261-265

บทที่ 261

“ถึงตาข้าได้แล้วกระมัง! พวกเจ้าล้วนใช้ไม่ได้ ความสามารถธรรมดานัก ดูพี่จู้จื่อผู้นี้เสียก่อน!”


จู้จื่อเอ่ยอย่างก๋ากั่น


“คุณชายเชิญดูเถิด ข้ามีสามหัวหกแขน!”


เขาสะบัดตัว ประกายเทวะเจิดจ้า เขามีสามหัวหกแขนงอกออกมาจริง ๆ!


นาจา!?


เยี่ยม เปี่ยมความสามารถนัก!


หลี่จิ่วเต้านึกได้ว่าตัวละครที่จู้จื่อชอบคือนาจา รูปวาดที่เคยขอจากเขาก็คือนาจา


คงมิใช่ว่าร่ำเรียนด้วยตนเองอีกคนนะ?


เขาอุทานในใจไม่หยุดด้วยความประหลาดใจ ดูไม่ออกเลยว่าเด็กกลุ่มนี้เป็นอัจฉริยะตัวน้อย


“จู้จื่อเก่งกาจยิ่ง ถึงเวลาค่อยหาศาสตรามาอีกเยอะ ๆ เจ้ามีหัวและแขนมากกว่าพวกเขา หากมีศาสตรามากกว่าด้วย ดูซิว่าพวกเขาจะสู้กับเจ้าได้อย่างไร!”


“คุณชายพูดถูก จากนี้ไปข้าจะสะสมศาสตราให้มาก ถึงครานั้น ผู้ใดสู้กับข้า ลำพังศาสตราของข้าก็ทุบพวกเขาตายได้!”


จู้จื่อหัวเราะ


หลี่จิ่วเต้าหันมองอ้ายฉาน ก่อนจะเอ่ยถาม “อ้ายฉาน เจ้าเล่า”


“คุณชาย ข้าใช้วิชาเป่าขนเป็นลิงของท่านผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดินได้!”


อ้ายฉานดึงผมออกมาเส้นหนึ่ง ก่อนจะใช้ปากเป่า ทันใดนั้น ‘อ้ายฉาน’ คนแล้วคนเล่าปรากฏตัวในลาน หน้าตาเหมือนกันหมด เพียงไม่นานก็แน่นลานไปหมด


“...”


หลี่จิ่วเต้าพูดไม่ออกในบัดดล


ดึงขนหนึ่งเส้นเป่าเป็นลิงได้นับหมื่นตัวเป็นความสามารถที่เยี่ยมยอดอย่างยิ่ง เยี่ยมยอดยิ่งกว่ามีสามหัวหกแขนเสียอีก


ทว่าอ้ายฉานใช้ออกจะ…ไม่เหมาะหรือเปล่านะ?


ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดินเป็นลิง ลิง…มีขนเยอะ!


หากอ้ายฉานเอาแต่ดึงผมเช่นนี้ ช้าเร็วต้องหัวโล้นเป็นแน่!


เด็กสาวหน้าตาสะสวยเยี่ยงนี้ หากกลายเป็นคนหัวโล้น…โอ๊ย ไม่ได้เด็ดขาด อย่างไรก็ต้องห้ามปราม!


เขารีบร้อนเอ่ยขึ้น “อ้ายฉานเอ๋ย วิชานี้พูดให้ถูกคือวิชาแยกกายหมื่นร่าง เจ้าไม่ควรจำกัดตนด้วยพิธีรีตอง ควรให้ความสำคัญกับแก่นแท้วิชาให้มาก อันที่จริง ไม่ต้องทึ้งผมก็ทำได้”


ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดินไม่ดึงขนแล้วเป่าลิงออกมาได้หรือไม่ เขาไม่ทราบ


แต่อย่างไรเขาก็ไม่ยอมให้อ้ายฉานเอาแต่ดึงผมตัวเองอยู่เช่นนี้!


“อย่าจำกัดตนด้วยพิธีรีตอง ควรให้ความสำคัญกับแก่นแท้! ข้าเข้าใจแล้วคุณชาย!”


อ้ายฉานพยักหน้า เชื่อฟังคำพูดของคุณชายสุด ๆ


“เอาล่ะ เก็บ ‘อ้ายฉาน’ เหล่านี้กลับไปเถิด ข้าเห็นแล้วเวียนหัว”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ จากนั้นอ้ายฉานเก็บ ‘อ้ายฉาน’ ทั้งหมดกลับไป


อันหลานเสวี่ยที่ดูอยู่อีกด้านอิจฉาเหลือคณา


การคุมไฟ คุมน้ำ จนถึงจำแลงกายสามสิบหกปางในตอนแรก ทั้งยังมีการควบคุมอัสนีไว้ในฝ่ามือ ควบคุมขนาดร่างของตนได้ตามใจชอบ วิชาเหินกระบี่ รวมถึงสามหัวหกแขน วิชาแยกกายหมื่นร่าง ล้วนแล้วเป็นวิชาชั้นสูงจนน่าทึ่ง!


วิชาเหล่านี้ ไม่มีสักวิชาที่พรรคจื่อเสียของนางสามารถฝึกให้ได้


เก่งกาจเหลือเกิน!


มีเพียงท่านเซียนที่สามารถถ่ายทอดวิชาสูงส่งเยี่ยงนี้ได้


“พวกเจ้ากลับมากันหมด ซ้ำยังได้วิชาน่าทึ่งมาขนาดนี้ คุณชายดีใจแทนพวกเจ้า กินสุกี้หม้อไฟในฤดูเหมันต์ก็เป็นเรื่องน่าอภิรมย์เหลือแสน!”


หลี่จิ่วเต้ากล่าว “วันนี้เราจะกินสุกี้หม้อไฟ!”


“สุกี้หม้อไฟ?”


“คือสิ่งใดหรือ?”


พวกอ้ายฉานกะพริบดวงตาคู่เล็กปริบ ๆ พวกเขาไม่เคยกินสุกี้หม้อไฟมาก่อน แม้กระทั่งคำว่าสุกี้หม้อไฟก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นคราแรก


อันหลานเสวี่ยก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน ดวงตาคู่งามฉายแววสงสัย


“สุกี้หม้อไฟเป็นอาหารรสเลิศที่บ้านเกิดของคุณชาย! เริ่มจากเคี่ยวน้ำแกง แล้วนำผักสด เนื้อสัตว์ อาหารทะเล รวมถึงของอร่อยนานาชนิดลงไปต้ม!”


หลี่จิ่วเต้าอธิบาย


“ผักสด เนื้อสัตว์ อาหารทะเลชนิดใดก็ได้หรือ”


อ้ายฉานถาม


หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า “อืม เนื้อวัวและเนื้อแกะอร่อยที่สุด ถ้าเป็นอาหารทะเล ปลากับกุ้งก็รสชาติดียิ่ง”


เขาเอ่ยต่อ “ในลานของคุณชายเต็มไปด้วยผักสด อยากกินสิ่งใดเชิญเด็ดได้เลย ส่วนเนื้อสัตว์กับอาหารทะเลมีไม่มาก พวกเจ้ารออยู่ที่บ้านก่อน คุณชายจะไปซื้อเนื้อกับอาหารทะเลกลับมาให้”


“ไยคุณชายต้องซื้อ พวกเราออกไปล่ากลับมากินก็ได้!”


จู้จื่อคลี่ยิ้มกว้างพลางเอ่ย


หลี่จิ่วเต้าไตร่ตรองดูแล้วว่า บัดนี้พวกจู้จื่อเก่งกาจมากฝีมือกันหมด ความสามารถกล้าแกร่ง เกรงว่าจะล่าสัตว์ได้ง่ายดายกว่าเขาอีก


“ได้”


เขาพยักหน้า “เช่นนั้นเนื้อสัตว์และอาหารทะเลในวันนี้ขอมอบให้เป็นหน้าที่พวกเจ้า”


“ได้เลย!”


“คุณชายวางใจได้เลย!”


พวกอ้ายฉานเอ่ยด้วยความดีใจ แล้วออกจากที่นี่


“เจ้าเด็กพวกนี้…”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะอย่างปลื้มปริ่ม


เพิ่งจะอายุเท่าไรกันเอง พวกอ้ายฉานก็เก่งกาจปานนี้แล้ว วันหน้าพวกอ้ายฉานย่อมไม่ธรรมดาแน่!


“เรียกหลิงอันกับเซี่ยเหยียนมากินด้วยกันดีกว่า”


หลี่จิ่วเต้านึกถึงหลิงอินและเซี่ยเหยียน


หลิงอินไม่เท่าไร อยู่แค่ในเมืองชิงซาน เขาแจ้งข่าวได้สะดวก เซี่ยเหยียนสิไกลไปหน่อย หากเขาเดินทางไปสำนักไท่หัวเอง ไม่แน่ว่าฟ้ามืดแล้วก็อาจยังกลับไม่ถึง ถึงเวลานั้นทุกอย่างคงล่าช้าไปหมด


“ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องรบกวนแม่นางเสวี่ย”


หลี่จิ่วเต้ามองอันหลานเสวี่ยพลางกล่าว


อันหลานเสวี่ยเป็นผู้ฝึกตน ใช้เวลาไม่นานก็เดินทางไปกลับสำนักไท่หัวได้


“รบกวนอะไรกัน คุณชายเชิญว่ามาได้เลย!” อันหลานเสวี่ยบอก


“ข้าอยากขอให้แม่นางเสวี่ยเดินทางไปยังสำนักไท่หัว บอกเซี่ยเหยียนให้มากินสุกี้หม้อไฟที่บ้านข้าคืนนี้”


“ไม่มีปัญหา ข้าจักไปเดี๋ยวนี้!”


อันหลานเสวี่ยบอกลาท่านเซียน ออกจากลานเล็ก มุ่งหน้าไปยังสำนักไท่หัวเพื่อส่งข่าวให้เซี่ยเหยียน


“ไปดีกว่า ไปแจ้งข่าวหลิงอิน แล้วกลับมาตุ๋นแกงกระดูกซี่โครง ใช้ปรุงเป็นรสของสุกี้!


หลี่จิ่วเต้าก็ออกจากลานเล็กเช่นกัน




18 แคว้นในดินแดนหยินต่างครึกครื้นเป็นพิเศษ


สองเดือนมานี้ มีสิ่งชีวิตจากดินแดนฮวงและดินแดนฝอมาเยือนดินแดนหยินจำนวนมาก 18 แคว้นในดินแดนหยินจึงเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตจากอีกสองดินแดนใหญ่


เทียบกับดินแดนหยินแล้ว ดินแดนฮวงและดินแดนฝอใหญ่กว่ากันมาก กำลังพลโดยรวมก็แข็งแกร่งกว่าดินแดนหยินมาก


ดินแดนหยินเป็นดินแดนที่อ่อนกำลังที่สุดในสามมหาดินแดน


สิ่งมีชีวิตจากอีกสองดินแดนมาเยือนดินแดนหยินเกินคณานับ โดยเฉพาะเรื่องที่สิ่งมีชีวิตจากดินแดนฝอมาด้วย ยิ่งทำให้สิ่งมีชีวิตใน 18 แคว้นดินแดนหยินคิดไม่ตกนัก


เรื่องเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคนี้มาก่อน


สิ่งมีชีวิตจากดินแดนฝอมาด้วย เป็นเรื่องที่พวกเขาจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย


รู้หรือไม่ ในสามมหาดินแดน ดินแดนฝอลึกลับเป็นที่สุด คนนอกมิรู้ข้อมูลเท่าใด


ในสามมหาดินแดน อาณาเขตของดินแดนฮวงและดินแดนฝอกว้างใหญ่ไพศาลกว่าดินแดนหยินมาก


ภายในอาณาเขตกว้างไกลเยี่ยงนี้ จำนวนของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในพื้นที่ย่อมเยอะจนนับไม่ถ้วน


กลุ่มอำนาจฝึกตนที่ดำรงอยู่ในดินแดนก็มากมายดุจดวงดารา!


ดินแดนฮวงไม่เท่าไร เช่นเดียวกับดินแดนหยิน สรรพวิถีเบ่งบาน ยอดฝีมือเรียงราย บำเพ็ญกันหลากหลายวิถี


ทว่าดินแดนฝอต่างออกไป ไม่เหมือนกับดินแดนฮวงและดินแดนหยิน!


ในดินแดนฝอ มีสิ่งมีชีวิตนับล้านอันนับไม่ถ้วน พวกเขาศรัทธาต่อพระพุทธ เคารพต่อพระพุทธเพียงอย่างเดียว ไม่มีบำเพ็ญวิถีอื่น ไม่มีกลุ่มอำนาจฝึกตนอื่น มีเพียงพุทธศาสนา!


สิ่งมีชีวิตในดินแดนฝอล้วนเป็นสาวกของพุทธศาสนา บำเพ็ญเฉพาะหลักธรรม!


นับเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่ง!


ทั้งดินแดนเชียวนะ มิใช่อาณาเขตเล็ก ๆ สิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายใน ล้วนพร้อมใจกันศรัทธาเคารพแต่เพียงพระพุทธ บำเพ็ญหลักธรรม!


มีระบอบวิถีใดทำได้ถึงขั้นนี้บ้าง?


ไม่มี!


ไม่มีเลย!


นอกจากพุทธศาสนา ไม่เคยมีระบอบวิถีใดทำถึงขั้นนี้ได้!


อย่าว่าแต่ในยุคนี้เลย แม้กระทั่งในยุคสมัยเก่าแก่เหล่านั้น ก็ไม่เคยมีระบอบวิถีใดทำได้ถึงขั้นนี้!


พุทธศาสนาลึกล้ำเกินหยั่ง คนนอกไม่อาจล่วงรู้ตื้นลึกหนาบางของพุทธศาสนาได้เลย


ภายในดินแดนฝออันไพศาล สิ่งมีชีวิตอยู่กันนับไม่ถ้วน เคยมีระบอบวิถีมากมายหมายตาพุทธศาสนา อยากจะเข้าไปเผยแพร่วิถีของตนในดินแดนฝอ กว้านรับสมัครลูกศิษย์


ทว่าเรื่องที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดเกิดขึ้น


ระบอบวิถีที่เข้าเผยแพร่วิถีในดินแดนฝอ อย่าว่าแต่แผ่ขยายกิ่งก้านกว้านรับสมัครลูกศิษย์เลย หลังไปถึงดินแดนฝอ พวกเขาล้วนถูกกล่อมเกลาจนเข้าร่วมพุทธศาสนา ละทิ้งวิถีเดิมที่เคยบำเพ็ญ เข้าฝากตัวเป็นสาวกของพุทธศาสนา!


ช่างเป็นเรื่องที่พิศวงชวนสะท้านเสียนี่กระไร!

บทที่ 262

ดินแดนฝอลึกลับ พุทธศาสนาพิศวง นับแต่ประวัติศาสตร์เริ่มขึ้นยังไม่เคยมีศาสนาใดทำได้เท่าพุทธศาสนา


พุทธศาสนาส่งเสริมการทำความดี สิ่งที่ประชาราษฎร์ได้เห็นก็เป็นเช่นนี้


อย่างน้อยฉากหน้าก็เป็นเช่นนั้น


สิ่งมีชีวิตทุกตนในดินแดนฝอล้วนมีจิตใจเมตตาใฝ่ดี ราวกับทั้งดินแดนฝอถูกปกคลุมด้วยแสงสว่าง ปราศจากความมืดมิด


ทว่าจุดนี้คือจุดที่น่ากลัวที่สุด


แสงสว่างอยู่คู่ความมืดคือกฎเกณฑ์ที่มีมาแต่อนันตกาล ไฉนเลยจะมีเพียงอย่างเดียวได้?


หากเป็นเช่นนั้นจริง ย่อมบกพร่อมไม่สมบูรณ์


พุทธศาสนาสืบสานกันมาอย่างช้านาน มิใช่ศาสนาที่เพิ่งได้รับการก่อตั้งในยุคนี้ ก่อกำเนิดมาแต่โบราณ ไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดบอกได้แน่ชัดว่าพุทธศาสนามีจุดเริ่มต้นจากที่ใด


ท่ามกลางวันเวลาอันแสนยาวนาน พุทธศาสนาทรงพลังลึกลับเช่นนี้เหมือนกัน สามารถยึดครองทั้งดินแดน ไม่มีระบอบวิถีอื่นอยู่ร่วม มีเพียงพุทธศาสนาเพียงกลุ่มก้อนเดียว


พุทธศาสนาเป็นที่ยำเกรงของประชาราษฎร์ และพุทธศาสนาตระหนักถึงจุดนั้นดี นับแต่โบราณกาล น้อยนักที่สิ่งมีชีวิตในพุทธศาสนาจะออกนอกดินแดน


ทว่าบัดนี้ กลับมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากจากพุทธศาสนาเดินทางมายังดินแดนหยิน สิ่งมีชีวิตในดินแดนหยินจะไม่สะท้านได้เยี่ยงไร?


พุทธศาสนาตั้งใจมาเผยแพร่ธรรมะที่ดินแดนหยิน ตั้งสำนักศาสนาที่นี่หรือ


พุทธศาสนาที่ลึกล้ำเกินหยั่ง เชี่ยวชาญการกล่อมเกลาถึงปานนั้น หากยืนได้อย่างมั่นคงในดินแดนหยินจริง ๆ ดินแดนหยินในวันหน้าจักกลายเป็นเหมือนดินแดนฝอหรือไม่ สรรพวิถีเสื่อมสลาย เหลือไว้เพียงพุทธศาสนา?


แค่คิดพวกเขาก็หวาดหวั่นอย่างยิ่ง!


สิ่งมีชีวิตจากดินแดนฮวงมากันคณานับเช่นกัน แต่มา...เพื่อกีดขวางพุทธศาสนาหรือ?


ทั้งสองดินแดนมีส่วนได้ส่วนเสียเชื่อมถึงกัน หากดินแดนหยินถูกกล่อมเกลาด้วยพุทธศาสนาแล้วกลายเป็นเหมือนดินแดนฝออีกแห่ง ดินแดนฮวงที่เหลือก็คงไม่รอด ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นชะตากรรม ต้องถูกพุทธศาสนากล่อมเกลา


สิ่งมีชีวิตในดินแดนฮวงเข้าใจเรื่องนี้ดี ถึงได้มาใช่หรือไม่?


“อมิตาภพุทธ ที่เรามาเยือนดินแดนหยินมิได้มาเพื่อเผยแพร่ธรรมะ เรามาเพื่อวาสนาการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น”


ไม่นานนัก มีสมณะจากพุทธศาสนาท่านหนึ่งเป็นกระบอกเสียง กล่าวว่าทุกคนมีความเข้าใจผิดต่อพุทธศาสนามาก พุทธศาสนาหาได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิดไม่


พระพุทธเทศนาเพียงผู้มีวาสนาเท่านั้น ไม่เคยฝืนเทศนาผู้อื่น ศรัทธาพุทธศาสนาหรือไม่ ล้วนเป็นอิสระของประชาราษฎร์ หาได้เคยบีบบังคับผู้ใดไม่


เสียงเช่นนี้เมื่อส่งออกไปแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็แพร่สะพัดไปทั่วทุกแคว้นในดินแดนหยิน


“วาสนาการเปลี่ยนแปลงหรือ?”


“สิ่งมีชีวิตจากดินแดนฮวงมายังดินแดนหยินก็เพราะวาสนาการเปลี่ยนแปลงหรือ”


“วาสนาการเปลี่ยนแปลงเช่นไรถึงเรียกให้สิ่งมีชีวิตจากอีกสองมหาดินแดนมากันอย่างพร้อมเพรียงได้!?”


“วาสนาการเปลี่ยนแปลงระดับสะท้านนภาหรือ?”


สิ่งมีชีวิตในแคว้นต่าง ๆ ของดินแดนหยินสะท้านใจอย่างน่าประหลาด จิตใจไม่สงบถึงขีดสุด ราวกับมีคลื่นใหญ่ซัดสาด อึ้งตะลึงกันไปหมด


สิ่งมีชีวิตจากสองมหาดินแดนอย่างดินแดนฮวงและดินแดนฝอมากันอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่า ต้องเป็นวาสนาการเปลี่ยนแปลงน่าทึ่งปานใด!


“เป็นเช่นนี้จริงหรือ”


มีสิ่งมีชีวิตส่งเสียงคลางแคลง รู้สึกว่าวจีของพุทธศาสนาเชื่อไม่ได้ อาจจะปากหวานก้นเปรี้ยว แสร้งว่ามาเพื่อการอื่น แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์แฝง ความจริงยังอยากเผยแพร่ธรรมะในดินแดนหยิน และลงหลักปักฐาน


เสียงคลางแคลงเช่นนี้มีอยู่มากมายทั่วทุกแคว้นในดินแดนหยิน


ถึงอย่างไรพุทธศาสนาที่ปกครองทั้งดินแดนฝอก็น่ากลัวเกินไป พวกเขากลัวว่าดินแดนฝอจะใช้วาสนาการเปลี่ยนแปลงเป็นตัวหลอก


ทว่าไม่นานนักก็มียอดฝีมือจากดินแดนฮวงออกมาเป็นกระบอกเสียง


“ดินแดนหยินบังเกิดวาสนาการเปลี่ยนแปลงสูงส่งเกินหยั่งจริง เพียงแต่บัดนี้ยังไม่ทราบที่ตั้งแน่ชัด ทุกแคว้นในสิบแปดแคว้นแห่งดินแดนหยินล้วนมีโอกาส!”


เสียงของยอดฝีมือดินแดนฮวงแพร่สะพัดไปทั่วสิบแปดแคว้นหลังถูกส่งออกไป


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการหนุนหลังดินแดนฝอ ยืนยันว่าวาจาของสมณะแห่งพุทธศาสนาคือความจริง


มิได้มาเพื่อเผยแพร่ธรรมะในดินแดนหยิน หากแต่มีวาสนาการเปลี่ยนแปลงระดับสะท้านนภาปรากฏในดินแดนหยินจริง ๆ!


หลังจากยอดฝีมือดินแดนฮวงส่งเสียง เสียงที่กังขาในพุทธศาสนาน้อยลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด


“ถูกต้องแล้ว นี่คือวาสนาการเปลี่ยนแปลงระดับสะท้านนภา มิได้เป็นของใครคนหนึ่ง หากแต่เป็นของทุกคน ทุกคนต้องคอยจับตาดูทุกที่ให้ดี!”


มีตระกูลจักรพรรดิเก่าแก่ในจวินโจว อันเป็นหนึ่งในสิบแปดแคว้นแห่งดินแดนหยินเป็นกระบอกเสียง หนุนหลังพุทธศาสนาเช่นกัน เป็นการพิสูจน์ว่าวาสนาการเปลี่ยนแปลงคือเรื่องจริง


จวินโจว


เป็นแคว้นใหญ่แสนเก่าแก่ นับว่าทรงพลังที่สุดในบรรดาสิบแปดแคว้นแห่งดินแดนหยิน ไม่มีแคว้นใดเทียมจวินโจวได้


หลังจากเสียงของตระกูลจักรพรรดิโบราณแห่งจวินโจวแพร่สะพัดไปทั่วดินแดนหยินแล้ว ความกังขาที่บรรดาสิ่งมีชีวิตมีต่อพุทธศาสนาล้วนหายไปจนสิ้น


หากพุทธศาสนาปากหวานก้นเปรี้ยว แสร้งว่ามาเพื่อการอื่น แท้จริงมีจุดประสงค์แฝงจริง ๆ ยอดฝีมือดินแดนฮวงและตระกูลจักรพรรดิโบราณแห่งจวินโจวไม่มีทางเป็นกระบอกเสียงให้เช่นนี้แน่


ยามนี้ไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป พุทธศาสนามาเพื่อวาสนาการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นจริง ๆ มีโอกาสวาสนาเกินหยั่งระดับสะท้านนภาปรากฏในดินแดนหยินจริง ๆ!


ส่วนจะปรากฏในแคว้นใดนั้น ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด


ทุกแคว้นในดินแดนหยินล้วนมีโอกาสว่าวาสนาการเปลี่ยนแปลงจะมาปรากฏ!


เพราะอย่างนั้น จึงมีสิ่งมีชีวิตเต็มสิบแปดแคว้นในดินแดนหยินไปหมด ต่างตามหาเบาะแสของวาสนาการเปลี่ยนแปลงไปทั่ว


เหยียนโจวแห่งดินแดนหยินในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น


มีสิ่งมีชีวิตมากมายจากดินแดนฮวงและดินแดนฝอมาเยือนเหยียนโจว




ณ เหยียนโจว แดนบูรพาทิศ เมืองชิงซาน


หลี่จิ่วเต้ามาถึงบ้านหลิงอิน


“คุณชายหลี่มาหรือ รีบเชิญเข้ามาด้านในเถิด!”


มารดาของหลิงอินต้อนรับหลี่จิ่วเต้าอย่างกระตือรือร้น


เมื่อเห็นมารดาของหลิงอินกระตือรือร้นเช่นนี้ หัวใจของหลี่จิ่วเต้ากระตุกวูบ มารดาของหลิงอินมิใช่ว่าจะพูดถึงการเกี่ยวดองระหว่างเขากับหลิงอินอีกหรือ!


ตามคาด ประโยคต่อมาของมารดาหลิงอินก็คือ “คุณชายหลี่ ถ้าท่านเห็นว่าหลิงอินของข้าเหมาะสม เรามานัดแนะฤกษ์ยามให้เรียบร้อย รีบมีงานสมรส เช่นนี้ข้าจะได้มีหลานอุ้มไว ๆ!”


หลิงอินอยู่ด้านหลังมารดาของตน ทันทีที่ได้ยินคำพูดของมารดา หลิงอินว้าวุ่นไปหมด หัวใจดวงเล็ก ๆ แทบพุ่งออกไป!


ลูก…ลูกก็มาหรือ?


สวรรค์ ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าท่านกำลังพูดสิ่งใดอยู่!


“ท่านแม่อย่าได้พูดเหลวไหล! อะไรกันนี่!”


นางรีบดึงมารดาของตนออกมา ไม่ยอมให้มารดาพูดต่อไป กลัวว่ามารดาของนางจะพูดจาน่ากลัวออกมาอีก


“คือว่า…หลิงอิน คืนนี้มากินสุกี้หม้อไฟที่บ้านข้าเถิด”


หลี่จิ่วเต้ากลัวเกรงเรื่องนี้ที่สุด เขารีบร้อนแจ้งข่าวหลิงอินแล้วไปจากที่นี่


“เจ้านี่นะ ไยไม่ยอมให้แม่พูด! หรือเจ้าไม่ชอบคุณชายหลี่แล้ว หากไม่ชอบคุณชายหลี่แล้วเหตุใดถึงไปหาคุณชายหลี่อยู่บ่อย ๆ!”


มารดาของหลิงอินถลึงตาใส่นาง พร้อมกล่าว “เจ้าดูสิ ในใจคุณชายหลี่มีเจ้าอยู่เช่นกัน นั่นประไร เรียกเจ้าไปกินสุกี้หม้อไฟที่บ้าน! ว่าแต่…สุกี้หม้อไฟคือสิ่งใดหรือ เฮ้อ ไม่ว่าสุกี้หม้อไฟคือสิ่งใด ล้วนบ่งบอกว่าคุณชายหลี่ชอบเจ้า ยินดีอยู่กับเจ้า!”


มารดาของนางกล่าวต่อ “ในเมื่อพวกเจ้าสองคนชอบพอกัน เหตุใดถึงไม่ยอมตกลกันไว ๆ!”


“เรื่องนั้น…”


หลิงอินไม่อาจอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้มารดาของนางฟังจริง ๆ หากบอกทุกอย่าง จะพาดพิงถึงหลายฝ่ายเกินไป


นางจำต้องไหลไปตามน้ำ “ในเมื่อท่านแม่เข้าใจทุกอย่าง เหตุใดยังต้องรีบร้อนปานนั้นด้วยเล่า! ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ระวังคุณชายจะตื่นกลัวเพราะท่านจนหนีไปแล้วกัน!”


“เจ้ายอมรับแล้วใช่หรือไม่ว่าเจ้ากับคุณชายหลี่ชอบพอกัน”


มารดาของหลิงอินหัวเราะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าเองก็สบายใจ จากนี้ไปข้าจะไม่กล่าวถึงมันอีก ประเดี๋ยวจะทำเสียเรื่องเอา แล้วยายหนูอย่างเจ้าจะมาโทษข้า!”




อีกด้านหนึ่ง อันหลานเสวี่ยมาถึงสำนักไท่หัวก็ได้พบเซี่ยเหยียนพอดี จึงบอกนางว่าคืนนี้ให้ไปกินสุกี้หม้อไฟที่บ้านคุณชาย


“สุกี้หม้อไฟ? เป็นอาหารเลิศรสอีกอย่างหรือ?”


เซี่ยเหยียนเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม “ได้ คืนนี้ข้าไปแน่”


...


หลังจากพวกอ้ายฉานออกจากเมืองชิงซานก็แยกย้ายกันไป


พวกเขาแต่ละคนล้วนสั่งสมกำลังเต็มที่ หมายจะนำเนื้อสัตว์และอาหารทะเลที่อร่อยที่สุดกลับไป!

บทที่ 263
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!


หลังออกจากเมืองชิงซาน พวกอ้ายฉานเหินออกไปกันคนละทิศละทาง ปราณของแต่ละคนชวนตะลึงยิ่ง ขอบเขตพลังสูงส่ง


หากสิ่งมีชีวิตตนอื่นในเส้นทางฝึกตนได้เห็นภาพนี้ รับรองว่าต้องอึ้งจนกรามค้าง


เด็กอายุไม่กี่ขวบ กลับมีปราณดุดันถึงปานนี้ทุกคน ทรงพลังกว่าเจ้าสำนักหรือหัวหน้าพรรคเสียอีก น่ากลัวเกินไปแล้ว!


ในบรรดาเด็กเหล่านี้ ปราณของอ้ายฉานแกร่งกล้าที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย นางกระโจนผ่านชั้นเมฆอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็อยู่ห่างออกมาถึงพันลี้


บนเนินเขาเขียวใกล้เมืองชิงซานมีสัตว์ป่าอยู่นานาชนิด ทว่าพวกอ้ายฉานไม่มีใครเลือกขึ้นเนินเขาเขียวสักคนเดียว


พวกเขาในตอนนี้มีพลังแข็งแกร่งกันทั้งนั้น ไม่อยากไล่จับสัตว์ป่าธรรมดาในเนินเขาเขียว


พวกเขาต้องการจับสัตว์อสูร!


สัตว์อสูรก้าวสู่เส้นทางการฝึกตนแล้ว สมรรถภาพต่าง ๆ ย่อมดีกว่าสัตว์ป่าธรรมดา คุณภาพเนื้อย่อมอร่อยกว่าสัตว์ป่าธรรมดาเป็นร้อยเท่า ก่อนพวกเขาออกจากเมืองก็คิดไว้แล้วว่าจะไปจับสัตว์อสูร ไม่คิดเข้าไปจับสัตว์ป่าธรรมดาบนเนินเขาเขียว


ผ่านไปเพียงไม่นาน อ้ายฉานก็เหินเข้ามาในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง


ที่นี่คือเขาร้อยอสูร มีสัตว์อสูรอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้ฝึกตนมากมายเลือกจับสัตว์อสูรที่นี่


เมื่อครั้งอยู่ที่พรรคจื่อเสีย อาจารย์ปู่แห่งพรรคจื่อเสียได้สอนสั่งพวกเขาด้วยตนเองถึงสถานการณ์ภายในพื้นที่ต่าง ๆ ในแดนบูรพาทิศ นอกจากนี้ อาจารย์ปู่ยังได้อธิบายโครงสร้างคร่าว ๆ ของอาณาจักรแห่งนี้ให้พวกเขาได้ทราบ


พวกเขาก้าวสู่เส้นทางฝึกตนแล้ว เรื่องเหล่านี้คือเรื่องที่ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องรู้


“คุณชายบอกว่าเนื้อวัวและเนื้อแกะเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดสำหรับกินกับสุกี้หม้อไฟ”


ตาของอ้ายฉานลุกวาว เหินไปมาอยู่บนเขาร้อยอสูร ค้นหาอสูรจำพวกวัวหรือแกะ


มอ!


ระหว่างที่เหิน อ้ายฉานได้ยินเสียงวัวร้อง นางรีบหมุนตัวเหินไปทางเสียงวัวร้อง


ไม่นานนัก นางก็ไปถึงที่นั่น และได้เห็นวัวดำตัวใหญ่ตัวหนึ่ง


“เจ้านี่แหละ!”


ฟันขาวสะอาดวาววามของอ้ายฉานเผยออกมา นางเหินไปหาวัวดำตัวใหญ่ดังฟิ้ว


ทว่าอีกด้านของวัวดำตัวใหญ่มีเงาร่างขนาดไม่ใหญ่มากกำลังพุ่งเข้าหามันเช่นกัน


วัวดำมีความสามารถไม่สามัญ ตอบสนองได้อย่างว่องไว มันสัมผัสได้ว่ามีคนสองคนกำลังกระโจนเข้ามาหามัน จึงเคลื่อนตัวออกไปในทันที ย้ายร่างออกจากที่เดิม


ตึง!


การจากไปอย่างกะทันหันของวัวดำตัวใหญ่เหนือความคาดหมายของทั้งอ้ายฉาน และเงาร่างนั้น ทั้งคู่จึงกระแทกเข้าด้วยกัน!


อ้ายฉานพุ่งเข้าไปโดยกำหมัดไว้ ส่วนเงาร่างนั้นฟาดฝ่ามือเข้ามา


หมัดของอ้ายฉานและฝ่ามือของเงาร่างปะทะเข้าด้วยกัน ทั้งคู่สะเทือนจนกลิ้งไปอีกทาง ตีลังกากับพื้น


“โอ๊ย ท่านภิกษุน้อยผู้นี้ล้มแรงยิ่ง! ข้าพระพุทธไร้เกศา ข้าต้าเต๋อฝอ*[1]เปี่ยมเมตตาที่สุด!”


เงาร่างนั้นโหวกเหวกอยู่บนพื้น


อ้ายฉานก็ล้มแรงเช่นกัน นางกำลังวิงเวียนมึนงง หลังได้ยินเสียงตะโกนโวยวายของเงาร่างนั้นก็สับสนขึ้นมาในบัดดล


ท่านภิกษุน้อย?


ข้าพระพุทธไร้เกศา?


ข้าต้าเต๋อฝอเปี่ยมเมตตาที่สุด?


อะไรกันนี่!


นางหันไปมองด้วยสีหน้าประหลาด หน้าตาประหลาดชอบกลยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นผู้ที่อยู่เบื้องหน้า


ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเด็กหัวโล้นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนาง!


“เอ๋ เมื่อครู่ท่านภิกษุน้อยผู้นี้เห็นเป็นวัวดำตัวใหญ่แท้ ๆ ไฉนถึงกลายเป็นน้องสาวคนสวยเช่นนี้เสียได้”


โล้นน้อยหันมาเห็นอ้ายฉานเช่นเดียวกัน สายตาเปี่ยมไปด้วยความฉงน


เขากระโจนขึ้นจากพื้น พลันปัดดินฝุ่นตามตัว ก่อนจะมองอ้ายฉายแล้วกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “ข้าพระพุทธไร้เกศา ต้าเต๋อฝอเปี่ยมเมตตาที่สุด นี่ เจ้าวัวดำตัวใหญ่ อย่าคิดว่าแปลงกายเป็นน้องสาวคนสวยแล้วท่านภิกษุน้อยผู้นี้จะหลงกล! ข้าไม่ติดกับเช่นนี้หรอก!”


อ้ายฉานหน้าดำคร่ำเครียด โล้นน้อยจากไหนกันนี่!


เณรน้อยจากแดนฝอหรือไร?


นางจำได้แล้ว อาจารย์ปู่เคยบอกนางว่าโลกแห่งนี้มีอยู่สามมหาดินแดนด้วยกัน หนึ่งคือดินแดนหยิน สองคือดินแดนฮวง สามคือดินแดนฝอ


ภายในดินแดนฝอมีเพียงสิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญธรรม


นอกดินแดนฝอ ไม่มีดินแดนใดมีสิ่งมีชีวิตบำเพ็ญธรรมอีก


ข้าพระพุทธไร้เกศา…


อ้ายฉานเข้าใจความหมายของประโยคนี้


แน่นอนว่าไร้เกศา อย่าว่าแต่พระพุทธ แม้กระทั่งสาวกของพระพุทธล้วนไร้เกศา!


ชายคือภิกษุ หญิงคือภิกษุณี


ทว่า ‘ต้าเต๋อฝอเปี่ยมเมตตาที่สุด’ นี่หมายความถึงสิ่งใด


นางเคยได้ยินจากอาจารย์ปู่ว่า วาจาที่กล่าวบ่อยที่สุดในพุทธศาสนาคือ ‘ข้าพระพุทธมีเมตตา’ ‘ต้าเต๋อ’ ที่โล้นน้อยผู้นี้เติมเสริมเข้าไปหมายความเยี่ยงไร


“ไม่พูดจาแล้วหรือ? อืม เข้าใจแล้วสิว่าลูกไม้ตื้น ๆ ของเจ้าไม่มีผลต่อท่านภิกษุน้อยผู้นี้ เจ้าจึงถอดใจแล้วสิท่า”


โล้นน้อยพึมพำอีกประโยค “ตัวเล็กแค่นี้จะทำอันใดได้ หากเปลี่ยนเป็นสตรีผิวขาวโฉมสะคราญขาเรียวยาว ข้าคงตกหลุมพรางไปแล้ว”


มอ!


วัวดำตัวใหญ่ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป เณรน้อยจากหนใดกันนี่? ไยจึงพิลึกพิลั่นเช่นนี้!


พุทธศาสนาสง่าผ่าเผย มีข้อห้ามอย่างเข้มงวด แต่ละท่านล้วนมีจิตใจแน่วแน่ เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เหตุใดเณรน้อยผู้นี้ถึงดูไม่ใกล้เคียงเลยเล่า!?


“เณรน้อย เจ้าล้มกระแทกจนฟั่นเฟือนไปแล้วหรือไร ท่านวัวดำของเจ้าอยู่ตรงนี้!”


วัวดำตัวใหญ่เปล่งภาษามนุษย์ ตะโกนใส่โล้นน้อย


โล้นน้อยหันมองไปทางวัวดำตัวใหญ่แล้วอับอายถึงขีดสุด เขา…เข้าใจผิดหรือนี่?


เขานึกว่าอ้ายฉานเป็นการแปลงกายของวัวดำตัวใหญ่เสียอีก!


ทว่าเขาหน้าด้านอย่างยิ่ง ความอับอายแค่นี้ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่


สีหน้าเขาคงเดิมไม่เปลี่ยน ยังคงจริงจังขึงขัง สายตามองอ้ายฉานพลางกล่าว “อย่าได้ตกหลุมรักพี่ พี่เป็นคนในพุทธศาสนา มีชะตากรรมต้องอยู่เฝ้าพระพุทธ เจ้าเสนอตัวไปก็เปล่าประโยชน์ พี่ไม่หวั่นไหวต่อเจ้าหรอก”


จากนั้น เขาเอ่ยเสริมอีกประโยค “ทว่าดูจากรูปโฉมของเจ้าแล้ว มีแววเป็นหญิงโสภา อืม โตแล้วค่อยมาหาพี่!”


“...”


อ้ายฉานอิดหนาระอาใจอย่างที่สุด โล้นน้อยผู้นี้ประหลาดเกินคนไปหรือไม่!


วาจาอะไรของเขา!


“ให้ตาย เจ้าเณรน้อยผู้นี้ จะพูดจะจาคำใดไม่อายบ้างเลยหรือ”


วัวดำตัวใหญ่เอ่ยอย่างทนไม่ไหว


เวรจริง เณรน้อยผู้นี้หน้าด้านเกินไปแล้ว!


ก่อนนี้เพิ่งบอกเสียงขึงขังว่าเสนอตัวไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีทางหวั่นไหว ต่อมาก็พูดเถรตรงไปว่าโตแล้วค่อยไปหาเขา???


ไม่เคยพบคนหน้าด้านเยี่ยงนี้มาก่อน!


“นี่ เจ้าวัวดำ ท่านภิกษุน้อยผู้นี้ยังไม่คิดบัญชีกับเจ้าเลย! เป็นที่หมายตาของท่านภิกษุน้อยผู้นี้นับเป็นวาสนาของเจ้า เป็นบุญของเจ้า! เจ้าวิ่งหนีหาหอกอันใด!”


โล้นน้อยมองจ้องวัวดำตัวใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ยังไม่รีบมาตรงนี้อีก มาเป็นกับแกล้มสุราให้ท่านภิกษุน้อยผู้นี้!”


กับแกล้มสุรา?


หลังวัวดำตัวใหญ่ได้ยินก็โกรธจนควันออกจมูก


มันเป็นจ้าวตนหนึ่งของที่นี่ ผู้ฝึกตนที่ตายในมือมันไม่ถึงพันแต่ก็ราว ๆ แปดร้อย


เณรน้อยผู้นี้กลับพูดจาสามหาวบอกจะกินมันอย่างนั้นหรือ


เวรเอ๊ย! ท่านวัวผู้นี้โมโหแล้ว!


“เณรน้อย มองดูซากศพรอบตัวเจ้าเสียก่อน ซากศพเหล่านี้ล้วนเป็นของเผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้า ข้าเป็นคนฆ่าทั้งหมด! เจ้าบังอาจกล่าวว่าจะกินข้าอย่างนั้นหรือ! วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่ตายดี!”


วัวดำตัวใหญ่จ้องเณรน้อยด้วยสายตาอำมหิต จิตสังหารพลุ่งพล่าน


พยัคฆ์ ไม่สิ วัวไม่สำแดงฤทธิ์เดช จึงเห็นมันเป็นเพียงแมวจริง ๆ รึ?


“อามิ…ต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธไร้เกศา ข้าต้าเต๋อฝอเปี่ยมเมตตาที่สุด เจ้าวัวดำตัวใหญ่ชั่วช้าสามานย์ สมควรถูกประหาร!”


เณรน้อยตวาดลั่น



[1] ต้าเต๋อฝอ อธิบายความหมาย ต้าเต๋อ (大德) แปลว่า พระมหาธรรม ในที่นี่หมายถึงตัวของต้าเต๋อ (พระมหาธรรม) หรือก็คือ กล่าวแทนตัวของเณรน้อยเอง ส่วนฝอ (佛) หมายความว่า พุทธะ หรือ อรหันต์ ดังนั้น การที่ต้าเต๋อ (พระมหาธรรม) กล่าวว่า อามิ…ต้าเต๋อฝอ จึงหมายถึงการเอ่ยยกยอตนเอง

บทที่ 264

อมิ...ต้าเต๋อฝอ


นี่มันอะไรกัน!


ควรจะเป็นอมิตาภพุทธไม่ใช่หรือ?


“เจ้าเป็นเณรจากศาสนาพุทธจริงหรือ?”


อ้ายฉานอดถามเณรน้อยขึ้นมาไม่ได้


กับแกล้มสุรา...


อะไรคือการทั้งอยากกินวัวยักษ์สีดำ ทั้งอยากดื่มสุรา!


ศาสนาพุทธมีข้อห้ามเรื่องการกินเนื้อและดื่มสุราไม่ใช่หรือ?


“พูดจาไร้สาระ!”


วัวยักษ์สีดำเอ่ยออกมาด้วยความโกรธ


ศาสนาพุทธจะมีพระมีเณรที่ประพฤติตนเช่นนี้ได้อย่างไร?


ไม่มีทางเป็นไปได้!


“เจ้าวัวยักษ์สีดำ เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ!”


เณรน้อยจ้องไปทางวัวยักษ์สีดำแล้วกล่าวออกมา “ข้าเป็นพุทธสาวกโดยแท้ และยังจะเป็นต้าเต๋อฝอในอนาคตด้วย!”


ต้าเต๋อฝอในอนาคต...!


อ้ายฉานเข้าใจแล้ว สาเหตุที่เณรน้อยพูดว่าต้าเต๋อฝอ คือการกล่าวถึงตนเอง!


“ไม่ใช่สิ ศาสนาพุทธมีข้อห้ามชัดเจนเกี่ยวกับการกินเนื้อและดื่มสุราไม่ใช่หรือ?”


นางจับจ้องไปทางเณรน้อยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย


“ข้อห้าม? พูดถึงเรื่องอะไร! เจ้าล้าหลังเกินไปแล้ว!”


เณรน้อยส่ายหัวแล้วกล่าวออกมา “เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าพุทธประทับอยู่ในใจ เนื้อวัวอร่อยที่สุด คำนึงถึงพุทธะในใจ ร่ำสุราเยี่ยมยอดที่สุด?”


“เจ้าพูดเรื่องบ้าอะไรกัน!”


วัวยักษ์สีดำทนไม่ไหวอย่างถึงที่สุด พุทธประทับอยู่ในใจ เนื้อวัวอร่อยที่สุด คืออะไรกัน?


อยากกินก็พูดมาเถอะว่าอยากกิน เอ่ยอ้างถึงพุทธะทำไม?


มันฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว ในใจของมันเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง จึงพุ่งปรี่ตรงเข้าไปหาเณรน้อย


ถ้าเณรน้อยเป็นสาวกของพุทธศาสนาจริง มันคงจะเกรงกลัวเป็นอย่างมากจนไม่กล้าลงมือ


ศาสนาพุทธนั้นทรงพลังน่าหวั่นเกรงเป็นอย่างยิ่ง สามารถครอบงำทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ มันจะเอาความกล้าที่ไหนมาลงมือกับพุทธสาวก


แต่เณรน้อยนี้คงไม่ใช่พุทธสาวกแต่อย่างใด เพียงแค่หลอกลวงแอบอ้างเป็นพุทธสาวก หากมันสังหารไปก็ไม่มีสิ่งใดต้องเกรงกลัวแม้แต่น้อย


ตลกน่า หากพุทธสาวกมีคนประพฤติตนเช่นเณรน้อยอยู่จริง ศาสนาพุทธคงสูญสิ้นไปนานแล้ว!


มันไม่เชื่อว่าเณรน้อยจะเป็นพุทธสาวกสุดก้นบึ้งของหัวใจ


“อมิต้าเต๋อฝอ ข้าต้าเต๋อฝอผู้เมตตา เหอะ! ฝีมืออ่อนด้อย กลับกล้ามาควงขวานหน้าบ้านหลู่ปาน*[1] ดูข้าเสีย อานุภาพมังกรฟ้า พระโพธิสัตว์เพียงหนึ่งเดียว ปัญญาพุทธะ รู้แจ้งอนิจจัง!*[2]” เณรน้อยร้องออกมาเสียงดังลั่นโดยไร้ซึ่งความหวาดเกรง


เขาไม่ได้ธรรมดาสามัญจริง ๆ แม้อายุจะยังน้อย แต่ระดับขอบเขตนั้นสูงเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับบรรลุขอบเขตพรตเต๋าแล้ว!


ด้านหลังศีรษะของเขามีรัศมีค่อย ๆ เรืองรอง บนร่างเปี่ยมด้วยแสงพุทธะ ประหนึ่งพระโพธิสัตว์ย่อส่วน!


เสียง ‘ตู้ม!’ ดังขึ้นมาหนึ่งครั้ง หลังจากที่เขาตบฝ่ามือออกไป วัวยักษ์สีดำที่เป็นถึงจ้าวถิ่นเปี่ยมด้วยพละกำลังมหาศาลกลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแม้แต่น้อย มันล้มลงทันใดพร้อมกับกระอักเลือดออกมา ถึงกับบาดเจ็บสาหัส!


“อะไรกัน!”


ดวงตาของวัวยักษ์สีดำเบิกกว้าง มันรับรู้ได้ถึงปราณของขอบเขตพรตเต๋า ไม่คาดคิดเลยว่าเณรน้อยจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!


มันสูดเอาอากาศเย็นยะเยือกเข้าปอด เณรน้อยที่ดูเหมือนจะมีอายุไม่กี่หนาว กลับสามารถบรรลุถึงขอบเขตพรตเต๋า!?


นี่...ฝึกฝนมาอย่างไรกัน?


เริ่มฝึกฝนตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาหรือ?


ในแดนบูรพาทิศ ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ปีแล้วที่ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับขอบเขตพรตเต๋าปรากฏออกมา!


กระทั่งประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์ของภาคกลางก็ยังไม่อาจทะลวงเข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าได้!


นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้มันคาดไม่ถึงก็คือ เณรน้อยนี่เป็นพุทธสาวกจริง ๆ!


รัศมีด้านหลังศีรษะ แสงแห่งพุทธะแผ่ไปทั่วร่าง พลังแห่งพุทธะอันกล้าแกร่ง...


ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้อพิสูจน์ว่าเณรน้อยเป็นพุทธสาวกอย่างแท้จริง


เณรน้อยที่ปฏิบัติตนเช่นนี้เป็นถึงพุทธสาวกจริงหรือ?


ผู้เป็นพุทธสาวกประพฤติตนเช่นนี้จริงหรือ!


“นับเป็นวาสนาของเจ้าที่จะได้กลายมาเป็นกับแกล้มสุราของต้าเต๋อฝอ นับว่าเป็นการสร้างบุญให้แก่ตนเอง ทำให้ได้รับผลบุญไปใช้ในชีวิตหลังความตาย”


เณรน้อยกล่าวออกมา


ชีวิตหลังความตาย?


ชีวิตหลังความตายของบรรพบุรุษเจ้าสิ!


พุทธสาวกเอาอะไรมากล่าวถึงชีวิตหลังความตาย?


ตายก็คือตาย สูญสลายหายไปจากโลก!


วัวยักษ์สีดำก่นด่าอยู่ในใจ แต่ไหนแต่ไรพระไม่เคยเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย พุทธศาสนาเคยเผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับโลกหลังความตายอะไรนั่นที่ไหน?


“ปล่อยข้าไป! ข้าไม่ต้องการผลบุญอะไรในโลกหลังความตาย ข้าแค่ต้องการมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกนี้!


วัวยักษ์สีดำกล่าวออกมา


“อย่ายึดติดอยู่กับโลกนี้ ทำให้พลาดโอกาสที่จะมีชีวิตอันดีในอนาคต ดังนั้นไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ มิเช่นนั้นจะพลาดโอกาสสร้างกุศลในชีวิตนี้!”


เณรน้อยกล่าวออกมาเสียงดังก่อนจะตบฝ่ามือลงใส่วัวยักษ์สีดำ


“ช้าก่อน!”


ในตอนนั้นเอง อ้ายฉานก็ลงมือขวางฝ่ามือของเณรน้อยเอาไว้


“ข้าเห็นวัวตัวนี้ก่อน ดังนั้นมันย่อมไม่ใช่กับแกล้มสุราของเจ้า”


อ้ายฉานมองไปทางเณรน้อยก่อนกล่าวออกมา


“อมิต้าเต๋อฝอ แม่นางกำลังกล่าวอันใด? เป็นข้าที่มองเห็นก่อน!”


เณรน้อยตอบกลับ


อันที่จริงแล้ว ทั้งสองคนนั้นเห็นวัวยักษ์สีดำพร้อม ๆ กัน เพียงแต่พวกเขาอยู่ในทิศตรงข้ามกัน


“ภิกษุกินเนื้อดื่มสุราใช่เรื่องดีงามหรือ? เจ้าเอาแต่พูดว่าอมิต้าเต๋อฝอ เจ้าไม่เคารพพระอมิตาภพุทธสักนิดเลยหรือ?”


อ้ายฉานจับจ้องไปทางเณรน้อย


พระอมิตาภพุทธเป็นผู้ก่อตั้งศาสนา ดังนั้งชาวพุทธจึงจะท่องคำว่า ‘อมิตาภพุทธ’ เพื่อแสดงความเคารพต่อพระอมิตาภพุทธะ


“กินเนื้อดื่มสุราไม่ดีงามอย่างไร? จำต้องมีกฎเกณฑ์ใดตายตัวเพื่อฝึกฝนพุทธะด้วยหรือ? พระอมิตาภพุทธะกล่าวไว้ว่าจำเป็นต้องละทิ้งความยึดติด กฎเกณฑ์ข้อบังคับล้วนนับเป็นห่วง!”


เณรน้อยกล่าวต่อ “พระอมิตาภพุทธะคือศาสดา ทั้งยังเคยกล่าวไว้ว่า พุทธะอยู่ภายในใจ เวไนยสัตว์ต่างก็สามารถเป็นพุทธะได้ ข้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ไยจึงไม่อาจเรียกตนเช่นนี้ได้?”


“ต้าเต๋อคือชื่อของเจ้าหรือ?”


อ้ายฉานทำสีหน้าแปลกพิลึก


นางอยากจะเอ่ยออกมาเหลือเกินว่า เขามีคุณธรรมอยู่หรือ? ถึงกล้าเรียกตนเช่นนั้น!


“นี่เป็นนามทางธรรมของข้า” ต้าเต๋อกล่าว


“เจ้า...เจ้าควรเปลี่ยนมัน!”


“เพราะเหตุใด?”


“เจ้ากับคำว่าเต๋อ (ศีลธรรม) ไม่เข้ากัน!”


อ้ายฉานพูดออกมา


“อามิต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธไร้เกศา ข้าต้าเต๋อฝอจึงเปี่ยมเมตตา เฮ้อ เจ้าพูดจาอะไรออกมากัน! เจ้าตั้งข้อสงสัยในตัวของข้าหรือ?”


ต้าเต๋อตะโกนออกมา


“ไม่ได้ตั้งข้อสงสัย แต่เป็นความจริง!”


อ้ายฉานกล่าวขึ้นมาโดยไร้ซึ่งความเคารพ


หากเณรน้อยผู้นี้สามารถเชื่อมโยงตนกับคำว่าเต๋อได้ เกรงว่าจะความหมายของคำว่าเต๋อจะต้องเปลี่ยนไปเสียแล้ว...


“ไม่รู้สิ่งใด ก็อย่าดูคนเพียงผิวเผิน จิตใจของข้านั้นงดงาม บริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นอย่างยิ่ง!” เณรน้อยว่า


“ข้าคร้านจะเถียงกับเจ้าแล้ว!”


อ้ายฉานไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอะไรกับต้าเต๋อนี่อีก จึงเหยียดมือออกมาหมายจะลากวัวยักษ์สีดำออกไป


แม่เจ้า!


นี่ก็ขอบเขตพรตเต๋า!


วัวยักษ์สีดำตกใจกลัว ขอบเขตพรตเต๋ากลายเป็นสิ่งที่หาพบได้ทั่วราวกับผักกาดขาวแล้วหรือ? ไม่ว่าใครในสองคนนี้ก็ล้วนเป็นขอบเขตพรตเต๋า?


มันรับรู้ได้ถึงระดับปราณจากร่างของอ้ายฉานที่อยู่ข้าง ๆ ได้


“เจ้าเอามันไปไม่ได้ นี่เป็นกับแกล้มของข้า!”


ดวงตาของต้าเต๋อเป็นประกายแปลกประหลาด ไม่คาดว่าอ้ายฉานเองก็จะบรรลุขอบเขตพรตเต๋าเหมือนกัน


แต่เขาไม่อาจปล่อยให้อ้ายฉานนำวัวยักษ์สีดำไปได้!


“อานุภาพมังกรฟ้า พระโพธิสัตว์เพียงหนึ่งเดียว ปัญญาพุทธะ รู้แจ้งอนิจจัง!”


เขาลงมือโดยใช้วิชาของศาสนาพุทธ ยิ่งแสงแห่งพุทธะเปล่งออกมามากขึ้น เขาก็ยิ่งดูเหมือพระโพธิสัตว์ย่อส่วน!


“ตะโกนภาษาอันใดออกมากันนี่?”


อ้ายฉานไร้ซึ่งความกลัว เข้าต่อสู้กับต้าเต๋อที่ทั่วทั้งร่างเปล่งแสงออกมาอย่างกล้าหาญ


แม้จะไม่เข้าใจคำพูดของต้าเต๋อ แต่นางก็เข้าใจเรื่องหนึ่งเป็นอย่างดี


นั่นคือ เขาไม่ยอมให้นางเอาวัวยักษ์สีดำไป!



[1] ควงขวานหน้าบ้านหลู่ปาน หมายถึง อวดความสามารถต่อหน้าผู้ที่มีความสามารถเหนือกว่า

[2] ล้อมาจากคำร่ายคาถาของพระในเรื่องนางพญางูขาว (青蛇)

บทที่ 265

อ้ายฉานและต้าเต๋อต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างดุร้าย ไม่ว่าใครก็ล้วนคาดไม่ถึงว่าร่างเล็ก ๆ ทั้งสองจะมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้!


แสงสว่างวาบ คลื่นพลังอันน่าพรั่นพรึงผกผันไปมา เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทุกหนแห่ง พื้นดินแตกแยก อากาศบิดเบี้ยว ต้นไม้สูงโค่นลง ภูเขาพังทลาย เกิดเป็นฉากน่าหวาดผวาเกินกว่าจะจินตนาการถึง!


“นี่...นี่ยังเป็นโลกที่ข้าอยู่หรือเปล่า?”


วัวยักษ์สีดำตัวสั่นเทา รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้า ความแข็งแกร่งของอ้ายฉานและต้าเต๋อเหนือกว่าสามัญสำนึกของมัน


เด็กอายุเพียงไม่กี่ปีกลับดุร้ายได้ถึงขนาดนี้ สวรรค์…เรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นได้อย่างไร!


มันอยากจะวิ่งหนี แต่ก็ไม่อาจทำได้ การโจมตีอันทรงพลังกระจายไปมาทุกพื้นที่ หากไม่ระวังมันก็ถึงตายได้!


ไม่เช่นนั้นมันคงจะวิ่งหนีไปนานแล้ว เนื่องจากไม่ว่าใครเป็นฝ่ายชนะก็ล้วนไม่ดีสำหรับมัน อย่างไรเสียมันก็ต้องถูกเชือด...


ต่อหน้าอ้ายฉานและต้าเต๋อแล้ว ขอบเขตของมันต่ำเกินไป ไม่สามารถต่อกรกับอีกฝ่ายได้อย่างสิ้นเชิง


“น่าสนใจอยู่บ้าง ถึงกับสามารถประมือกับข้าได้ถึงเพียงนี้”


ดวงตาคู่เล็กของต้าเต๋อเปล่งประกายแปลกประหลาด เขาไม่คาดคิดว่าอ้ายฉานจะแข็งแกร่งจนสามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสี


“เณรน้อยอย่างเจ้าก็เก่งกาจเช่นกัน”


ใบหน้าเล็ก ๆ ของอ้ายฉานแสดงสีหน้าแปลกพิกล


นางได้รับพรนิมิตสวรรค์และวิชาแยกกายหมื่นร่างจากคุณชาย ทั้งยังได้กินข้าวต้มที่คุณชายปรุงขึ้นมาด้วยตัวเอง ทำให้ในร่างกายมีพลังงานสะสมเอาไว้มาก ทันทีที่นางก้าวสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน ความก้าวหน้าและขอบเขตพลังจึงทะยานอย่างรวดเร็ว


แต่เณรน้อยเบื้องหน้ากลับสามารถสู้กับนางได้อย่างสูสี นางจึงใคร่สงสัยในความเป็นมาของเณรน้อยตรงหน้า


ทว่าสิ่งที่แน่นอนเลยก็คือ ที่มาของเณรน้อยย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้


“มาสู้กันต่อ!”


ดวงตาทั้งสองข้างของต้าเต๋อเปล่งประกาย ในเด็กวัยเดียวกันเขานั้นตัวลำพังเดียวดาย ไม่มีผู้ใดสามารถประมือกับเขาได้ กระทั่งคนที่อายุแก่กว่าเขานับสิบปีก็ยังถูกบดขยี้อยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของเขา


อ้ายฉานที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ได้กระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาขึ้นมา ทำให้เขาระเบิดพลังออกมาอีกครั้ง สำแดงวิชาพุทธะที่ทรงพลังยิ่งกว่าออกมา


“เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาฝ่ามือที่ตกลงมาจากท้องฟ้าหรือไม่...”


ต้าเต๋อพนมมือ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมน่าเคารพ ท่วงท่าอากัปกิริยาดั่งพระชั้นสูง


เขากระทืบเท้าลงบนพื้นเบา ๆ ร่างกายประหนึ่งกลายเป็นลำแสงแห่งพุทธะ ทะยานสูงขึ้นไปบนนภา

“หายไปไหนแล้ว!”


อ้ายฉานทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา ต้าเต๋อลอยขึ้นไปบนนภาจนหายลับตา กระทั่งประสาทสัมผัสญาณก็ไม่อาจรับรู้ถึงที่มีอยู่ของต้าเต๋อได้!


นางไม่คิดว่าต้าเต๋อจะไม่ต้องการประมือต่อแล้วฉวยโอกาสหลบหนีไป ตรงกันข้าม ภายในใจของนางกลับเกิดลางสังหรณ์อันเลวร้าย ให้ความรู้สึกราวกับพายุกำลังจะมา!


ทันใดนั้นบนนภาสูงขึ้นไปก็เต็มไปด้วยแสงพุทธะสาดส่องลงมา อ้ายฉานเงยหน้าขึ้นมอง ที่ตรงนั้นปรากฏพระพุทธรูปขนาดยักษ์สีทองกำลังนั่งขัดสมาธิประทับอยู่บนแท่นปทุมสีทองอร่าม มือข้างหนึ่งชี้ขึ้นไปบนฟ้า มืออีกข้างชี้ลงพื้นดิน สีหน้าสง่างามน่าเกรงขาม


พริบตาต่อมา ร่างของต้าเต๋อที่หายลับไปก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาลอยอยู่บนท้องฟ้าสูงลิบก่อนจะตบฝ่ามือลงมา


คิ้วเล็ก ๆ ของอ้ายฉานขมวดแน่น นางรับรู้ได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกบรรจุเอาไว้ด้านใน ทว่าฝ่ามือนั้นขวางทางนางเอาไว้มิให้หลบเลี่ยงได้อย่างสมบูรณ์ จึงทำได้แต่เพียงปะทะโดยตรง


“มดมากก็รุมกัดช้างตายได้! ดูเคล็ดวิชาวานรผลัดขนของข้าเสีย!”


อ้ายฉานไม่รอช้า ทำท่าจะยกมือขึ้นมาดึงผมออกไปเส้นหนึ่ง


ทว่าตอนนั้นเอง นางก็พลันระลึกถึงสิ่งที่คุณชายสอนขึ้นมาได้


คุณชายบอกให้นางอย่ายึดติดกับรูปแบบ ให้ความสนใจกับแก่นแท้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องดึงผมออกก็สามารถใช้งานได้


นางจึงหยุดมือและไม่ดึงผมออกมา


“ไม่จำเป็นต้องใช้เส้นผมก็ทำได้!”


นางกัดฟันแน่น ทิ้งขั้นตอนการดึงผมไป ส่วนที่เหลือยังคงทำตามขั้นตอนเช่นเดิม จากนั้นตะโกนเสียงดัง “ออกมา!”


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!


แสงสว่างวาบขึ้นมา ‘อ้ายฉาน’ ปรากฏเพิ่มขึ้นมาทีละร่างทีละร่าง ตามที่คุณชายพูดเอาไว้ไม่มีผิด แก่นแท้ของวิชาไม่ได้อยู่ที่เส้นผม


นางไม่ได้ดึงผมออกมา แต่ก็ยังสามารถแยกร่างออกมาเป็นพันได้!


“เข้ามาเลย!”


ดวงตาของนางเป็นประกาย ก่อนร่างแยก ‘อ้ายฉาน’ นับพันจะพุ่งเข้าใส่ต้าเต๋อ ปะทะเข้ากับฝ่ามือพลังพุทธะที่กำลังร่วงลงมาจากนภา


“นี่มันอะไรกัน!”


เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว ดวงตาของวัวยักษ์สีดำก็แทบจะถลนออกมา


แม่เจ้า! นี่มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว เป็นไปได้ด้วยหรือที่จะสามารถเรียกร่างแยกจำนวนมากได้ในทันที!


ที่สำคัญคือร่างแยกเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงร่างเปล่า แต่ละร่างแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ถึงจะไม่มีพลังเทียบเท่ากับร่างต้นแบบ แต่ก็ยังมีพลังอย่างน้อยเจ็ดส่วนของอ้ายฉานเป็นแน่!


เจ็ดส่วน!


แถมยังมีจำนวนร่างแยกมากมาย!


มันตกใจกลัว นี่มันเคล็ดวิชาแยกร่างธรรมดาที่ไหนกัน เป็นวิชาแยกร่างของมหาจักรพรรดิงั้นหรือ?


ทำไมมันถึงผิดปกติได้ถึงขนาดนี้!


ตู้ม ตู้ม ตู้ม!


อ้ายฉานและร่างแยกจำนวนมากพุ่งไปด้านหน้า แต่ละร่างประกอบด้วยพลังอันแข็งแกร่ง แม้ต้าเต๋อจะใช้วิชาพุทธะอันทรงพลังจนน่าหวาดเกรง ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีพร้อมกันของร่างแยกจำนวนมากได้!


“สาวน้อยตัวร้ายอย่างเจ้ามาจากที่แห่งใดกัน!?”


ต้าเต๋อรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย พระพุทธรูปยักษ์สีทองด้านหลังเขาใกล้จะทลาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาคงจะต้องถูกอ้ายฉานทุบตีจนล้มลงกับพื้น


“พระสังฆราชบอกว่าข้าคือพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิด บนโลกนี้ไร้ผู้ใดเทียบได้ เขาโกหกข้าเช่นนั้นหรือ!”


ต้าเต๋อแค้นเคืองเป็นอย่างมาก เขาไม่สามารถสู้ต่อได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องได้รับบาดเจ็บหนักอย่างแน่นอน!


“ก็แค่วัวตัวหนึ่ง ให้เจ้าไปก็ได้! ข้าจะไปหาอาหารแกล้มเหล้าใหม่!”


ต้าเต๋อตะโกนออกมา ก่อนจะกลายเป็นลำแสงพุทธะรีบพุ่งหนีออกไปจากที่นี่


ร่างของอ้ายฉานสั่นไหว สีหน้าของนางดูไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง


การแยกร่างนับพันร่างออกมาพร้อมกันไม่นับว่าเป็นอะไร แต่การที่ต้องบังคับให้ต่อสู้ไปพร้อม ๆ กัน นับว่ากินพลังของนางเป็นอย่างยิ่ง ทำให้นางเหนื่อยล้าอยู่พอสมควร


“เจ้าเณรเหม็นเน่านิสัยไม่ดี”


อ้ายฉานโคจรพลัง หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง สีหน้าจึงเริ่มดีขึ้นมา


นางสังหารวัวยักษ์สีดำโดยใช้เพียงนิ้วเดียว จากนั้นก็เก็บร่างของมันลงไปในศาสตราเก็บของ แล้วกลับไปยังเมืองชิงซาน


...


อีกด้านหนึ่ง จู้จื่อ เซวียเหวินลี่ ชุยช่าน และเจ้าอ้วนฉวี่ก็ทรงพลังไม่แพ้กัน พวกเขาจัดการสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งได้ทีละตัว ทีละตัว


ในบรรดาพวกเขา สัตว์อสูรที่จู้จื่อสังหารนั้นเป็นตัวที่จัดการได้ยากที่สุด มันคือครุฑปีกทองที่ว่ากันว่ามีสายเลือดของสัตว์อสูรบรรพกาลบางชนิด ทำให้ยากจะจัดการ


ทว่าสุดท้ายแล้วครุฑปีกทองตัวนี้ก็ยังถูกจู้จื่อเอาชนะไปได้อย่างฉิวเฉียด


“เจ้าคิดว่าจู้จื่อผู้นี้จะรังแกได้ง่าย? เดิมทีข้าคิดจะจับแกะ แต่เจ้ากลับรนหาเรื่อง กล่าวว่าไม่มีผู้ใดกล้าบินข้ามหัวครุฑปีกทอง ทั้งยังโจมตีใส่หมายจะข้าฆ่า!”


จู้จื่อถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา “เจ้าบินต่ำถึงขนาดนั้นกลับมาโทษข้า? ทำตัวเหมือนตนเองเป็นเจ้าของโลกทั้งใบเสียจริง!”


เขาไม่คิดจะกินเนื้อสัตว์ปีกจริง ๆ ตั้งแต่ออกจากเมืองชิงซาน เขาก็เหินขึ้นฟ้าหมายจะไปยังด้านในภูเขาหวังจะจับอสูรแพะ


ทว่าใครจะไปคิดว่าระหว่างทาง จู่ ๆ ก็มีครุฑปีกทองโผล่ออกมาบอกว่าการบินข้ามหัวนับว่าเป็นการดูหมิ่นมัน จากนั้นก็โจมตีเข้ามาหมายสังหารเขา


เขาไม่คุ้นเคยกับครุฑปีกทอง จึงใช้เวลาอยู่พักหนึ่งก่อนจะสามารถสังหารมันลงได้สำเร็จ จากนั้นก็เก็บร่างของครุฑปีกทองไปด้วย


“คุณชายพูดไว้ ไม่ว่าเนื้อประเภทไหนก็สามารถต้มกินได้ ครุฑปีกทองตัวนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เนื้อก็คงจะรสชาติไม่เลว”


เขากล่าวออกมาอย่างมีความสุขก่อนกลับไปยังเมืองชิงซานพร้อมกับร่างของครุฑปีกทอง