416-420

บทที่ 416

“แม่นางเซี่ยเหยียน…?”


ไป๋มู่เห็นเซี่ยเหยียนนิ่งไป จึงประหม่าเหลือแสน มิใช่ว่านางไม่คิดจะอภัยให้เขาหรอกนะ!


ได้ยินไป๋มู่เรียกนาง เซี่ยเหยียนถึงได้สติ


“ผู้นำตระกูลคิดมากไปแล้ว ตระกูลไป๋มีความดีความชอบใหญ่หลวง มีบุญคุณต่อทั้งใต้หล้า ต่อให้มีคนไม่ดีอยู่ในตระกูลข้า ข้าก็เห็นว่าเป็นเพียงตัวบุคคลเท่านั้น”


เซี่ยเหยียนกล่าว “ข้ามองว่าภาพรวมของตระกูลไป๋ยังดีอยู่ เพราะอย่างนั้น ครานั้นข้าอยู่ที่ตระกูลไป๋จึงไม่ได้ฆ่าใครสักคน”


“ขอบคุณแม่นางที่เชื่อใจตระกูลไป๋!”


ผู้นำตระกูลเอ่ยเสียงซาบซึ้ง


เขารู้ว่าอีกฝ่ายพูดจากใจจริง ด้วยฝีมือระดับนาง สามารถทำให้ทั้งตระกูลไป๋โลหิตไหลเป็นลำธาร ทว่าสตรีตรงหน้ากลับมิได้ทำให้ตระกูลไป๋เปื้อนเลือดสักหยด


“เป็นเพราะข้าเลินเล่อในการสอนสั่ง”


เขาถอนหายใจ “อาณาจักรแห่งนี้กำลังเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ ข้าทุ่มเทกายใจทั้งหมดไปกับเรื่องนี้ ส่งผลให้การสั่งสอนคนในตระกูลบกพร่อง”


เขาเว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยท่าทางแน่วแน่ “ทว่าแม่นางโปรดวางใจ ต่อจากนี้ไปตระกูลไป๋ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้อีก!”


เซี่ยเหยียนหัวเราะเบา ๆ พลางกล่าว “ข้าเชื่อผู้นำตระกูล”


นางมองผู้นำตระกูลพลางกล่าว “ผู้นำโปรดรอสักครู่”


“ได้”


แม้ไป๋มู่ไม่รู้ว่าเซี่ยเหยียนทำเช่นนี้หมายความอย่างไร กระนั้นเขายังพยักหน้ารับ


หญิงสาวหมุนกายกลับเข้าไปในลานเล็ก


“เป็นอย่างไรบ้าง ตกลงกันได้แล้วหรือ”


ภายในลานเล็ก หลี่จิ่วเต้าเห็นเซี่ยเหยียนกลับมาจึงเอ่ยถาม


“เป็นการเข้าใจผิด คนบางกลุ่มในตระกูลไป๋ผิดพลาดไป ทว่าตระกูลไป๋โดยรวมถือว่าไม่เลว ผู้นำตระกูลคนนี้ก็ดียิ่ง”


เซี่ยเหยียนตอบ


“คลายความเข้าใจผิดได้ก็ดีแล้ว เขาไปหรือยัง”


หลี่จิ่วเต้าถาม


อย่างที่คิด


ท่านเซียนต้องการพบไป๋มู่


มิฉะนั้นไยท่านเซียนต้องสนใจว่าไป๋มู่ไปหรือยัง


เซี่ยเหยียนคิดในใจ


คิดมาถึงนี่ นางกล่าวว่า “ยัง เขาชื่นชอบภาพอักษรและภาพวาดเช่นกัน เห็นคุณชายปราดเปรื่องเหนือผู้ใด จึงเกิดความเลื่อมใส คิดอยู่ว่าสนทนากับคุณชายสักหน่อยได้หรือไม่”


ก่อนนี้นางคิดแล้วว่าไป๋มู่อาจเป็นคนที่ท่านเซียนต้องการพบ ท่านเซียนอาจตั้งใจชี้แนะไป๋มู่ ให้ไป๋มู่มีพลังพอในการต่อกรกับสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน


กระนั้นนางยังไม่อาจมั่นใจเต็มร้อย มิกล้าพาไป๋มู่เข้ามาในลานเล็กโดยตรง


เพราะอย่างนั้น นางถึงบอกให้ไป๋มู่รอสักครู่ แล้วกลับมาขออนุญาตจากท่านเซียนในลาน ดูว่าท่านเซียนอยากพบไป๋มู่หรือไม่


“เช่นนี้หรือ ได้สิ”


หลี่จิ่วเต้ายิ้ม ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร


“ได้ ข้าจะพาเขาเข้ามาเดี๋ยวนี้”


เซี่ยเหยียนกลับเข้ามาในร้าน


นางมองไป๋มู่ยิ้ม ๆ “ไปเถิด ตามข้าเข้าไปด้านใน”


“ได้หรือ!?”


ไป๋มู่ถามท่าทางตื่นเต้น


“แน่นอนว่าได้”


เซี่ยเหยียนกล่าว ก่อนจะพาไป๋มู่เข้ามาในลานเล็ก


หลังไป๋มู่เข้ามาอยู่ในลานเล็กแล้ว ก็ยิ่งสะท้านใจเข้าไปใหญ่


ทุกสิ่งในลานเล็กแห่งนี้สูงส่งเกินหยั่ง เหนือเกินกว่าจินตนาการของเขา เกินกว่าที่เขาเคยรับรู้มา!


เดี๋ยวก่อน…


เหตุใดต้นผลไม้สามต้นนี้ถึงดูคุ้นตานัก?


หางตาของเขาเหลือบไปเห็นต้นผลไม้สามต้นที่เพิ่งปลูกในลานเล็กด้านข้าง


ต้นองุ่นหนึ่งต้น ต้นผิงกั่วหนึ่งต้น ต้นสาลี่หนึ่งต้น


ปกติแล้วองุ่นนั้นขึ้นจากเถา เรียกเป็นต้นไม้มิได้ ทว่าต้นนี้เรียกว่าต้นองุ่นได้แน่นอน แกนเถาวัลย์ของมันหนายิ่งกว่าต้นไม้ทั่วไปเสียอีก สายเถาวัลย์รัดเกี่ยวไปมา ประดุจกิ่งก้านต้นไม้ องุ่นยวนตาน่ารับประทานห้อยอยู่บนนั้นเต็มไปหมด


คุ้นตา…


เขาจะไม่คุ้นตาได้อย่างไร!?


นี่มันโอสถมหาจักรพรรดิสามต้นของตระกูลไป๋เขามิใช่หรือ!


ไป๋มู่คิดอยู่ในใจว่ามิน่าเซี่ยเหยียนถึงมิได้กลับไปที่สำนักไท่หัว ที่แท้รีบร้อนนำต้นผลไม้มาให้ท่านเซียนนี่เอง!


“ผู้เฒ่าไป๋ก็ชื่นชอบภาพอักษรและภาพวาดเหมือนกันหรือ”


หลี่จิ่วเต้าเห็นไป๋มู่มา จึงเอ่ยยิ้ม ๆ และเชิญไป๋มู่มานั่ง


ไป๋มู่ตื่นเต้นมากกับไมตรีที่ได้รับ จึงรีบเอ่ยตอบ “ชอบ ชอบมาก”


พูดกันตามตรง ตัวเขานั้นชื่นชอบภาพอักษรและภาพวาดจริง ๆ และมีความรู้ในด้านนี้ลึกล้ำพอสมควร


การหัดวาดภาพเขียนอักษรช่วยให้จิตใจสงบมั่นคง ช่วยขัดเกลาหทัยเต๋าได้เป็นอย่างดี


แม้นเขามิได้บำเพ็ญวิถีภาพอักษรเป็นหลัก กระนั้นก็มีความรู้ด้านภาพอักษรไม่เบา เทียบกับผู้ฝึกตนที่เน้นบำเพ็ญด้านภาพอักษรก็ยังถือว่าเหนือกว่า


หลี่จิ่วเต้าแลกเปลี่ยนความรู้ด้านภาพอักษรกับไป๋มู่ ยิ่งสนทนาก็ยิ่งเพลิน


ไป๋มู่มีความบรรลุด้านภาพอักษรจริง ๆ ความสามารถอยู่ในระดับสูงสุดที่หลี่จิ่วเต้าเคยพบ เมื่อได้ถกกันจึงใช้เวลาไปอย่างยาวนาน


ไป๋มู่ได้รับประโยชน์มหาศาลจนไม่รู้ตั้งเท่าไรระหว่างการเสวนากับท่านเซียน


ความเข้าใจที่เขามีต่อภาพอักษรยกระดับไปอีกหลายขั้น ก้าวหน้าจนขึ้นมาอีกระดับ!


ระดับสูงส่งเยี่ยงนี้ ช่วยให้เขาบรรลุขั้นตี้จวินได้โดยไม่เป็นปัญหาเลย!


หรือหากเขารู้แจ้งได้ลึกกว่านี้ บรรลุขั้นเทียนตี้ยังมิใช่ปัญหา!


เขานึกสะท้อนใจอย่างยิ่งยวด รู้สึกโชคดีเหลือคณา


ยังดีที่สุดท้ายเขาเลือกเคาะประตูร้านท่านเซียน มิฉะนั้นเขาหรือจะมีโอกาสได้รับการชี้แนะจากท่านเซียน!?


ดูท่าก่อนหน้านี้เขาคิดไม่ผิด ที่ต้นหลิวกับก้อนหินปล่อยเขาเข้ามืองเป็นความประสงค์ของท่านเซียน ท่านเซียนต้องการพบเขา!


อันที่จริง ไป๋มู่กับเซี่ยเหยียนคิดผิดทั้งคู่ ที่ต้นหลิวกับก้อนหินปล่อยไป๋มู่เข้าเมือง หาใช่ความประสงค์ของหลี่จิ่วเต้า


เป็นเพราะต้นหลิวและก้อนหินคิดว่าวิธีการของพวกมันผิด จึงมีการปรับเปลี่ยน


ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง หลี่จิ่วเต้าลุกขึ้น “ผู้เฒ่าไป๋อยู่กินข้าวด้วยกันสิ”


นาน ๆ จะได้เจอคนที่มีความรู้ด้านภาพอักษรใช้ได้ หลี่จิ่วเต้ารู้สึกเสียดายที่เพิ่งรู้จักกัน ถึงอย่างไร ความรู้ด้านภาพอักษรของคนอื่นก็ย่ำแย่เหลือทน คุยกับเขาไม่รู้เรื่องเลย


“วันนี้พวกเราจะกินเกี๊ยวกัน”


ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม เมื่อครั้งอยู่บนดาวเคราะห์สีฟ้า เขาชื่นชอบการกินเกี๊ยวที่สุด และตั้งแต่มี ‘ตู้เย็น’ เขาได้ห่อเกี๊ยวไว้ล่วงหน้ามากมาย เพื่อเก็บเข้าไปใน ‘ตู้เย็น’


‘ตู้เย็น’ หยุดเวลาได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าเกี๊ยวจะเสีย เกี๊ยวที่เก็บไว้ใน ‘ตู้เย็น’ สมบูรณ์ดีเหมือนตอนที่เพิ่งห่อเสร็จใหม่ ๆ


เขาเดินเข้าไปในครัว เริ่มต้มน้ำเตรียมทำเกี๊ยวกิน


“ท่านมีโอกาสได้ลาภปากแล้ว”


เซี่ยเหยียนบอกกับไป๋มู่ยิ้ม ๆ


ฝีมือของท่านเซียนไร้ที่ติ ยามไป๋มู่ได้กินต้องตกตะลึงเป็นแน่


หลิงอินและเสี่ยวหยาด้านข้างก็หัวเราะเบา ๆ เช่นกัน พวกนางเดาได้เหมือนกันว่าไป๋มู่คือผู้ที่ท่านเซียนต้องการพบ มิฉะนั้นท่านเซียนไม่มีทางชี้แนะไป๋มู่ และยิ่งไม่มีทางบอกให้อีกฝ่ายอยู่กินข้าวด้วยกัน


ดูท่าท่านเซียนต้องการให้ไป๋มู่ทำบางอย่าง...


“โอ๊ย ข้าลืมเรื่องสำคัญไปได้อย่างไร!”


ทันใดนั้น ไป๋มู่ตบหน้าผากตัวเอง “เรื่องขอโทษนั้น ข้านำของกำนัลมาขอโทษด้วย ผลสุดท้ายกลับลืมไปเสียได้ ถึงได้รับการอภัยจากแม่นางแล้ว แต่ของกำนัลแทนคำขอโทษก็ขาดไม่ได้!”


เขาเป็นคนถือเรื่องพิธีรีตอง คราวไปขอโทษที่สำนักไท่หัว ก็ได้ทิ้งของกำนัลแทนคำขอโทษไว้ให้


ยามขอโทษเซี่ยเหยียน เขาจะไม่มอบของกำนัลแทนคำขอโทษให้ได้อย่างไร!?


พูดจบ เขาก็หยิบสมบัติล้ำค่า ศาสตราหายากออกมาวางบนโต๊ะมากมาย


เขาเตรียมทั้งหมดนี้ไว้แล้วแต่แรก!


พลังของเขาถูกสะกด ทว่าศาสตราบรรจุของที่เขานำมาด้วยนั้นไม่ต้องใช้พลังรีดเร้น แค่เพียงเชื่อมจิตกับเขา เขาคิดครั้งเดียวก็เปิดออกได้แล้ว


หากมิใช่เช่นนี้แล้ว แค่นำของกำนัลแทนคำขอโทษเหล่านี้ออกจากศาสตราบรรจุของยังยาก


“ขอแม่นางโปรดจงรับไว้!”


เขาบอกกับเซี่ยเหยียนด้วยความจริงใจ


เวลานั้น หลี่จิ่วเต้าก็มองมาเช่นกัน สายตาของเขาถูกดึงดูด และหมายตาของอยู่สิ่งหนึ่ง
บทที่ 417

ภายในห้องครัว หลี่จิ่วเต้าเพิ่งตักน้ำเย็นลงหม้อ ไม่ทันได้ก่อไฟ ก็เห็นของมากมายที่ผู้เฒ่าไป๋หยิบออกมาผ่านทางหน้าต่าง


“นั่นมัน…อะไรน่ะ!?”


เขาประหลาดใจอย่างมาก สายตาถูกสิ่งหนึ่งท่ามกลางของมากมายดึงดูดไป


ไม่แปลกที่เขาจะถูกดึงดูดสายตา


ของชิ้นนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ เจิดจ้าเป็นพิเศษท่ามกลางราตรีที่ค่อนข้างมืดมน


“แท็บเล็ต…หรือ”


สีหน้าเขาแปลกไปนิดหน่อย สิ่งที่หมายตาอยู่ชวนให้นึกถึงแท็บเล็ตบนดาวเคราะห์สีฟ้า


ของชิ้นนั้นขนาดไม่ค่อยใหญ่ ไม่ต่างจากแท็บเล็ตบนดาวเคราะห์สีฟ้ามากนัก จับอยู่ด้วยมือข้างเดียว ตรงกลางคือกระจกสะท้อน รอบ ๆ มีผลึกโปร่งแสงวาววามคล้ายอัญมณีฝังอยู่


หากเพียงเพราะมีรูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้ยังไม่พอเป็นที่สนใจของหลี่จิ่วเต้า และไม่ชวนให้เขานึกถึงแท็บเล็ตบนดาวเคราะห์สีฟ้า


เพราะดูจากลักษณะภายนอก นี่เป็นเพียงกระจกบานหนึ่งเท่านั้น


ส่วนที่ดึงความสนใจของหลี่จิ่วเต้าไป ซ้ำยังชวนให้เขานึกถึงแท็บเล็ตบนดาวเคราะห์สีฟ้าคือตรงกลางกระจก มีภาพมากมายสลับกันปรากฏ!


ดูแล้วราวกับใช้แท็บเล็ตบนดาวเคราะห์สีฟ้าดูละคร!


พับผ่าสิ!


แบบนี้น่าสนุก!


เขาไม่อยากก่อไฟแล้วด้วยซ้ำ เดินตรงออกจากห้องครัว หมายจะเข้าไปตรวจดูอย่างละเอียด


อีกด้าน หลังไป๋มู่หยิบของกำนัลแทนคำขอโทษออกมา เซี่ยเหยียนก็อึดอัดขึ้นมาเหลือแสน


จะไม่ให้นางอึดอัดได้อย่างไร


ของดีภายในตระกูลไป๋ถูกนางปล้นมาเกือบหมด!


แต่ไป๋มู่ยังนำของขวัญแทนคำขอโทษมาให้อีก นางทั้งกระอักกระอ่วนทั้งเขินอาย


จะให้นางรับไว้ได้อย่างไรเล่า!


นางปริปากหมายจะปฏิเสธ ทว่ายังไม่ทันเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ท่านเซียนก็เดินมาทางนี้


“ของชิ้นนี้… ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่”


หลี่จิ่วเต้ามองของที่ยังมีภาพต่าง ๆ กะพริบสับเปลี่ยนพลางถามไป๋มู่


ไป๋มู่ชะงัก นี่... เหนือความคาดหมายไปหน่อย


อีกฝ่ายคือท่านเซียนเชียวนะ แต่ละอย่างภายในลานล้วนมีมูลค่าเกินกว่าของทั้งหมดที่เขานำมารวมกันเสียอีก


ลำพังจอบที่ใช้ขุดดินซึ่งพิงอยู่ข้างกำแพง เขาก็สัมผัสถึงความไม่ธรรมดา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้ประสาทสัมผัสจักรพรรดิตรวจสอบได้ กระนั้นเขารู้ดีว่าจอบนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าศาสตราระดับสูงสุดในตระกูลไป๋ของพวกเขาเสียอีก!


สำหรับท่านเซียน สิ่งที่เขานำออกมาน่ากลัวว่าจะเป็นของเล่นยังไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงสักนิด ทว่ากลับดึงดูดความสนใจของท่านเซียนได้ จะให้เขาคาดไม่ถึงได้อย่างไร


ไม่ใช่แค่เขาที่คาดไม่ถึง เซี่ยเหยียน หลิงอิน เสี่ยวหยาคาดไม่ถึงเช่นกัน ทุกคนต่างทอดมองของชิ้นนั้นพร้อมกัน ใคร่รู้เหลือเกินว่าของชิ้นนี้คือสิ่งใด


ถึงกับเป็นที่สนใจของท่านเซียนได้ ของชิ้นนี้ต้องสูงส่งไร้เทียมทานอย่างแน่นอน!


“ได้สิ คุณชายเชิญดูได้ตามสบาย”


อย่างไรไป๋มู่ก็เป็นถึงผู้นำของตระกูล มีไหวพริบดีเยี่ยม ไม่นานนักก็ได้สติ หยิบของชิ้นนั้นขึ้น


เขาครุ่นคิดในใจเช่นกันว่าของชิ้นนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่


ถึงอย่างไรสิ่งที่เป็นที่สนใจของท่านเซียน ไฉนเลยจะเป็นเพียงของธรรมดา


หากว่ากันแล้ว ของชิ้นนี้มีความลึกลับอยู่จริง ๆ


นี่คือกระจกสรรพสิ่ง มีความสามารถในการแสดงทัศนียภาพตามสถานที่ต่าง ๆ ในใต้หล้า เป็นสิ่งที่บรรพชนของตระกูล เทียนตี้ไป๋ได้มาจากซากโบราณแห่งหนึ่ง


เทียนตี้ไป๋ไม่ทราบที่มาที่ไปของกระจกสรรพสิ่งเช่นกัน


และสรรพคุณของกระจกสรรพสิ่งก็มิได้น่าทึ่งทรงพลังแต่อย่างใด เพียงแต่แสดงทัศนียภาพในที่ต่าง ๆ ให้เชยชมได้เพียงอย่างเดียว


นอกเหนือจากนี้ กระจกสรรพสิ่งไม่มีคุณลักษณะอื่นใดอีก ไม่อาจเปล่งพลังโจมตีได้อย่างศาสตราอื่นได้


มิหนำซ้ำ ทัศนียภาพที่เผยให้เห็นก็ไม่เป็นตามการควบคุม สุ่มแสดงไปเรื่อย ๆ การสับเปลี่ยนภาพก็ว่องไวเหลือแสน


อีกทั้งกระจกสรรพสิ่งก็ไม่อาจแสดงทัศนียภาพได้ครบทุกที่ ดินแดนซึ่งมีพลังสยดสยองสถิต ไม่เคยปรากฏในกระจกสรรพสิ่งมาก่อน


อย่างเช่นเก้าแดนต้องห้าม


กระจกสรรพสิ่งไม่เคยเผยภาพให้เห็นเลย


บอกตามตรง กระจกสรรพสิ่งนี้กระจอกยิ่ง ทัศนียภาพของแต่ละพื้นที่ไม่เป็นตามควบคุมไม่พอ ยังมีทัศนียภาพจากอีกหลายสถานที่ที่แสดงไม่ได้ หากมิใช่ว่าเทียนตี้ไป๋รู้สึกว่าซากโบราณแห่งนี้ไม่ธรรมดา บางทีกระจกสรรพสิ่งอาจมีประโยชน์การใช้ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ที่ยังไม่ถูกค้นพบ เทียนตี้ไป๋คงไม่เก็บของกระจอกอย่างกระจกสรรพสิ่งไว้แน่


อนิจจา จวนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตเทียนตี้ไป๋ ขอบเขตพลังลึกล้ำเกินหยั่ง ชนะชัยเหนือเทียนตี้คนอื่นในขั้นเดียวกัน ก็ยังไม่อาจรู้แจ้งถึงสรรพคุณใหม่ของกระจกสรรพสิ่ง


ทว่านี่คือของที่เทียนตี้ไป๋เหลือไว้ให้ ตระกูลไป๋จึงสืบทอดต่อมารุ่นต่อรุ่น


แต่สำหรับพวกเขา กระจกสรรพสิ่งเป็นของกระจอกงอกง่อย ไม่มีคุณลักษณะใหม่ใด ๆ ทั้งสิ้น


หากมิใช่เช่นนั้น เหตุใดเมื่อถึงช่วงท้ายสุดของเทียนตี้ไป๋ผู้มีพลังเหนือเทียนตี้ตนอื่นทั้งปวงยังไม่อาจรู้แจ้งถึงสรรพคุณใหม่ได้


การใช้กระจกสรรพสิ่งอันกระจอกงอกง่อยเช่นนี้เป็นของกำนัลแทนคำขอโทษ มิใช่ว่าไป๋มู่อยากจะให้ของส่งเดชกับเซี่ยเหยียน


ตรงกันข้าม เขาใส่ใจเป็นหนักหนา สิ่งที่นำมาล้วนไม่ธรรมดา เป็นรองเพียงของดีที่เซี่ยเหยียนหยิบไปจากตระกูลไป๋


แม้ว่ากระจกสรรพคุณมีคุณลักษณะปวกเปียก ทว่าวัสดุที่ใช้ในการหลอมไม่ธรรมดา ผลึกที่ฝังอยู่รอบด้านน่าทึ่งเป็นที่สุด เทียบกับศาสตราจักรพรรดิมีแต่จะเหนือกว่า!


หากมิใช่เพราะเป็นของที่เทียนตี้ไป๋ทิ้งไว้ให้ ตระกูลไป๋ของพวกเขาจึงไม่อยากถอดชิ้นส่วนเพื่อละลาย นอกจากนี้ ตระกูลไป๋ของพวกเขามีรากฐานลึกล้ำ ใช่ว่าขาดแคลนศาสตราจักรพรรดิหรือศาสตรามหาจักรพรรดิ น่ากลัวว่ากระจกสรรพสิ่งนี้คงถูกตระกูลไป๋ของพวกเขารื้อถอนแล้วหลอมใหม่เป็นศาสตราอื่นไปนานแล้ว


หากต้องการถอดชิ้นส่วนหลอมใหม่จริง ๆ อย่างต่ำที่สุดก็เป็นได้ถึงศาสตราจักรพรรดิ กระทั่งเป็นศาสตรามหาจักรพรรดิยังได้


อีกด้าน หลี่จิ่วเต้ารับกระจกสรรพสิ่งมา


กระจกเบามาก จับไว้ในมือไม่รู้สึกถึงน้ำหนักเท่าใด บนกระจกมีภาพต่าง ๆ คอยสับเปลี่ยน ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังดูละครผ่านแท็บเล็ตจริง ๆ และยังเป็นแบบเต็มจออีกด้วย


น่าสนุกจริง!


หากเขาได้กระจกบานนี้มา ว่าง ๆ ก็คอยดูภาพทิวทัศน์ในนี้ คงบันเทิงไม่น้อย


ภาพในกระจกคมชัดอย่างยิ่ง เสมือนว่าดำรงตนอยู่ในนั้นจริง ๆ ยอดเขาสูงชันเกลื่อนกลาด ฝูงนกบินผ่านเป็นครั้งคราว เขาได้ยินเสียงร้องของปักษาดังประหนึ่งว่าอยู่ข้างหูเขาอย่างไรอย่างนั้น ชัดยิ่งกว่าใส่หูฟังเสียอีก


อีกด้าน หลิงอิน เซี่ยเหยียน เสี่ยวหยา ไป๋มู่ต่างตะลึงในใจอย่างมาก


หลังจากท่านเซียนหยิบกระจกสรรพสิ่งขึ้นมา พวกเขาพลันรู้สึกว่ากระจกสรรพสิ่งเหมือนเกิดการวิวัฒนาบางอย่าง คล้ายว่ามีพลังบางอย่างกำลังฟื้นคืน!


ภาพคม เสียงชัด หลี่จิ่วเต้าดูเพลินเป็นหนักหนา แต่เพียงไม่นานเขาก็เริ่มเบื่อ ภาพนั้นมีเพียงฉากเดียว ไม่ยอมเปลี่ยนเสียที


ถ้าเปลี่ยนได้คงดี...


เขาคิดในใจ นิ้วมือตวัดผ่านกระจกอย่างทนไม่ไหว


“ข้าคิดอะไรอยู่! นี่มิใช่แท็บเล็ตจริง ๆ เสียหน่อย ใช้มือควบคุมได้อย่างไรเล่า!”


หลี่จิ่วเต้าคิดในใจว่าเขานี่เหลือเกิน ใช้กระจกในมือเป็นแท็บเล็ตจริง ๆ เสียได้


ทว่าไม่นานนักเขาก็ต้องตะลึง รอยยิ้มคลี่ออกบนใบหน้า


ให้ตายสิ ใช้มือควบคุมได้จริงหรือนี่!


คล้อยตามการตวัดนิ้วของเขา ภาพในกระจกเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาจริง ๆ เปลี่ยนไปตามทิศที่นิ้วมือของเขาตวัดไป


หรือว่า… หรือว่านี่จะเป็นโลกในมือ!?


ชายหนุ่มคิดในใจ นึกถึงตำนานเกี่ยวกับผู้ฝึกตนทรงพลังที่เคยได้ยินในต่างโลกแห่งนี้


ลือกันว่า ผู้ฝึกตนผู้แกร่งกล้าสามารถสร้างโลกของตนขึ้นมา ทุกสิ่งภายในล้วนเป็นไปตามความคิดของตน มหัศจรรย์น่าตื่นตะลึงเป็นที่สุด!
บทที่ 418

หากเป็นโลกในมือ ควบคุมได้ตามใจนึกก็คงดี


หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ


จากนั้น เขาทำการทดลอง


“ฝนมา!”


เขาถือกระจก เอ่ยเสียงเข้มเบา ๆ


หากนี่คือโลกในมือจริง ควบคุมได้ตามใจนึก เช่นนั้นต่อจากนี้โลกภายในกระจกต้องมีฝนตก


ครืนคราน!


แทบจะทันทีที่สิ้นเสียงเขา ก็มีเสียงฟ้าร้องดังออกมาจากกระจก ท้องฟ้าที่เคยมีแดดจ้าพลันเต็มไปด้วยเมฆครึ้ม สายฝนเทห่าลงมา!


เจ๋ง!


นี่คือโลกในมือจริง ๆ ควบคุมได้ตามใจนึก!


หลี่จิ่วเต้าปีติยินดีในใจ นี่อย่างไร เขาขอฝนก็ได้ฝน


เดี๋ยวก่อน ถ้าเป็นเพียงความบังเอิญเล่า


เขาระงับความเต็มตื้น


“หยุด!”


เขาเอ่ยปากอีกครั้ง จากนั้น สายฝนที่โหมกระหน่ำในกระจกก็ชะงักงัน เมฆครึ้มถดถอย กลับมามีแดดจ้าอีกครั้ง


“หิมะมา!”


“ลมมา!”


...


เขายังไม่วางใจนัก จึงทดลองอีกหลายครา


ผลปรากฏว่าเขาขอสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น!


หลายครั้งปานนี้ไฉนเลยจะเป็นเรื่องบังเอิญไปได้?


เป็นไปไม่ได้เลย!


ภายในกระจกบานนี้เป็นโลกในมือจริง ๆ กำกับได้ตามต้องการ!


“ไม่เลว ไม่เลว โลกในมือนี้ดีเยี่ยม เหมือนคราวข้าเล่นเกมในแท็บเล็ตที่บ้านเกิด”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ ท่าทางดีอกดีใจ


เหมือนเมื่อครั้งเขาเล่นเกมในแท็บเล็ตที่ดาวเคราะห์สีฟ้าจริง ๆ โลกในมือที่สะท้อนผ่านกระจกคือเกม ส่วนกระจกคือแท็บเล็ต เขาใช้กระจกเป็นแท็บเล็ตเพื่อเล่นเกมโลกในมือได้


ที่เจ๋งที่สุดคือ เมื่อเขาเล่นเกมในแท็บเล็ตที่ดาวเคราะห์สีฟ้าก็มิใช่ว่าทำอะไรก็ได้ ในเกมมีกฎและข้อจำกัดอยู่มากมาย


ทว่าสิ่งนี้ไม่เหมือนกัน เขาไม่ถูกจำกัดใด ๆ กับสิ่งนี้ ทำสิ่งใดก็ได้ บรรลุทุกอย่าง!


นี่ทำให้เขาดีใจแทบแย่


จากนี้ไปหากตนมีกระจกนี้ในครอบครอง ย่อมไม่มีทางเบื่อแน่


มีโลกในมือให้เขาเล่นได้ตามใจนึก ซ้ำยังทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ แล้วเขาจะเบื่อได้อย่างไร


ไม่มีทางซะหรอก!


จากนี้ไปมีแต่จะสาแก่ใจยิ่งขึ้น!


โลกในมือ!?


บ้านเกิด?


แท็บเล็ต?


ไป๋มู่ฟังแล้วงุนงงไปหมด ไม่เข้าใจเลยสักนิด


โลกในมือที่ว่ามาจากที่ใด?


บ้านเกิด แท็บเล็ตหมายความว่าอย่างไร


เดี๋ยวสิ…


บ้านเกิด!


ท่านเซียนคงมิได้กล่าวถึงภพเซียนกระมัง!?


แท็บเล็ต!


หรือนี่จะเป็นชื่อเรียกสมบัติเซียน!?


โลกในมือ…


โลกที่อยู่ในกำมือ!?


เขาใคร่ครวญดู คล้ายว่าจะเริ่มเข้าใจ


กระจกสรรพสิ่งก็คือแท็บเล็ต!


และสรรพคุณของกระจกสรรพสิ่งมิใช่แค่แสดงทิวทัศน์ของสถานที่ต่าง ๆ แต่สามารถควบคุมพื้นที่ทั่วทั้งแห่งไว้ได้!


เมื่อครู่เขาเห็นว่าท่านเซียนพูดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นก็ปรากฏในกระจก!


นี่เป็นการควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมืออย่างแท้จริง!


‘ข้าก็ว่ากระจกสรรพสิ่งไม่มีทางกระจอกงอกง่อย ทำได้เพียงแสดงทัศนียภาพ ไม่มีสรรพคุณอื่นใด!’


ไป๋มู่กล่าวในใจ


ลองคิดดูว่าวัสดุของกระจกสรรพสิ่งนั้นล้ำค่าสูงส่งทั้งสิ้น แล้วคุณสมบัติของกระจกสรรพสิ่งเป็นไปได้อย่างที่จะกากเดนธรรมดา


เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว


กระจกสรรพสิ่งมีนามว่าแท็บเล็ต เป็นของจากบ้านเกิดของท่านเซียน หรือก็คือของในภพเซียน และเป็นสมบัติเซียนชิ้นหนึ่ง!


ที่พวกเขา รวมถึงบรรพชนของพวกเขาเทียนตี้ไป๋ไม่อาจค้นพบคุณสมบัติของกระจกสรรพสิ่ง นั่นก็เพราะพวกเขามีพลังไม่พอ!


ท่านเซียนเป็นการดำรงอยู่ระดับใด เมื่อกระจกสรรพสิ่งได้อยู่ในมือท่านเซียน ท่านเซียนก็สามารถใช้คุณสมบัติของกระจกสรรพสิ่งได้อย่างง่ายดาย!


มิหนำซ้ำไม่ต้องพูดถึงว่ากระจกสรรพสิ่งอาจเป็นของของท่านเซียนอยู่แล้ว!


‘อย่างที่คิด อย่างที่คิด สมองน้อย ๆ ของข้าไม่เฉลียวเอาเสียเลย!’


อีกด้าน เซี่ยเหยียนคิดในใจ ยังดีที่นางตื่นรู้ในนาทีสุดท้าย พาไป๋มู่เข้ามา


มิฉะนั้น นางคงทำความผิดใหญ่หลวงลงไปเสียแล้ว!


ท่านเซียนต้องการพบไป๋มู่ นั่นเพราะเขาต้องการแท็บเล็ต หรือก็คือกระจกสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งของจากบ้านเกิดท่านเซียนคืน!


“สวรรค์ สมกับเป็นสมบัติเซียน!”


อีกด้าน ไป๋มู่สะท้านใจอย่างน่าประหลาด เขาเห็นนิ้วมือท่านเซียนไถขึ้นลงบนกระจกสรรพสิ่ง และมีภาพสถานที่ใหม่ปรากฏ


เดิมเขาเห็นว่าภาพนี้ค่อนข้างแปลกตา แต่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกคุ้นเคย


ดินแดนในภาพมิใช่อาณาจักรม่อเยวียน หนึ่งในอาณาจักรเก้าตอนบนหรอกหรือ


ยอดนิกายมีรากฐานมั่นคงลึกล้ำ จึงรู้เรื่องอาณาจักรต่าง ๆ ไม่น้อย แม้แต่อาณาจักรเก้าตอนบนซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของอาณาจักรทั้งปวงพวกเขาก็พอรู้บ้าง


ภาพที่ปรากฏในกระจก ก็คือดินแดนอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงและอันตรายที่สุดในอาณาจักรม่อเยวียน ห้วงวารีทมิฬ!


ห้วงน้ำลึกไหลหลากไม่เห็นข้างใต้ ราวกับตัดการเชื่อมต่อระหว่างฟ้าดิน ภายในนั้นมืดมนจนมองไม่เห็นสิ่งใด ประดุจความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด กลืนกินได้ทุกสิ่ง!


‘ข้าคิดว่ากระจกสรรพสิ่งควบคุมได้เพียงอาณาจักรเดียวเท่านั้น หารู้ไม่ ข้านี่เป็นกบในกะลาจริง ๆ สมบัติเซียนมีหรือจะมีแสนยานุภาพแค่นี้ อาณาจักรทั้งปวงล้วนอยู่ในกำมือทั้งสิ้น!’


ไป๋มู่หัวเราะฝืดเฝื่อนในใจ นึกไปว่าเขาช่างตาต่ำนัก ประเมินอานุภาพสมบัติเซียนไว้กระจอกเกินไป


เดิมเขาคิดว่ากระจกสรรพสิ่งควบคุมได้เพียงอาณาจักรที่พวกเขาอยู่เท่านั้น!


ทว่าท่านเซียนปัดมือไปมา ก็ปัดไปถึงฟากอาณาจักรม่อเยวียน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาณาจักรทั้งปวงล้วนอยู่ในการควบคุม!


“ห้วงน้ำลึกนี่ไม่ดี มืดจนมองอะไรไม่เห็น ขืนมีคนไม่ทันระวังตกลงไปจะทำอย่างไร”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยปาก “ถมให้เรียบเสีย”


จากนั้น ภาพในกระจกแสดงให้เห็นว่ามีหินยักษ์มหาศาลจุติลงจากฟ้า ห้วงวารีทมิฬที่ลึกจนมองไม่เห็นข้างใต้ถูกถมจนราบในเวลาไม่นาน


“!!!”


เมื่อได้เห็นภาพนี้ ไป๋มู่ตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น!


พับผ่าสิ สุดยอดเกินไปแล้ว!


ดินแดนที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงสยดสยองที่สุดในอาณาจักรม่อเยวียน ไม่ว่ายอดฝีมือจะแข็งแกร่งปานใดเมื่อเข้าไปแล้วก็ไม่อาจกลับออกมาอีก ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น


ท่านเซียนถมให้ราบในประโยคเดียวเลยหรือ!?


สวรรค์! สวรรค์!


ฝีมือของท่านเซียนเหนือความคาดหมายสุด ๆ!


“เล่นได้สะใจจริง ๆ”


หลี่จิ่วเต้าเล่นต่ออีกพักหนึ่ง สุดท้ายก็วางแท็บเล็ตลง


เขาคิดในใจว่าผู้ฝึกตนคนนี่สุดยอด สร้างโลกในมือเสมือนจริง อยากทำอะไรก็ทำได้


ทว่ากระจกบานนี้สนุกส่วนสนุก แต่นี่คือสิ่งที่ไป๋มู่มอบให้เซี่ยเหยียน เขาไฉนเลยจะกล้าปริปากขอ


ถ้าเซี่ยเหยียนรับไว้ วันหน้าเขาขอยืมมาเล่นสักวันสองวันคงพอได้


เขากับเซี่ยเหยียนสนิทสนมกันยิ่ง


“คุณชายชอบกระจกบานนี้หรือ”


ไป๋มู่เอ่ย “หากคุณชายชอบ ข้าขอมอบกระจกบานนี้ให้คุณชาย!”


“ข้าจะกล้ารับได้อย่างไร…”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม แม้ว่าเขาอยากได้มาก ทว่าจะกล้ารับไว้ได้อย่างไร


เขาหันมองเซี่ยเหยียน ความหมายชัดเจน นี่คือของขวัญสำหรับนาง


เซี่ยเหยียนเห็นสายตาท่านเซียน ก็ถึงบางอ้อทันที


“คุณชายรับไว้เถิด ผู้เฒ่าไป๋นำของมาให้ตั้งมากมาย อีกอย่าง ผู้เฒ่าไป๋บอกเองว่าจะให้คุณชาย”


เซี่ยเหยียนเอ่ยยิ้ม ๆ


“ใช่แล้ว คุณชายรับไว้เถิด”


ไป๋มู่กล่าว


หลี่จิ่วเต้าครุ่นคิด เซี่ยเหยียนพูดไม่ผิด ผู้เฒ่าไป๋นำของมาให้ตั้งมากมาย มีของชิ้นนี้หรือไม่มีก็ไม่ต่าง


“เช่นนั้นข้าขอหน้าหนารับไว้แล้วกัน พวกเจ้าคุยกันไปก่อน ข้าจะไปต้มเกี๊ยว”


หลี่จิ่วเต้าเก็บกระจกสรรพสิ่งไป พร้อมกล่าวยิ้ม ๆ


...


บนท้องนภา หนึ่งในอาณาจักรเก้าตอนบน อาณาจักรม่อเยวียน


“ให้…ตายสิ! นี่มันเรื่องอะไรกัน! ห้วงวารีทมิฬถูกถมจนเรียบไปแล้วหรือ”


“ฝีมือผู้ใด สุดยอดเกินไปแล้ว!”


สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอาณาจักรม่อเยวียนตะลึงงันกันหมด สะท้านใจถึงขีดสุด


ดินแดนที่สยดสยองอันตรายที่สุด ถูกถมจนราบง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ!


อย่าให้พูดเลยว่าพวกเขาอึ้งปานใด!
บทที่ 419

หลี่จิ่วเต้ากลับไปทำกับข้าวในห้องครัว ไป๋มู่มองร่างท่านเซียนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ฝีมือท่านเซียนน่ากลัวยิ่งนัก น่าเหลือเชื่ออย่างถึงที่สุด!


อาณาจักรทั้งปวงล้วนเป็นของเล่นในมืออย่างนั้นหรือ!?


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งนี้ทำลายความเชื่อทั้งหมดของเขาที่ผ่านมา!


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าขอรับทั้งหมดนี้ไว้แล้วกัน”


เซี่ยเหยียนคลี่ยิ้ม เก็บของกำนัลแทนคำขอโทษที่ไป๋มู่นำมาให้ทั้งหมด


เดิมทีนางไม่อยากเก็บไว้ อย่างไรนางก็หยิบของดีมาจากตระกูลไป๋มามาก ไฉนเลยจะกล้ารับของกำนัลแทนคำขอโทษของไป๋มู่อีก


แต่ในเมื่อพูดออกไปแบบนั้นเมื่อครู่ นางไม่รับก็คงต้องรับไว้


“ได้!”


ไป๋มู่ได้สติกลับมา เอ่ยด้วยความสะท้อนใจเหลือคณา “คนในตระกูลของข้าช่างไม่รู้ความ โชคดีที่แม่นางเซี่ยเหยียนใจกว้างดั่งมหาสมุทร ไม่ถือสาพวกเขา!”


จะไม่ให้เขาสะท้อนใจเช่นนี้ได้อย่างไร


เบื้องหลังอีกฝ่ายมีท่านเซียนระดับนี้อยู่!


เขานึกโชคดีอยู่เต็มเปี่ยม โชคดีที่เซี่ยเหยียนใจกว้างไม่เอาความ มิฉะนั้น ทั้งตระกูลไป๋คงต้องสูญสิ้นโดยไม่ทราบสาเหตุด้วยซ้ำ!


ฝีมือท่านเซียนน่ากลัวเกินไปแล้ว!


และเซี่ยเหยียนซึ่งติดตามอยู่ข้างกายท่านเซียนมาเสมอ ย่อมต้องน่ากลัวถึงขีดสุดเช่นกัน!


“เรื่องในอดีตอย่าได้พูดถึงอีกเลย”


หญิงสาวคลี่ยิ้ม “ข้ารับของกำนัลแทนคำขอโทษของท่านไว้ เรื่องราวทั้งหมดถือว่าผ่านพ้นไปแล้ว สิ่งของพวกท่านข้าก็จะคืนให้ทั้งหมด”


หากว่ารับของกำนัลแทนคำขอโทษมาแล้ว นางยังเก็บของดีที่เอามาจากตระกูลไป๋ นางคงกระดากเหลือทน


“มิต้อง มิต้อง นี่คือราคาที่ตระกูลไป๋สมควรต้องจ่าย”


ไป๋มู่ส่ายหัว


เซี่ยเหยียนมิได้เอาเรื่องตระกูลไป๋ เขาก็ดีใจมากแล้ว ส่วนสิ่งของเหล่านั้น บอกตามตรงแม้เขาจะเสียดาย กระนั้นเป็นดั่งที่เขาว่า นี่คือราคาที่ตระกูลไป๋สมควรต้องจ่าย


“ไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ข้าจะคืนให้”


ทีท่าเซี่ยเหยียนเด็ดเดี่ยว ไป๋มู่ได้แต่รับคำไว้ เขาไม่ต้องการสร้างความระคายใจให้นางเพราะเหตุการณ์นี้อีก


“จริงสิ ของบางอย่างคืนให้ไม่ได้ ท่านเข้าใจใช่หรือไม่”


เซี่ยเหยียนกล่าว


“เข้าใจ ๆ!”


ไป๋มู่พยักหน้ารัว เขารู้ว่านางหมายถึงสิ่งใด


เซี่ยเหยียนหมายถึงต้นผลไม้สามต้นนั้น


ต้นผลไม้สามต้นนั้นถูกปลูกลงในลานท่านเซียนแล้ว เขาไฉนเลยจะขอคืน


ไม่มีทาง!


นอกจากนี้ เขาปรารถนาให้ต้นผลไม้ทั้งสามต้นนี้อยู่กับท่านเซียนด้วย


ท่านเซียนน่าพรั่นพรึงปานใด มีสิ่งใดที่เขาไม่รู้บ้าง?


ถึงแม้ว่านี่คือสิ่งที่เซี่ยเหยียนมอบให้ท่านเซียน กระนั้นคิดแล้วท่านเซียนย่อมต้องรู้ว่าต้นผลไม้สามต้นนี้เป็นของพวกเขาตระกูลไป๋


ต้นไม้ผลสามต้นนี้อยู่กับท่านเซียน ถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับตระกูลไป๋ของพวกเขา เกรงว่าท่านเซียนต้องคุ้มครองตระกูลไป๋บ้างไม่มากก็น้อย!


ก่อไฟต้มเกี๊ยวใช้เวลาไม่นาน หลี่จิ่วเต้าก็ต้มเกี๊ยวเสร็จ


หลิงอินกับเซี่ยเหยียนเข้าไปช่วยยกเกี๊ยวออกมา


หลี่จิ่วเต้าผสมน้ำจิ้มเสร็จแล้วยกเข้าไปให้


“ชิมดูว่าฝีมือเป็นอย่างไร”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยกับไป๋มู่ยิ้ม ๆ “นี่คือของที่อร่อยที่สุดในบ้านเกิดของข้า ทุกครั้งที่มีเทศกาล หรือมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น คนในบ้านเกิดข้ามักต้มเกี๊ยวกินกัน”


เกี๊ยวไม่เพียงแต่อร่อย ยังมีความหมายพิเศษมากอีกด้วย อาหารมื้อที่คนในครอบครัวได้กินกันพร้อมหน้าพร้อมตาย่อมต้องมีเกี๊ยวอยู่


หลังได้ยินคำกล่าวของท่านเซียน อย่าให้พูดเลยว่าไป๋มู่ตื้นตันปานใด


เกี๊ยวที่เป็นอาหารของเหล่าเซียนหรือ


ซ้ำยังเป็นเกี๊ยวที่มีความสำคัญถึงปานนั้น!


เขาหยิบตะเกียบคีบเกี๊ยวขึ้นมาหนึ่งชิ้น หมายจะเอาเข้าปาก


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ พลางเอ่ยเตือนไป๋มู่ “จิ้มน้ำจิ้มกินจะอร่อยยิ่งขึ้น”


“ได้!”


ไป๋มู่จิ้มน้ำจิ้มแล้วกินเกี๊ยวเข้าไปชิ้นหนึ่ง


เพียงเสี้ยวอึดใจเขาก็ต้องตะลึง เกี๊ยวนี้แป้งบางไส้แน่น ยามได้กินอย่าให้พูดเลยว่ารสเลิศเพียงใด โดยเฉพาะเมื่อได้จิ้มกับน้ำจิ้ม รสชาตินั้นดีเยี่ยม!


นอกจากนี้ เขายังรู้สึกว่าหลังกินเกี๊ยวเข้าไปแล้ว พลังมหาศาลมากมายกำลังหล่อหลอมอยู่ในตัวเขา ผนึกที่ต้นหลิวลงไว้ให้ทลายในบัดดล!


พลังของเขากลับมาอีกครั้ง!


ยิ่งกว่านั้น เขายังรู้สึกว่าแก่นกำเนิดชีวิตยกระดับขึ้นอย่างยิ่งยวด อายุขัยทวีคูณกว่าเท่าตัว!


ไป๋มู่ในตอนนี้ มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายพันปียังไม่เป็นปัญหา!


‘หลังขัดเกลาพลังในตัวจนหมด น่ากลัวว่าข้าคงบรรลุจุดสูงสุดขั้นตี้จวิน หรืออาจบรรลุไปถึงขั้นเทียนตี้ได้!’


เขาเต็มตื้นเหลือคณา พลังในเกี๊ยวช่างเข้มข้นเหลือเกิน ช่วยให้เขาได้รับประโยชน์มหาศาล!


“อร่อย อร่อย ฝีมือคุณชายสุดยอดยิ่งนัก!”


ไป๋มู่พูดจากใจจริง


ไม่ต้องกล่าวถึงพลังล้นหลามที่เจืออยู่ในเกี๊ยว ลำพังรสชาติของเกี๊ยวก็ล้ำเลิศหนักหนา ไม่มีอาหารโอชะจานใดในใต้หล้าเทียบเทียม!


“ฮ่า ๆ ชอบกินก็ดีแล้ว”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม “สายหน่อยหากท่านมาอีก ข้าจะทำนมเปรี้ยวให้ท่านดื่ม”


เซี่ยเหยียนกับเสี่ยวหยานำวัวกลับมาให้เขา เขายังจำได้ นมสดนั้นแน่นอนว่าดี แต่นมเปรี้ยวรสชาติกลมกล่อมกว่า!


เพียงแต่ขั้นตอนการปรุงนมเปรี้ยวค่อนข้างยุ่งยาก


“นมเปรี้ยวหรือ?”


ไป๋มู่ถามด้วยท่าทางฉงน เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำนี้


“นมเปรี้ยว เป็นนมวัวชนิดหนึ่ง ทำโดยใช้นมเป็นวัตถุดิบ”


หลี่จิ่วเต้าอธิบายให้ไป๋มู่ฟัง “นมเป็นของดี มีประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาล คนที่บ้านเกิดของข้าดื่มกันถ้วนหน้า ยิ่งนมเปรี้ยวยิ่งเป็นที่นิยมใหญ่”


นมวัวดีเยี่ยมถึงเพียงนั้นเชียว!?


เซียนทุกตนในภพเซียนดื่มกันถ้วนหน้าเลยหรือ


เข้าใจแล้ว!


ท่านเซียนกำลังชี้แนะหนทางเพิ่มความแข็งแกร่ง!


ไม่ได้ยินหรือที่ท่านเซียนบอกว่านมวัวเป็นประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย!


ไป๋มู่คิดในใจ


เขาตัดสินใจว่ารอเขากลับไปเมื่อใด จักให้คนเริ่มจัดการควานหาแม่วัวทั้งหมด เพื่อให้ผู้ฝึกตนทุกคนมีนมดื่มกิน!


“เช่นนี้ต้องขอบคุณคุณชายมาก!”


ไป๋มู่เอ่ยเสียงซาบซึ้ง


ชายหนุ่มแย้มยิ้ม “ไม่เป็นไร”


หลังกินเกี๊ยวเสร็จ หลี่จิ่วเต้าสนทนากับไป๋มู่ต่ออีกครู่หนึ่ง ท้ายสุดไป๋มู่ถึงบอกลาท่านเซียน กลับออกจากร้าน


ฟ้ามืดแล้ว หลิงอิน เสี่ยวหยา เซี่ยเหยียนต่างบอกลาท่านเซียนและไปจากที่นี่


“ชีวิตหลังจากนี้คงหรรษาขึ้นเยอะ…”


หลี่จิ่วเต้ายิ้มละไม เอนกายบนเก้าอี้โยก ก่อนจะหยิบกระจกสรรพสิ่งออกมาเล่น


...


อีกด้านหนึ่ง นอกเมืองชิงซาน บนเขาเล็กลูกหนึ่ง


ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงอย่างสบายอุรา


“วันนี้เล่นหมากกับคนไปไม่น้อย…”


เขาหัวเราะเบา ๆ วันนี้เขาจงใจดึงดูดคนเล่นหมากมาไม่น้อย อีกทั้งยังเล่นหมากกับพวกเขาทีละคน และเป็นการเดินที่ชนะอย่างบดขยี้ คนเหล่านี้ก็ได้ทราบแล้วว่าทักษะเล่นหมากของเขาสูงส่ง


“ข้าผู้นี้ไม่มีงานอดิเรกใด เพียงแต่ชื่นชอบการเล่นหมากมาก อนิจจา เล่นหมากมากว่าครึ่งชีวิตยังไม่เคยแพ้ เป็นเรื่องน่าเสียดายของข้า! หากเป็นไปได้ ขอรบกวนทุกท่านช่วยแพร่ข่าวนี้ออกไป ให้คนที่ชื่นชอบการเล่นหมากมาเล่นกับข้าสักตา ข้าปรารถนาเพียงแพ้กระดานหมากสักตาก่อนตาย!”


ครานั้น เขาจงใจกล่าวเช่นนี้ออกไป


และคนเหล่านั้นก็บอกว่าจะช่วยกันแพร่ข่าวให้เขา


บางคนในที่นั้นถึงขั้นกล่าวถึงหลี่จิ่วเต้า อ้างว่าฝีมือการเล่นหมากของเขาไร้เทียมทาน


“หลี่จิ่วเต้าเก่งกาจมากเลยหรือ ขออภัยตาแก่ผู้นี้มัวศึกษาการเดินหมากล้อมอยู่แต่ในเขา จึงไม่ค่อยทราบเรื่องภายนอก”


ครานั้น เขาว่าไปอย่างนั้น “ข้าผู้นี้แก่แล้ว สุขภาพมิสู้ดีนัก หากหลี่จิ่วเต้าผู้นี้เต็มใจ ทุกท่านช่วยเชิญเขามาเล่นหมากกับข้าสักตาได้หรือไม่”


“ไม่มีปัญหา!”


“ได้สิ! คุณชายหลี่ชื่นชอบการเล่นหมากเช่นกัน เชื่อว่าหลังทราบเรื่องราวคงยินดีเล่นหมากกับคุณลุงหลายตา”


ตอนนั้น คนพวกนั้นบอกเขาแบบนี้
บทที่ 420

ยามราตรี หมู่ดาวดารดาษ พระจันทร์เงินยวงลอยอยู่เหนือนภา ไป๋มู่ออกจากเมืองชิงซานด้วยรอยยิ้มระรื่น


ไป๋มู่ดีใจมาก ท่านเซียนไม่เพียงแต่ชี้แนะเขา ยังให้เขาอยู่รับประทานมื้อเย็นด้วยกัน ได้ลิ้มรสของเกี๊ยว ซึ่งนับเป็นวาสนาการเปลี่ยนแปลงสูงสุดของเขา


เขาได้รับประโยชน์มหาศาลจากการนี้ บรรลุขั้นตี้จวินมิใช่เรื่องยากอีกต่อไป หากแต่เป็นความเที่ยงแท้


ตัวเขาสามารถลองบรรลุขั้นเทียนตี้ได้ด้วยซ้ำ ใช่ว่าจะไม่สำเร็จเสียเมื่อไร


ก่อนไป เซี่ยเหยียนคืนสมบัติมากมายที่นำไปจากตระกูลไป๋ให้


“คนดีย่อมได้ดี มนุษย์เราต้องคงมั่นในความตั้งใจเดิม!”


ไป๋มู่สะท้อนใจออกมาอย่างอดไม่ได้


หากมิใช่เขามั่นคงในความตั้งใจเดิม มาขอโทษเซี่ยเหยียนด้วยตัวเอง ไฉนเลยจะได้วาสนาการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เพียงนี้


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหากเขามีความคิดร้ายในใจ ต้องการเอาคืนเซี่ยเหยียน ตัวเขาและตระกูลไป๋ย่อมต้องถึงคราวอวสานอย่างแน่นอน


คนเรา ให้ตายอย่างไรก็ไม่ควรลืมความตั้งใจเดิมถึงจะถูก!


“เอ๊ะ ออกมาแล้ว!


ริมน้ำ ต้นหลิวส่งเสียง มันเห็นแล้วว่าผนึกในตัวไป๋มู่ถูกทลายแล้ว


อย่างที่คิด!


ไป๋มู่ผู้นี้คือคนที่ท่านเซียนต้องการพบจริง ๆ!


ไป๋มู่ต้องการไปพบท่านเซียน หลังกลับออกมาแล้วไม่เพียงแต่ทลายผนึกได้เท่านั้น มันยังสัมผัสได้อีกว่าไป๋มู่แข็งแกร่งขึ้นมาก บ่งบอกว่าไป๋มู่คือคนที่ท่านเซียนต้องการพบ ท่านเซียนถึงประทานวาสนาการเปลี่ยนแปลงแก่ไป๋มู่


“ขอขอบคุณทั้งสองท่าน!”


ไป๋มู่กล่าวขอบคุณต้นหลิวและก้อนหินจากใจจริง หากมิใช่ต้นหลิวและก้อนหินปล่อยเขาเข้าเมือง เขาคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พบหน้าท่านเซียน


“เชื่อว่าท่านเซียนมีภารกิจเตรียมไว้ให้ท่าน รับใช้ท่านเซียนให้ดีแล้วกัน!”


ต้นหลิวกล่าว


“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น!”


ไป๋มู่กล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะบอกลาต้นหลิวและก้อนหิน เดินทางกลับตระกูลไป๋


“วิธีการของเราเมื่อก่อนหน้านี้ผิดจริง ๆ ด้วย จะขวางทุกคนเลยไม่ได้ เราเกือบขวางผู้ที่ท่านเซียนต้องการพบเสียแล้ว”


หลังไป๋มู่กลับไป ก้อนหินบอกกับต้นหลิวอย่างโล่งอก


“ใช่แล้ว!”


ต้นหลิวโล่งอกมากเช่นกัน หากมิใช่ว่าพวกมันได้สติในตอนท้ายสุดและยอมเปลี่ยนความคิด พวกมันคงทำความผิดอย่างมหันต์ ขวางผู้ที่ท่านเซียนต้องการพบเสียแล้ว


ครั้งนี้ทำให้พวกมันเข้าใจอย่างสิ้นเชิงว่าวิธีการเหมารวมทั้งหมดไม่สมควรอย่างยิ่ง ควรรู้จักยืดหยุ่นถึงจะถูก


...


ท่ามกลางรัตติกาล บางคนหลับใหลไปนานแล้ว ส่วนบางคนกำลัง…ต่อสู้ห้ำหั่นกันจนเลือดสาด!


โลหิตเย็นเยียบสาดกระเซ็น ทั้งหมดล้วนมิใช่โลหิตปกติ มีทั้งโลหิตสีดำ และโลหิตสีฟ้า…


สตรีโฉมสะคราญหน้าตาเย็นชานางหนึ่งกวาดล้างสิ่งมีชีวิตประหลาดสยดสยองทั้งหมดในที่นี้ด้วยกระบี่เดียว


อาภรณ์ของนางไม่เปื้อนเลือดแต่อย่างใด เลือดที่กระเด็นไปทั่วล้วนเป็นเลือดของสิ่งมีชีวิตประหลาดสยดสยองตนอื่น


หลังจากล้างบางสิ่งมีชีวิตประหลาดสยดสยองได้หมดแล้ว นางเริ่มค้นหาไปตามจุดต่าง ๆ โดยไม่มองข้ามสักแห่ง


“ยัง…ไม่มี”


นางถอนหายใจ ดวงหน้าเพริศพริ้งฉายแววอ่อนล้า


ตลอดทั้งทางที่ผ่านมา นางไม่อยู่ระหว่างการต่อสู้ก็อยู่ระหว่างทางไปสู่การต่อสู้ นางไปยังดินแดนอันตรายมาแล้วมากมาย รวมถึงสังหารสิ่งมีชีวิตน่าพรั่นพรึงไปแล้วมากมาย


ทว่า สิ่งที่นางตามหากลับยังไม่เจอเสียที


“ข้า…จะยอมแพ้มิได้! บัดนี้ข้าคือความหวังเดียวแล้ว!”


ดวงตาของนางเปล่งประกายน่าหวาดหวั่น ไม่เหลือเค้าความอ่อนล้าอย่างก่อน ออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อตามหาสิ่งที่นางต้องการ


นี่คือซี คนที่ไม่มีผู้ใดให้พึ่งพิง หวังพึ่งได้แต่เพียงตนเอง


...


ณ ดินแดนหยิน


เมืองเก้าวิบัติ


ที่นี่เป็นเมืองที่โกลาหลที่สุด มีสิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนอยู่ทุกประเภท ฆ่าแกงปล้นสะดม เหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นทุกวี่วันอย่างบ้าคลั่ง


ท่ามกลางยามราตรี ประกายโลหิตสะท้อนกับฟ้าดิน ศพนอนเกลื่อนกลาด เลือดไหลเป็นลำธารไปยังทุกทิศ


สำนักแห่งหนึ่งถูกล้างบางไม่เหลือสักคน แม้กระทั่งเด็กทารกเพิ่งเกิดยังไม่รอด นอนอยู่ท่ามกลางโลหิตเจิ่งนอง ถูกสังหารอย่างโหดร้าย!


ในภาพการณ์ประหนึ่งนรกโลกันตร์นี้ กลับมีคนผู้หนึ่งซึ่งดูไม่เข้ากับบรรยากาศรอบ ๆ ยืนอยู่


เป็นสามเณรน้อยองค์หนึ่ง ดูมีอายุไม่กี่ขวบ ห่มชุดจีวรสีขาว เปี่ยมด้วยลักษณะของพระเถระ มีเมตตาและเป็นธรรม


“อามิตาพุทธ”


เขาท่องพระนาม ประกายพุทธะพวยพุ่งจากด้านหลัง ราวกับจำแลงกายเป็นพระเถระองค์ใหญ่!


จากนั้น ภาพชวนขนลุกปรากฏ


สายเลือดที่หลั่งไหลอยู่รอบ ๆ ถลาเข้าไปในร่างกายเขาอย่างบ้าคลั่ง ศพที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นก็มีประกายวิบวับพุ่งออกมา ถลาไปหาเขาอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน และถูกเขาดูดกลืนไปจนสิ้น


นี่คือแก่นกำเนิดชีวิตที่อยู่ภายในศพเหล่านี้


เจ้าของศพเพิ่งตาย แก่นกำเนิดชีวิตยังสลายไม่หมด และถูกสามเณรน้อยดูดกลืนจนเกลี้ยง!


เห็นได้ว่าศพเหล่านี้เหี่ยวแห้งลงไปอย่างรวดเร็ว เหลือผิวหนังอยู่เพียงสองชั้น แก่นกำเนิดขุมปราณในกายสูญสิ้น กลายเป็นศพแห้งกรัง


แสงพุทธะด้านหลังสามเณรน้อยถูกสีชาดของเลือดกลืนกิน กลายเป็นประกายแดงฉาน แววตาของเขาเปล่งประกายโหดเหี้ยมเหลือแสน ภาพพระเถระเปี่ยมเมตตาหายไป กลายเป็นเหมือนจอมมารองค์ใหญ่!


ทว่า หลังจากเขาดูดกลืนแก่นกำเนิดชีวิตและโลหิตของศพทั้งหมดเข้าไปแล้ว เขาท่องนามพระออกมาคำหนึ่ง ประกายแดงฉานถดถอย แสงพุทธะกลับมาปกคลุมเขาอีกครั้ง ภาพจอมมารองค์ใหญ่หายไป กลับมาเป็นภาพพระเถระองค์ใหญ่


“สิบเจ็ดสำนัก เก้าเผ่าอสูร ใกล้ได้ที่แล้ว…”


เขาพึมพำเสียงเบากับตัวเอง ในที่สุดก็ฟื้นสภาพกลับมาจากสภาวะอ่อนแอ ค่อย ๆ ดีขึ้น


สิบเจ็ดสำนัก เก้าเผ่าอสูรถูกเขาล้างบางจนสิ้น รวมทั้งดูดกลืนแก่นกำเนิดชีวิตและโลหิตไปหมดเลยด้วย เขาจึงไม่อ่อนแออีกต่อไป


“เมืองนี้จักกลายเป็นกองบัญชาการใหญ่ของข้า! ข้าจักสร้างพุทธภูมิเก้าประทีบสุดแสนยิ่งใหญ่ แทนที่พุทธศาสนา กลายเป็นพระพุทธเพียงหนึ่งเดียว!”


ดวงตาของเขาวาวโรจน์ กล่าวต่อ “นับแต่วันนี้ไป ข้าจักไม่ท่องนาม ‘อามิตาพุทธ’ อีก ข้าจักท่อง ‘พระเก้าประทีปพุทธเจ้า’ แทนที่พระอมิตาภะพุทธเจ้า!”


ต่อให้เขาเข้าใกล้ความเป็นพระอมิตาภะพุทธเจ้าเหลือคณา เขาก็ต้องยอมรับว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าน่าทึ่งเป็นที่สุด สมเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


เขาอ่อนแอจนไม่เหลือสภาพ ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ขอเพียงเขาท่องว่า ‘อามิตาพุทธ’ ก็จะได้รับพลัง รักษาสภาพมิให้ตายได้


น่าทึ่งเสียนี่กระไร!


ทว่า เขาในตอนนี้มิได้อ่อนแออีกต่อไป และไม่ต้องการพลังจากพระอมิตาภะพุทธเจ้าอีก เขาจักสร้างพุทธภูมิของตนเอง แทนที่พุทธศาสนา แทนที่พระอมิตาภะพุทธเจ้า!


“สิ่งแวดล้อมในยุคนี้เลวร้ายปานนี้ วิถีสวรรค์มิสู้อดีต ได้รับการคุ้มกันจากวิถีสวรรค์ที่เบาบาง เจ้าคิดจริงหรือว่าเจ้าจะหัวเราะได้ถึงท้ายสุด!?”


เขาหัวเราะเย็นยะเยือก นึกถึงจิตที่แยกจากตัวเขา ซึ่งบัดนี้มีตัวตนเป็นเอกเทศอย่างต้าเต๋อ!


ใช่แล้ว เขาก็คือสามเณรน้อยในครานั้น ร่างกลับชาติมาเกิดของพระเก้าประทีปพุทธเจ้า


เขาอุตส่าห์นิพพานเกิดใหม่ อยู่ในวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง ทว่ากลับประสบอุบัติเหตุ มีจิตส่วนหนึ่งแยกจากเขาไป


เขาเรียกต้าเต๋อว่าเป็นจิตมุ่งร้ายของเขา ทว่าเขารู้ดีแก่ใจ จิตส่วนนั้นหาใช่จิตมุ่งร้ายไม่


ตั้งแต่เขาฝ่าฝืนกฎศาสนาที่พระอมิตาภะพุทธเจ้าตั้งขึ้น ค้นคว้าประสิทธิผลใหม่ของพลังศรัทธา จิตใจของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง มิใช่เขาคนเดิมอีกต่อไป


หากให้พูดกันจริง ๆ ต้าเต๋อคือจิตที่บริสุทธิ์ที่สุดของเขา จิตที่ไม่เคยเกิดการเปลี่ยนแปลง


“บัดซบ!”


เมื่อนึกถึงต้าเต๋อ เขาก็แค้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน


เดิมเขาได้เปรียบเหนือชั้น ผู้ใดจะรู้ว่าวิถีสวรรค์เป็นปรปักษ์กับเขา คุ้มกันต้าเต๋อ ทำให้เขาต้องพ่ายแพ้อย่างอนาถ ไม่เพียงแต่ดึงจิตของต้าเต๋อกลับมาไม่สำเร็จ ตัวเขาเองยังบาดเจ็บสาหัส พลังองค์พระโบราณในตัวสูญเสียเสถียรภาพ ไม่อาจยืมพลังจากสารีริกธาตุในการคืนพลังองค์พระโบราณ


“เช่นนั้นก็บำเพ็ญเสียใหม่! พอดี ชดเชยจิตส่วนที่หายไป!”


สายตาของเขาทอประกายดุดัน “ข้ามั่นใจว่าแข็งแกร่งขึ้นได้กว่านี้ ถึงคราวนั้น ต่อให้วิถีสวรรค์คุ้มครองเจ้าก็ไม่ไหว ข้าจักทำลายเจ้าให้ราบคาบกลายเป็นจุณ!”


ทั้งหมดนี้ไม่จบลงแค่นี้แน่!


เขาจักหวนคืนมาอีกครั้ง และต้องลุล่วงได้แน่!