ยินดีต้อนรับสู่นครพิศวง!
เสียงนั้นประหนึ่งเสียงคำรามของผีร้าย ชวนให้ขนลุกแม้ไม่หนาว สั่นสะท้านไปทั้งดวงวิญญาณ!
หลิงอินขมวดคิ้ว ที่นี่ประหลาดยิ่งนัก แม้ว่านางมีประสาทสัมผัสเทียนตี้ ก็ยังสัมผัสมิได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่กำลังส่งเสียงอยู่ที่ใด
ประสาทสัมผัสเทียนตี้ของนางถูกระงับในที่แห่งนี้ ถูกระงับอย่างรุนแรง คลี่ปกคลุมได้เพียงบริเวณที่สายตามองเห็น เทียบเท่าว่าถูกระงับอย่างสิ้นเชิง!
โฮก! โฮก! โฮก!
อสูรร้ายมากมายคำรามเสียงต่ำ นัยน์ตาแดงก่ำ พลังปราณประหลาดซัดสาด ราวกับพวกมันคือสัตว์ประหลาดขนแดงผู้มาจากอเวจีจิ่วโยว สยดสยองน่ากลัวเป็นที่สุด
พวกมันตะครุบเข้ามาหาหลิงอินและเสี่ยวหยาคนละทิศคนละทาง หมายจะฉีกหลิงอินและเสี่ยวหยาให้เป็นชิ้น ๆ
หลิงอินนั้นไม่ต้องพูดถึง มีประสบการณ์การต่อสู้โชกโชน ค้อมตัวดึงคันศรในทันที ยิงศรใส่อสูรร้ายขนแดงที่บุกเข้ามา
เสี่ยวหยาในตอนนี้ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มิได้ ‘อ่อนประสบการณ์’ อย่างตอนแรก นางเยือกเย็นมาก บรรเลงฉินปี้เทียนชางไห่ทันที เพื่อตัดทอนกำลังของอสูรร้ายขนแดงเหล่านี้ และเพิ่มพูนกำลังของหลิงอิน
เสี่ยวหยาในตอนนี้ สำเร็จวิถีแห่งฉินจนอยู่ในระดับสูง สามารถปลดปล่อยพลานุภาพของฉินปี้เทียนชางไห่ได้อย่างรุนแรง ต่อให้อสูรร้ายขนแดงเหล่านี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงไม่แพ้เทียนตี้ เมื่ออยู่ท่ามกลางเพลงฉินปี้เทียนชางไห่ ก็ถูกบั่นทอนให้ลดน้อยลงไป
ที่สำคัญคือฉินปี้เทียนชางไห่ต่างจากฉินอื่น มันอยู่ในมือหลี่จิ่วเต้ามานาน ซ้ำหลี่จิ่วเต้ายังเคยใช้อยู่บ่อยครั้ง ทรงพลังกว่าฉินอื่นมากนัก อานุภาพก็น่าทึ่งยิ่ง มิฉะนั้นต่อให้พรสวรรค์ด้านฉินของเสี่ยวหยายอดเยี่ยมปานใด ก็ยากจะกำราบอสูรร้ายขนแดงซึ่งทัดเทียมเทียนตี้ได้
และภายในเพลงฉินเช่นนี้ พลังของหลิงอินทวีคูณ ศรที่ยิงออกไปน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ!
โฮก! โฮก! โฮก!
อสูรร้ายขนแดงเหล่านี้คำรามเสียงร้าวราน พวกมันยากจะเข้าใกล้ขณะที่หลิงอินดึงคันยิงศรไม่หยุด ซ้ำร้ายยังเริ่มมีบาดแผลฉกรรจ์ปรากฏตามตัว โลหิตสีดำพิศวงหลั่งริน
มีศรใหญ่ในมือ หลิงอินไม่กลัวการผลาญพลัง นางยิงศรออกไปไม่หยุดหย่อน ราวกับว่ายิงได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้ไม่อาจปลิดชีพอสูรร้ายขนแดงเหล่านี้ในพริบตา กระนั้น ภายใต้การจู่โจมเรื่อย ๆ ของศร อสูรร้ายขนแดงเหล่านี้บาดเจ็บสาหัสขึ้นเรื่อย ๆ พลังที่เปล่งออกมาก็อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ พลังปราณมิได้ดุดันอย่างเก่า
“หืม!?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นโดยมิทราบแหล่ง เงาสีขาวปรากฏ เขามิใช่เผ่าพันธุ์อสูรแต่อย่างใด เป็นบุรุษวัยกลางคน ทว่าร่างกายของเขาก็มีขนยาวงอกอยู่เต็มไปหมด เพียงแต่มิใช่สีแดง หากแต่เป็นสีขาว
ยามนี้ ใบหน้าของเขาฉายแววประหลาดใจระคนตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าหลิงอินและเสี่ยวหยาสองคนซึ่งมีขอบเขตพลังต่ำต้อย กลับสำแดงฤทธิ์ของยอดศาสตราได้เกรียงไกรเช่นนี้!
ดูท่าหลิงอินและเสี่ยวหยามิได้เผลอเข้ามาโดยมิตั้งใจ แต่มาเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง!
“พวกเจ้าเป็นใคร!?”
เขาโบกมือเบา ๆ อสูรร้ายขนแดงเหล่านั้นกลายเป็นลำแสงสีชาดและหายไปจากที่นี่ในบัดดล
“พวกเราเป็นใครนั้นไม่สำคัญ มิได้มีความหมายแต่อย่างใด”
หลิงอินปริปาก “พวกเรามานี่เพื่อพาคนคนหนึ่งไป”
“พาคนไปรึ?”
บุรุษวัยกลางคนขนขาวสายตาเย็นยะเยือก “เช่นนั้นคงไร้ความหมายอย่างที่เจ้าว่า ผู้ใดที่ย่ำกรายเข้ามาในนครพิศวงของเรา จักกลายเป็นคนของนครพิศวงไปตลอดชีวิต ผู้ใดก็อย่าคิดจะพาออกไปได้!”
เขามิได้เอื้อนเอ่ยไปมากกว่านี้ แต่ลงมือทันที ม่านหมอกสีขาวประหลาดแผ่ขยาย เขาแข็งแกร่งกว่าเหล่าอสูรร้ายขนแดงที่ปรากฏตัวเมื่อครู่มากนัก ทุกอากัปกิริยาล้วนมีพลังที่จินตนาการไม่ถึงซัดสาดออกมา!
เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวตนซึ่งมีระดับสูงกว่า!
เสียงดังฟึ่บ เขาดึงดาบยาวสีขาวหิมะเล่มหนึ่งออกจากม่านหมอกสีขาวพิศวง ตวัดฟาดฟันไปหาหลิงอินและเสี่ยวหยา!
หลิงอินมิได้เกรงกลัว ดึงคันเต็มแรง แล้วยิงออกไปหนึ่งศร
เคร้ง!
เสียงโลหะกระทบดังสนั่น บุรุษวัยกลางคนขนขาวผู้นี้แข็งแกร่งมากอย่างที่คิด เขาตัดศรที่ยิงเข้าไปเป็นสองท่อนได้ในหนึ่งดาบ!
“พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าเป็นใคร เด็กสาวเมื่อวานซืนปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม คิดว่ามีศาสตราวิเศษอยู่ในมือแล้วจะทำตามอำเภอใจในนครพิศวงของเราได้อย่างนั้นหรือ”
บุรุษวันกลางคนขนขาวยิ้มเย็น “พวกเจ้าประเมินตนเองสูงเกินไปแล้ว!”
เขาฟันดาบออกไปโดยมีม่านหมอกสีขาวพิศวงปกคลุม มีพลังชวนขนลุกเจืออยู่ภายใน น่ากลัวว่าเทียนตี้ทั่วไปยังต้องถูกปลิดชีพในอึดใจเดียว
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เวลานั้น สิ่งหนึ่งลอยออกจากตัวเสี่ยวหยา ส่องแสงสว่างสดใสไปทั่ว จังหวะแห่งเต๋าสูงส่งไหลเวียน ขับไล่ความมืดมิด ส่องสว่างไปทั่วระบบดวงดาว ประดุจสุริยันฉายแสง เจิดจ้าแยงตาเป็นที่สุด!
จากนั้น สัญลักษณ์ดนตรีจำนวนมากโลดแล่นออกมา สัญลักษณ์ดนตรีทุกตัวล้วนคล้ายสัญลักษณ์ดนตรีแห่งเซียน สูงส่งเหนือจินตนาการเกินไป!
เสี่ยวหยาบรรเลงฉินต่อไป ท่ามกลางการโลดแล่นของสัญลักษณ์ดนตรี พลานุภาพนั้นเพิ่มพูนไม่รู้ตั้งกี่เท่า เพลงฉินที่แต่เดิมไม่อาจบั่นทอนกำลังของบุรุษวัยกลางคนขนขาวได้ บัดนี้แผลงฤทธิ์เดช ตัดรอนกำลังของบุรุษวัยกลางคนขนขาวไปกว่าครึ่ง!
สิ่งนั้นก็คือบันทึกเพลงฉินที่หลี่จิ่วเต้าประทานให้เสี่ยวหยา คล้อยตามความสำเร็จด้านฉินของเสี่ยวหยาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ นางค่อย ๆ ใช้พลังของบันทึกเพลงฉินได้ตามที่ต้องการ
กำลังของบุรุษวัยกลางคนขนขาวถูกตัดรอนด้วยเพลงฉิน ส่วนกำลังของหลิงอินแกร่งกล้าขึ้นภายในเพลงฉิน นางเด็ดขาดอย่างยิ่ง ดึงคันยิงศรออกไปทันที!
พรวด!
โลหิตสีขาวพิศวงสาดกระจาย หนนี้ บุรุษวัยกลางคนขนขาวไม่อาจหยุดยั้งศรนี้ได้ ถูกยิงเข้าที่หน้าอก กระเด็นออกไปกระแทกกับดาวดวงหนึ่งจนระเบิด!
“พวกเจ้า!”
เขาไม่อาจเชื่อได้ลง สายตาเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ เป็นไปได้อย่างไรที่แม้แต่เขายังถูกตัดรอนกำลังลงไปด้วย ซ้ำยังถูกตัดรอนอย่างสาหัส กำลังลดหย่อนลงไปกว่าครึ่ง!?
ต้องรู้ว่า เขาก้าวสู่ขั้นเทียนตี้แล้ว เป็นถึงเทียนตี้ชั้นเลิศ ซ้ำยังมีพลังสีขาวพิศวงคอยเกื้อหนุน เขาจะ ‘อ่อนแอ’ ปานนี้ได้เยี่ยงไร ถึงกับถูกริดรอนกำลังได้อย่างง่ายดาย!?
ต้องเป็นบันทึกฉินเช่นไร แล้วผู้ใดประพันธ์ขึ้น?
เซียนแท้จริงอย่างนั้นหรือ!?
เขาคิดอย่างอดไม่ได้ มิน่าเล่า เด็กสาวทั้งสองอย่างหลิงอินและเสี่ยวหยาถึงกล้าเดินทางมาที่นครพิศวง ในมือพวกนางมีบันทึกเพลงฉินของท่านเซียนอยู่!
เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของเขาจริง ๆ เซียนนั้นหายไปกับกาลเวลาอันยาวนานแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเซียนก็สูญสลายไปนานแล้ว
ดูท่า เซียนหลงเหลือบางสิ่งไว้จนได้!
ส่วนเบื้องหลังของหลิงอินและเสี่ยวหยามีท่านเซียนหนุนอยู่หรือไม่นั้น เขาไม่แม้แต่จะคำนึงถึงเรื่องนั้น
เพราะเขารู้ดีว่า เซียนได้ถอนกำลังออกไปแล้ว กระทั่งภพเซียนยังถูกปิดผนึก มิสามารถออกจากภพเซียนได้ง่าย ๆ
“มีอาวุธเซียนแล้วคิดว่าแน่นักหรือ”
เขาลุกขึ้น ยามเอ่ยวาจามีโลหิตสีขาวกระอักออกมา เอ่ยเสียงอึมครึมว่า “พวกเจ้าไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ใด พวกเจ้าไม่รู้ว่าเบื้องหลังของเรามีสิ่งใดอยู่ อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ต่อให้เซียนที่แท้จริงมาเยือน นครพิศวงของเราก็หาได้เกรงกลัวไม่!”
เขามิได้อวดเบ่งไปอย่างนั้น แต่มีความมั่นใจระดับนั้นจริง ๆ หากให้แสดงพลังทั้งหมดของนครพิศวงออกมา แม้กระทั่งเซียนตัวจริงยังต้องสั่นเทิ้ม และเกรงกลัว!
พวกเขามีรากฐานที่น่าพรั่นพรึงยิ่งกว่า!
รากฐานที่แม้แต่เซียนยังต้องกลัว!
บทที่ 517
ฟิ้ว!
ศรขนนกพุ่งทะยาน แทงเข้าบุรุษวัยกลางคนขนขาวอีกครั้งในพริบตา บุรุษวัยกลางคนขนขาวกระเด็นออกไป โลหิตสีขาวพิศวงสาดกระเซ็นไปทั่วอวกาศ
หลิงอินมิได้พูดจา แต่แสดงจุดยืนด้วยการกระทำ
นางไม่รู้ว่าสิ่งที่บุรุษวัยกลางคนชุดขาวกล่าวมานั้นคือความจริงหรือไม่ ทว่าทั้งหมดนั้นมิได้สลักสำคัญแต่อย่างใด สิ่งสำคัญคือต้องช่วยพี่ชายเสี่ยวหยาออกมา!
คุณชายถ่ายทอดบทเพลง ‘คะนึงหา’ แก่เสี่ยวหยา ก็เพื่อให้เสี่ยวหยาได้ไปช่วยพี่ชาย คุณชายนั้นเก่งกาจปานใด ไฉนเลยจะไม่ทราบสถานการณ์ของที่นี่
เป็นไปมิได้เลย!
บทเพลงของคุณชายเชื่อมตรงไปถึงยุคโบราณ คืนชีพเสี่ยวหยาซึ่งตายไปในยุคโบราณขึ้นมาใหม่ในยุคนี้ ท่านต้องมีฝีมือสะท้านโลกันตร์เพียงใดเชียว ความลึกล้ำของขอบเขตพลังคุณชายเกินหยั่งอย่างแท้จริง!
เกรงว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชาย เซียนยังไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง ห่างชั้นกันไกลโข!
และคุณชายอาจเป็นถึงจักรพรรดิแห่งเซียน การดำรงอยู่ระดับบูรพาจารย์ในหมู่เซียน!
แม้พื้นที่แห่งนี้พิศวงน่ากลัว กระนั้นก็หนีไม่พ้นจิตของคุณชาย
ไม่มีทางที่คุณชายไม่ทราบถึงสถานการณ์ในแดนดินนี้
ในเมื่อคุณชายล่วงรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแดนดินนี้ แต่ยังส่งพวกนางมาช่วยพี่ชายเสี่ยวหยา บ่งบอกว่าคุณชายมิได้ยี่หระนครพิศวงแห่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย มิฉะนั้น คงไม่ปล่อยให้พวกนางมาโดยปราศจากคำกำชับ
หากคุณชายยี่หระนครพิศวงแห่งนี้จริง ก่อนพวกนางเดินทาง คุณชายย่อมต้องจัดแจงบางอย่างไว้ให้ ในเรื่องนี้ หลิงอินซึ่งติดตามคุณชายมานานรู้ดี
คุณชายมิได้เตรียมการอย่างอื่นสำหรับพวกนาง บ่งบอกว่านครพิศวงนี้แค่ดาด ๆ คุณชายมิได้เก็บไปใส่ใจ
ถึงอย่างไร นครพิศวงก็น่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างแท้จริง หากแม้แต่คุณชายยังยำเกรง คงไม่ส่งพวกนางมาช่วยพี่ชายเสี่ยวหยา
ถ้าแม้แต่คุณชายยังยำเกรง พวกนางจะช่วยได้อย่างไร เดินทางมานี่มิเท่ากับรนหาที่ตายหรือ?
แล้วคุณชายไฉนเลยจะปล่อยให้พวกนางรนหาที่ตาย
เป็นไปไม่ได้!
หลิงอินตระหนักถึงข้อนี้ดี ด้วยเหตุนี้ นางจึงมิได้เก็บคำกล่าวของบุรุษวัยกลางคนขนขาวมาใส่ใจนัก แต่ยิงศรใส่ทันที
“เจ้า!”
บุรุษวัยกลางคนขนขาวพิโรธ โลหิตหลั่งรินเป็นสายไปทั้งตัว เขาบาดเจ็บหนักเกินไป และไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่ง เขาจะต้องบาดเจ็บสาหัสด้วยน้ำมือเด็กสาวสองคนเช่นนี้!
อนิจจา ต่อให้เขาโมโหเพียงใดก็มิกล้าเข้าไปห้ำหั่น
เขาถูกลดทอนพลังมากเกินไป มิใช่คู่ต่อสู้ของหลิงอิน เข้าไปห้ำหั่นก็รั้งแต่จะนำความอัปยศสู่ตนเองเท่านั้น!
“ท่านเจ้าหลวง!”
เขามิได้ลังเล เรียกหาเจ้าหลวงทันที หมายจะให้เจ้าหลวงฟื้นขึ้น สังหารหลิงอินและเสี่ยวหยา
ไม่นานนัก พลังปราณอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงมากมายซัดสาดออกจากส่วนลึก พลังปราณเช่นนี้ แม้แต่หลิงอินยังรู้สึกหนักอึ้งในใจ กดดันเป็นอย่างมาก!
ทว่าภายใต้เพลงฉินที่เสี่ยวหยาบรรเลง ความกดดันหนักอึ้งนี้สลายไปจากใจหลิงอินอย่างรวดเร็ว
สิ่งมีชีวิตบางอย่างก้าวออกจากส่วนลึก
มันคือสิ่งมีชีวิตพิศวงที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยขนเขียว รูปลักษณ์ประหลาดเป็นที่สุด ราวกับเป็นผีร้ายตัวจริง พลังปราณคนตายชวนขนลุกอบอวลอยู่รอบกาย
ดวงตาของมันมโหฬารยิ่งกว่าดวงดาวเสียอีก เปลวเพลิงสีเขียวลุกโชติอยู่ภายใน มันเป็นสิ่งมีชีวิตขอบเขตไหนนั้น หลิงอินไม่ทราบ แต่นางแน่ใจได้ว่า สิ่งมีชีวิตตนนี้อยู่เหนือขั้นเทียนตี้แน่นอน!
สิ่งมีชีวิตระดับเซียน…อย่างนั้นหรือ!?
นัยน์ตาหลิงอินหรี่ลง ดูท่าบุรุษวัยกลางคนขนขาวมิได้อวดเบ่งไปอย่างนั้น สายน้ำในนครพิศวงลึกล้ำอย่างแท้จริง
“แปลกจริง ข้ามองไม่ออกว่าสิ่งใดอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า…”
เจ้าหลวงซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนเขียวหรี่ตาลงกึ่งหนึ่ง ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ
มันอยู่ในขอบเขตใดอย่างนั้นหรือ?
ขาข้างหนึ่งก้าวสู่ระดับเซียน ได้แตะขอบเขตแห่งเซียน เรียกว่าครึ่งก้าวเซียนได้อย่างแน่นอน แต่กลับไม่อาจพยากรณ์ได้ว่าบนตัวหลิงอินและเสี่ยวหยามีพลังกรรมใดดำรงอยู่ เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของมันจริง ๆ
“เพราะบันทึกเพลงฉินเล่มนั้นหรือ”
มันจ้องมองบันทึกเพลงฉินที่ลอยอยู่ในอวกาศ ท่าทางครุ่นคิด มองว่าบันทึกเพลงฉินเล่มนี้บดบังการพยากรณ์ของมัน จนมันไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าบนตัวหลิงอินและเสี่ยวหยามีพลังกรรมใดดำรงอยู่
“มันเป็นเซียนตนหนึ่งหรือ”
เสี่ยวหยาอดมิได้ ถามกับหลิงอิน
นางสัมผัสได้ว่าสิ่งมีชีวิตขนเขียวตนนี้น่ากลัวปานใดผ่านเพลงฉิน อยู่เหนือกว่าบุรุษวัยกลางคนขนขาวมากโข นางนึกถึงเซียนอย่างอดมิได้!
“น่าจะใช่ ทว่าน่าจะมิใช่เช่นกัน!”
หลิงอินขมวดคิ้วมุ่น “พลังน่าพรั่นพรึงในตัวมันทำให้ข้าคิดว่ามันเป็นเซียน แต่ข้าสัมผัสถึงความเป็นนิรันดรของเซียนจากตัวมันไม่ได้เลย มันคงมิใช่เซียนอย่างแท้จริง!
“ความเป็นนิรันดรหรือ”
เจ้าหลวงเอ่ยเสียงราบเรียบ “ต่อให้ข้ามิใช่เซียน ข้าก็ดำรงอยู่เป็นนิรันดรได้ ในโลกนี้ยังมีสสารนิรันดร์อื่นดำรงอยู่ สูงส่งอัศจรรย์ยิ่งกว่าสสารนิรันดร์ที่เซียนมีในครอบครองเสียอีก!”
สำหรับมัน ความเป็นนิรันดรมิใช่ปัญหา แม้กระทั่งกับบุรุษวัยกลางคนขนขาวยังมิใช่ปัญหา พวกมันล้วนสามารถดำรงอยู่เป็นนิรันดร ไม่ถูกกาลเวลารบกวน
รวมถึงสมาชิกตนอื่นในสถานที่แห่งนี้ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่พวกมันกำลังดัดแปลงก็เป็นเช่นนี้ ล้วนไม่ถูกกาลเวลารบกวน
แน่นอนว่า ความเป็นนิรันดรนี้มิใช่ว่าไม่มีวันดับสูญ เพียงแต่พวกมันสามารถเพิกเฉยต่อกาลเวลา มิใช่ไม่ดับไม่สูญ
“สสารพิศวงอย่างที่พวกเจ้ามีหรือ!?”
หลิงอินเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง สังเกตเห็นนานแล้วว่าสถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยสสารพิศวง หากสิ่งที่เจ้าหลวงกล่าวมาเป็นความจริง สสารนิรันดร์อีกชนิดที่เจ้าหลวงเอ่ยถึงคงเป็นสสารพิศวงนี้
“ถูกต้อง! นี่คือแหล่งกำเนิดพลังสูงสุดอย่างแท้จริง คือสสารสูงส่งอย่างแท้จริง แม้กระทั่งสสารโกลาหลวิวัฒน์จนเกิดเป็นสรรพสิ่งยังห่างชั้นไกลโข!”
ยามเจ้าหลวงเอ่ยวาจานี้ สายตาเปี่ยมไปด้วยความเคารพยำเกรง
“อนิจจา สสารในที่แห่งนี้มิสู้จะบริสุทธิ์เท่าใด มิฉะนั้น พวกเจ้าคงได้เรียนรู้ว่าสสารชนิดนี้สูงส่งเพียงใด!” มันเอ่ยต่อ
เก่งกาจปานนั้นเชียว
หลิงอินคิดไม่ถึงนิดหน่อย ลอบตะลึงในใจ สสารไม่บริสุทธิ์เช่นนี้ยังช่วยให้สิ่งมีชีวิตอย่างพวกเจ้าหลวงเพิกเฉยต่อกาลเวลาได้อย่างนั้นหรือ
รากฐานที่แม้แต่เซียนยังต้องเกรงกลัว!
ดูท่าเมื่อครู่บุรุษวัยกลางคนขนขาวมิได้พูดจาเหลวไหล…
ครืดคราด!
เวลานั้น เสียงสั่นสะเทือนของโซ่ดังออกมาจากส่วนลึก พร้อมกับเสียงคำรามกึกก้อง
“เสี่ยวหยา เจ้ามาแล้วหรือ”
เสียงคำรามนั้นเจือแววสะอื้น ราวกับเขารู้สึกถึงการมาเยือนของเสี่ยวหยา
“พี่ชาย!”
เสี่ยวหยาอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาในบัดดล นี่คือเสียงของพี่ชายนาง!
“หืม สติสัมปชัญญะของเขายังอยู่อีกหรือ”
เจ้าหลวงหันกลับไปมอง คิดไม่ถึงเล็กน้อย มันรู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของเสียง
มันเห็นความมีอนาคตของคนผู้นี้ และมันนั่นเอง ที่ตั้งใจพาเขากลับมา มันคิดไม่ถึงว่าผ่านไปอย่างยาวนานปานนี้แล้ว สติสัมปชัญญะของคนผู้นี้กลับยังอยู่ มิได้ผสานเป็นหนึ่งกับความพิศวง
“หลีกไป อย่าได้ขวางทาง!”
หลิงอินยกคันศรใหญ่ในมือ เล็งไปที่เจ้าหลวง
นางไม่สนว่าเบื้องหลังเจ้าหลวงสยดสยองเพียงใด วันนี้นางต้องช่วยพี่ชายของเสี่ยวหยาออกไปให้ได้ ต่อให้ต้องจ่ายด้วยราคาแพงเท่าใดนางก็ไม่นึกเสียดาย!
“อย่าได้เล็งศรมั่วซั่วเช่นนี้ การดำรงอยู่บางประการมิใช่ตัวตนที่เจ้าจะสุ่มสี่สุ่มห้าเล็งได้”
เจ้าหลวงมีสีหน้าเย็นชา “พวกเจ้าสองคนไม่เลว ข้าเห็นอนาคตในตัวพวกเจ้า ข้าจักให้โอกาสพวกเจ้าสักครา ให้พวกเจ้าได้โอบกอดความพิศวง!”
บทที่ 518
“โอบกอดความพิศวง แล้วมีขนยาวเหมือนพวกเจ้า…งอกออกมาหรือ?”
หลิงอินปากกระตุก นางยอมตายยังดีเสียกว่ามีขนยาวน่าเกลียดน่ากลัวเยี่ยงนี้ขึ้นเต็มกาย เรื่องบ้ากระไรนี่!
“พวกเจ้าจะไปรู้อันใด นี่คือสัญลักษณ์ของการครอบครองพลัง และเป็นจุดกำเนิดพลังสูงส่งอย่างหามิได้!”
เจ้าหลวงยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ศีรษะเสียดฟ้า พลังปราณสยดสยอง คล้อยตามการหายใจเข้าออกของมัน ดวงดาวมากมายในระบบดวงดาวแห่งนี้ระเบิดไปตาม ๆ กัน กลายเป็นเศษธุลีดาว
ดั่งที่มันว่า ขนยาวนี้คือสัญลักษณ์และเป็นแหล่งกำเนิด
ทว่าสีของขนยาวแตกต่างกันออกไป
ขนยาวสีแดงเกิดจากสสารโกลาหลชั้นต่ำที่สุด ขนยาวสีขาวระดับสูงขึ้นหน่อย ส่วนขนยาวสีเขียวอยู่เหนือขนยาวสีขาว
สสารโกลาหลชั้นสูงที่สุด หรือก็คือสสารโกลาหลบริสุทธิ์ที่สุด คือขนยาวเจ็ดสี
“ข้าขอบอกพวกเจ้า สักวันหนึ่ง ความพิศวงจักกระจายไปทั่วทุกอาณาจักร ถาโถมไปยังทุกตารางนิ้วในจักรวาล แม้กระทั่งภพเซียนก็หนีไม่พ้น จักตกอยู่เบื้องล่างอย่างสมบูรณ์!”
ดวงตาสองข้างของมันมโหฬารยิ่งกว่าดวงดาวเสียอีก เปลวเพลิงสีเขียวลุกโชติอยู่ภายใน มันเอ่ยต่อ “เลือกโอบกอดความพิศวงในเวลานี้ ภายหน้าพวกเจ้าจักได้เปรียบเหนือผู้อื่น หากพลาดโอกาสนี้ไป ภายหน้าพวกเจ้าจักกลายเป็นเหยื่อ ตกต่ำลงไปเป็นชนชั้นล่างสุด”
พวกมันนั้นเรียกได้ว่าเป็น ‘ผู้บุกเบิก’ เป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่โอบกอดความพิศวง ได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ความพิศวง’ มามากมาย
หลิงอินขมวดคิ้ว เจ้าหลวงยิ่งพูดยิ่งฟังดูน่ากลัว ‘ความพิศวง’ นี้คือสิ่งใดกันแน่!?
อาณาจักรทั้งปวง ทุกตารางนิ้วของจักรวาล แม้กระทั่งภพเซียนยังหนีไม่พ้น ‘ความพิศวง’ น่ากลัวปานนี้เชียวหรือ!?
หัวใจของนางหนักอึ้งขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกว่าในอนาคตจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ วินาศไปทุกอาณาจักร!
พลันเวลานี้ นางนึกถึงคุณชาย
คุณชายเปี่ยมเมตตา ไม่อาจทนเห็นแม้แต่ความลำบากของปุถุชน คุณชายส่งนางและเสี่ยวหยามาที่นี่ เพียงเพื่อช่วยพี่ชายของเสี่ยวหยาจริงหรือ?
นางมองว่ามิใช่ คุณชายส่งพวกนางมาช่วยพี่ชายเสี่ยวหยา อาจเป็นเพียงด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งต้องการให้พวกนางได้รู้จัก ‘ความพิศวง’ ล่วงหน้า เตรียมการไว้สำหรับหายนะในภายหน้าอันเกิดจาก ‘ความพิศวง’!
นางรู้ว่าคุณชายไม่มีทางปล่อยให้ ‘ความพิศวง’ ที่ว่าปะทุโดยไม่เข้ามาแทรกแซง
“ ‘ความพิศวง’ นี้คือสิ่งใดกันแน่”
นางถามเจ้าหลวง ต้องการทราบรายละเอียดของ ‘ความพิศวง’ มากขึ้น
อนิจจา เจ้าหลวงมิต้องการพูดอะไรไปมากกว่านี้
“เข้าร่วมกับพวกเรา แล้วพวกเจ้าจะได้รู้เอง”
เจ้าหลวงเอ่ยปาก “ให้โอกาสพวกเจ้าครั้งสุดท้าย เข้าร่วมหรือไม่”
“ไม่ร่วม!”
หลิงอินปฏิเสธทันที ค้อมกายดึงคัน ยิงศรเข้าไป
ส่วนเสี่ยวหยาบรรเลงฉินปี้เทียนชางไห่ทันที เพื่อเพิ่มพูนอานุภาพของศรนี้ ลดทอนกำลังของเจ้าหลวง
ทว่าเจ้าหลวงน่าพรั่นพรึงเกินไป กำลังมิได้ลดน้อยถอยลงแม้แต่น้อย ศรที่เพิ่มพูนพลังแล้วก็ไม่อาจแผ้วพานเจ้าหลวง ถูกเสียงแค่นจมูกของเจ้าหลวงถล่มจนแหลกลาญ
หลิงอินขมวดคิ้ว แม้ว่าเจ้าหลวงผู้นี้มิใช่เซียนอย่างแท้จริง เกรงว่าคงเข้าใกล้ความเป็นเซียนสุด ๆ แล้ว!
“ไว้หน้าแล้วแต่ไม่เอา ช่างเถิด พวกเจ้าจงกลายมาเป็นทาสของ ‘ความพิศวง’ เสีย!”
เจ้าหลวงแค่นเสียงเย็น เข้าโอบกอดความพิศวง กับถูกความพิศวงโอบกอดนั้นต่างกันมาก ฝ่ายแรกมีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่ในระดับหนึ่ง ฝ่ายหลังนั้นต้องถูกกลืนกินสติสัมปชัญญะทั้งหมด กลายเป็นเหมือนซากศพเดินได้ ถูกทำให้เป็นทาส เฉกเช่นเดียวกับอสูรร้ายขนแดงที่ปรากฏตัวในตอนแรกเริ่ม
ตู้ม!
เสียงระเบิดสุดสยองดังสนั่นหวั่นไหว เจ้าหลวงเบิกตากว้างขึ้น ลำแสงสีเขียวสองลำพวยพุ่งออกมา และโจมตีออกไป น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่ารุจีดับปฐพีเสียอีก
“ ‘ความพิศวง’ บ้าบออะไรนั่น หลีกทางไปเสีย!”
หลิงอินเข้าจู่โจม เชื่อใจคุณชายถึงที่สุด ต่อให้เจ้าหลวงผู้นี้เข้าใกล้ความเป็นเซียนสุด ๆ แล้ว นางก็เชื่อว่าคุณชายทรงพลังกว่า!
หยกคุ้มกันที่คุณชายประทานแก่นางช่วยให้นางอยู่รอดปลอดภัยได้!
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ประกายสว่างไสวมากมายส่องแสงวาววาม เปี่ยมไปด้วยหลักเต๋าชั้นสูง กฎแห่งมหาเต๋าสูงส่งมากมายสะท้อนออกมา ถักทออาภรณ์กฎแห่งมหาเต๋าบนตัวหลิงอิน
นี่คือหยกคุ้มกันที่คุณชายลงลายมือด้วยตนเอง และเป็นความมั่นใจที่นางกล้าเดินทางมาช่วยพี่ชายของเสี่ยวหยาถึงที่นี่!
นางไม่ต้องหวั่นเกรงต่อสิ่งใด ดวงตาวาวโรจน์เจิดจรัส เข้าปะทะกับลำแสงสีเขียวสยดสยองสองลำ
และระหว่างนี้ อย่าให้พูดเลยว่าสายตาของนางเด็ดเดี่ยวเพียงใด เผชิญหน้ากับพลังที่สยดสยองจนสามารถทำลายอาณาจักรอื่นได้อย่างง่ายดาย นางไม่แม้แต่จะกะพริบตา
คุณชายไม่มีทางให้ร้ายนาง นางเชื่อในข้อนี้ เจ้าหลวงไม่มีทางทำร้ายนางได้!
ตามคาด!
เมื่อลำแสงสีเขียวสองลำบุกเข้ามา ไม่ทันได้เข้าใกล้นาง ก็ถูกพลังอาภรณ์แห่งมหาเต๋าที่นางสวมใส่อยู่ลบล้าง อันตรธานอย่างสิ้นเชิง ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่แรก
นัยน์ตาเจ้าหลวงหรี่ลงอย่างแรง ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
นั่นมันหยกคุ้มกันแบบใดกัน?
ไฉนถึงน่ากลัวปานนี้!?
“เกิดอะไรขึ้น! เหตุใดพวกนางถึงมีอาวุธเซียนติดตัวมากมายขนาดนี้!”
บุรุษวัยกลางคนขนขาวคอแห้ง หน้าตาเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ อาวุธเซียนพบเห็นได้บ่อย ๆ เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด หลิงอินและเสี่ยวหยามีติดตัวมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า!
ภพเซียนเป็นผู้ส่งหลิงอินและเสี่ยวหยามาหาพวกมันหรือ
เขาคิดอย่างอดไม่ได้
“เป็นไปได้อย่างไร เจ้าพวกขี้ขลาดในภพเซียน หนีไปตั้งแต่การปะทุแรกเริ่มของ ‘ความพิศวง’ ไฉนเลยจะกล้าหาญขนาดมาต่อกรกับพวกเรา!”
ไม่นานนักเขาก็ปัดตกความคิดนี้ไป
ภพเซียนไม่กล้าพอจะทำเช่นนี้!
แม้ว่ากำลังโดยรวมของพวกเขาในตอนนี้ยังสู้ภพเซียนมิได้ กระนั้นเบื้องหลังของพวกเขาคือ ‘ความพิศวง’ ภพเซียนยำเกรงใน ‘ความพิศวง’ เป็นหนักหนา!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ดวงตาเจ้าหลวงทอประกายดุดัน เข้าจู่โจมไม่หยุดหย่อน พลังอันน่าพิศวงถาโถมออกไปจนทั่วทั้งระบบดวงดาว ดาราทุกดวงในระบบนี้และระเบิดในทันที กลายเป็นเศษธุลีดาว!
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น มันก็ไม่อาจสร้างความเสียหายกับอาภรณ์กฎแห่งมหาเต๋าที่ถักทอด้วยหยกคุ้มกัน การโจมตีทั้งหมด แม้กระทั่งมหาวิชาที่ทัดเทียมกับวิชาเซียน หลังจากโจมตีเข้าไปแล้วก็ถูกลบล้างในบัดดล ไม่มีวิชาใดเป็นข้อยกเว้น!
สีหน้าของมันอึมครึม ความรู้สึกหลากหลายประเดประดัง มันทำอะไรผู้ฝึกตนกระจอกขอบเขตพลังไม่เท่าไรอย่างหลิงอินและเสี่ยวหยามิได้เชียวหรือ
“ไม่!”
มันคำรามเสียงต่ำ เจ็บใจเป็นหนักหนา ไฉนเลยจะยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้
ไม่มีทาง!
มันเรียกคทาอาคมออกมาหนึ่งด้าม ซึ่งมีสสารโกลาหลปกคลุมอยู่เต็มไปหมด นี่คือคทาพิศวง เคยแช่อยู่ในสระกำเนิดต้องห้ามมาก่อน พลังพิศวงที่มีนั้นกล้าแกร่งยิ่งกว่าอาวุธเซียนเสียอีก!
อย่างที่มันว่า พลังพิศวงมิได้ด้อยไปกว่าพลังเซียน และพลังพิศวงบริสุทธิ์แข็งแกร่งยิ่งกว่าพลังเซียนเสียอีก!
มันพึมพำในปาก คล้ายเสียงขับร้องอันเก่าแก่ นี่คือวิชาลับแขนงหนึ่ง ถือกำเนิดขึ้นที่ ‘ความพิศวง’ พลานุภาพน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด กระทั่งผู้แข็งแกร่งเยี่ยงมัน ยังไม่อาจใช้วิชานี้ด้วยตัวคนเดียว จำต้องยืมกำลังจากคทาพิศวงเล่มนี้ด้วย!
ครืนคราน!
เสียงระเบิดดึงกึกก้องอยู่บนนภา ราวกับมีบางอย่างหลอมรวมอยู่ที่นั่น พลังปราณที่เปล่งออกมานั้นชวนผวาอย่างยิ่ง!
คล้ายว่ากาลเวลาหยุดหมุน พลังระดับนี้ถึงขั้นแทรกแซงกาลเวลาได้ น่ากลัวเหลือเกิน!
“เจ้าจักกลายมาเป็นทาสของนครพิศวงชั่วกัปชั่วกัลป์!”
เจ้าหลวงตวาดใส่หลิงอินเสียงเย็น แววตาทอประกายอำมหิต
มันมั่นใจในวิชาลับนี้มาก ไม่ว่าหยกคุ้มกายบนตัวหลิงอินน่าทึ่งปานใด ครั้งนี้ก็ต้องระเบิดแหลกลาญในที่สุด!
เมื่อใช้วิชาลับนี้ มันกล้าสู้แม้แต่กับเซียนตัวจริง!
บทที่ 519
วิชาลับสำแดงฤทธิ์ อวกาศทั้งผืนประหนึ่งถูกพลิกผัน พลังพิศวงสยดสยองพลุ่งพล่านซัดสาดไปทั่ว และสสาร ‘พิศวง’ ที่เจ้าหลวงกล่าวถึงคล้ายว่าจะปรากฏกาย มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีเม็ดสสารกำลังรวมตัว ลอยตัวขึ้นไป
“สิ่งเหล่านี้คืออะไรกันแน่!?”
เสี่ยวหยาชาไปทั้งหนังศีรษะ เส้นขนตามตัวลุกชัน
นางมิได้ ‘ไร้เดียงสา’ อีกต่อไป หัวใจมิได้เปราะบางเยี่ยงนั้นอีกแล้ว สามารถยอมรับวัตถุสยดสยองมากมายได้ด้วยความสงบ
ทว่าเมื่อนางรีดเร้นพลังในกายมาที่ดวงตา ภาพที่นางได้เห็นโดยข้ามพ้นขอบเขตของการมองเห็นของตาเปล่ายังเป็นสิ่งที่นางไม่อาจยอมรับได้ สะอิดสะเอียนจนอยากอาเจียน!
เมื่อมองด้วยตาเปล่า เม็ดสสาร ‘พิศวง’ เหล่านั้นหาได้พิเศษแต่อย่างใด พวกมันมีสีเทา แต่ละเม็ดเล็กจิ๋วเสมือนเกลือ ทว่าเมื่อมองโดยข้ามพ้นขอบเขตของการมองเห็นของตาเปล่า ทำการพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด จะเห็นได้ว่าสสาร ‘พิศวง’ เหล่านั้นชวนขนลุกเป็นที่สุด แต่ละเม็ดนั้นเปรียบดั่งผีร้าย อ้าปากกว้าง ฟันด้านในเปื้อนเลือด กำลังกัดขย้ำอย่างโหดร้าย!
สิ่งนี้คือสสารฝึกตนจริงหรือ ดูอย่างไรก็เป็นสสารชั่วร้ายที่พร้อมกลืนกินผู้ฝึกตน การเรียกมันด้วยคำว่า ‘พิศวง’ นับว่าเหมาะสมถูกต้อง!
สสาร ‘พิศวง’ ยั้วเยี้ยนับไม่ถ้วนเหล่านี้กำลังหลอมรวมลอยตัว แต่ละเม็ดอ้าปากขบเขี้ยวเปื้อนเลือด เคลื่อนไหวกันอย่างขวักไขว่และน่ากลัว!
หลิงอินสัมผัสถึงความผิดปกติได้แต่แรก เมื่อครั้งเจ้าหลวงเพิ่งเรียกคทาพิศวงเล่มนั้นออกมา นางก็รู้ว่าเจ้าหลวงตั้งใจปล่อยมหาวิชาบางอย่าง
นางมิได้ลังเล พุ่งเข้าไปทันที ไม่ต้องการให้เจ้าหลวงใช้มหาวิชาพิฆาตนี้
แม้นางจะเชื่อในอานุภาพหยกคุ้มกายของคุณชาย ต่อให้วิชาพิฆาตที่เจ้าหลวงใช้นั้นทรงพลังเพียงใด ก็ไม่มีทางแผ้วพานนางได้
กระนั้นนางยังต้องการขัดขวาง ไม่ยอมให้เจ้าหลวงใช้มหาวิชาพิฆาตสำเร็จ
อารัมภบทวิชาของเจ้าหลวงน่าพรั่นพรึงเกินไป นางกลัวว่าเสี่ยวหยาจะโดนลูกหลงไปด้วย หากมีแค่นาง นางคงไม่คิดขัดการใช้วิชาของเจ้าหลวงเยี่ยงนี้
น่าเสียดาย สุดท้าย นางก็เสียเปรียบในแง่ขอบเขตพลัง แม้ว่าเจ้าหลวงกำลังขับขานบทเพลง แม้ว่าเจ้าหลวงกำลังใช้วิชา กระนั้นก็ยังสยดสยอง ร่างกายถอยหลังเองไม่หยุด รักษาระยะห่างกับนางเสมอ จนนางไม่อาจเข้าใกล้ ไม่อาจหยุดยั้ง
หยกคุ้มกันปกป้องได้เพียงนาง ไม่สามารถโจมตีออกไปได้แต่อย่างใด นางจำต้องประชิดตัวเพื่อยับยั้งการใช้วิชาของเจ้าหลวง
นางไม่อาจเข้าใกล้ หยกคุ้มกันไม่อาจเปล่งพลานุภาพ สุดท้ายเจ้าหลวงก็ใช้วิชาลับนี้สำเร็จ!
ครืนคราน!
ผืนนภาแหลกลาญ สสารพิศวงชวนผวาหลอมรวมในพริบตา ร่างหนึ่งปรากฏกายที่นั่น
นั่นมันร่างแบบใดกัน
หลิงอินมิทราบ
ร่างนั้นพิลึกอย่างยิ่ง ทั้งที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับเหมือนไม่มีอยู่จริง ทั้งที่รู้สึกถึง และยังมองเห็นรูปร่างหน้าตาของมัน กระนั้นมองอย่างไรก็เหมือนว่ามองไม่ชัด คล้ายว่าถูกพลังบางอย่างกีดกั้น
ปริภูมิเวลารอบ ๆ ร่างนั้นบิดเบี้ยวยุ่งเหยิง ประหนึ่งว่ามันมาจากยุคสมัยเก่าแก่ และราวกับย้อนกลับมาจากยุคอนาคตห่างไกล พิศวงน่าเหลือเชื่อเกินไป!
“ฆ่า!”
นางมิได้ลังเล กระโจนตัวขึ้น เป็นฝ่ายบุกไปหาร่างนั้น ไม่อยากให้เสี่ยวหยาโดนลูกหลงไปด้วย
เสี่ยวหยาไม่มีหยกคุ้มกันติดตัว แม้จะมีฉินปี้เทียนชางไห่และบันทึกเพลงฉินที่คุณชายประทาน ทว่า เสี่ยวหยายังไม่สามารถสำแดงพลังทั้งหมดของฉินปี้เทียนชางไห่และบันทึกเพลงฉินออกมาได้ นางไม่รู้ว่าฉินปี้เทียนชางไห่และบันทึกเพลงฉินจะเปล่งพลังคุ้มกันเสี่ยวหยาได้เองหรือไม่
หากฉินปี้เทียนชางไห่และบันทึกเพลงฉินเปล่งพลังได้เอง ต่อให้วิชาลับนี้น่ากลัวปานใด เสี่ยวหยาไม่มีทางได้รับบาดเจ็บ
เพียงแต่นางไม่มั่นใจว่าฉินปี้เทียนชางไห่และบันทึกเพลงฉินเปล่งพลังได้เอง
แม้ว่ามีโอกาสสูงที่ฉินปี้เทียนชางไห่และบันทึกเพลงฉินเปล่งพลังออกมาคุ้มกันเสี่ยวหยาได้เอง แต่กระนั้นท้ายที่สุดก็ยังมีโอกาสที่ฉินปี้เทียนชางไห่และบันทึกเพลงฉินไม่อาจเปล่งพลังได้เองเช่นกัน
เพราะฉะนั้น ให้ดีที่สุดนางควรยับยั้งทุกอย่างนี้ไว้ ไม่ให้เสี่ยวหยาโดนลูกหลง เช่นนี้ถึงจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด!
“ไม่สำเหนียกตนเสียเลย! ‘พลังต้าเหริน’ จุติ หาใช่สิ่งที่เจ้าแผ้วพานได้!?”
เจ้าหลวงยิ้มเย็น เห็นหลิงอินริอ่านเข้าจู่โจม ‘ต้าเหริน’ มันพลันรู้สึกว่าหลิงอินกำลังรนหาที่ตาย
สาเหตุนั้นมิใช่อื่นใด เพราะมันตระหนักถึงความน่าประหวั่นพรั่นพรึงของวิชาลับนี้ดี ร่าง ‘ต้าเหริน’ ที่หลอมรวมขึ้นด้วยพลังพิศวง นำร่องพลัง ‘ต้าเหริน’ ลงมาจุติ หลิงอินไฉนเลยจะแผ้วพานได้!
แม้ว่าตัวมันนั้นยังไม่ทราบที่มาของ ‘ต้าเหริน’ ทว่า วิชาลับนี่ถูกส่งต่อมาพร้อมกับสสารพิศวง เป็นไปได้สูงว่า ‘ต้าเหริน’ คือสิ่งมีชีวิตพิศวงอย่างแท้จริง มาจากมาตุภูมิพิศวง!
พวกเขามิใช่สิ่งมีชีวิตพิศวงตัวจริง แต่เข้าโอบกอดความพิศวงในภายหลัง ต่างจากสิ่งมีชีวิตพิศวงตัวจริงอยู่มาก!
และการเป็นสิ่งมีชีวิตพิศวงตัวจริง คือเรื่องที่สิ่งมีชีวิตต้องการโอบกอดสสารพิศวง อย่างเช่นพวกเขาที่ปรารถนาแม้กระทั่งในยามหลับฝัน!
ทุกสิ่งที่พวกเขากระทำในยามนี้ ล้วนเพื่อให้ได้เป็นสิ่งมีชีวิตพิศวงอย่างแท้จริง!
หลิงอินมิได้สนใจเจ้าหลวง นางปรี่ตัวเข้าไป ปริภูมิเวลาด้านนั้นยุ่งเหยิงไปหมด กระนั้นยังมิอาจหยุดยั้งฝีเท้าของนาง นางก้าวเดินในปริภูมิเวลายุ่งเหยิงนี้ได้อย่างไร้อุปสรรค ไม่ได้รับผลกระทบสักนิด!
“ไม่ใช่แล้ว!”
เมื่อได้เห็นภาพนี้ สีหน้าเจ้าหลวงเปลี่ยนไป ปราศจากความราบเรียบอย่างก่อน
พลัง ‘ต้าเหริน’ จุติแล้วยังต่อกรกับหลิงอินไม่ไหวหรือ!?
เขาอดมีความคิดนี้ขึ้นมาไม่ได้
นั่นก็เพราะเรื่องที่หลิงอินไม่ได้รับผลกระทบจากปริภูมิเวลายุ่งเหยิงสร้างความตื่นตกใจแก่เขา จนเขามีความคิดเช่นนี้
อีกด้าน แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นทับถมลงมา ร่างนั้นเริ่มลงมือ อ้าปากพ่นอสนีบาตสีเทา ราวกับได้ก้าวผ่านกาลเวลาอันเป็นอนันต์เข้ามา น่าประหวั่นพรั่นพรึงเกินไป
ทว่า ภายใต้อาภรณ์กฎแห่งมหาเต๋าที่หยกคุ้มกันถักทอ อสนีบาตสีเทานี้สู้มิได้เลย ทันทีที่เข้าใกล้ก็ถูกลบล้าง ไม่อาจสร้างผลกระทบใด ๆ ได้เลย
ครืนคราน!
ร่างนั้นฟาดฝ่ามือลงมา ปรากฏการณ์ประหลาดน่าหวาดหวั่นก่อเกิด สุริยันจันทรา ดวงดารานับล้าน ล้วนแหลกเหลวในฝ่ามือของมัน สรรพสิ่งทั้งปวงถูกบดทำลาย!
ทว่าเมื่อมาถึงหลิงอิน ฝ่ามือนั้นไม่อาจแตะต้องแม้แต่ชายเสื้อหลิงอิน ก็ระเบิดแหลกลาญในพริบตา สสาร ‘พิศวง’ กลายเป็นผงธุลี!
“!!!”
เจ้าหลวงนิ่งค้าง เป็นไปได้อย่างไรกัน...
หยกคุ้มกันที่หลิงอินห้อยคอไว้สยดสยองปานนี้เชียวหรือ!?
นี่มันของวิเศษระดับใดกัน!?
“เหอะ จงสลายไปเสียเดี๋ยวนี้!”
เวลานั้น หลิงอินบุกเข้าไปประชิดตัวร่างนั้น ไม่มีพลังใดกีดขวางนางได้ นางตบบ่าร่างนั้นเบา ๆ
เพียงเสี้ยววินาที ร่างนั้นพังครืนลงอย่างสิ้นเชิง สสาร ‘พิศวง’ ทั้งหมดถูกกำจัด สลายหายไปอย่างสิ้นเชิง!
“นี่มัน…นี่มัน…นี่มัน!”
บุรุษวัยกลางคนขนขาวตกใจจนทรุดตัวกับพื้น เสียงตะกุกตะกัก แบบนี้น่ากลัวไปแล้ว!
“ไป ๆ! นครแห่งนี้เราไม่เอาแล้ว!”
เจ้าหลวงเด็ดขาดมาก เมื่อรู้ว่าเขาสู้หลิงอินมิได้ ก็มิได้ต่อสู้ยืดเยื้ออีก คิดจะหนีจากที่นี่
เขามองออกแล้วว่าหยกคุ้มกันบนตัวหลิงอินทำได้แค่คุ้มกันหลิงอิน ไม่อาจสร้างแรงโจมตีให้หลิงอินได้
หากหยกคุ้มกันนั้นสร้างแรงโจมตีให้หลิงอินได้ หลิงอินไม่จำเป็นต้องเหนื่อยเข้าใกล้ ขอเพียงโจมตีครั้งเดียวก็จัดการได้ทุกสิ่ง
“พา ‘ทาส’ ทุกตนไปให้หมด!”
เขาออกคำสั่ง ให้สมาชิกในสถานที่แห่งนี้เริ่มปฏิบัติการ พาตัว ‘ทาส’ ทุกตนหลบหนี
ส่วนตัวเขาเอง หนีไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่คิดพา ‘ทาส’ ไปด้วยแม้แต่น้อย
หลิงอินและเสี่ยวหยาพิสดารเกินไป มองไม่ออกเลย เขากลัวจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอีก จนตัวเขาเองพลอยจบสิ้นไปด้วย
แม้ว่า ‘ทาส’ เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เกี่ยวพันถึงแผนการในอนาคตของพวกเขา
ทว่าสำคัญเพียงใดก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของตน!
บทที่ 520
เจ้าหลวงหนีไปทันที ไม่มีเรื่องใดสำคัญกว่าชีวิตของเขา!
เขาหนีไปยังนครพิศวงแห่งอื่น
ครานั้นสสารพิศวงรั่วไหล กระจายตัวไปตามที่ต่าง ๆ สิ่งมีชีวิตไม่น้อยเลือกโอบกอดความพิศวง สร้างนครมากมายขึ้นในเอกภพ
นครของเขาไม่ถือว่าใหญ่ ความบริสุทธิ์ของสสารพิศวงมีเพียงเบาบาง ในนครพิศวงแห่งใหญ่อย่างแท้จริง ความบริสุทธิ์ของสสารพิศวงสูงยิ่งกว่านี้ สิ่งมีชีวิตที่นั่นเชือดเซียนได้แน่นอน ไม่เหมือนกับเขา เป็นเพียงครึ่งก้าวเซียน
“อ๊าก ๆๆ!”
เขาหนีหัวซุกหัวซุนไปทั้งทาง คำรามกราดเกรี้ยวไปทั้งทาง เจ็บใจเหลือคณา
แม้ว่านครของเขามิได้ใหญ่โต กระนั้นเขาก็สร้างขึ้นด้วยมือของตน ทุ่มเทแรงกายแรงใจลงไปมาก ยามนี้ต้องยอมทิ้งไปทั้งอย่างนี้ ไฉนเลยจะไม่เจ็บใจ
“หวังว่าจะพา ‘ทาส’ ออกมาได้มาก!”
เขาเอ่ยอย่างเปี่ยมความหวัง
‘ทาส’ มีประโยชน์มหาศาลในอนาคต นครพิศวงต่าง ๆ ล้วนทุ่มเทกำลังสร้าง ‘ทาส’ เขาหวังให้สมาชิกในนครของเขาพา ‘ทาส’ ออกมาได้ในจำนวนมาก
‘ทาส’ ที่ว่านี้ คือสิ่งมีชีวิตขนแดงทั้งหลายซึ่งมีโซ่ตรวนล่ามไว้เฉกเช่นพี่ชายของเสี่ยวหยา
‘ทาส’ เหล่านี้เป็นฝ่ายถูกความพิศวงเข้าโอบกอด สติสัมปชัญญะถูกลบล้างไปนานแล้ว กลืนกินโดยสสารพิศวง ไม่ต่างสิ่งใดจากซากศพเดินได้
จะว่าไป ผู้ที่เจ้าหลวงชื่นชมที่สุดเห็นจะเป็นพี่ชายของเสี่ยวหยา เขาหมายใจให้พี่ชายของเสี่ยวหยาเข้าโอบกอดสสารพิศวงเสียเอง เพื่อรักษาสติสัมปชัญญะบางส่วนไว้
หากว่าจิตใจนั้นไม่ต้องการโอบกอดสสารพิศวงเอง จักไม่อาจคงสติสัมปชัญญะไว้ได้
อนิจจา ให้ตายอย่างไรพี่ชายของเสี่ยวหยาก็ไม่ยอมจำนน สุดท้ายเขาก็จนปัญญา ได้แต่ส่งพี่ชายของเสี่ยวหยาไปเป็น ‘ทาส’ กลายเป็น ‘ทาส’ ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
และเรื่องที่เขารู้สึกเสียดายยิ่งกว่านั้นคือ เขายังมิได้เห็นพี่ชายของเสี่ยวหยากลายเป็น ‘ทาส’ ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย!
“พาไปด้วยบ้าบอกระไร เจ้าหลวงยังหนีไปแล้ว! ข้าไม่สนหรอก!”
บุรุษวัยกลางคนขนขาวหนีอุตลุดหายไปในพริบตา ไม่แยแส ‘ทาส’ เหล่านั้นเลยสักนิด
พับผ่าสิ บัดนี้พวกเขาเอาตัวรอดยังยาก จะให้พา ‘ทาส’ หนีไปด้วยอีกหรือ
คิดอะไรอยู่!
เขาไม่ทำเรื่องโง่ ๆ พรรค์นั้นหรอก!
ถึงอย่างไรเจ้าหลวงก็หนีไปแล้ว ไม่มีทางทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ ถึงเวลาหากเจ้าหลวงถามหาความผิด เขาอ้างได้ว่าความสามารถไม่พอ อย่างไรเจ้าหลวงก็ประจักษ์ถึงความน่ากลัวของหลิงอินมาแล้ว
การตัดสินใจของเขานั้นถูกต้องอย่างยิ่ง หลังเจ้าหลวงหนีไป เขาก็หนีไปในทันที มิได้อยู่ต่อ ส่วนสมาชิกตนอื่นภายในนครถูกทิ้งไว้ทั้งหมด
หลิงอินและเสี่ยวหยากลัวพวกเขาพาพี่ชายของเสี่ยวหยาไป พวกนางยืมพลังจากบันทึกเพลงฉิน ผนึกพื้นที่แห่งนี้ไว้โดยไม่ลังเล
เพื่อให้ผนึกได้สมบูรณ์ หลิงอินเรียกฉินเฟิ่งหมิงออกมา ผสานกำลังร่วมผนึกกับเสี่ยวหยา
อานุภาพของฉินเฟิ่งหมิงเพิ่มพูนแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยบันทึกเพลงฉินได้เช่นกัน นอกจากเจ้าหลวงและบุรุษวัยกลางคนขนขาวที่หนีไปในทันที สิ่งมีชีวิตที่เหลือถูกรั้งให้อยู่ที่นี่ต่อโดยไม่มีข้อยกเว้น
หลิงอินต้องการล่วงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ความพิศวง’ ให้มากขึ้นจากสิ่งมีชีวิตในนครพิศวงที่อยู่ที่นี่ น่าเสียดาย สิ่งมีชีวิตในนครพิศวงเหล่านี้รู้เรื่องไม่มากนัก ที่รู้ก็เป็นเพียงผิวเผิน ไม่มีข้อมูลที่มีประโยชน์เท่าใด
“ฆ่า!”
นางมิได้ลังเล สังหารสิ่งมีชีวิตในนครพิศวงเหล่านี้จนสิ้น
สิ่งมีชีวิตในนครพิศวงเหล่านี้เลือกโอบกอดความพิศวงด้วยตนเอง เก็บไว้มิได้เด็ดขาด มิฉะนั้น ต้องเกิดหายนะแน่
ส่วนสิ่งมีชีวิตขนแดงอย่างพี่ชายของเสี่ยวหยา นางก็มิได้ละเว้น กำจัดไปทั้งปวง
จะว่าไป สิ่งมีชีวิตขนแดงเหล่านี้น่าสงสารยิ่ง พวกมันมิได้เป็นฝ่ายโอบกอดสสารพิศวงด้วยตนเอง หากแต่ถูกบังคับ
นางคิดอยากปล่อยสิ่งมีชีวิตขนแดงเหล่านี้ไป
ทว่านางรู้ดี สิ่งมีชีวิตขนแดงเหล่านี้เก็บไว้มิได้เช่นกัน
สติสัมปชัญญะของสิ่งมีชีวิตขนแดงเหล่านี้ถูกสสารพิศวงกลืนกินไปนานแล้ว เก็บไว้ต้องกลายเป็นหายนะเช่นกัน
นางช่วยขจัดสสารพิศวงในร่างกายสิ่งมีชีวิตขนแดงเหล่านี้ได้อยู่ ทว่าทำเช่นนั้นไม่มีความหมายเลยสักนิด
พริบตาที่สติสัมปชัญญะถูกกลืนกิน พวกเขาก็ตายไปนานแล้ว ต่อให้นางช่วยขจัดสสารพิศวงออกไป พวกเขาก็ไม่มีทางได้มีชีวิตต่อ รังแต่จะกลายเป็นศพไปตาม ๆ กัน
“เสี่ยวหยา…ใช่เจ้าจริงหรือ ข้ามิได้ฝันไปใช่หรือไม่!”
เสี่ยวหยาวิ่งไปอยู่ข้างกายพี่ชายของนาง ดวงตามหึมาของพี่ชายนางมีน้ำตาหลั่งริน อย่างไรก็เชื่อไม่ลงว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง พี่ชายของนางคิดว่าตนฝันไป
“ท่านพี่ ใช่ข้าจริง ๆ ท่านมิได้ฝันไป!”
เสี่ยวหยาร้องไห้อยู่เช่นกัน ร้องไห้อย่างร้าวราน มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปตามร่างกายของพี่ชายอย่างสั่นเทา ผ่านมาตั้งนานนมเยี่ยงนี้ พี่ชายของนางถูกจองจำอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ต้องทรมานแสนสาหัสสักเพียงใด!
นางไม่กล้าคิดเลย…
“มิได้ฝันไปหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน”
พี่ชายเสี่ยวหยาส่ายหัว น้ำตาร่วงเผาะ ปากส่งเสียงพึมพำ “ข้าอยากกลับบ้านเหลือเกิน กลับบ้านไปพบกับเจ้าตัวจริง แต่พี่นั้นไร้ประโยชน์ ทำอย่างไรก็ทำมิได้ พวกเขาไม่ยอมปล่อยให้พี่ไป อ๊าก ๆๆ! เหตุใดพี่ถึงไร้ประโยชน์เช่นนี้ พี่เคยบอกแท้ ๆ ว่าจะปกป้องเจ้าไปตลอดชีวิต!”
เขายังไม่เชื่อว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง และ ‘ฝัน’ ที่ได้พบกับเสี่ยวหยาเช่นนี้ เขาฝันมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว…
หากมิใช่ว่าในใจเขามีความดึงดันอยากพบเสี่ยวหยาอยู่ เขาไม่มีทางยืนหยัดมาได้ถึงป่านนี้ คงถูกสสารพิศวงกลืนกินไปนานแล้ว
“ท่านพี่ นี่มิใช่ฝันจริง ๆ เสี่ยวหยามาแล้ว เสี่ยวหยาจะพาท่านพี่กลับไป!”
เสี่ยวหยาเอ่ยเสียงร้องไห้ “มิใช่ว่าท่านพี่ไร้ประโยชน์ ท่านพี่คือพี่ชายที่ดีที่สุดในใต้หล้า ในใจของข้า ท่านพี่คือพี่ชายที่เก่งกาจที่สุด!”
นางบรรเลงฉินปี้เทียนชางไห่ พลังแกร่งกล้าซัดสาด ตัดโซ่ตรวนที่พันธนาการพี่ชายของนางไว้
“ฝันครั้งนี้พิเศษยิ่ง…”
ใบหน้าพี่ชายของเสี่ยวหยาเจือรอยยิ้มปลื้มปริ่ม ฝ่ามือมโหฬารของเขาลูบผมเสี่ยวหยาแผ่วเบา “ต่อให้เป็นแค่ฝัน พี่ก็ดีใจ ขอเพียงได้พบเจ้า พี่ก็ดีใจแล้ว!”
“มิใช่ฝัน ทั้งหมดนี้คือความจริง ข้ากับเสี่ยวหยามาช่วยเจ้าแล้ว”
เวลานั้น หลิงอินจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เหินตัวเข้ามาบอกกับพี่ชายเสี่ยวหยา
จากนั้น นางบอกกับเสี่ยวหยา “เสี่ยวหยา พวกเราผนึกกำลังขจัดสสารพิศวงในตัวพี่ชายเจ้าออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
พี่ชายเสี่ยวหยาแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตขนแดงตัวอื่น พี่ชายเสี่ยวหยายังมีสติสัมปชัญญะอยู่ ต่อให้ขจัดสสารพิศวงออกไปก็ไม่มีทางกลายเป็นศพ
“ได้!”
เสี่ยวหยาพยักหน้า ก่อนจะบอกกับพี่ชายของนาง “ท่านพี่ อีกเดี๋ยวเราค่อยคุยกัน!”
นางลงมือกับหลิงอิน ต่างคนต่างเรียกฉินออกมา ร่วมบรรเลงบทเพลง
เหนือหัวพวกนาง บันทึกเพลงฉินส่องแสงแวววาว จังหวะแห่งเต๋าสูงส่งไหลเวียน แสงมงคลจรดลงมาคณานับ เพิ่มพูนความได้เปรียบแก่พวกนางมหาศาล
คล้อยตามเสียงฉินที่บรรเลงอยู่ ตัวพี่ชายเสี่ยวหยาเริ่มมีสสารพิศวงลอยออกมา แหลกลาญดับสลาย และขนยาวสีแดงที่เคยงอกอยู่เต็มกายพี่ชายเสี่ยวหยาก็ค่อย ๆ หายไปทีละน้อย!
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง สสารพิศวงทั้งหมดในตัวพี่ชายเสี่ยวหยาถูกขจัดจนสิ้น อีกทั้งไม่เหลือขนแดงบนตัวแม้แต่น้อย!
พี่ชายของเสี่ยวหยากลายเป็นคนปกติอย่างสมบูรณ์!