเจิดจ้าพุ่งออกจากชานไม้ ประตูแสงบานใหญ่เผยออกมา
“ไปเถิด”
มังกรกระดูกนำขึ้นไปบนชานไม้ ก้าวเข้าไปในประตูแสง
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงตามหลังไปติด ๆ เข้าไปในมิติหลังประตูแสง
ทันทีที่เข้ามาถึง เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ได้กลิ่นคาวเลือดรุนแรง
ที่นี่ดูพิลึกพิลั่นเป็นหนักหนา มียอดเขาป่าไม้รูปร่างประหลาดอยู่มากมาย รูปร่างผิดจากปกติกันทั้งสิ้น ยอดเขาป่าไม้บางแห่งยังมีโลหิตสีดำไหลย้อยลงมาอีกด้วย ส่งเสียงโหยหวนน่าสะพรึงประหนึ่งว่ามีชีวิตอย่างนั้น
โฮก! โฮก! โฮก!
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีเสียงคำรามคล้ายทั้งคนทั้งอสูรดังอยู่ สายลมพัดผ่าน ชวนสะท้านยิ่งนัก
บนท้องนภา มีพระอาทิตย์ดวงใหญ่ลอยอยู่ มิใช่พระอาทิตย์ปกติเช่นกัน หากแต่เป็นพระอาทิตย์อาบเลือด แสงตะวันที่สาดส่องลงมาเป็นสีโลหิตทั้งสิ้น ขับให้มิติย่อม ๆ นี้ดูอึมครึมน่ากลัวเหลือคณา
‘จ้าวแห่งสังสารวัฏทำสิ่งใดอยู่กันแน่!?’
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงสีหน้าหนักอึ้งขณะเอ่ยในใจ แม้ว่าเขาเตรียมใจมาแล้ว กระนั้นสถานการณ์ในมิติย่อม ๆ นี้ก็ยังเหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้
“อย่าหาว่าข้าไม่เตือน ไปเสียตอนนี้ยังทัน อีกเดี๋ยว ต่อให้เจ้าอยากไปก็คงไปไม่ได้แล้ว!”
มังกรกระดูกเอ่ยขึ้นข้างกายจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลง
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงเหลือบมองมังกรกระดูก “ทำสิ่งที่เจ้าต้องทำ! นำทางไป!”
ระหว่างที่เขาเอ่ยวาจา ได้จงใจรีดเร้นพลังตาเดินหมากล้อมในมังกรกระดูกเพื่อเตือนมังกรกระดูก มิให้เล่นตุกติก
มังกรกระดูกมองจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงตาขวาง มิได้พูดจา หันหลังเหินเข้าไปในส่วนลึกของมิติย่อม ๆ
‘น่ากลัวว่าเรื่องราวคงไม่ราบรื่นเยี่ยงนั้น…’
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงขมวดคิ้ว คิดในใจ
เขามิได้ห่วงว่ามังกรกระดูกจะหักหลังเขา มีตาเดินหมากล้อมคอยข่มมังกรกระดูกอยู่ นอกเสียจากว่ามังกรกระดูกไม่อยากอยู่ อยากตาย
สถานการณ์ในมิติย่อม ๆ นี้เกินการคาดหมายของเขาไปมาก เขากังวลในตัวจ้าวแห่งสังสารวัฏมากกว่า!