431-435

บทที่ 431

รัตติกาลโรยตัวลงมา ตงฟางเวิ่นออกจากลานเล็กของตน มาอยู่ที่บ้านท่านเซียน


ท่านเซียนกำลังตุ๋นเนื้อ ไม่ทันเข้าไปเขาก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อโชยชาย จมูกเอาแต่สูดดมกลิ่นนี้อย่างอดไม่ได้


“หอมเกินไปแล้ว!”


เขาเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้


ขอบเขตพลังระดับเขา ไม่รู้ว่าไม่ได้กินข้าวมานานเท่าใดแล้ว นี่เพราะเขานอนหลับมานานเกินไป


ทว่าบัดนี้ เขากลับเหมือนปุถุชนที่หิวโหยจนไม่รู้อดอาหารมากี่มื้อ ในใจคิดเพียงอยากลิ้มรสเนื้อสักชิ้น!


เขากลืนน้ำลายเอื๊อก ต่อให้อยู่ในขั้นตี้จวินแล้ว ก็ยังต้านกลิ่นหอมของเนื้อนี้มิได้ เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะควบคุมตัวเอง ยับยั้งน้ำลายไว้ได้


“คุณชาย!”


ตงฟางเวิ่นมิกล้าผลีผลามเข้าไปในร้านของคุณชาย จึงเคาะประตูร้านสองสามที และตะโกนเข้าไปข้างใน


“มาแล้วหรือ พอดีเลย เนื้อใกล้สุกแล้ว”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “มาสิ เข้ามาเถิด”


ชายหนุ่มพาอีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในลานเล็ก บอกให้ตงฟางเวิ่นนั่งก่อน ส่วนตัวเขาเดินเข้าไปในครัว


เนื้อใกล้สุกแล้ว หลี่จิ่วเต้าเตรียมรอเอาเนื้อขึ้นจากหม้อ


ภายในลาน อย่าให้พูดเลยว่าตงฟางเวิ่นนั้นประหม่าเพียงใด เขาถือเป็นคนที่เห็นอะไรมาเยอะแล้ว ตำแหน่งในกองกำลังฮวงเฉวียนหรือก็สูงส่ง อายุอานามก็ค่อนข้างมาก


ทว่าบัดนี้ เขาที่อยู่ในลานของท่านเซียนกลับเหมือนกบก้นบ่อที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน ทุกสิ่งในลานของท่านเซียนล้วนเปลี่ยนโลกทัศน์ของเขา สูงส่งเกินหยั่ง น่าทึ่งสุด ๆ!


อาวุธมหาจักรพรรดิหรือ โอสถมหาจักรพรรดิหรือ มิได้สลักสำคัญเมื่อเทียบกับของของท่านเซียน สิ่งของทุกชิ้นในลานท่านเซียนล้วนเหนือชั้นกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิ หรือโอสถจักรพรรดิ!


‘เดี๋ยวก่อน…นั่นคือหทัยแห่งกาลเวลาใช่หรือไม่!?’


ขณะที่ตงฟางเวิ่นสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ เขาก็เหลือบไปเห็น ‘ตู้เย็น’ หรือก็คือผลึกเวลาในห้องครัว จากนั้น หัวใจของเขาพลันกระตุกวูบ


ถึงอย่างไรเขาก็เป็นตี้จวินตนหนึ่ง ต่อให้เขาอำพรางพลัง ก็ยังมองเห็นพลังแห่งกาลเวลาอันรุนแรงที่ไหลเวียนอยู่ในหทัยแห่งกาลเวลา!


หทัยแห่งกาลเวลา!


ยุคอลหม่านปรัมปรา!


ยุคสมัยที่หายสาบสูญ ยุคสมัยที่ไม่เหลือบันทึกไว้แม้แต่น้อย ยุคสมัยที่สิ่งมีชีวิตแทบทุกตนหายไปกลางอากาศดื้อ ๆ!


และจุดกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมด ล้วนมาจากหทัยแห่งกาลเวลา


‘ในกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา กองกำลังฮวงเฉวียนตามหาหทัยแห่งกาลเวลาสุดความสามารถมาโดยตลอด รวมถึงเก้าแดนต้องห้าม และกองกำลังอื่น ๆ ที่ไม่ทราบที่มา!’


เขาคิดในใจ


หทัยแห่งกาลเวลาถือเป็นเรื่องใหญ่ กองกำลังเหนือจินตนาการมากมายต่างออกค้นหาหทัยแห่งกาลเวลาเต็มกำลัง!


แต่ไม่ว่ากองกำลังไหน สุดท้ายก็หาหทัยแห่งกาลเวลาไม่พบ ไม่มีแม้แต่เบาะแสสักนิด


พวกเขาคาดการณ์ว่าหทัยแห่งกาลเวลากลับสู่ดินแดนนั้นแล้วหรือไม่!


ตงฟางเวิ่นคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะได้พบหทัยแห่งกาลเวลาที่นี่!


ภูมิหลังกองกำลังฮวงเฉวียนลึกเกินหยั่ง และมิใช่กองกำลังจากอาณาจักรนี้ สมาชิกเสาหลักจริง ๆ ของกองกำลังฮวงเฉวียนล้วนมาจากอาณาจักรฮวงเฉวียน!


ในหมู่อาณาจักรนับหมื่นของโลกนี้ มีอาณาจักรมากมายไม่เป็นที่รู้จักของผู้คน แต่กลับทรงพลังถึงขีดสุด ทรงพลังยิ่งกว่าอาณาจักรเก้าตอนบนเสียอีก!


และอาณาจักรฮวงเฉวียนคืออาณาจักรระดับนี้ที่แข็งแกร่งมากพอ จนอยู่เหนืออาณาจักรเก้าตอนบน


และเฉกเช่นอาณาจักรเก้าแดนต้องห้ามซึ่งอยู่เบื้องหลังเก้าแดนต้องห้าม พวกมันก็เช่นกัน น้อยนักจะออกมาเคลื่อนไหวข้างนอก ผู้ที่รู้ถึงการมีอยู่ของพวกมันน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ทว่ากำลังในแต่ละด้านกล้าแกร่งจนเหนืออาณาจักรเก้าตอนบน


หากมิใช่ว่าอาณาจักรเหล่านี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ตำแหน่งของอาณาจักรเก้าตอนบนย่อมต้องถูกแทนที่


‘กองกำลังเหล่านี้ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือรอการปรากฏของดินแดนนั้น!’


ตงฟางเวิ่นเอ่ยในใจ


ในฐานะสมาชิกขั้นห้าเครือข่ายข่าวสารฮวงเฉวียน เขาพอรู้เรื่องอยู่บ้าง


ทว่าสิ่งที่เขารู้มีจำกัด ไม่ครบถ้วน


เขามิใช่สมาชิกเสาหลักของกองกำลังฮวงเฉวียน และมิได้มาจากอาณาจักรฮวงเฉวียน ในเครือข่ายข่าวสารขั้นห้า เขานั้นถือว่าธรรมดา ไม่ใช่สมาชิกที่เก่งกาจหรือโดดเด่นที่สุด


ตงฟางเวิ่นรู้แต่เพียงที่กองกำลังฮวงเฉวียนจัดตั้งเครือข่ายข่าวสารขั้นห้า ก็เพื่อดินแดนนั้น!


ที่อาณาจักรเก้าแดนต้องห้าม รวมถึงอาณาจักรอื่น ๆ ซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก สมัครใจมาเยือนอาณาจักรนี้ก็เพื่อดินแดนนั้นเช่นกัน!


ทว่าดินแดนนั้นเป็นสถานที่เช่นไรกันแน่ เขาไม่แน่ใจนัก และไม่รู้เรื่องด้วย เพียงแต่จากเรื่องราวที่เขารับรู้มาอย่างจำกัด คล้ายว่าดินแดนนั้นเกี่ยวข้องกับเซียน!


หทัยแห่งกาลเวลาตกหล่นมาจากดินแดนนั้น!


“สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่หายไปกับยุคอลหม่านปรัมปราเหมือนจะถูกหทัยแห่งกาลเวลาส่งไปยังดินแดนนั้น…”


สิ่งมีชีวิตแทบทุกตนในยุคอลหม่านปรัมปราหายไปหมด


ทว่ายังมีข้อยกเว้น


อย่างเช่นกองกำลังฮวงเฉวียน และสิ่งมีชีวิตนอกอาณาจักรอย่างอาณาจักรเก้าแดนต้องห้ามมิได้หายไป ไม่ได้รับผลกระทบจากหทัยแห่งกาลเวลา


นับเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก จนบัดนี้พวกเขายังคิดไม่ตกว่า เหตุใดพวกเขาถึงไม่ได้รับผลกระทบจากหทัยแห่งกาลเวลา


เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะพวกเขามิใช่สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นของอาณาจักรนี้


พวกเขาไม่แน่ใจ แต่มีความปรารถนาในหทัยแห่งกาลเวลาอย่างแรงกล้า พวกเขาต้องการหาหทัยแห่งกาลเวลาให้เจอ แล้วเข้าไปยังดินแดนนั้น


ทว่าน่าเสียดาย หทัยแห่งกาลเวลาเป็นเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตในยุคอลหม่านปรัมปรา อันตรธานสาบสูญ ไม่ว่าพวกเขาค้นหาอย่างไรก็ไม่เป็นผล


‘ความคิดของท่านเซียนมิใช่สิ่งที่คนอย่างเรา ๆ จะคาดการณ์ได้จริง ๆ ถึงกับใช้หทัยแห่งกาลเวลาในการ…รักษาความสดใหม่ของอาหาร!?’


หลังได้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าภายในหทัยแห่งกาลเวลาบรรจุสิ่งใด ตงฟางเวิ่นก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรใช้คำใดอธิบาย


ของวิเศษอันแฝงไว้ด้วยกาลเวลาที่กองกำลังมากมายพยายามค้นหา มิหนำซ้ำยังทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งยุคสมัยหายวับไป ท่านเซียนกลับใช้ในการเก็บรักษาอาหารอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่…


น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


“นั่นคือ…ลูกแก้วเซียนเพลิงหิมพานต์!”


ตงฟางเวิ่นหันไปเห็นลูกแก้วเซียนเพลิงหิมพานต์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในห้องโถงหลัก เขาสะดุ้งในใจอีกครั้ง นี่คือสิ่งที่ตกหล่นจากดินแดนเดียวกัน!


มันเคยถูกครอบครองโดยราชวงศ์อวี่ฮว่า ต่อมา ราชวงศ์อวี่ฮว่าก็แข็งแกร่งขึ้นทวีคูณ เพราะลูกแก้วนี้ จนได้ปกครองทั้งอาณาจักร เผ่านับหมื่นล้วนอยู่ใต้บัญชา!


‘ราชวงศ์อวี่ฮว่าหยิ่งผยองเกินไป ไม่รู้จักเก็บงำเสียบ้าง ไม่รู้เลยว่าอาณาจักรนี้มิได้ธรรมดาเท่าที่เห็น’


ตงฟางเวิ่นเอื้อนเอ่ยในใจ “หากราชวงศ์อวี่ฮว่าเพลา ๆ ความเอิกเกริกลง ไม่กำแหงถึงปานนั้น ท้ายที่สุดก็คงไม่ต้องพบจุดจบถูกฆ่าล้างบางจนไม่เหลือ”


ผู้อื่นอาจไม่รู้ความจริงของการล่มสลายของราชวงศ์อวี่ฮว่า ทว่าเขานั้นรู้ดี


ราชวงศ์อวี่ฮว่ายิ่งใหญ่กำแหงเกินไป เป็นที่สนใจของกองกำลังจำนวนหนึ่ง สุดท้ายจึงถูกเข่นฆ่าโดยกองกำลังเหล่านั้น ราชวงศ์แห่งยุคล่มสลายอย่างสิ้นเชิง


เขาคิดว่าลูกแก้วเซียนเพลิงหิมพานต์ถูกกองกำลังพวกนั้นเอาไปด้วย แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะได้เห็นลูกแก้วเซียนเพลิงหิมพานต์ที่บ้านของท่านเซียน!


‘ท่านเซียนมาจากดินแดนนั้นหรือ’


เขาคิดในใจอย่างอดไม่ได้


หทัยแห่งกาลเวลา ลูกแก้วเซียนเพลิงหิมพานต์ ล้วนเป็นของจากดินแดนนั้น บัดนี้กลับมาอยู่ในบ้านท่านเซียนทั้งสิ้น ท่านเซียนเกี่ยวข้องกับดินแดนนั้นหรือ


‘นิมิตหมายของการปรากฏตัวของดินแดนนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในยุคอลหม่านปรัมปราจะปรากฏตัวอีกครั้งหรือไม่’


ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจตงฟางเวิ่น


พวกเขาคาดการณ์ว่าสิ่งมีชีวิตในยุคอลหม่านปรัมปราถูกหทัยแห่งกาลเวลาโอนย้ายไปยังดินแดนนั้น สิ่งมีชีวิตในยุคอลหม่านปรัมปราจะปรากฏกายต่อหน้าผู้คนอีกครั้ง พร้อมกับการปรากฏของดินแดนนั้นหรือไม่


ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้...

บทที่ 432

เมื่อเนื้อตุ๋นได้ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล หลี่จิ่วเต้าก็ตักมันขึ้นมาใส่น้ำชามก่อนยกออกมา


ชายหนุ่มยังนำสุราออกมาอีกหนึ่งไห สุรานี้เป็นสุราอ่อนฤทธิ์ไม่แรงมากนัก


หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว เขายังต้องการจะเล่นหมากล้อมกับตงฟางเวิ่น จึงไม่นำสุราฤทธิ์แรงออกมา


หากพวกเขาทั้งสองคนเมาก็คงไม่สามารถเล่นหมากล้อมได้


หลี่จิ่วเต้ารินสุราให้อีกฝ่ายหนึ่งจอก ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “สุรานี้ไม่แรงมากนัก ดื่มไปก็ไม่ทำให้เมา ท่านลองชิมดู”


“ตกลง”


ตงฟางเวิ่นยกจอกสุราขึ้นดื่มกับท่านเซียน


สุรานี้ไม่แรง รสสัมผัสนุ่มละมุน หลังจากดื่มเข้าไปหนึ่งอึกกลิ่นหอมก็ลอยอบอวลเต็มปาก ตงฟางเวิ่นตื่นตัวขึ้นมา ทันใดนั้นก็กระดกสุราลงไปหมดจอกในคราเดียว


“สุราดี สุราดียิ่ง!”


เขากล่าวชมออกมาจากใจจริง เพราะไม่เคยดื่มสุราที่ดีขนาดนี้มาก่อน


กล่าวตามจริงแล้ว เขาเคยดื่มสุรามาไม่น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นสุราชั้นเลิศทั้งล้ำค่าและหายากเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าตัวเขานั้นชอบดื่มสุรา แต่เป็นเพราะยามเขาทำภารกิจ บางครั้งผู้ที่เป็นเป้าหมายก็ชื่นชอบการร่ำสุรา ดังนั้นเขาจึงเคยลิ้มลองสุราชั้นเลิศมาไม่น้อย


ทว่าเมื่อเทียบกับสุราของท่านเซียน สุราที่เขาเคยดื่มมาก่อนหน้าล้วนประหนึ่งน้ำเปล่า ห่างไกลจนเทียบชั้นไม่ได้!


“สุรารสเลิศอย่างยิ่ง!”


ภายในใจของเขาตื่นตะลึง สุรานี้ประกอบด้วยแก่นแท้ชีวิตมากมายมหาศาล หลังจากที่เขาดื่มเข้าไป ก็สามารถรับรู้ได้ว่าแก่นชีวิตในร่างกายกำลังเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง อายุขัยของเขายืนออกไปอย่างมาก เทียบในแง่อายุไขเพียงอย่างเดียวตัวเขาเกือบเทียบได้กับขั้นเทียนตี้แล้ว!


สรรพคุณของสุรายังไม่หมดเพียงแค่นี้!


เขามีความรู้สึกคล้ายพร้อมจะตระหนักรู้แจ้งในทุกด้าน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรอย่างเช่นด้านการฝึนตนและเต๋าก็สามารถประสบผลสำเร็จเพียงสองเท่า ด้วยการออกแรงเพียงครึ่งเดียว!


“รสเลิศหรือ?”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “นี่คือสุราที่ข้าบ่มขึ้นมาเอง ยังมีเหลืออยู่อีกมาก ไว้ข้าจะแบ่งให้บางส่วนก่อนท่านจะไป”


“ข..ข...ขอบพระคุณคุณชาย!”


ตงฟางเวิ่นตื้นตันใจ สุรานี้กล่าวว่าเป็นสมบัติสูงสุดของท่านเซียนไม่ใช่เรื่องเกินจริง ท่านเซียนกลับบอกว่าจะแบ่งมันให้กับเขาบางส่วน เขา...เขาตื้นตันจนพูดไม่ออก


เขารู้สึกตื่นตันใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาเสียด้วยซ้ำ


ไม่มีใครเคยดีกับเขาขนาดนี้มาก่อน!


“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ มา พวกเรามากินเนื้อกันเถอะ”


หลี่จิ่วเต้ายิ้มให้ชายชราตรงหน้า ก่อนจะชวนอีกฝ่ายกินเนื้อ


ตงฟางเวิ่นใช้ตะเกียบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมาใส่ปาก รสชาติของมันอร่อยมากจนเขาคาดไม่ถึง


ก่อนหน้านี้ที่เขาได้กลิ่นก็รับรู้แล้วว่าเนื้อจะต้องอร่อยอย่างแน่นอน ทว่าเมื่อเขากินเข้าไปจริง ๆ ถึงเพิ่งรู้ว่าเนื้ออร่อยถึงเพียงไหน อร่อยเสียยิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก


อีกทั้งด้านในเนื้อยังเปี่ยมด้วยขุมพลังอันเหลือเชื่อ หลังจากกินเข้าไป พลังในเนื้อก็ไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขาทันที ทำให้ตัวของเขาได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล ความแข็งแกร่งของร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง!


สังขารของเทียนตี้!


เขารู้สึกเหลือเชื่อ รับรู้ได้ว่าความแข็งแกร่งของร่างกายเขาไม่ด้อยไปกว่าเทียนตี้อย่างแน่นอน มันทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อ!


เขาเพิ่งกินเนื้อไปเพียงหนึ่งชิ้น ร่างกายกลับแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ จะให้เขาไม่รู้สึกเหลือเชื่อได้อย่างไร!


สวรรค์ กายาของเทียนตี้นั้นไม่มีค่าอันใดสำหรับท่านเซียน เพียงแค่เนื้อหนึ่งชิ้นก็สามารถทำให้เขาบรรลุได้แล้ว ท่านเซียนช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน!


เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก บางทีคำว่าเซียนอาจไม่เพียงพอสำหรับใช้นิยามท่านเซียน ท่านเซียนอาจมีพลังมากเสียยิ่งกว่าเซียน!


อาหารมื้อนี้ทำให้ตงฟางเวิ่นตระหนักรู้ขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดมาก่อนว่าอาหารมื้อหนึ่งจะพิเศษได้ถึงเพียงนี้ ดีเสียยิ่งกว่าโอกาสวาสนาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใด ๆ!


“มาเล่นหมากล้อมกันอีกสักตาไหม?”


หลังจากทานเสร็จเรียบร้อย หลี่จิ่วเต้าก็ถามอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


กล่าวตามตรงแล้ว หลังจากที่ทักษะหมากล้อมเต็มแล้ว เขาก็เล่นหมากล้อมจำนวนนับครั้งได้ เนื่องจากไม่มีใครสามารถเป็นคู่มือของเขาได้ ซ้ำยังทิ้งห่างกันมากเกินไป


เขาชื่นชอบการเล่นหมากล้อมมาก แต่น่าเสียดายที่ไร้คู่ต่อกร


ทว่าตอนนี้มีตงฟางเวิ่นแล้ว แม้ทักษะหมากล้อมของเขาจะดีกว่ามาก ทว่าก็ยังพอจะเล่นกับเขาได้ ตอนนี้เขาจึงต้องการจะเล่นหมากล้อมกับตงฟางเวิ่นเพื่อลดความคั่นเนื้อคั่นตัวอยากเล่นหมากล้อมของตน


“ตกลง!”


ชายชราตอบรับทันทีด้วยความสุขอย่างมาก


ท่านเซียนเล่นหมากล้อมกับเขา แท้จริงแล้วคือการสอนวิถีหมากล้อมให้กับเขา


‘ยังจะต้องไปหาฝึกวิถีเต๋าที่ไหนอีก ต่อแต่นี้ไปวิถีหมากล้อมจะเป็นวิถีหลักของข้า!’


เขาตะโกนขึ้นมาในใจ ตัดสินใจเลือกวิถีหมากล้อมเป็นเส้นทางหลัก


ท่านเซียนชี้แนะวิถีหมากล้อมให้เขาหลายครั้ง กระทั่งตอนนี้ก็ยังจะชี้แนะวิถีหมากล้อมให้ ตัวเขาบนวิถีหมากล้อมย่อมต้องสว่างสดใสก้าวหน้าไร้ที่สิ้นสุด!


วิถีอื่นที่เขาฝึกฝนมาก่อนกระทั่งเป็นเส้นทางหลัก เมื่อเทียบกับวิถีหมากล้อมแล้วนับว่าไร้ซึ่งอนาคต


หลี่จิ่วเต้าลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบกระดานและตัวหมากออกมา ก่อนจะเริ่มเล่นหมากล้อมกับตงฟางเวิ่น


อาการคันไม้คันมือต้องการเล่นหมากล้อมของเขานับว่าไม่เบาเลยจริง ๆ เขาเล่นหมากล้อมกับตงฟางเวิ่นจนดึกดื่น กว่าจะรู้ตัวและหยุดเล่นก็ดึกมากเสียแล้ว


ในด้านของตงฟางเวิ่นไม่ต้องกล่าวเลยว่าเขาได้รับประโยชน์มากมายเพียงใดจากการเล่นหมากล้อม ความเข้าใจในวิถีหมากล้อมของเขาเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง จนถึงระดับสูงเป็นอย่างยิ่ง


สาเหตุหลักเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาเพิ่งดื่มสุราเข้าไป


สุราทำให้เขามีความสามารถในการตระหนักรู้ทุกด้าน ทำให้เขาสามารถเข้าใจวิถีหมากล้อมได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว


หากไม่มีสุราก่อนหน้านี้ เขาคงไม่สามารถมาถึงจุดนี้ได้เร็วเช่นนี้


“ผู้อาวุโสเวิ่นมีความสามารถจริง ๆ สามารถพัฒนาทักษะหมากล้อมได้อย่างรวดเร็ว!”


หลี่จิ่วเต้ายิ้ม ยอมรับในทักษะการเล่นหมากล้อมของตงฟางเวิ่นมากยิ่งขึ้น


หลังจากเล่นหมากล้อมไปเพียงไม่กี่เกม เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าทักษะของตงฟางเวิ่นพัฒนามากยิ่งขึ้น เหนือกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก


“ต้องขอบคุณคุณชายเป็นอย่างมาก!”


ตงฟางเหวิ่นกล่าวออกมาอย่างจริงใจ


หากไม่มีท่านเซียน เขาจะสามารถพัฒนาได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?


ไม่มีทางเป็นไปได้!


“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องถ่อมตัวไป สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้อาวุโสเวิ่นมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสเวิ่นรอสักครู่”


เขาเดินกลับเข้าไปในบ้าน


ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งพร้อมของบางอย่างในมือ


“นี่คือตำราหมากล้อมที่ข้าเขียนขึ้นมาเอง บันทึกประสบการณ์ความรู้ความเข้าใจของข้าเอาไว้ หากผู้อาวุโสเวิ่นได้อ่านมัน คงจะสามารถช่วยท่านได้”


หลี่จิ่วเต้าส่งตำราหมากล้อมให้กับตงฟางเวิ่น


ตงฟางเวิ่นสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เขาต้องการให้ทักษะหมากล้อมของตนเองพัฒนาสูงมากยิ่งขึ้น เพื่อที่เขาจะได้เล่นหมากล้อมได้สนุกยิ่งขึ้นในอนาคต


“นี่...ขอบคุณคุณชายมาก!”


ชายชราพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นอย่างอดไม่อยู่


เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?


นี่คือตำราหมากล้อมที่ท่านเซียนเขียนขึ้นมาด้วยตัวเอง ด้านในบันทึกประสบการณ์ความรู้ความเข้าใจของท่านเซียนเอาไว้ นับเป็นสมบัติล้ำค่าถึงขั้นสะท้านฟ้าอย่างแน่นอน!


“ไม่ต้องขอบคุณ อ่านมันให้มากเถอะ เช่นนี้แล้วเกมหมากล้อมระหว่างพวกเราสองคนในอนาคตจะยิ่งน่าสนใจมากยิ่งขึ้น”


หลี่จิ่วเต้าพูดพร้อมรอยยิ้ม


หลังจากนั้นเขาก็กลับเข้าไปในครัวแล้วหยิบสุราออกมาหนึ่งไหมอบให้ตงฟางเวิ่น


“เมืองชิงซานนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง ทิวทัศน์รอบ ๆ ก็งดงามไม่น้อย หากผู้อาวุโสเวิ่นต้องการจะใช้ชีวิตหลังเกษียณเมืองชิงซานก็นับเป็นทางเลือกที่ดี”


หลี่จิ่วเต้าพูดต่อ “ภูเขาลี่ด้านนอกเมืองชิงซานทิวทัศน์งดงามเป็นอย่างยิ่ง ที่กล่าวมาล้วนเป็นความจริง ถ้าผู้อาวุโสเวิ่นไม่มีอะไรทำก็สามารถไปเดินเล่นเพลิดเพลินกับทัศนียภาพของเขาลี่ได้”


“ดี!”


ตงฟางเวิ่นพยักหน้ารับคำ ก่อนกล่าวอำลาท่านเซียน กลับไปยังบ้านของตนเอง


“ภูเขาลี่งั้นหรือ?”


เขาคิดออกมาหลังจากถึงห้อง รู้สึกว่าภูเขาลี่น่าจะมีสิ่งใดสักอย่าง


ไม่เช่นนั้นท่านเซียนจะกล่าวถึงภูเขาลี่ขึ้นมาด้วยเหตุใด?


นั่นเป็นความคิดที่หลี่จิ่วเต้าไม่รู้ หากรู้ว่าตงฟางเวิ่นคิดอะไรอยู่ เขาคงพูดไม่ออกอย่างแน่นอน


ภูเขาลี่จะมีสิ่งใดอยู่กัน เขาเพียงแค่บอกกับตงฟางเวิ่นโดยไม่มีเจตนาอะไร นอกจากแค่กลัวว่าชายชราจะไม่มีอะไรทำในเมือง จึงแนะให้ไปเดินเล่าที่ภูเขาลี่คลายความเบื่อหน่าย


“พรุ่งนี้ข้าจะลองไปที่ภูเขาลี่ดู!”


ยิ่งตงฟางเวิ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าท่านเซียนกำลังจะบอกใบ้อะไรบางอย่างให้เขา ท่านเซียนดีต่อเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจะต้องไม่ทำให้ท่านเซียนผิดหวัง!


ไม่ว่าอย่างไร เขาจะต้องทำเรื่องนี้ให้ออกมาดีให้จงได้!

บทที่ 433

ฟ้ายังไม่ทันจะสางดี ตงฟางเวิ่นก็ออกจากเมืองชิงซานมาถึงภูเขาลี่เป็นที่เรียบร้อย


เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงรีบมาภูเขาลี่ตั้งแต่ก่อนรุ่งสางเพื่อตรวจสอบ


“ข้า...คิดมากไปหรือไม่?”


ตงฟางเวิ่นรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาเดินไปทั่วภูเขาลี่หลายครั้ง แต่กลับไม่พบอะไร เป็นเพียงแค่ภูเขาธรรมดาทั่วไป


‘หรือว่าท่านเซียนจะหมายความแค่นั้นจริง ๆ ไม่มีความนัยลึกซึ้งอะไร เพียงแค่อยากให้ข้ามายังภูเขาลี่เพื่อชื่นชมทิวทัศน์ยามว่าง’


เขาอดคิดขึ้นมาในใจไม่ได้


เขาแผ่ประสาทสัมผัสจักรพรรดิออกไปปกคลุมทั่วทั้งภูเขาลี่ ทว่าก็ยังคงไม่พบสิ่งใดผิดปกติบนภูเขาลี่


นี่ทำให้เขานึกสงสัยขึ้นมาว่าตัวเองคิดมากเกินไปหรือไม่


‘ลองดูอีกสักครั้ง!’


เขาเดินไปรอบ ๆ ภูเขาลี่อีกครั้ง ประสาทสัมผัสจักรพรรดิก็แผ่ออกมาปกคลุมทั่วทั้งภูเขาลี่โดยไม่หลุดลอยไปสักจุดเดียว


ทว่าผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม เขายังคงไม่พบสิ่งใด


‘ดูเหมือนว่าข้าจะคิดมากไปเองจริง ๆ!’


จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งมาก มากเสียยิ่งกว่าเทียนตี้บางคนเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นประสาทสัมผัสจักรพรรดิของเขานั้นเรียกได้ว่าทรงพลังเทียบเท่าขั้นเทียนตี้


หากมีอะไรแปลกประหลาดบนภูเขาลี่ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่พบอะไรแม้แต่น้อย


หรือว่าเขาจะคิดมากเกินไปจริง ๆ


“ถ้าเช่นนั้นก็กลับ...”


เขายิ้มออกมา หลังจากคิดว่าคงไม่มีอะไรผิดปกติ


ในเมื่อตรวจทานด้วยความรอบคอบแล้ว


คิดมากก็คือคิดมาก


แต่ถ้าหากคำพูดของท่านเซียนมีความนัยแฝงอยู่จริง ๆ แล้วเขาพลาดส่วนนั้นไป คงกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง เสียแรงที่ท่านเซียนปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี


แม้ว่าท่านเซียนจะไม่กล่าวโทษ เขาก็ไม่มีทางจะให้อภัยตัวเอง


‘ไม่ถูกต้อง!’


ทว่าเมื่อเขากำลังจะจากไป ก็พลันขมวดคิ้วขึ้นมาทันที


เขายังไม่ได้ถอนประสาทสัมผัสจักรพรรดิกลับมา จึงรับรู้ได้ถึงสิ่งแปลกประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า!


‘ในคำพูดของท่านเซียนมีความนัยอื่นอยู่จริง’


เขาแย้มยิ้มสดใสด้วยความสุขอย่างมาก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้คิดมากเกินไป ในคำพูดของท่านเซียนมีความนัยลึกซึ้งอยู่จริง


เพียงเคลื่อนไหวหนึ่งครั้ง เขาก็ตรงมาถึงด้านหน้าความว่างเปล่าที่ผิดปกติ


“หืม!?”


ด้านในความว่างเปล่า ปรากฏร่างของอสุรกายกำลังแหวกว่ายมาอย่างแช่มช้า


ร่างของมันคล้ายกับถูกเย็บติดประกอบขึ้นมา แต่ละส่วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หัวเป็นกิเลน ลำตัวเป็นมังกร แต่ปีกเป็นของเฟิ่งหวง


ใช่แล้ว มันคือสิ่งมีชีวิตที่มาจากอาณาจักรที่อยู่เบื้องหลังทะเลต้องห้าม ที่มันมาในครานี้ก็เพื่อสังหารหลิงอิน


ความจริง มันออกจากทะเลต้องห้ามมาสักพักหนึ่ง ด้วยความแข็งแกร่งของมัน ควรจะถึงที่แห่งนี้ตั้งนานแล้ว


ทว่าหลังมันออกจากทะเลต้องห้าม มันก็แวะที่อื่นก่อนจะมาที่นี่ในภายหลัง


เมื่อเห็นอสุรกายแล้ว ตงฟานเวิ่นก็เกิดความเข้าใจขึ้นมาทันที


ไม่น่าแปลกใจที่ท่านเซียนจะชี้แนะวิถีหมากล้อม ทั้งยังให้เขากินเนื้อตุ๋นและดื่มสุรา ทั้งหมดก็เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งจนเขาจัดการกับอสุรกายเบื้องหน้าเขาได้!


ไม่มีปัญหา!


เขาต้องทำงานนี้ให้สำเร็จได้แน่!


เขาคิดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ


ระดับการฝึกฝนของเขาบรรลุขั้นตี้จวินแล้ว ร่างกายก็ไปถึงขั้นเทียนตี้แล้ว อาจเหนือยิ่งกว่าระดับเทียนตี้ทั่วไปเสียด้วยซ้ำ


แม้ว่าอสุรกายเบื้องหน้าเขาจะดูน่าหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งไปกว่าเขาหรอกกระมัง?


ตัวเขาในตอนนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับเทียนตี้จริง ๆ ก็ยังสามารถต่อกรได้!


เขาย่อมเต็มไปด้วยความมั่นใจ


“อสุรกายอย่างเจ้ามาจากที่แห่งใดกัน เหตุใดจึงต้องการมาสร้างวุ่นวายยังที่แห่งนี้?”


เขาไพล่มือสองข้างไว้ด้านหลัง ท่าทางราวกับผู้ที่อยู่เหนือกว่าจับจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “บอกมา เจ้าเป็นผู้ใด และต้องการจะทำสิ่งใด!”


อสุรกายท่าทางดุร้ายเบื้องหน้าของเขาดูแล้วไม่ใช่สิ่งดีงามแต่ตั้งแวบแรกที่เห็น เขาจึงไม่คิดจะปล่อยอสุรกายตนนี้ไปโดยง่าย


ทว่าเขาเองก็ยังไม่ได้ลงมือทันที ต้องการจะทราบจุดประสงค์ของอสุรกายตนนี้เสียก่อน


“เจ้าพูดกับข้าอย่างนั้นหรือ?”


แววตาของอสุรกายหัวกิเลนมองมาอย่างแปลกประหลาด


มันจำไม่ได้ว่าผ่านมานานเท่าใดแล้วที่มีคนกล้าพูดกับมันเช่นนี้


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเบื้องหน้าของมันเป็นเพียงตี้จวินตัวน้อย...


มันไม่จำเป็นต้องใช้ประสาทสัมผัสจักรพรรดิก็สามารถรับรู้ขอบเขตการฝึกฝนของตงฟางเวิ่น


มันเป็นถึงเทียนตี้!


ถูกต้อง มันบรรลุถึงขั้นเทียนตี้แล้ว ซ้ำยังแข็งแกร่งกว่าเทียนตี้ทั่ว ๆ ไปเป็นอย่างมาก เพียงแค่มันอยากก็สามารถรับรู้ถึงขอบเขตพลังของฝ่ายตรงข้าม


ต่อหน้ามัน ตี้จวินไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้ มันเพียงจามออกมาครั้งหนึ่งก็สามารถสังหารตี้จวินจนตายได้


“ช่างวางท่าอวดดี หยิ่งผยองยิ่งนัก!”


ตงฟางเวิ่นขมวดคิ้ว มองดูอสุรกายหัวกิเลนก่อนกล่าวออกมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความหยิ่งผยอง?”


หัวเราะ!


มันหัวเราะออกมาจริง ๆ!


อสุรกายหัวกิเลนหัวเราะออกมา ในใจคิดว่าคนผู้นี้เอาความมั่นใจและหาญกล้ามาจากไหน


“ข้าไม่รู้ว่ามีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความหยิ่งผยอง แต่ข้ารู้เพียงว่าเจ้ากำลังจะตาย”


มันมองตงฟางเวิ่นพร้อมกล่าวออกมาด้วยคำพูดเปี่ยมจิตสังหาร


ตี้จวินตัวน้อยกล้าจะขวางทางแล้วกล่าวกับมันเช่นนี้ นับว่าเป็นความผิดที่ไม่อาจอภัยให้ได้ ต้องตายสถานเดียว!


“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความหยิ่งผยอง?”


ตงฟางเวิ่นเองก็หัวเราะ “วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้งเอง!”


เขาไม่เก็บงำอีกต่อไป กลิ่นอายพลังของตี้จวินแผ่กระจายออกมาท่วมถ้น โถมกดดันอสุรกายหัวกิเลน


“ตอนนี้รู้หรือยังว่าไม่ควรจะหยิ่งผยอง?”


เขากล่าวออกมาเสียงเรียบ


ในครั้งแรกที่เขาเห็นอสุรกายหัวกิเลน เขาไม่ได้ใช้ประสาทสัมผัสจักรพรรดิเพื่อตรวจดูระดับการฝึกฝนของอสุรกายหัวกิเลน


ทว่าเขาเองก็คอยระมัดระวังตัวอยู่เสมอ จึงใช้งานประสาทสัมผัสจักรพรรดิก่อนสัมผัสได้ถึงขอบเขตขั้นของอสุรกายหัวกิเลน


อสุรกายหัวกิเลนค่อนข้างแปลกประหลาด เขาสัมผัสถึงขอบเขตอย่างชัดเจนไม่ได้ รับรู้ได้เพียงขอบเขตขั้นคร่าว ๆ กะแล้วน่าอยู่ประมาณขั้นตี้หวง


กล่าวตามเหตุผลแล้วสิ่งนี้ก็ไม่สมควรเกิดขึ้น


ประสาทสัมผัสจักรพรรดิของเขาอยู่ในระดับเทียนตี้ เหตุใดจึงไม่สามารถรับรู้ได้ถึงขั้นของตี้จวินผู้หนึ่งได้อย่างแม่นยำ?


ทว่าคิดดูอีกทีแล้ว เป็นเช่นนี้ก็สมควรแล้ว


หากอสุรกายหัวกิเลนนี้เป็นเพียงอสุรกายระดับตี้หวงธรรมดาทั่วไป ท่านเซียนก็ไม่จำเป็นต้องให้เขากินเนื้อตุ๋นดื่มสุราเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาล่วงหน้า


อสุรกายหัวกิเลนตนนี้น่าจะรับมือได้ยาก


คิดดูแล้ว อสุรกายหัวกิเลนตนนี้อาจมีสมบัติลับสักอย่างอยู่กับตัว เป็นเหตุให้เขาไม่สามารถรับรู้ขอบเขตขั้นที่แท้ของมันได้อย่างแน่นอน


ทว่าเขายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ


เขาสามารถต่อกรกระทั่งเทียนตี้ อสุรกายหัวกิเลนอยู่ในขั้นประมาณตี้หวง บวกลบมากน้อยก็ไม่น่าจะใกล้เคียงเทียนตี้ใช่หรือไม่?


แต่ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะใกล้เคียงเทียนตี้ ด้วยร่างกายและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของเขา ย่อมสามารถต่อกรได้อย่างไม่มีปัญหา


แน่นอนว่าในความคิดของเขา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นตี้หวงที่ใกล้เคียงแค่ไหนก็ไม่มีทางเทียบได้กับเทียนตี้


อสุรกายหัวกิเลนหัวเราะออกมา


มันยับยั้งลมปราณส่วนหนึ่งเอาไว้ ไม่ได้เปิดเผยเขตขั้นออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้ตี้จวินตัวน้อยเบื้องหน้าเข้าใจผิด ทั้งยังใช้แรงกดดันของตี้จวินเพื่อจัดการกับมัน...


นี่มันเป็นเรื่องน่าตลกอย่างถึงที่สุดเสียจริง!


ตัวของมันมาจากภายนอกอาณาจักร ไม่ได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน หากไม่ยับยั้งขอบเขตลมปราณเอาไว้ส่วนหนึ่ง มันจะต้องถูกพลังฟ้าดินของอาณาจักรแห่งนี้โจมตี


ต่อการโจมตีจากฟ้าดินของโลกใบนี้ไม่ทำให้มันกลัวเกรงหรือบาดเจ็บ แต่ก็สร้างความยุ่งยากให้มันไม่มากก็น้อย


ดังนั้นมันจึงยับยั้งลมปราณส่วนหนึ่งเอาไว้


ไม่คาดคิดเลย ว่ามันจะโดนดูถูกถึงขนาดนี้ กระทั่งตี้จวินตัวน้อยผู้หนึ่งยังกล้ามาอวดโอ้พลังต่อหน้ามัน ทั้งยังใช้แรงกดดันของตี้จวินมาปราบปรามมัน...


“เจ้าไม่คิดว่าตนเองเป็นเพียงตัวตลกผู้หนึ่งหรอกหรือ?”


อสุรกายหัวกิเลนเหยียดยิ้มเย้ยก่อนจะแผ่ลมปราณของตนออกมาอย่างท่วมท้น ปกคลุมทั่วท้องฟ้ารอบบริเวณทันที!


ลมปราณที่แผ่ออกมาน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่มันปรากฏออกมาสีหน้าของตงฟางเวิ่นก็แปรเปลี่ยนโดยพลัน


สีหน้าของชายชรานั้นซีดเซียวเป็นอย่างยิ่ง!

บทที่ 434

พลังปราณของอสุรกายหัวกิเลนแผ่ออกมาอย่างท้วมท้นไม่มีเก็บงำ ช่างน่ากลัวและน่าหวาดหวั่นจนตงฟางเวิ่นที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเทียนตี้ทั่วไป ถึงกับสั่นสะท้านทั้งร่างกายและจิตวิญญาณอย่างควบคุมไม่ได้


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


พลังการต่อสู้ของอสูรกายตนนี้นับว่าโดดเด่นในหมู่เทียนตี้ ความแข็งแกร่งที่แท้จริงลึกล้ำยิ่งจนไม่อาจหยั่งถึง!


เปรี้ยง!


อสนีบาตปรากฏขึ้นกลางอากาศ พุ่งตรงเข้าใส่อสุรกายหัวกิเลน


ฉากนี้ช่างชวนสะท้านขวัญ สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่เพียงแค่สายฟ้าหนึ่งเส้น แต่เป็นเหมือนม่านน้ำตกอสนีบาตขนาดใหญ่เทห่าลงมากลางอากาศ ก่อนจะปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกไป!


ปราณของอสุรกายหัวกิเลนที่ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ดึงดูดการโจมตีจากพลังฟ้าดินของอาณาจักรแห่งนี้ในทันที


เปรี้ยง!


ในตอนนั้นเอง แสงสว่างนุ่มนวลก็ปรากฏขึ้นมาอย่างไร้สุ้มเสียง สกัดกั้นความผันผวนของพลังที่แผ่ขยายออกมาไม่ให้กระจายออกไปทั่ว


หากพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้แผ่ขยายออกไป ไม่ต้องกล่าวถึงภูเขาลี่เลย กระทั่งแดนบูรพาทั้งหมดก็ล้วนพังพินาศ


“นั่นมันอะไรกัน!”


ด้านนอกเมืองชิงซาน ข้างริมน้ำ เจ้าก้อนหินเอ่ยออกมา


“ไม่แน่ใจ”


ต้นหลิวกล่าว แสงสว่างนุ่มนวลนั่นก็เป็นฝีมือของมัน


“พวกเราจำเป็นต้องไปช่วยเหลือหรือไม่?”


เจ้าก้อนหินถามต้นหลิว


ทันทีที่อสุรกายหัวกิเลนเข้ามาใกล้ พวกมันก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของอสุรกายหัวกิเลนแล้ว


อสุรกายหัวกิเลนที่มาพร้อมกับท่าทางดุร้าย ดูไม่ได้มาดีตั้งแต่แรกเห็น เดิมทีพวกมันต้องการจะลงมือหยุดอสุรกายหัวกิเลนเอาไว้ ทว่าตงฟางเวิ่นกลับลงมือก่อนหน้าพวกมันไปหนึ่งก้าว ดังนั้นพวกมันจึงยังไม่เคลื่อนไหว


ทว่าเมื่อมองดูแล้ว ตงฟางเวิ่นเหมือนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอสุรกายหัวกิเลน เจ้าก้อนหินจึงเกิดความคิดจะยื่นมือช่วยเหลือ


“อย่าพึ่ง“


ต้นหลิวตอบ “เขาน่าจะเป็นคนที่ท่านเซียนส่งมา ต่อให้ข้ากับเจ้าไม่ลงมือ เขาก็น่าจะไม่เป็นอะไร”


เจ้าก้อนหินครุ่นคิดแล้วก็เห็นด้วย


ตงฟางเวิ่นไปที่ภูเขาลี่ตั้งแต่ก่อนที่ฟ้าจะทันได้สว่าง ซ้ำยังเตร็ดเตร่ไปมาทั่วภูเขาลี่ การกระทำเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นหากไร้ซึ่งจุดประสงค์


อีกทั้งตงฟางเวิ่นในตอนนี้ก็กำลังติดตามท่านเซียน


คาดว่าน่าจะเป็นท่านเซียนที่บอกให้ตงฟางเวิ่นไปที่ภูเขาลี่


“แต่ว่าเขาจะไหวหรือ? เจ้าก็เห็นว่าตัวของเขายังสั่นอยู่เลย”


เจ้าก้อนหินอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้


“เขาดูหวาดกลัวอยู่บ้างเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านเซียนจะไม่ได้มอบหมายให้เขาทำ?”


เมื่อต้นหลิวเห็นตงฟางเวิ่นตัวสั่น ภายในใจก็มีความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย


“ไม่ต้องรีบร้อน รอดูไปก่อน ถ้าหากท่าไม่ดีจริง ๆ พวกเราค่อยลงมือ อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนของท่านเซียน ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ควรจะช่วยชีวิตเขาเอาไว้”


ต้นหลิวกล่าว


อีกด้านหนึ่ง ม่านน้ำตกอสนีบาตพุ่งเข้าโจมตีอสุรกายหัวกิเลนอย่างน่าหวาดกลัว


ทว่าอสุรกายหัวกิเลนกลับไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย สามารถต้านทานการโจมตีของน้ำตกอสนีบาตได้ง่ายดายราวกับกำลังอาบน้ำ


มารดามันเถอะ!


น่ากลัวอะไรปานนี้!


ทั้งร่างของตงฟางเวิ่นสั่นสะท้านอย่างหยุดไม่อยู่ด้วยความรู้สึกกลัว


อสุรกายตนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถรับมือได้เลยสักนิด!


อีกทั้งเขายังกล้าไปคุยโวโอ้อวดต่อหน้ามัน กล่าวว่าจะทำให้อสุรกายหัวกิเลนรู้ซึ้งถึงราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความหยิ่งผยอง...


เขากล้าถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน!


วาจาที่อสูรกายหัวกิเลนกล่าวมาเมื่อครู่ไม่ผิดเลย เขา...เขาเป็นได้แค่เพียงตัวตลก!


นี่...นี่คือผู้ที่ท่านเซียนต้องการให้เขาจัดการอย่างนั้นหรือ?


สวรรค์! ท่านเซียนจะประเมินเขาสูงเกินไปแล้ว!


“คือว่า พี่ใหญ่ ข้าขอเก็บคำพูดเมื่อครู่ของข้าคืนได้หรือไม่?”


เขาพูดกับอสุรกายหัวกิเลน


“เจ้าเพิ่งรู้สึกตัวรึ?”


อสุรกายหัวกิเลนหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้านับเป็นตัวอะไรถึงอาจหาญมาขวางทางข้า ทั้งยังกล้าใช้พลังของตี้จวินมากกดดันข้า? ความหยิ่งผยองมีราคาที่ต้องจ่าย แล้วเจ้ามีคุณสมบัติอันใดมาบังคับให้ค่าจ่ายราคานั้น?”


มันยิ้มเย็น หากเสือไม่สำแดงฤทธิ์ก็คิดว่าเป็นแมวป่วยเช่นนั้นหรือ?


“ตี้จวินตัวน้อยไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้าทำตัวอวดดีต่อหน้าข้า เจ้าอยากจะตายเช่นไร? ข้าจะให้โอกาสเจ้าเลือกด้วยตัวเอง!”


มันกล่าวออกมาเสียงเย็นชา


ในใจของตงฟางเวิ่นตอนนี้อัดอั้นจนแทบจะทนไม่ไหว


เขาต้องการจะสบถด่าออกมามาก ใครใช้ให้เจ้ายับยั้งขอบเขตลมปราณของตนกัน? ถ้ารู้ว่าเจ้าน่ากลัวขนาดนี้ ข้าจะกล้าทำเช่นนี้หรือ?


บัดซบ!


เจ้าช่างแสร้งเป็นหมูกินเสือ*[1]ได้เก่งเสียจริง!


“หากไม่เลือกก็ไม่ต้องตาย?”


ตงฟางเวิ่นกล่าวออกมาด้วยเสียงเบา


“หากเจ้าไม่เลือก เช่นนั้นข้าจะเลือกให้เจ้าเอง เอาเป็น...ฉีกเจ้าออกจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วกัน!”


อสุรกายหัวกิเลนกล่าวออกมาอย่างเย็นชา


“มารดาเจ้าเถอะ! คิดว่าข้ากลัวเจ้าจริง ๆ งั้นหรือ! สู้ก็สู้สิ!”


ตงฟางเวิ่นยืดตัวตรง ก่อนจะเตรียมตัวต่อสู้กับอสุรกายหัวกิเลน


ภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากท่านเซียน เขาจะต้องทำให้ได้ แม้ว่าทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้!


ต่อให้ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่เขาก็ต้องทำ!


ชายชราเริ่มลงมือ ร่างทั้งร่างหายไปจากจุดเดิมในทันที เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็มาอยู่ต่อหน้าอสุรกายหัวกิเลนแล้ว


เสียงตูมตามดังสนั่น เขาชกหมัดเข้าใส่หัวของอสุรกาย


เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อสุรกายหัวกิเลนคาดไม่ถึงว่าตงฟางเวิ่นจะกล้าลงมือโจมตีมัน


อีกทั้งมันยังไม่กลัวการโจมตีใด ๆ ของตงฟางเวิ่นด้วย เพราะมั่นใจว่าตงฟางเวิ่นไม่มีทางทำอะไรมันได้


มันจึงไม่ได้เตรียมตัวป้องกันอะไร ถูกหมัดของตงฟางเวิ่นชกเข้าที่ศีรษะเสียงดังสนั่น


ทว่าสิ่งที่มันคาดไม่ถึงก็คือ มันถึงกับรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง


ตงฟางเวิ่นเป็นเพียงตี้จวินตัวน้อยกลับสามารทำให้มันรู้สึกเจ็บปวดได้?


แต่มันก็เพียงรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยเท่านั้น


หลังเสียงดังสนั่น ตงฟางเวิ่นก็กระเด็นออกไป มือที่กำเป็นหมัดเต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง กระทั่งกระดูกบนฝ่ามือยังหัก มือมีเลือดไหลทะลักออกมา


“เวรเอ๊ย!”


ตงฟางเวิ่นมุมปากกระตุก เดิมทีเขาต้องการจะพึ่งพาร่างกายอันแข็งแกร่งต่อกรกับอสุรกายหัวกิเลน ทว่าร่างกายของอสุรกายหัวกิเลนกลับแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ


หมัดของเขาที่ชกใส่หัวอสุรกายไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำร้ายอสุรกายหัวกิเลน ยังทำให้มือของเขาได้รับบาดเจ็บแทน...


‘ท่านเซียน...ข้าไม่สามารถทำได้จริง ๆ!’


ภายในใจของเขาเอ่ยออกมาอย่างร่ำได้ เขาจะเอาชนะอสุรกายหัวกิเลนตนนี้ได้อย่างไรกัน!


ทว่าแม้เขาจะร่ำไห้ แต่ก็ยังไม่คิดถอย


ตงฟางเวิ่นเข้าโจมตีอสุรกายหัวกิเลนอีกครั้ง


ขั้นตี้จวินของเขาต่ำเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถพึ่งพาพลังกฎแห่งเต๋า ทำได้เพียงพึ่งพาความแข็งระดับเทียนตี้ของร่างกายเข้าสู้เท่านั้น


แม้ว่าวิญญาณของเขาเองจะถึงขั้นเทียนตี้แล้ว แต่ทว่าเขาไม่กล้าใช้พลังวิญญาณของตนเองโจมตีออกไปโดยง่าย


วิญญาณนั้นสำคัญเกินไป เพียงได้รับบาดเจ็บอาจถึงกับจบชีวิต หากใช้พลังวิญญาณจัดการกับอสุรกายหัวกิเลน รั้งแต่จะทำให้เขาตายไวยิ่งขึ้น!


เขารู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี


ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใช้พลังวิญญาณของตนเอง ใช้เพียงแต่ความแข็งแกร่งของร่างกายเท่านั้น


“แมลงตัวจ้อยกลับกล้าจะเขย่าท้องนภา?”


อสุรกายหัวกิเลนส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา เพียงแค่ระลอกพลังอันน่าสะพรึงกลัว ก็ทำให้ทั้งร่างของตงฟางเวิ่นระเบิดออกทันที กลายเป็นกลุ่มหมอกละอองเลือด


ความต่างชั้นของพลังมีมากจนเกินไป!


ตงฟางเวิ่นฝึกฝนวิชาซ่อนอำพราง สามารถซ่อนตนอยู่ในความว่างเปล่า ทว่ากลับไร้ประโยชน์ พลังของอสุรกายหัวกิเลนดึงตัวตงฟางเวิ่นออกมาทั้งยังระเบิดร่างกายของเขาทิ้ง


ร่างกายขั้นเทียนตี้กลับเปราะบางเป็นอย่างมากต่อหน้าอสุรกายหัวกิเลน แสดงให้เห็นว่าอสุรกายตนนี้น่ากลัวเป็นอย่างมาก!


แสงสว่างสาดประกาย ตงฟางเวิ่นยังคงไม่ตาย ร่างกายของเขาก่อตัวขึ้นมาใหม่ในทันที


เขาไม่กล่าวอะไรมาก พุ่งเข้าโจมตีอสุรกายหัวกิเลนอีกครั้ง


ทว่าในขณะที่เขากำลังเคลื่อนไหว พลังของอสุรกายหัวกิเลนก็โจมตีเข้ามาอีกครั้ง ทำลายกายาที่ก่อตัวขึ้นมาใหม่ของเขาให้ระเบิดกลายเป็นหมอกละอองเลือดอีกครั้ง


พลังปราณของเขาค่อย ๆ อ่อนลงในทันใด คล้ายกับมีและไม่มีอยู่ในคราวเดียวกัน



[1] แสร้งเป็นหมูกินเสือ (扮猪吃老虎) หมายถึง แสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อให้อีกฝ่ายตายใจ

บทที่ 435

หมอกเลือดทะยาน ร่างกายตงฟางเวิ่นระเบิดแหลกเหลวอีกครั้ง เขามิใช่คู่ต่อสู้เลย ทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันมากโข การโจมตีใดก็ตามของอสุรกายหัวกิเลนล้วนทำลายร่างกายตงฟางเวิ่นได้อย่างง่ายดาย


เทียนตี้ คือขั้นสูงสุดของขอบเขตมหาจักรพรรดิ เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงจุดสูงสุดในเส้นทางบำเพ็ญของผู้ฝึกตน แม้ตงฟางเวิ่นยังมิได้ก้าวสู่ขั้นเทียนตี้ กระนั้นกายาของเขาก็ไปถึงแล้ว


ทันทีที่ก้าวสู่ขอบเขตนี้ ยากที่จะถูกคร่าชีวิตไป เทียนตี้ส่วนใหญ่ล้วนตายเพราะกาลเวลาเลยผ่าน น้อยนักจะถูกผู้อื่นสังหาร


อย่างเช่นตอนนี้


พลังปราณของตงฟางเวิ่นอ่อนแอลงถึงขีดสุด เลือนรางคล้ายจะสูญสิ้น ทว่าหมอกเลือดที่ระเบิดออกยังฝืนรวมตัวไว้ด้วยกัน หล่อหลอมเนื้อกายขึ้นมาใหม่


“กายเนื้อและวิญญาณล่วงหน้าเข้าสู่ขั้นเทียนตี้ไปก่อน น่าสนใจดีนี่…”


อสุรกายหัวกิเลนยิ้มเย็น “ทว่านั่นก็ไม่มีประโยชน์ อย่าว่าแต่ขอบเขตพลังของเจ้ายังไม่ถึงขั้นเทียนตี้เลย ต่อให้พลังของเจ้าไปถึงขั้นเทียนตี้ กลายเป็นเทียนตี้อย่างแท้จริง วันนี้เจ้าก็ต้องตายอยู่ดี!”


เทียนตี้ยากจะคร่าชีวิต


แต่ก็ต้องดูว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ!


ตัวมันนั้นแข็งแกร่งสยดสยอง เคยฆ่าเทียนตี้มาแล้ว


“ตายเป็นตาย วันนี้ต่อให้ตายข้าก็ต้องหยุดเจ้าไว้!”


ตงฟางเวิ่นคำรามเสียงต่ำ บุกโจมตีออกไปอีกครั้ง


จะเห็นได้ว่า พลังการโจมตีของเขาในครั้งนี้มิได้ทรงพลังอย่างก่อนหน้า การถูกทำลายเนื้อกายถึงสองครั้งสร้างความเสียหายต่อเขาอย่างรุนแรง


กระนั้นเขาก็ไม่ยอมถอย ไม่คิดหันหลังวิ่งหนี


แม้ว่าด้านหลังของเขาคือเมืองชิงซาน คือท่านเซียน


แต่เขาก็มิได้วิ่งหนี ยังคงจู่โจมอสุรกายหัวกิเลน


นี่คือภารกิจที่ท่านเซียนมอบหมายให้เขา เขาจะยอมถอยได้อย่างไร


บางทีนี่อาจเป็นบททดสอบจากท่านเซียน ทดสอบความภักดีของเขา!


ไม่มีผู้ใดอยากตาย เขาเองก็เช่นกัน


เขาอยากมีชีวิตอยู่


ความน่ากลัวของอสุรกายหัวกิเลนสร้างความหวาดกลัวต่อเขา จนเขาสะท้านใจ ไม่เห็นความหวังชนะสักนิด


ทว่าเขา…ไม่อยากหนี


เขาอยากติดตามอยู่ข้างกายท่านเซียน!


ต่อให้เขาอาจคิดผิด อาจต้องชดใช้ด้วยชีวิต เขาก็อยากลองดูสักตั้ง


ได้มีโอกาสติดตามอยู่ข้างกายท่านเซียน ถือเป็นวาสนาสูงส่ง และเป็นโอกาสเดียวในชีวิตนี้ของเขา เขาไม่อยากเสียไป แต่อยากคว้าโอกาสนี้ไว้!


เพื่อโอกาสนี้ เขายินดีเดิมพันด้วยชีวิต!


พรวด!


โลหิตสาดกระจายออกคล้ายบุปผาเบ่งบาน เนื้อกายของเขาระเบิดอีกครั้ง เขากับอสุรกายหัวกิเลยมิได้อยู่ระดับเดียวกัน ห่างกันราวฟ้ากับดิน


ทว่าเนื้อกายเทียนตี้ก็คือเนื้อกายเทียนตี้ เขาหลอมรวมร่างกายอีกครั้ง มิได้สิ้นชีพลง


แต่พลังปราณของเขาอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ประกายที่เปล่งปลั่งอยู่รอบเนื้อกายก็มิได้สว่างไสวเท่าเดิม เริ่มหม่นหมองลง


“ฆ่า!”


สายตาของเขาแน่วแน่ พุ่งออกไปข้างหน้าอีกครั้ง ต่อให้เขารู้ว่าเขาไม่อาจต้านรับการโจมตีระดับนี้ได้มาก เขาก็ไม่เสียใจ มุ่งหน้าด้วยความอาจหาญ!


และไม่เหนือความคาดหมาย เนื้อกายของเขาระเบิดในทันที กลายเป็นหมอกเลือด


“โง่เขลานัก รู้ทั้งรู้ว่าทำไม่ได้แต่ยังจะทำ ถือเป็นพฤติกรรมเบาปัญญาที่สุด เจ้าทำเช่นนี้รังแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้ตัวเองมากขึ้น เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้!”


อสุรกายหัวกิเลนมีสีหน้าเย็นชา “มิสู้เลือกยอมแพ้ ให้ข้าปลิดชีพเจ้าเสีย ปิดฉากความเจ็บปวดของเจ้าไปตลอดกาล!”


หมอกเลือดเคลื่อนไหว เนื้อกายตงฟางเวิ่นหลอมรวมอีกครั้ง


เขามิได้พูดจา พุ่งออกไปโจมตีอีกครั้ง!


อีกด้านหนึ่ง ต้นหลิวและก้อนหินเห็นทุกสิ่ง


“คนผู้นี้ใช้ได้เลย” ต้นหลิวเอ่ย


ตงฟางเวิ่นเอาชนะความกลัวในใจ มองข้ามความเป็นความตาย ไม่เคยยอมแพ้ถอดใจ ไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้


ถึงแม้มันจะรู้สึกว่าตงฟางเวิ่นไม่มีทางตาย และตงฟางเวิ่นก็อาจตระหนักถึงเรื่องนี้ดี กระนั้นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ผู้ใดกล้าฟันธงกันเล่า


เปรียบเสมือนปุถุชนคนหนึ่งต้องกระโดดลงจากผาสูงหมื่นจั้ง เจ้าบอกเขาว่าไม่มีทางตาย และปุถุชนผู้นี้ก็รู้ดีว่าเขาคงไม่ตาย กระนั้นจะมีสักกี่คนเลือกที่จะกระโดดกัน


ทุกเรื่องล้วนมีความเป็นไปได้ ถ้าเกิดตายขึ้นมาเล่า


น่ากลัวว่าคนส่วนมากมิกล้ากระโดด


“แล้วแต่บุญวาสนาจะนำพาเขาแล้วกัน…”


ก้อนหินเอ่ยจากด้านข้าง


พวกมันพอเดาได้ว่านี่คือบททดสอบตงฟางเวิ่นจากท่านเซียน พวกมันจึงล้มเลิกความคิดยื่นมือช่วย


พวกมันมิกล้าสุ่มสี่สุ่มห้าก้าวก่ายเรื่องของท่านเซียน


พรวด! พรวด! พรวด!


อีกด้าน เนื้อกายที่หล่อหลอมขึ้นใหม่ของตงฟางเวิ่นแหลกเหลวอีกครั้ง เขาไม่ไหวแล้วจริง ๆ ความเร็วในการหล่อหลอมเนื้อกายชะลอลงเรื่อย ๆ พลังปราณก็ต่ำเตี้ยเสียจนดูไม่ได้ เบาบางยิ่งกว่าเปลวเทียนเสียอีก ราวกับแค่ลมโชยชายเบา ๆ ก็สามารถดับได้ทุกเมื่อ


เนื้อกายของเขาไม่เหลือประกายอีกต่อไป ตกขั้นจากเนื้อกายเทียนตี้ ปราศจากความแข็งแกร่งและกำลังวังชาที่เนื้อกายเทียนตี้พึงมี


เขาตระหนักถึงข้อนี้ดี ทว่าเขามิได้ถอย ยังคงย่างกรายไปข้างหน้าทีละก้าว


เรื่องเหนือความคาดหมายไม่เกิดขึ้นเหมือนเดิม


เนื้อกายของเขาระเบิดแหลกลาญอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ เขาไม่ไหวแล้วจริง ๆ ไม่อาจหลอมรวมหมอกเลือดได้อีก วิญญาณของเขาก็เต็มไปด้วยรอยร้าว ทลายอย่างรวดเร็ว


“ใกล้…ตายแล้วหรือ”


เขาส่งเสียงแผ่วเบา รู้สึกถึงความตายที่เข้ามาเยือน เขากำลังจะจบชีวิตลง หายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง


“ข้าคิดผิดไป หรือข้ายังไม่ผ่านบททดสอบของท่านเซียนกันแน่…”


เขาคิดในใจ ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย ตอนนี้ นอกจากรอคอยความตายเขาไม่สามารถทำสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น


วิญญาณค่อย ๆ แหลกลาญไปทีละน้อย แม้แต่วิญญาณระดับเทียนตี้ยังต้านทานการโจมตีและการเผาผลาญอันน่าสยดสยองเยี่ยงนี้ไม่ไหว


เขาไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้อีก ไม่อาจหยุดยั้ง รอจนวิญญาณแหลกเหลวอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็จะตายไปอย่างสิ้นเชิง


“เจ้านี่ใช้ได้ ความไม่กลัวตายนี้ทำให้ข้าอยากให้โอกาสเจ้าสักครั้ง”


อสุรกายหัวกิเลนกล่าว “ขอเพียงเจ้ายอมศิโรราบต่อข้า ข้าช่วยรักษาชีวิตของเจ้าไว้ และคืนพลังให้เจ้าได้”


พลังของมันแกร่งกล้าน่าพรั่นพรึง ตราบใดที่มันอยาก มันช่วยรักษาสถานภาพวิญญาณที่กำลังแหลกเหลวของตงฟางเวิ่นได้ และยังช่วยฟื้นพลังอีกฝ่ายได้อีกด้วย


“เจ้า…คิดบ้าบออันใดอยู่!”


ชายชราเค้นแรงเฮือกสุดท้ายเอ่ยประโยคนี้ออกมา


หลังจากเขาส่งเสียง วิญญาณของเขาก็แหลกเหลวไวขึ้น ทลายไปแล้วกว่าครึ่ง


“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! ให้ทางรอดแก่เจ้า เจ้าไม่เอา ดึงดันจะตายให้ได้ เช่นนั้นเจ้าจงตายซะ!”


อสุรกายหัวกิเลนแค่นเสียงเย็น “ข้าจะส่งเจ้าไปสู่ที่ชอบเดี๋ยวนี้!”


มันอ้าปากคายลำแสงออกมา พร้อมด้วยคลื่นพลังอันน่าหวาดหวั่น ถล่มใส่วิญญาณของตงฟางเวิ่นในชั่วพริบตา


เสียงดังตู้ม วิญญาณของตงฟางเวิ่นถูกทำลายราบคาบ ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว


“จะตายแล้วหรือ ฮ่า ๆ ตายเป็นตาย ได้พบเซียนท่านหนึ่งก่อนตาย ซ้ำยังได้เล่นหมากกินข้าวดื่มสุรากับท่านเซียน ข้าพึงใจในชีวิตนี้แล้ว!”


นี่คือสติสุดท้ายของตงฟางเวิ่น


เขาจากไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีความสำนึกเสียใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขาดีใจมาก


ผู้ใดในโลกนี้เคยเห็นเซียนบ้าง?


เขาไม่เพียงแต่ได้เห็น ยังได้สัมผัสท่านเซียนอย่างใกล้ชิด เขาพอใจแล้ว ชีวิตนี้คุ้มค่าอย่างยิ่ง!


วิญญาณระเบิดแหลกลาญ ไม่ทิ้งสิ่งใดไว้ทั้งสิ้น สติของตงฟางเวิ่นก็หายลับไปด้วย


“คนบ้ากระไร ไว้หน้าแล้วแต่ดันปฏิเสธ สมควรแล้วที่ต้องตาย!”


อสุรกายหัวกิเลนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูแคลน เรือนร่างมังกรใหญ่ยักษ์ว่ายไปข้างหน้า


มันคิดจะเข้าเมืองชิงซานไปหาหลิงอิน