เมืองเก้าวิบัติอลหม่านวุ่นวาย กลิ่นคาวเลือดมีอยู่ทุกที่ สิ่งมีชีวิตล้วนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว ต้องการการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
ที่นี่เหมาะแก่การเพิ่มพูนพลังศรัทธาของเขาที่สุด!
สามเณรน้อยมั่นใจว่าสามารถสร้างพุทธภูมิเก้าประทีปอันยิ่งใหญ่ที่นี่ ได้รับแรงศรัทธาจากสิ่งมีชีวิตนับร้อยล้านตน แทนที่พุทธศาสนา เหนือชั้นพระอมิตาภะพุทธเจ้าขึ้นไป
...
ฟ้าสว่าง แสงอรุณแจ่มจ้า ขับไล่ความมืดมิดออกไป ส่องสว่างไปทั่วทุกแห่งหน
หลี่จิ่วเต้าตื่นขึ้นมา ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย รำเพลงมวยเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายท่ามกลางแสงอรุณที่ทาบทับลงมา ผ่อนคลายเส้นเอ็นและกระดูก อย่าให้พูดเลยว่าสบายเพียงใด
เขากินข้าวเช้าอย่างเรียบง่าย แล้วดื่มนมแก้วหนึ่ง นมนี้อร่อยยิ่ง อร่อยกว่านมที่เขาดื่มก่อนหน้านี้มาก
“คุณชายหลี่อยู่หรือไม่”
“คุณชายหลี่!”
หลี่จิ่วเต้าเพิ่งวางแก้วนมลง ก็ได้ยินเสียงคนเรียกเขามากมายดังมาจากหน้าร้าน
หืม?
นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?
เช้าตรู่เช่นนี้ เขายังไม่ทันได้เปิดประตูร้านด้วยซ้ำ เหตุไฉนถึงมีคนมาหาเขามากมายเพียงนี้
“มาแล้ว ๆ”
เขารีบวิ่งไปเปิดประตู กลัวว่าคนเหล่านี้มาหาเขาเพราะมีเรื่องด่วน
เมื่อเปิดประตูร้าน เขาต้องนิ่งค้างไป จำนวนคนไม่น้อยเลย
ในหมู่คนเหล่านี้มีใบหน้าคุ้นเคยอยู่มากทีเดียวที่เคยข้องแวะกันมาก่อน ทั้งหมดล้วนเป็นบัณฑิตผู้มีความรู้ในเมืองชิงซาน ชื่นชอบศาสตร์แห่งศิลป์
“ทุกท่านมาผิดที่แล้ว เห็นร้านข้าเป็นโรงน้ำชาหย่าเสียนหรือ”
หลี่จิ่วเต้าพูดติดตลก
โรงน้ำชาหย่าเสียนคือศูนย์รวมบัณฑิตผู้มีความรู้ในเมือง ครานั้น เขายังเคยดูตัวกับหลิงอินที่โรงน้ำชาหย่าเสียนด้วย
“คุณชายหลี่ล้อเล่นกันแล้ว พวกเราตั้งใจมาหาคุณชายหลี่!”
“โอ๊ย คุณชายหลี่ มีเรื่องที่ท่านไม่ทราบ ระยะนี้มีปรมาจารย์ด้านหมากล้อมคนหนึ่งมาที่นี่ อย่าให้พูดเลยว่าฝีมือสูงส่งขนาดไหน พวกข้าไปแล้วได้เดินเพียงไม่กี่ตาก็พ่ายแพ้กันหมด!”
คนเหล่านั้นแย่งกันพูดให้วุ่นวาย
ตั้งแต่พวกเขากลับมาหลังจากพ่ายแพ้หมากล้อม ก็นอนไม่หลับทั้งคืน อยากเห็นหลี่จิ่วเต้าประชันฝีมือกับปรมาจารย์หมากล้อมท่านนั้นให้รู้แพ้รู้ชนะ พวกเขาก็จะได้เชยชมตาเดินหมากล้อมแสนเยี่ยมยอด และได้ความรู้กลับมาบ้าง
เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงมาหาหลี่จิ่วเต้าแต่เช้า
“ยังมีคนระดับนี้อยู่หรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้”
ชายหนุ่มตะลึงนิดหน่อย คนเล่นหมากล้อมชอบการเจอคู่ต่อสู้ฝีมือทัดเทียมที่สุด เขาเองก็เช่นกัน เขาเคยเล่นหมากล้อมกับบัณฑิตในเมืองที่เล่นหมากล้อมเป็นมาหมดแล้ว
อนิจจา ฝีมือหมากล้อมของบัณฑิตเหล่านี้ห่วยเกินไป ห่างชั้นจากเขามาก เพิ่งเดินได้ตาเดียวก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่าต้องแพ้ เขาไม่เคยพบคู่ต่อสู้ฝีมือทัดเทียมมาก่อน
รู้หรือไม่ว่าบัณฑิตเหล่านี้ล้วนมีอัตตาสูง ยากจะยอมรับผู้ใด ถูกบัณฑิตเหล่านี้ขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์หมากล้อมได้ ระดับความสามารถการเล่นหมากล้อมของอีกฝ่ายย่อมต้องเก่งกาจมากแน่ ๆ
มิฉะนั้น บัณฑิตเหล่านี้ไม่มีทางยอมรับคนผู้นั้น ไม่มีทางเรียกขานคนผู้นั้นอย่างให้เกียรติว่าเป็นปรมาจารย์หมากล้อม
เรื่องนี้ส่งผลให้เขามีความใคร่รู้ขึ้นมา เขาเคยประมือกับชาวเมืองชิงซานที่เล่นหมากล้อมเป็นมาหมดแล้ว มีคนที่ฝีมือสูงส่งปานนี้อยู่ ไยเขาจึงไม่ทราบ?
“เขามิได้อาศัยอยู่ในเมืองชิงซาน แต่อาศัยอยู่ในภูเขาลูกเล็กลูกหนึ่งนอกเมืองชิงซาน เป็นชายชราเก็บตัว มีงานอดิเรกคือการเล่นหมากล้อม จึงศึกษาตาเดินหมากในเขามาโดยตลอด คุณชายไม่รู้จักก็เป็นเรื่องปกติ”
“ใช่แล้ว เมื่อวานพวกเราบังเอิญผ่านที่นั่น เห็นผู้เฒ่ากำลังดวลฝีมือกับตนเอง พวกเราเองก็ชื่นชอบการเล่นหมากล้อม ย่อมต้องเข้าไปขอประชันด้วยสักตาสองตา”
“เดิมพวกเราคิดว่าผู้เฒ่าเล่นหมากล้อมเป็นงานอดิเรกยามว่างเท่านั้น หารู้ไม่ว่าผู้เฒ่าเป็นถึงระดับปรมาจารย์ กลยุทธ์เดินหมากผกผันยากจะคาดเดา ฝีมือการเล่นหมากสูงส่งเหนือชั้น พวกเรามิใช่คู่ต่อสู้ของผู้เฒ่าเลย…ต่างต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ”
คนเหล่านี้พากันอธิบาย
ที่แท้เป็นปรมาจารย์หมากล้อมผู้เก็บตัวตามป่าตามเขา ชื่นชอบการเล่นหมากล้อมนี่เอง ไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้เลย
หลังหลี่จิ่วเต้าฟังจบก็ถึงบางอ้อ
“คู่ต่อสู้หมากล้อมอันมีฝีมือทัดเทียมหาได้ยากยิ่ง ความสามารถในการเล่นหมากล้อมของคุณชายสูงส่งเหนือชั้น ปรมาจารย์หมากล้อมผู้นั้นก็เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ดี!”
“ใช่แล้ว!”
“พวกเราเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะอย่างนั้น พวกเราถึงมาหาคุณชายแต่เช้า เพื่อเล่าเหตุการณ์ให้คุณชายฟัง”
คนเหล่านั้นพากันส่งเสียง
ในความคิดพวกเขา หากคุณชายหลี่ยอมเล่นหมากล้อมกับปรมาจารย์หมากล้อมผู้นั้นสักตา ย่อมต้องบันเทิงกว่าปกติอย่างแน่นอน!
พวกเขาตั้งตารอตาเดินหมากล้อมนี้เป็นอย่างมาก!
“ใช่แล้ว คนเล่นหมากล้อมชอบที่สุดคือการได้พบคู่ต่อสู้ฝีมือทัดเทียม มิฉะนั้นจะให้ไปเล่นกับผู้ใด”
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ “ขอบคุณทุกท่านที่มาบอก ข้าเองก็อยากเดินหมากกับปรมาจารย์หมากล้อมผู้นี้สักตา รบกวนทุกท่านช่วยนำทางไปที”
เขาสนอกสนใจมาก บวกกับเขาเองอยู่ว่าง ๆ จึงอยากดวลฝีมือกับปรมาจารย์หมากล้อมผู้นั้นสักตา
“ได้เลย!”
“ไป ๆๆ!”
บัณฑิตทั้งหลายตื่นเต้นกันหมด พวกเขาเฝ้ารอมาตั้งแต่เมื่อคืน จนนอนหลับไม่เต็มอิ่ม
จากนั้น พวกเขานำทางอยู่ด้านหน้า ออกจากเมืองชิงซานพร้อมหลี่จิ่วเต้า
ริมน้ำนอกเมือง ต้นหลิวและก้อนหินเห็นบัณฑิตกลุ่มนั้น
บัณฑิตเหล่านี้เอาแต่พูดว่าฝีมือการเดินหมากของปรมาจารย์หมากล้อมผู้นั้นสูงส่งเพียงใด ต้นหลิวและก้อนหินก็พอรู้จากเสียงสนทนาแล้วว่าท่านเซียนจะไปทำการใด
“จะเป็นอุบายหรือเปล่า ต้องเตือนท่านเซียนหน่อยหรือไม่”
ก้อนหินบอกกับต้นหลิวอย่างอดไม่ได้
ระยะนี้ไม่สงบเท่าใด มักมีคนแปลก ๆ หมายใจอยากเข้าไปในเมืองชิงซาน จู่ ๆ ตอนนี้มีปรมาจารย์หมากล้อมเยี่ยงนี้โผล่ออกมา ก้อนหินกลัวจะมีกับดัก จึงอยากไปเตือนท่านเซียน
ก้านหลิวโบกไสว ก้านหนึ่งในนั้นหวดกระแทกก้อนหิน
มันส่งเสียงตำหนิ “เจ้าคิดอันใดอยู่! ท่านเซียนมีความสามารถปานใด ต้องให้เจ้ากับข้าไปเตือนอีกหรือ”
“ก็จริง!”
ก้อนหินได้สติ รู้สึกว่ามันนี่ชอบคิดมากเหลือเกิน
ด้วยความสามารถของท่านเซียน ต่อให้มีกับดักแล้วอย่างไร ทำอะไรท่านเซียนได้หรือ
...
บุ๋ง บุ๋ง~
ภายในลานเล็กของหลี่จิ่วเต้า มัจฉาสัตมายารู้ว่าท่านเซียนออกไปข้างนอก จึงกระโจนขึ้นจากโอ่งน้ำเป็นระยะ หมายจะให้ลั่วสุ่ยปล่อยมันออกไปรับลมเสียหน่อย
ปกติขอเพียงท่านเซียนไม่อยู่ ลั่วสุ่ยมักปล่อยมันออกจากโอ่งน้ำเพื่อตากลมตากแดด
เพียงแต่เหมือนว่ายามนี้ลั่วสุ่ยมิได้อยู่ในลาน หากแต่อยู่ในบ้าน มันกระโจนอยู่หลายทีก็ไม่เห็นร่างของลั่วสุ่ย
อีกด้านหนึ่ง ลูกชิงหนิวลานด้านข้างเห็นมัจฉาสัตมายาก็เอ่ยคำ
“ท่านแม่ ปลาตัวนี้สวยจัง!”
ลูกชิงหนิวน้อยบอกกับแม่ชิงหนิว
“ใช่แล้ว สวยจริง ๆ!”
แม่ชิงหนิวเห็นมัจฉาสัตมายาเช่นกัน ขณะที่รู้สึกว่ามัจฉาสัตมายางดงามก็รู้สึกคุ้นตาอีกด้วย
“ท่านแม่ ข้าขอเข้าไปดูหน่อย!”
ลูกชิงหนิวน้อยวิ่งจากลานด้านข้างไปด้วยความใคร่รู้
ชิงหนิวทั้งสามตัวล้วนมีเชือกคล้อง ฝีมือของหลี่จิ่วเต้า เขากลัวว่าชิงหนิวสามตัวนี้จะวิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว แต่มิได้คล้องลูกชิงหนิวน้อย
หลี่จิ่วเต้าเห็นว่าลูกชิงหนิวน้อยเด็กไป เห็นได้ชัดว่าเพิ่งคลอดออกมาได้ไม่นาน เขามองว่าลูกชิงหนิวน้อยคงยิ่งวิ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงมิได้คล้องเชือกลูกชิงหนิวน้อย
จริงอย่างที่ว่า ลูกชิงหนิวน้อยคลอดออกมาได้ไม่กี่วัน หากเป็นลูกวัวธรรมดา แน่นอนว่ายังวิ่งไม่ได้
ทว่า นี่มิใช่ลูกวัวธรรมดา หากแต่เป็นอสูรฟ้าชิงหนิวซึ่งมีสายเลือดทรงพลัง ทันทีที่ถือกำเนิดก็ครอบครองพลังแกร่งกล้า พูดจาเดินเหินได้ไม่เป็นปัญหา
“ลูก อย่าเข้าไป! แม่นึกออกแล้ว นั่นคือมัจฉาสัตมายา เผ่ามัจฉาจอมโหดในอาณาจักรอวี้ซวี หนึ่งในอาณาจักรเก้าตอนบน!”
แม่ชิงหนิวตกใจแทบแย่หลังจำมัจฉาสัตมายาได้ รีบตะโกนบอกลูกชิงหนิวทันที
บทที่ 422
อาณาจักรเก้าตอนบนอยู่เหนือกว่าอาณาจักรนับหมื่นอาณาจักร เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเก้าอาณาจักรทรงพลังที่สุด เผ่าที่สามารถปกครองดินแดนเหล่านี้ได้ ย่อมต้องน่าหวั่นเกรงเกินกว่าจะจินตนาการได้!
แม้เผ่าอสูรฟ้าชิงหนิวอย่างมันมีสายเลือดกล้าแกร่ง บรรพบุรุษถึงกับเคยถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสิบอสูรร้ายบรรพกาล แต่หากนำไปเปรียบเทียบกับเผ่าผู้ปกครองเก้าอาณาจักรตอนบนแล้ว อสูรฟ้าชิงหนิวนับว่าต่างชั้นกันเกินไปจนไม่อาจเทียบได้!
แม้ว่าจะเป็นสิบอสูรร้ายบรรพาลที่แท้จริง เกรงว่าก็ยังยากที่จะเปรียบเทียบ
เผ่ามัจฉาสัตมายาที่สามารถปกครองเก้าอาณาจักรตอนบนได้ ต้องทรงพลังมากอย่างแน่นอน!
แม่ชิงหนิวตกใจ กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกชิงหนิว
คนโบราณเคยกล่าวเอาไว้ว่าลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ!
“กลับมาเร็ว!”
“อย่าไปยุ่งกับปลาตัวนั้น!”
พ่อของลูกชิงหนิวและผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวจดจำมัจฉาสัตมายาได้ จึงรีบตะโกนเรียกลูกชิงหนิวให้กลับมาด้วยความเป็นห่วง
พวกมันต้องการจะวิ่งไปพาลูกชิงหนิวกลับมา
ทว่าพวกมันมีเชือกที่ท่านเซียนคล้องเอาไว้ ทำให้พวกมันไม่มีทางหลุดออกมาได้
“ไม่เป็นไร ข้าแค่จะไปดู ไม่ก่อปัญหาแน่!”
ลูกชิงหนิวหันกลับมาพูดก่อนจะวิ่งต่อ
บุ๋ง บุ๋ง~
พี่ใหญ่ พวกเราช่วยท่านได้นะ!
พวกเราช่วยส่งท่านออกไปได้!
ปลาตัวอื่น ๆ ในถังน้ำกล่าวกับมัจฉาสัตมายา
หลังจากมัจฉาสัตมายาถูกลั่วสุ่ยยอมรับ สถานะของมัจฉาสัตมายาในหมู่ปลาเหล่านี้ก็นับได้ว่าสูงที่สุด ทำให้พวกมันทั้งหมดต่างพากันประจบประแจงมัจฉาสัตมายา
ดี!
มัจฉาสัตมายาเอ่ย
ก่อนหน้านี้มีปลาที่กระโดดออกจากถังน้ำด้วยตนเอง หลังจากนั้นมันก็ถูกพลังในลานเล็กสังหารทิ้ง
ทว่ามันที่ออกไปหลายครั้งกลับไม่เคยพบกับเหตุการณ์เช่นนั้น
อาจเป็นเพราะมันถูกลั่วสุ่ยยอมรับ พลังในลานเล็กก็เลยดูคล้ายจะ ‘ยอมรับ‘ มันไปด้วย
แต่มันเองก็ไม่กล้าจะยุ่งวุ่นวายหรือแตะต้องสิ่งใดในลานเล็ก
มันไม่สามารถแน่ใจได้ว่าพลังในลานเล็กจะยอมรับมันจริงหรือไม่ หากมันไปแตะสิ่งใดแล้วไม่ได้รับการยอมรับจริง พลังในลานคงจะระเบิดออกมาแล้วสังหารมันทันที!
เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่ากระทั่งลั่วสุ่ยก็ไม่อาจช่วยมันได้!
บุ๋ง บุ๋ง~
ปลาในถังร่วมมือกันดันช่วยส่งมัจฉาสัตมายาออกไปอย่างรวดเร็ว
มันสะบัดตัวไล่หยดน้ำออกไป
แม้ออกจากถังน้ำมาได้ พลังของมันก็ฟื้นคืนกลับมา
มันนอนอาบแดดสบายใจอยู่บนแท่นบันไดหิน
แม้ว่ามันจะเป็นปลา ชื่นชอบน้ำเป็นที่สุด แต่ถังน้ำขนาดเพียงแค่นั้นก็ทำให้มันรู้สึกเบื่อหน่ายอึดอัดมานานแล้ว การออกมาอาบแดดยามนี้จึงไม่ได้ทำให้มันรู้สึกอะไรนอกจากสบายเป็นอย่างมาก
ทว่าในขณะที่มันกำลังอาบแดดอยู่ ก็พลันรู้สึกว่ามีเงาทาบลงมา
“อ่า เจ้าปลาตัวน้อยออกมาอาบแดด ไม่กลัวจะขาดน้ำตายหรืออย่างไร”
ลูกชิงหนิววิ่งเข้ามามองดูมัจฉาสัตมายาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทั้งยังยกตัวมัจฉาสัตมายาขึ้นมาสำรวจไปมา
แม้ว่ามันยังเด็กแต่ก็ยังเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ไม่น้อย ยิ่งสายเลือดแข็งแกร่งยิ่งน่าพิศวง มีความรู้จำนวนมากถูกถ่ายทอดผ่านจิตสำนึก
ที่แท้ที่มันรู้สึกว่าท้องฟ้ามืดลง ก็เพราะลูกชิงหนิวบังแสงอาทิตย์!
แค่บังแสงก็บังไปเถอะ แต่ลูกชิงหนิวตนนี้ถึงกับกล้ายกมันขึ้นมา!
เจ้าเด็กนี่!
มัจฉาสัตมายาโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที
อะไรกัน เจ้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่กลับกล้ามาก!
ถึงแม้เจ้าจะเป็นวัวของท่านเซียน
แต่ก็...ทำเช่นนี้ไม่ได้!
อย่างน้อย...อย่างน้อยมันก็เป็นสมาชิกเก่าของบ้านหลังนี้!
ต้องเคารพมันเข้าใจหรือไม่!
“ลูกอย่าไปยุ่ง รีบวางลงเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเห็นลูกชิงหนิวยกมัจฉาสัตมายาขึ้นมา แม่ชิงหนิวก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก
“ไม่เป็นอะไรหรอกท่านแม่ ข้าบังเอิญเห็นว่ามันกระโดดออกมาจากถังน้ำ ปลาจะตายถ้าขาดน้ำ ข้าเลยจะส่งมันกลับลงไป!”
ลูงชิงหนิวยิ้มกว้าง ยกมัจฉาสัตมายาเตรียมจะส่งมันกลับลงไปในถังน้ำ
ปลาจะตายถ้าขาดน้ำ?
เหลวไหล!
เจ้าทำเหมือนข้าเป็นเพียงปลาธรรมดาอย่างนั้นหรือ!
มัจฉาสัตมายาขยับตัวพร้อมพลังที่พุ่งออกมากระแทกลูกชิงหนิวจนกระเด็นไปอีกทาง
ไม่ง่ายเลยสำหรับมันที่จะได้ออกมาจากถังน้ำ มันยังไม่ทันเพลิดเพลินจนพึงพอใจจะปล่อยให้ตนเองถูกลูกชิงหนิวส่งกลับลงไปในถังน้ำได้อย่างไร?
ไม่มีทางเสียหรอก!
เวลาที่ออกมาได้ของมันมีอยู่อย่างจำกัด!
“อ๊ะ ปลาตัวนี้แข็งแรงมาก!”
ลูกชิงหนิวที่กระเด็นออกไปไกลตกใจจนรีบวิ่งกลับไปหาแม่ชิงหนิว
กล่าวว่าลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ นั้นหมายถึงลูกวัวที่เพิ่งเกิดไม่รู้ว่าเสือทรงพลังเพียงใด จึงเกิดความอยากรู้อยากเห็น ไม่มีความเกรงกลัว
“รู้หรือยังว่าพี่ใหญ่มัจฉายอดเยี่ยมเพียงใด!”
ปลาสัตมายาแย้มยิ้มภาคภูมิใจ
เดี๋ยวก่อน...
พี่ใหญ่มัจฉา!?
ดวงตาเล็ก ๆ ของมันกลอกไปมาราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนที่มันจะลอยไปยังลานเล็กไปอยู่ต่อหน้าชิงหนิวทั้งสี่ตัว
“เด็กน้อยไม่รู้ความ โปรดอย่าถือสามันเลย!”
ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวรีบเอ่ยขึ้นมา
“แค่ก แค่ก”
มัจฉาสัตมายาตั้งใจกระแอมไอออกมาสองครั้งก่อนกล่าว “คน ไม่สิ มัจฉาผู้ยิ่งใหญ่เช่นข้าไม่อยากจะถือสาอะไรพวกเจ้า แต่ว่า พวกเจ้าเพิ่งจะมาที่นี่ ข้าในฐานะสมาชิกเก่าของบ้านจึงจำเป็นต้องบอกกฎกับพวกเจ้า”
“อ่า? ยังมีกฎด้วยหรือ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดคาดไม่ถึง
“ย่อมต้องมี! พวกเจ้าเพิ่งมาจึงยังไม่รู้ย่อมเป็นเรื่องปกติ”
มัจฉาสัตมายาเอ่ย “ข้าจะบอกกับพวกเจ้า ในบ้านของพวกเรา ท่านเซียนคือเจ้านายใหญ่ รองลงมาคือพี่สาวลั่วสุ่ย ส่วนข้านับเป็นที่สาม! พวกเจ้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่ดังนั้นต้องกลายเป็นลำดับสุดท้าย เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว!”
ผู้อาวุโสสูงสุดรีบพยักหน้ารับ
แม้ว่ามันจะไม่รู้ว่าลั่วสุ่ยคือผู้ใด แต่มันก็พอจะคาดเดาได้ว่าลั่วสุ่ยน่าจะเป็นแมวสีขาวตัวนั้น
“เข้าใจแล้วก็ดี”
มัจฉาสัตมายาแสร้งวางมาดผู้อาวุโส “ข้ากับพี่สาวลั่วสุ่ยมาก่อนพวกเจ้า ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของท่านเซียน หลังจากนี้พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเคารพข้าและพี่สาวลั่วสุ่ย”
“ควรจะเป็นเช่นนั้น!”
ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวยิ้มรับ เข้าใจการปฏิบัติตนเป็นอย่างดี
อย่างไรเสียพวกมันก็มาหลังสุดจริง ๆ มัจฉาสัตมายาและแมวขาวมาก่อนพวกมัน ดังนั้นย่อมได้รับความโปรดปรานจากท่านเซียนมากกว่า
“อืม อย่างน้อยพวกเจ้าก็เข้าใจเรื่องต่าง ๆ ได้รวดเร็ว”
มัจฉาสัตมายากล่าว “ถ้าเช่นนั้น ก่อนอื่นเลยก็ให้ข้าดื่มนมเสีย”
มันเองก็อยากจะลิ้มลองนมที่ท่านเซียนชื่นชอบด้วย มันไม่กล้าแตะต้องสิ่งของในลานเล็ก แต่กับชิงหนิวทั้งสี่ตนนั้นแตกต่างออกไป หากได้นมจากแม่ชิงหนิวมาดื่มบ้างก็คงจะดีไม่น้อย
นี่มัน...สุดยอด!
อ่า ไม่สิ นี่มันยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่าวัว*[1]!
ด้านในถังน้ำ ปลาตัวอื่นล้วนชื่นชมมัจฉาสัตมายาเป็นอย่างมาก
มัจฉาสัตมายาช่างยอดเยี่ยมเสียจริง สามารถยกระดับสถานะตัวเองขึ้นได้ในทันใด
แม้มัจฉาสัตมายาจะมีไมตรีไม่เลวกับลั่วสุ่ย แต่ทว่าก็ยังเป็นเพียงปลาที่รอเชือด อาจถูกท่านเซียนฆ่าได้ทุกเมื่อ
สถานะดังกล่าวจะเทียบกับชิงหนิวทั้งสี่ตนได้อย่างไร?
แต่มัจฉาสัตมายาช่างยอดเยี่ยม ชิงลงมือก่อนที่พวกชิงหนิวจะรู้
วิธีนี้ช่างยอดเยี่ยม!
ไม่ยอมรับก็ไม่ได้แล้ว!
อสูรฟ้าชิงหนิวทั้งสี่ตนเพิ่งมาที่นี่ ดังนั้นพวกมันจึงยังไม่รู้ว่าเหล่าปลาในถังน้ำล้วนถูกท่านเซียนจับมาให้ลั่วสุ่ยกิน
ถ้าหากพวกมันรู้ พวกมันยังจะหวาดกลัวมัจฉาสัตมายาอีกหรือ?
[1] ยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่าวัว (比牛还要牛) เป็นการเล่นคำ หมายถึง ยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่ายอดเยี่ยม (ประมาณว่า ยอดเยี่ยมชุปแป้งทอด)
บทที่ 423
มัจฉาสัตมายาต้องการดื่มนม
ผู้อาวุโสชิงหนิวครุ่นคิด พวกมันเป็นเพียงผู้มาใหม่ยังไม่เข้าใจสิ่งใด หากมีมัจฉาสัตมายาช่วยดูแลก็คงจะดีกว่าเดิมมาก
อย่างไรเสียพวกมันก็รู้นิสัยใจคอท่านเซียนน้อยเกินไป หากพวกมันทำให้ท่านเซียนไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว จะต้องแย่แน่ ๆ
เทียบแล้ว การให้ดื่มนมสักเล็กน้อยไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
“ได้อย่างแน่นอน ไม่มีปัญหา”
ผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวกล่าวกับมัจฉาสัตมายาด้วยร้อยยิ้ม ตัดสินใจจะให้นมส่วนหนึ่งแก่มัจฉาสัตมายา
หลังจากมัจฉาสัตมายาได้ยินผู้อาวุโสสูงสุดชิงหนิวกล่าวออกมา ดวงตาคู่เล็กของมันก็เป็นประกาย
มันแสยะยิ้มพูด “ไม่เลว ทำตัวดีมาก! หลังจากนี้พี่มัจฉาผู้นี้จะช่วยพวกเจ้าเอง! ข้าจะบอกพวกเจ้าทั้งหมดว่าท่านเซียนชอบและเกลียดสิ่งใด ทำให้พวกเจ้าจะต้องได้รับความโปรดปราดจากท่านเซียนมากขึ้นแน่!”
สุดยอด สุดยอดมาก!
กระทั่งตัวเองยังปกป้องไม่ได้ กลับยังกล่าวออกมาว่าจะช่วยเหลือชิงหนิวทั้งสี่ตน!
ปลาตัวอื่นในถังน้ำเลื่อมใสมัจฉาสัตมายายิ่งนัก!
เจ้าปลาน้อยตัวนี้ช่างพูดช่างจาเก่งจริง ๆ!
ในตอนนั้นเอง ลั่วสุ่ยที่มาพร้อมกับสีหน้าดำคล้ำก็ใช้อุ้งเท้าข้างหนึ่งตบมัจฉาสัตมายาลงกับพื้น
“ใครกัน!”
มัจฉาสัตมายาเกรี้ยวกราด แต่เมื่อเห็นว่าเป็นลั่วสุ่ย ก็รีบแย้มยิ้มออกมาทันที “พี่สาวลั่วสุ่ยมาแล้ว!”
“เยี่ยมไปเลย”
ลั่วสุ่ยมองมัจฉาสัตมายาด้วยสีหน้าน่ากลัว
“เจ้ายังคิดที่จะกินนมอยู่อีกหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้นางฝึกตนอยู่ด้านในบ้าน หลังจากฝึกเสร็จแล้วจึงออกมาเดินเล่น เห็นมัจฉาสัตมายากำลังหลอกชิงหนิวทั้งสี่ตนเพื่อขอดื่มนมอยู่พอดี
“ไม่ ไม่ ไม่ ข้าเพียงแค่อยากจะลองชิมสักหนึ่งจิบว่ามันมีรสชาติเช่นไร”
มัจฉาสัตมายารีบเอ่ยขึ้นมา
“ปลาที่ไหนกินนมกัน รีบกลับไปในถังน้ำได้แล้ว คราวหลังไม่อนุญาตให้ออกมาด้านนอกอีก!”
ลั่วสุ่ยดุ
“หา? ไม่นะพี่สาวลั่วสุ่ย!”
มัจฉาสัตมายาตกตะลึง มันซุกซนเพียงเล็กน้อย ไม่คาดว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรงขนาดนี้
“นี่เป็นนมที่ท่านเซียนดื่ม เจ้ายังกล้าจะคิด เจ้าปลาน้อย อย่าว่าแต่เจ้าเลย ขนาดข้าเองก็ยังไม่กล้า!”
ลั่วสุ่ยพูดด้วยความขุ่นเคือง
ดีที่เป็นมัจฉาสัตมายา หากเป็นปลาตัวอื่น นางคงจะกินมันเข้าไปนานแล้ว
นางรู้ว่ามัจฉาสัตมายาไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นมากเกินไป จนคิดว่าเพียงได้ดื่มสักจิบคงไม่เป็นอะไร
แม้กล่าวตามจริงแล้ว เรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ทว่าชะตาของมัจฉาสัตมายายังไม่แน่นอน นางไม่ต้องการให้มัจฉาสัตมายาทำเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นมา แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
ช่วงนี้ที่นางได้ทำความรู้จักกับมัจฉาสัตมายาทำให้นางชื่นชอบอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ถึงกับนับอีกฝ่ายเป็นน้องชายจริง ๆ
นางหวังว่ามัจฉาสัตมายาจะระมัดระวังตัว แล้วอยู่รอดได้จนถึงท้ายที่สุด
แต่นางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของมัจฉาสัตมายาได้ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของท่านเซียน
“ข้าเข้าใจแล้วพี่ลั่วสุ่ย หลังจากนี้ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
มัจฉาสัตมายารู้ตัวว่าทำผิดแล้ว “พี่สาวลั่วสุ่ยอย่าได้โมโหเลย ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากนั้นมันก็ลอยกลับเข้าไปในถังน้ำด้วยความหงอย
พี่สาวลั่วสุ่ย?
เมื่อเห็นฉากเหล่านี้ ผู้อาวุโสสูงสุดชิงชิวก็รู้ว่าสิ่งที่มันคาดเอาไว้ไม่ผิด ลั่วสุ่ยก็คือแมวสีขาวตัวนี้
มันมองไปทางแมวขาวด้วยความเคารพนับถือ สายเลือดในตัวแมวขาวช่างน่ากลัวเกินไป ยามเผชิญหน้ากับแมวสีขาว หัวใจและจิตวิญญาณของมันสะท้านไม่หยุด
นี่คือพลังสายเลือดที่แมวสีขาวตัวน้อยแผ่ออกมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ หากแมวสีขาวตัวน้อยต้องการจะปล่อยพลังสายเลือดออกมาจริง ๆ เกรงว่าวิญญาณของมันจะแตกสลายในทันที!
น่าหวาดกลัวเหลือเกิน คาดว่าสายเลือดของแมวขาวตัวน้อยจะเหนือยิ่งกว่าสิบอสูรร้ายบรรพกาลแล้ว!
สายเลือดของสิบอสูรร้ายบรรพกาลยังทำให้มันรู้สึกกดดันน้อยกว่านี้มาก
“ไม่มีอะไรแล้ว อย่าไปฟังที่เขาหลอก ท่านเซียนนั้นดีมาก แม้มีข้อห้ามบางอย่าง แต่ก็ไม่มากขนาดนั้น พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป”
ลั่วสุ่ยพูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็เริ่มกล่าวกับชิงหนิวทั้งสี่ว่าข้อห้ามของท่านเซียนมีสิ่งใดบ้าง
ชิงหนิวทั้งสี่ต่างตั้งใจฟัง เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง!
...
อีกด้านหนึ่ง หลี่จิ่วเต้าติดตามเหล่าปัญญาชนไปยังเนินเขานอกเมือง
บนเนินเขาทัศนียภาพงดงามเป็นพิเศษ เขาเขียวขจีธารน้ำใสเหมาะยิ่งกับการจะปิดตัวอยู่อย่างสันโดษ
พวกเขาเดินตามทางเส้นเล็ก ๆ ที่ถูกปูด้วยหินกรวดจนกระทั่งถึงกระท่อมหลังหนึ่ง
ด้านหน้ากระท่อมท่ามกลางป่าไผ่สูงชะลูด มีศาลาเล็ก ๆ พร้อมโต๊ะหินสลักลายตารางหมากล้อมเอาไว้และเก้าอี้หินอีกสี่ตัว เห็นได้ชัดว่าเจ้าของกระท่อมเป็นผู้ที่ชื่นชอบในหมากล้อม
“ท่านผู้เฒ่าอยู่หรือไม่?”
“ครั้งนี้พวกเราพายอดฝีมือมาด้วย นี่คือคุณชายหลี่ที่พวกเราเล่าให้ท่านฟังเมื่อวานนี้!”
เหล่าปัญญาชนหลายคนพากันเอ่ยขึ้นมา
ภายในกระท่อม ชายชราผมขาวหัวเราะขึ้นมาในใจ
มาแล้ว ในที่สุดก็มาแล้ว!
เขามีความสุขเป็นอย่างมาก ในเมื่อหลี่จิ่วเต้ามาแล้วก็เท่ากับแผนของเขาสำเร็จไปครึ่งหนึ่ง
“จริงหรือ? ยอดเยี่ยมมาก!”
เขาเปิดประตูเดินออกนอกกระท่อมไปด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายหลี่จิ่วเต้าคือผู้ใดหรือ?”
เขาจงใจถามขึ้นมา แม้ว่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าหลี่จิ่วเต้าคือผู้ใด
“สวัสดีท่านผู้เฒ่า ข้าคือหลี่จิ่วเต้า ได้ยินมาว่าท่านผู้เฒ่าเก่งกาจไร้ผู้เทียบในด้านหมากล้อม ผู้น้อยจึงมาที่นี่เพื่อขอคำแนะนำในด้านทักษะหมากล้อมจากท่านโดยเฉพาะ”
หลี่จิ่วเต้ากล่าวออกมาด้วยความสุภาพเป็นอย่างมาก
“ที่แท้เจ้าก็คือคุณชายหลี่ คุณชายช่างเก่งกาจจริง ๆ อายุน้อยแค่นี้ยังมีความสามารถด้านต่าง ๆ มากมาย มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองชิงซาน”
ชายชราผมขาวเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่กล้าให้คำแนะนำ ทำได้แต่เพียงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทักษะหมากล้อมจากกันและกัน”
ช่างเก่งกาจนัก!
ลึกล้ำจนไม่อาจมองออก!
ภายในใจของเขาประเมินหลี่จิ่วเต้าไว้สูงมาก
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หนานเจี่ยและอู๋ฉีจะพลาดพลั้งถูกค้นพบอย่างรวดเร็ว หลี่จิ่วเต้าผู้นี้ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก!
เขาฝึกฝนวิชาลับที่ทำให้ประสาทสัมผัสทั้งหมดเฉียบคมขึ้นเป็นอย่างมาก ตราบใดที่อีกฝ่ายมีพลังอยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะซ่อนปกปิดเอาไว้ลึกเพียงใด ก็ไม่สามารถซ่อนมันจากเขาได้อย่างแน่นอน
แต่ทว่า ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของเขากลับไร้ผลกับหลี่จิ่วเต้า!
เขาไม่พบกระทั่งร่องรอยการฝึกตนของอีกฝ่าย!
ราวกับว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นเพียงปุถุชนทั่วไปจริง ๆ!
แต่เขาไม่คิดว่าคนผู้นี้จะเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาผู้หนึ่ง
กองกำลังฮวงเฉวียนล้มเหลวมาหลายครั้ง จนถึงขั้นยอมจ่ายราคาสูงปลุกเขาในฐานะเครือข่ายข่าวสารขั้นห้าขึ้นมา คงไม่ใช่เพียงเพื่อให้สืบสาวเรื่องราวของปุถุชนผู้หนึ่งกระมัง?
จะเป็นไปได้อย่างไร!
กองกำลังฮวงเฉวียนไม่ได้โง่งมปานนั้น
หนานเจี่ยและอู๋ฉีต่างก็สิ้นชีพลงจากการสืบข้อมูลของหลี่จิ่วเต้า คนตรงหน้าจะต้องไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาอย่างแน่นอน ทั้งยังอาจแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก!
‘ใจเย็น ไม่ต้องรีบร้อน! ตอนนี้เป็นโอกาสอันหายาก ข้าจำเป็นต้องตรวจสอบเขาอย่างละเอียด!’
ชายชราผมขาวคิดขึ้นมาในใจ
ดูจากท่าทีของหลี่จิ่วเต้าแล้ว อีกฝ่ายน่าจะยังไม่ค้นพบตัวตนของเขา
ลองคิดดูให้ดีแล้ว เขาจะถูกค้นพบตัวตนง่าย ๆ ได้อย่างไร
ในด้านของการซ่อนเร้นฝีมือ ต่อให้เป็นเทียนตี้ก็ไม่มีทางตรวจพบได้อย่างง่ายดาย
‘ค่อย ๆ เล่นแบบถ่วงเวลา อย่าเอาชนะอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว!’
เขาคิดขึ้นมาในใจ
แม้ว่าหลี่จิ่วเต้าจะมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองชิงซานในด้านทักษะหมากล้อมอันไร้ผู้เทียบ แต่คนในเมืองชิงซานล้วนเป็นปุถุชน ทักษะด้านหมากล้อมของพวกเขานับว่าย่ำแย่เกินไป
หยิบผู้ฝึกตนด้านหมากล้อมมาสักคนไม่ว่าใครก็ล้วนสามารถได้รับตำแหน่งไร้ผู้เทียบในเมืองชิงซาน
เขามั่นใจในทักษะการเล่นหมากล้อมของตนเองเป็นอย่างมาก เพื่อความสะดวกในการสืบข้อมูลข่าวสาร เขาได้ฝึกฝนวิถีหมากล้อมจนอยู่ในระดับสูงพอสมควร
หากเขาต้องการประชันหมากล้อมกับหลี่จิ่วเต้าจริง ๆ เกรงว่าเขาจะสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
ทว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
เขาต้องการเวลาเพื่อตรวจสอบอีกฝ่าย
บทที่ 424
ชายชราผมขาวมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก แม้หลี่จิ่วเต้าจะซ่อนงำเอาไว้ลึกจนมองไม่เห็น แต่เขายังสามารถตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างละเอียดได้แน่นอน
“เชิญคุณชายนั่งลงเถิด พวกเรามาประชันหมากกันสักตา”
ชายชราผมขาวยิ้มและเอ่ยเชื้อเชิญชายหนุ่มให้นั่งลง
“ดี”
หลี่จิ่วเต้านั่งลง ส่วนชายชราผมขาวตงฟางเวิ่นเดินกลับเข้าไปหยิบตัวหมากในกระท่อมมาวางบนโต๊ะหิน
เหล่าบัณฑิตที่ยืนอยู่รอบ ๆ ต่างตั้งตารอชมเกมหมากที่เป็นดั่งมังกรปะทะพยัคฆ์ด้วยความคาดหวัง
ทั้งคุณชายหลี่และชายชราตงฟางเวิ่นต่างก็มีทักษะหมากล้อมระดับสุดยอด เมื่อทั้งสองมาประชันกันจะต้องเป็นเกมที่น่าตื่นเต้นเป็นพิเศษแน่นอน
“ผู้มาเยือนก็คือแขก เช่นนั้นคุณชายหลี่เชิญเดินหมากก่อนเถิด”
ตงฟางเวิ่นกล่าวพร้อมรอยยิ้มแล้วส่งตัวหมากสีดำให้หลี่จิ่วเต้า
ตามกติกาของหมากล้อมแล้ว ฝ่ายตัวหมากสีดำจะได้เริ่มเดินก่อน
หากกล่าวตามจริงแล้ว ที่ตงฟางเวิ่นทำเช่นนี้ก็เพราะมั่นใจในทักษะหมากล้อมของตนเอง
โดยทั่วไปแล้ว ฝ่ายได้เริ่มเดินหมากก่อนย่อมได้เปรียบเป็นอย่างมาก สามารถวางหมากนำสร้างโอกาสได้ ยิ่งกับผู้เชี่ยวชาญยิ่งสามารถกลายเป็นผู้คุมกระดานชักจูกฝ่ายที่เดินทีหลังได้
ทว่าไม่ใช่กับเขา
เขามั่นใจในทักษะหมากล้อมของตนเอง แม้จะเป็นฝ่ายเดินหมากทีหลัง เขาก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะหลี่จิ่วเต้าได้
ทว่า เป้าหมายที่แท้จริงของเขาไม่ใช่สิ่งนี้
เขาขอให้หลี่จิ่วเต้าเริ่มเดินมากก่อน เพื่อที่เขาจะได้เล่นตามน้ำอีกฝ่ายไป ทำให้ถ่วงเวลายืดเยื้อเกมได้
“ตกลง“
หลี่จิ่วเต้าเองก็ไม่ได้แย้งอะไรในเรื่องนี้
เขาย่อมรู้ว่าผู้ที่ได้เดินมากก่อนเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ครั้งนี้เขาเพียงแค่ต้องการจะดูว่าทักษะหมากล้อมของตงฟางเวิ่นเป็นเช่นไร
หากทักษะหมากล้อมของตงฟางเวิ่นดีจริง เกมต่อไปเขาจะให้ตงฟางเวิ่นเป็นผู้เริ่มเดินหมากก่อน
เขาหยิบตัวหมากสีดำขึ้นมาวางบนกระดานอย่างแช่มช้า
ตงฟางเวินแต่เดิมแล้วเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทว่าเมืองหลี่จิ่วเต้าวางหมากตัวหนึ่งลงไปก็ตกใจกลัวจนจิตวิญญาณทั้งหมดสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขาเป็นตัวตนเช่นใดกันแน่!?
เดิมทีเขาคิดว่าตัวตนของเขายังไม่ถูกล่วงรู้ หลี่จิ่วเต้าไม่สามารถมองผ่านการปลอมตัวของเขาได้ แต่ตอนนี้ตงฟางเวิ่นตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าตนเองคิดผิด แถมยังคิดผิดอย่างมาก!
ทันทีที่หลี่จิ่วเต้าวางหมากลง ฉากรอบด้านก็เปลี่ยนไปโดยพลัน!
ราวกับพวกเขาอยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางห้วงอวกาศ เต๋าสวรรค์สาดส่องลงมาตวัดพันเกี่ยวกฎวิถี สานทับกันเป็นตาข่าย กลายเป็นตารางหมากล้อมท่อประกายด้วยเต๋านับล้านกลางนภา!
ต่อจากนั้น ดวงดาราก็หลั่งไหลมาบรรจบกันเบื้องหลังของพวกเขาทั้งสอง ฝั่งหนึ่งกลายเป็นสีดำ ส่วนอีกฝั่งกลายเป็นสีขาว!
เมื่อกลับมาอีกครา หมากสีดำที่หลี่จิ่วเต้าวางลงไปก็กลายเป็นดวงดาราสีดำเสียแล้ว!
‘สวรรค์! ควบคุมกฎวิถีสวรรค์สร้างเป็นกระดานหมากล้อม รวบรวมดวงดารานับล้านให้กลายเป็นตัวหมากขาวดำ!’
หนังศีรษะของตงฟางเวิ่นชาวาบ ภายในใจราวกับถูกคลื่นยักษ์โหมชัด เขาตื่นตะลึงจนไม่อาจจะตื่นตะลึงไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว!
นี่มันอะไรกัน!
เทียนตี้ก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้!
คนตรงหน้าเหนือกว่าเทียนตี้อย่างแน่นอน บางทีอาจจะเป็น...เซียน!
สะ สวรรค์! ขะ เขาโง่เขลาอะไรเช่นนี้ กล้ากระทั่งวางแผนการกับเซียน?
ถึงกับคิดว่าท่านเซียนจะไม่ค้นพบตัวตนของเขา ทั้งยังคิดว่าเขาเชี่ยวชาญในด้านหมากล้อมจนสามารถเอาชนะท่านเซียนได้!
เขาต้องไม่ประมาณตนมากแค่ไหนกัน!
‘ทำตัวให้น่าเชื่อถือกว่านี้ได้หรือไม่ เหตุใดต้องรับงานนี้มาด้วย!? งานเช่นนี้...จะสามารถทำสำเร็จได้อย่างไร?’
ภายในใจเขาดุด่าจ้าวตำหนักเสียเละเทะ ต้องใจกล้าบ้าบิ่นเพียงใดถึงหาญกล้ารับงานนี้มา!
ภายในใจของเขานอกจากจะมีความตกตะลึงอย่างถึงที่สุดแล้ว ยังมี...ความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ!
เซียนเป็นเพียงเรื่องเล่าขาน
ตลอดเวลานับล้านปีที่ผ่านมา ไร้ซึ่งผู้ใดสามารถกลายเป็นเซียนได้
เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าบนดินแดนแห่งนี้จะมีเซียนท่านหนึ่งปรากฏตัวขึ้น!
ทำอย่างไร ควรจะทำอย่างไรดี?
ภายในใจของเขาสับสนวุ่นวาย ไม่แปลกใจเลยที่หนานเจี่ยและอู๋ฉีตาย พวกเขาจะสามารถรอดชีวิตได้อย่างไร?
นี่คือเซียนท่านหนึ่ง!
ไม่ต้องพูดถึงหนานเจี่ยและอู๋ฉีเลย กระทั่งจ้าวตำหนักมาเองยังต้องตาย!
นี่...นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อกรได้!
ต้องขอร้องความเมตตา!
หากไม่ขอร้องความเมตตา เขาก็ไร้ซึ่งทางรอด!
ทว่าก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงขอร้องความเมตตาจากท่านเซียน เขาก็พลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้
เดี๋ยวก่อน!
อย่าพึ่งตื่นตูม!
ด้วยความสามารถของท่านเซียนแล้ว เกรงว่าตัวตนของเขาจะถูกรับรู้ได้ตั้งแต่แรกที่มาถึง
แต่เหตุใดท่านเซียนถึงยังไม่สังหารเขา?
หนานเจี่ยและอู๋ฉีตายตกไปทันทีที่มาถึง แต่เขากลับยังมีชีวิตอยู่!
ทั้งยังได้เล่นหมากล้อมกับท่านเซียน
แม้กฎแห่งสวรรค์และโลกจะถูกทอขึ้นเป็นกระดาน ดวงดาราเป็นดั่งตัวหมาก ทว่า...เขากลับไม่รับรู้ถึงจิตสังหาร!
ท่านเซียนเหมือนไม่มีแผนที่จะสังหารเขา!
ช่วงขณะหนึ่งความคิดของเขาพลุ่งพล่าน ทว่าก็ได้แค่คิดไม่กล้าขยับเขยื้อน เกรงว่าชีวิตของตนจะจบลง!
ขนาดมดยังรักชีวิต นับประสาอะไรกับคนเล่า
เขายังไม่อยากตาย เขาอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ!
“เหตุใดท่านผู้อาวุโสถึงไม่เดินหมากเล่า”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยถาม
เป็นเรื่องปกติที่จะใช้เวลาในการเดินมาก แต่ทว่าตงฟางเวิ่นกลับใช้เวลามากเกินไป...
เวลาผ่านไปแล้วครึ่งก้านธูป แต่ตงฟางเวิ่นกลับยังคงไม่ขยับเขยื้อน
สุดท้ายแล้วเขาก็อดถามขึ้นมาไม่ได้
เดินหมาก?
เดินหมากงั้นหรือ?
เมื่อตงฟางเวิ่นได้สติกลับมา ภายในของเขาก็ยิ่งสับสนงุนงง
ท่านเซียนไม่ได้สังหารเขาก็เพราะต้องการจะเล่นหมากล้อมกับเขางั้นหรือ?
จะเป็นไปได้อย่างไร!
คนตัวเล็กจ้อยอย่างเขา แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในวิถีหมากล้อม แต่จะสามารถเทียบกับท่านเซียนได้อย่างไร?
ท่านเซียนเพียงแค่คิดก็หยั่งรู้สรรพสิ่ง เพียงแค่นึกก็บัญชากฎแห่งสวรรค์และโลกได้ ไม่ต้องใช้สมองขบคิดก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาไม่มีทางต่อกรกับท่านเซียนได้
แค่พูดมากเกินก็อาจถึงตายได้!
เขาจึงไม่กล้าพูดสิ่งใด ได้แต่เฝ้ามองสถานการณ์ไปก่อน
อย่างไรเสียต่อหน้าท่านเซียน เขาทำสิ่งใดไปก็ล้วนไร้ค่า หากเขาทำตามท่านเซียนบางทีอาจมีหนทางรอด
ก็แค่เล่นหมากล้อมไม่ใช่หรือ!
ก็แค่เดินหมากไป!
เขากัดฟันหยิบตัวหมากสีขาวขึ้นมาท่ามกลางแรงกดดันมหาศาล จากนั้นก็วางมันลงบนกระดาน
เกิดเสียงดังสนั่น เขาเห็นว่าหลังจากที่ตนเองวางหมากสีขาวลงบนกระดาน ดวงดาราสีขาวก็ตกลงมาบนกระดานหมากล้อมที่ทอขึ้นมาจากกฎแห่งสวรรค์และโลก
ไม่คาดฝันมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้เล่นเกมหมากล้อมที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้!
ตงฟางเวิ่นตะโกนขึ้นมาในใจ
ใช้กฏแห่งสวรรค์และโลกมาเป็นกระดาน ใช้ดวงดาราต่างหมากล้อม เขาเคยเล่นหมากล้อมเช่นนี้ที่ไหนกัน!
เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝัน!
ถึงแม้จะเป็นความฝัน ความฝันนี้ก็ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว!
คนผู้นี้...แปลกยิ่งนัก เหตุใดตอนเล่นหมากล้อมถึงเงียบเพียงนี้?
หลี่จิ่วเต้าคิดขึ้นมาในใจ ทว่าไม่ได้พูดออกมา
หากพูดออกมามันคงดูไม่ค่อยสุภาพเสียเท่าไหร่
‘แค่เดินหมาก ใยต้องคิดมากมายถึงเพียงนี้’
เขาลดความคาดหวังในใจลง ก่อนจะเล่นหมากล้อมกับตงฟางเวิ่นอย่างจริงจัง
สิงโตจับกระต่ายยังต้องใช้แรงทั้งหมด ประชัดหมากล้อมเองก็เป็นเช่นนั้น หากไม่ระมัดระวัง อีกฝ่ายอาจใช้โอกาสจากช่องโหว่พลิกกระดานทั้งเกม
เขาไม่เคยทำพลาดและก็ไม่เคยเล่นอย่างประมาทไม่ว่ากับใครก็ตาม
นี่นับเป็นหนึ่งในการแสดงความเคารพต่อฝั่งตรงข้าม
บทที่ 425
เสียงกระหึ่มดังไม่หยุดหย่อน ดาวดวงแล้วดวงเล่าร่วงหล่นลงมาในกระดานกฎแห่งสวรรค์และโลก ดำบ้าง ขาวบ้าง
ระหว่างนี้ อย่าให้พูดเลยว่าตงฟางเวิ่นรู้สึกแย่เพียงใด
ยังดีที่ขอบเขตพลังของเขาไม่นับว่าต่ำ อยู่ที่ขั้นตี้หวง ซ้ำยังเน้นบำเพ็ญวิญญาณและหทัยเต๋า เรียกได้ว่าพลังวิญญาณและพลังหทัยเต๋าอยู่ในระดับเดียวกัน
มิฉะนั้น เขาต้านไม่ไหวจริง ๆ!
ตาหมากเดินเยี่ยงนี้ ถือเป็นบททดสอบวิญญาณและหทัยเต๋าอย่างมาก หากเป็นตี้หวงทั่วไป เกรงว่าคงกลัวจนวิญญาณกระเจิง หทัยเต๋าแหลกเหลวไปนานแล้วกระมัง!
เขาเองระหว่างที่เดินหมากก็ค่อย ๆ แน่ใจขึ้น
ท่านเซียนมิได้คิดฆ่าเขาจริง ๆ!
กำกับกฎวิถีสวรรค์ หลอมรวมดวงดาวนับร้อยล้าน ต้องมีพลังแกร่งกล้าปานใดถึงทำได้!?
ภายใต้พลังแสนแกร่งกล้านี้ เขาตัวเล็กจ้อยราวเศษธุลี!
หากมิใช่ว่าพลังแกร่งกล้านี้ปราศจากจิตสังหาร ต่อให้มีจิตสังหารเพียงเศษเสี้ยวเขาก็ไม่อาจรอดมาได้ ต้องตายเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเล่นหมากอยู่ที่นี่
“น่าสนใจใช้ได้!”
หลี่จิ่วเต้ายิ่งเดินหมากยิ่งรู้สึกสนุก ฝีมือการเล่นหมากของตงฟางเวิ่นใช้ได้ ไม่เสียเที่ยวที่มาเล่นด้วย
ทว่าเทียบกับเขาแล้ว ตงฟางเวิ่นยังด้อยกว่านิดหน่อย หลังจากเดินหมากอีกสิบกว่าตา ตงฟางเวิ่นก็พ่ายแพ้ราบคาบ ปราชัยต่อเขาในหมากกระดานนี้
“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”
“เก่งกาจเกินไปแล้ว!”
เหล่าบัณฑิตรอบ ๆ พากันส่งเสียงอุทาน ความสามารถด้านหมากของหลี่จิ่วเต้าและตงฟางเวิ่นเหนือชั้นกว่าพวกเขาจนยากจะไล่ตามได้ทัน หมากกระดานนี้ช่วยเพิ่มความรู้และประสบการณ์ให้พวกเขามหาศาล
ยอดเยี่ยมหรือ?
ตงฟางเวิ่นยิ้มขมขื่นในใจ จุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดพวกเจ้ามองไม่เห็น!
กระดานหมากล้อมที่ถักทอด้วยกฎวิถีสวรรค์ ดาวนับร้อยล้านดวงกลายเป็นหมากดำขาว นี่ต่างหากจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุด!
และถึงแม้เขาจะแพ้หมากกระดานนี้ ทว่าเขากลับได้รับประโยชน์มหาศาล!
ตงฟางเวิ่นสัมผัสได้ว่าวิญญาณและหทัยเต๋าของเขาพลังเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว เขาในตอนนี้มีวิญญาณและหทัยเต๋าที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตี้จวินเสียอีก!
นี่มันเรื่องอันใดกัน!?
ท่านเซียนไม่ฆ่าเขาแต่ยังช่วยเขาบำเพ็ญอีกหรือ?
เขาสับสนนิดหน่อย ท่านเซียนมีจุดประสงค์ใดกันแน่!
“ท่านผู้เฒ่ามีฝีมือเดินหมากใช้ได้เลย!”
หลี่จิ่วเต้ากล่าว “เมื่อครู่ข้าเป็นฝ่ายหมากดำมีสิทธิ์เดินก่อน ได้เปรียบทางกลยุทธ์ หนนี้เราสลับกัน เล่นกันอีกตา ท่านผู้เฒ่าถือหมากดำเดินก่อนได้เลย”
ฝีมือการเล่นหมากของตงฟางเวิ่นได้รับการยอมรับจากเขา เขาตัดสินใจเล่นกับตงฟางเวิ่นอีกสักตา
เล่นต่อหรือ!?
ตงฟางเวิ่นยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ ไม่เข้าใจว่าท่านเซียนต้องการทำอะไร
“ได้”
เขามิกล้าถามให้มากความ จึงตกลงตามน้ำไป
ถึงอย่างไรดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ทุกอย่างล้วนดำเนินไปในทางที่ดี ตราบใดที่เขาไม่บุ่มบ่ามหาเรื่องตาย สุดท้ายคงไม่เป็นไร
หลี่จิ่วเต้าแลกหมากกับตงฟางเวิ่น หนนี้ตงฟางเวิ่นถือหมากดำมีสิทธิ์เดินก่อน ชายหนุ่มถือหมากขาวต้องเดินทีหลัง
หมากจรดลงบนกระดาน กฎวิถีฟ้าดินปรากฏอีกครั้ง ประสานถักทอกลายเป็นกระดานหมาก ดาราร้อยล้านดวงหลอมรวมเข้ามา กลายเป็นหมากดำหมากขาว
“ก้าวหน้าได้ไวดีนี่!”
หลี่จิ่วเต้าอึ้งนิดหน่อย ขณะคิดในใจ
หนนี้ที่เล่นหมากกับตงฟางเวิ่นอีกครั้ง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความก้าวหน้าของตงฟางเวิ่น มิใช่ความได้เปรียบที่มาจากการมีสิทธิ์เดินหมากก่อน หากแต่เป็นการยกระดับความสามารถหมากล้อมอย่างแท้จริง!
ตงฟางเวิ่นไม่ธรรมดา เรียนรู้ได้เร็วยิ่ง!
ส่งผลให้หลี่จิ่วเต้ายิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ เขาชอบคู่ต่อสู้ฝีมือก้าวหน้าอย่างมากเช่นนี้เป็นที่สุด เช่นนี้การเล่นหมากถึงจะสนุก หากเทียบกับตาก่อนแล้วไม่มีการพัฒนาแต่อย่างใด ไร้ซึ่งความแตกต่าง เช่นนั้นเล่นไปแล้วจะสนุกตรงไหน
ผู้เฒ่าก้าวหน้าได้ว่องไวปานนี้เชียวหรือ?
บัณฑิตรอบ ๆ ต่างเห็นการพัฒนาของตงฟางเวิ่นกันถ้วนหน้า พวกเขาสะท้อนใจว่าไม่อาจสู้ ตงฟางเวิ่นอายุปูนนี้แล้ว ยังพัฒนาฝีมือได้รวดเร็วเยี่ยงนี้ พวกเขารู้สึกละอายใจเหลือแสน
เทียบกับตงฟางเวิ่นแล้ว พวกเขาอ่อนเยาว์กว่ามาก ตามปกติพวกเขาควรก้าวหน้าได้ไวกว่าจึงจะถูก ทว่าเอาเข้าจริง ๆ ตงฟางเวิ่นกลับพัฒนาฝีมือได้เร็วกว่าพวกเขามากนัก พวกเขารู้ตัวว่าเร็วได้ไม่เท่าเขา
กระดานนี้ใช้เวลานานกว่ากระดานที่แล้ว
หลังจากกระดานนี้จบ ตงฟางเวิ่นได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้นกว่าเดิม พลังวิญญาณและพลังหทัยเต๋าของเขายกระดับอีกครั้ง
เขาในตอนนี้รู้สึกได้ว่าวิญญาณและหทัยเต๋าของเขามาถึงจุดสูงสุดของขั้นตี้จวิน อีกเพียงนิดเดียวก็เทียบชั้นเทียนตี้
ถึงแม้เขาพัฒนาฝีมือขึ้นมาก กระนั้นยังไม่อาจทัดเทียมท่านเซียน กระดานนี้จบด้วยความพ่ายแพ้เช่นเดิม
“เล่นต่ออีกตาเถิด”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม เอ่ยปากชวนเล่นต่ออีกตา
ตงฟางเวิ่นก้าวหน้าได้ไวเยี่ยงนี้ กระตุ้นความสนใจของเขา เขาอยากเดินหมากเช่นนี้กับตงฟางเวิ่นต่อไป เพื่อให้ความสามารถด้านหมากของตงฟางเวิ่นยกระดับขึ้นอีก
เช่นนี้เขายิ่งเล่นคงยิ่งสนุก
คู่ต่อสู้ด้านหมากดี ๆ หาได้ยากยิ่ง เขาอยากให้ฝีมือเดินหมากของตงฟางเวิ่นก้าวหน้ายิ่งขึ้น เช่นนั้นต่อจากนี้เขาจะได้มีคู่ต่อสู้ด้านหมากเสียที
ถึงอย่างไร ยิ่งตงฟางเวิ่นเก่งกาจด้านหมากล้อมเพียงใด ยามเล่นกับเขาก็ยิ่งสนุก
เล่นอีกหรือ?
ตงฟางเวิ่นจับต้นชนปลายไม่ถูก กระนั้นยังตอบออกไป “ได้”
มีแต่คนโง่เท่านั้นถึงปฏิเสธ!
การเล่นหมากตาแล้วตาเล่านี้ล้วนเป็นวาสนาการเปลี่ยนแปลงสูงสุด!
นอกจากนี้ ขืนบังอาจปฏิเสธท่านเซียน เกรงว่าเขาคงใกล้ตายแล้วเต็มที
เขาไม่มีทางทำอะไรโง่เง่าเช่นนั้น!
กระดานแล้วกระดานเล่า หลี่จิ่วเต้าเล่นกับตงฟางเวิ่นอีกหลายตา
ความสามารถในการเรียนรู้ของตงฟางเวิ่นสุดยอดจริง ๆ จบกระดานทุกครั้งล้วนสัมผัสได้ว่าเขาก้าวหน้าขึ้นอย่างชัดเจน มีฝีมือการเล่นหมากเก่งขึ้น
และทุกกระดานที่เขาเล่นกับตงฟางเวิ่นก็นานขึ้นเรื่อย ๆ
อีกด้าน อย่าให้พูดเลยว่าวิญญาณและหทัยเต๋าของตงฟางเวิ่นพัฒนารวดเร็วปานใด บัดนี้ พลังวิญญาณและพลังหทัยเต๋าของเขาเทียบเคียงเทียนตี้ได้แน่นอน มิหนำซ้ำยังจะเก่งกว่าเทียนตี้ทั่วไปอีกด้วย!
ส่งผลให้เขาตื้นตันใจเหลือคณา
เขาเป็นเพียงตี้หวง ทว่าบัดนี้พลังวิญญาณและพลังหทัยเต๋ากลับแข็งแกร่งเกินเทียนตี้ทั่วไปเสียอีก เลิศล้ำเกินไปแล้ว หากเป็นเขาในอดีต แค่คิดยังมิกล้า!
“ผู้เฒ่าเวิ่นฉกาจยิ่ง พัฒนาฝีมือเล่นหมากได้รวดเร็วปานนี้ น่าเสียดาย ผู้เฒ่าเวิ่นมิได้พำนักอยู่ในเมืองชิงซาน มิฉะนั้น ข้าคงได้ไปเล่นหมากกับผู้เฒ่าเวิ่นทุกวัน”
หลี่จิ่วเต้าพูดอย่างนึกเสียดาย “สถานที่ผู้เฒ่าเวิ่นอาศัยค่อนข้างไกลจากเมืองชิงซาน ใช้เวลาไปกลับนานเกินไป…”
เขาชื่นชอบการเล่นหมาก ทว่าโดยปกติน้อยครั้งนักจะได้เล่น เพราะหาคู่ต่อสู้ไม่ได้จริง ๆ
ตงฟางเวิ่นพัฒนาฝีมือได้ว่องไวเพียงนี้ นับเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เลวจริง ๆ
ทว่าน่าเสียดาย ตงฟางเวิ่นอยู่ไกลเกินไป ไปกลับมิสู้จะสะดวกเท่าไร
ห่างกันค่อนข้างไกลหรือ?
เวลาไปกลับนานเกินไปหรือ?
ระยะห่างแค่นี้ไกลหรือ?
ตงฟางเวิ่นงุนงงไปนิดหน่อย ระยะห่างแค่นี้อย่าว่าแต่ท่านเซียนเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนเล็ก ๆ ก็มาถึงได้ในไม่กี่อึดใจ ไม่อาจเรียกว่าไกลได้เลย
ทว่าเหตุใดท่านเซียนถึงเอ่ยเช่นนี้
รู้แล้ว!
เข้าใจแล้ว!
ตงฟางเวิ่นรู้ตัวอย่างรวดเร็ว อึดใจเดียวก็เข้าใจทุกอย่าง!
ประเด็นมิใช่ประโยคท่อนหลังของท่านเซียน หากแต่เป็นประโยคท่อนแรกของท่านเซียน!
ท่านเซียนบอกว่าเสียดายที่เขามิได้พำนักในเมืองชิงซาน!
ยังไม่เข้าใจอีกหรือ
ท่านเซียนบอกให้เขาย้ายไปพำนักในเมืองชิงซาน!
นี่…นี่…นี่ท่านเซียนจะรับเขาไว้ใต้บัญชาหรือ
“ข้าเก็บตัวอยู่ที่นี่เพื่อลับฝีมือด้านหมาก บัดนี้ได้พบยอดฝีมือวิถีหมากล้อมเฉกเช่นคุณชาย ถือเป็นเกียรติของข้า!”
ตงฟางเวิ่นรีบบอก “ข้านับถือฝีมือการเล่นหมากล้อมของคุณชายยิ่ง หากคุณชายไม่รังเกียจ ข้ายินดีย้ายไปอาศัยในเมืองชิงซาน เล่นหมากเป็นเพื่อนคุณชายทุกวัน!”
ในฐานะสมาชิกเครือข่ายข่าวสารเทียนตี้ขั้นห้า ฐานะนี้ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดอย่างแน่นอน
ช่างเกียรติยศอะไรนั่นไปตายซะ ข้าจะติดตามท่านเซียน!