ร่างกายของหนิงเจี๋ยเปล่งรัศมีพร่างพราว เขาเดินไปยังประตูของสำนักไท่หัวด้วยสีหน้ายโส ไม่คิดจะเก็บซ่อนปราณของตนไว้แม้แต่น้อย
“คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
ศิษย์ผู้เฝ้าประตูสำนักไท่หัวเอ่ยถามหลังจากเห็นหนิงเจี๋ยเดินเข้ามา
เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณของหนิงเจี๋ยที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซ้ำยังทำให้ร่างกายรู้สึกสั่นสะท้าน มองแวบแรกดูแล้วอีกฝ่ายไม่น่าจะมีเจตนาดีนัก
ทว่าเขาก็ยังคงปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยความมีมารยาท ไร้ซึ่งความหยาบกระด้างต่อหนิงเจี๋ย
ความสัมพันธ์ของสำนักไท่หัวและแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนจะแน่นแฟ้นเป็นอย่างมาก ทำให้ทุกวันนี้สำนักไท่หัวมีตำแหน่งสูงส่ง แม้กระทั่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางยังต้องไว้หน้าพวกเขา
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ศิษย์จากสำนักไท่หัวได้รับความเคารพจากผู้คนในทุกที่ที่พวกเขาไป
ทว่าทุกคนในสำนักไท่หัวไม่มีผู้ใดกลายเป็นคนหยิ่งผยองหรือหลงระเริงจนมองไม่เห็นหัวผู้อื่น
เนื่องจากบรรพชนสำนักไท่หัวเข้มงวดกับเรื่องนี้มาก ครั้งหนึ่งเคยมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งอ้างอำนาจบารมีของสำนักไท่หัวไปหาเรื่องสำนักอื่น ทว่าหลังจากที่ท่านบรรพชนทราบเรื่องนี้เข้า ก็ตรงไปตัดหัวของผู้อาวุโสผู้นั้นทันที
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครในสำนักไท่หัวกล้าทำผิดเช่นนั้นอีก
พรึ่บ!
หนิงเจี๋ยเมินเฉยต่อศิษย์ผู้นั้นด้วยสีหน้าเย็นชา เขาไพล่มือสองข้างไปด้านหลัง ก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณออกมาใส่ศิษย์ผู้นั้นจนกระเด็นออกไป แล้วกระอักเลือดออกจากปาก โลหิตกระเซ็นลงบนพื้นประหนึ่งบุปผาแย้มบาน
“เรื่องที่ครั้งก่อนไม่ได้ทำ ข้าก็จะทำมันในครั้งนี้...”
หนิงเจี๋ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขายกมือข้างหนึ่งแล้วสะบัดออก พลังอันแข็งแกร่งพุ่งเข้าใส่ประตูของสำนักไท่หัวจนทลายลงเหลือเพียงซากปรักหักพังในทันที
หลังจากนั้นเขาก็เดินเหยียบซากปรักหักพังก้าวไปข้างหน้า
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าระหว่างทางที่เขาเดิน ทุกสิ่งรอบตัวเขากลายเป็นซากปรักหักพัง
ในครั้งนี้เป้าหมายของเขาไม่ได้มีเพียงการมาพาตัวเซี่ยเหยียนไป แต่เขายังต้องการจะล้างบางสำนักไท่หัว!
เขายังคงไม่ลืมเลือน ซ้ำยังจำได้อย่างชัดเจน ถึงความคับแค้นที่ประสบจากสำนักไท่หัวในครั้งนั้น
“ข้าชอบที่เจ้าทำตัวเลวทรามเช่นนี้”
หลิงเซิ่งส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย
“ข้าเองก็ชอบ”
หนิงเจี๋ยหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความหยิ่งผยองและปีติยินดี ในเมื่อมีพลังอันแข็งแกร่ง ไยจึงต้องทนเก็บงำสันดานของตัวเองเอาไว้?
ช่างน่าเบื่อสิ้นดี!
ปลดปล่อยนิสัยตัวเองทำตัวตามธรรมชาติ พลังอันแข็งแกรงที่ถือครองไว้จึงจะไม่เสียเปล่า
ทว่าเขากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าหลิงเซิ่งนั้นหมายมาดจะมอบความตายให้แก่ตัวเขาไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหัวเราะออกมาได้ดังและเปี่ยมสุขเช่นนี้
“ใครบังอาจมาก่อกวนสำนักไท่หัวของข้า!?”
“จงหยุดบัดเดี๋ยวนี้!”
มีเสียงตวาดดังกึกก้อง ตามมาด้วยร่างยอดฝีมือทะยานออกมาจากส่วนในของสำนักไท่หัวทีละร่าง
พวกเขาเหล่านี้คือผู้อาวุโสของสำนักไท่หัว
เวิงอู๋โยวเคยนำภาพเขาไท่หัวซึ่งท่านเซียนเป็นผู้วาดกลับมา ด้านในภาพนั้นมี ‘แสงแห่งไท่หัว’ อยู่ สามารถชักนำวิถีไท่หัวได้!
หลังจากพินิจภาพนี้แล้ว พวกเขาต่างก็ได้รับผลประโยชน์ ความแข็งแกร่งแต่เดิมถูกปรับปรุงขึ้นเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหนิงเจี๋ยแล้ว พวกเขาก็คล้ายกำลังรนหาที่ตายประหนึ่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ เพียงแค่หนิงเจี๋ยกระทืบเท้าเบา ๆ กลับให้ความรู้สึกราวกับถูกค้อนขนาดใหญ่ทุบลงที่หน้าอก พากันร่วงลงจากท้องฟ้ากระแทกลงพื้นอย่างแรงทีละคนทีละคน!
“เป็นเจ้า!”
“เหตุใดเจ้าถึงแข็งแกร่งเช่นนี้?!”
ดวงตาของเหล่าผู้อาวุโสที่จำหนิงเจี๋ยได้เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ครั้งล่าสุดที่หนิงเจี๋ยมายังที่แห่งนี้ยังอยู่เพียงขอบเขตนิพพาน หากแต่ในยามนี้ ความรู้สึกที่พวกเขาสัมผัสได้จากหนิงเจี๋ยนั้นแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเหล่าบรรดาประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เสียอีก!
พวกเขาต่างรู้สึกเหลือเชื่อ ความเร็วในการเลื่อนขั้นของหนิงเจี๋ยนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เร็วจนชวนให้คนตื่นตะลึง!
“เซี่ยเหยียนล่ะ? นางอยู่ที่ใด?”
หนิงเจี๋ยเอ่ยถามออกมาด้วยเสียราบเรียบ
หากเซี่ยเหยียนไม่ได้อยู่ที่สำนักไท่หัว นางก็คงจะอยู่ที่เมืองชิงซาน
หากเป็นเช่นนี้ก็ดี เขาจะได้ทำลายสำนักไท่หัวแล้วตรงไปยังเมืองชิงซาน
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
ทว่าหลังจากที่เส้นแสงสว่างวาบ เซี่ยเหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นมา แสดงให้เห็นว่านางยังคงอยู่ในสำนักไท่หัว
จากนั้นจึงตามมาด้วยร่างของเวิงอู๋โยวและเจ้าสำนักไท่หัว
“เป็นเจ้านี่เอง!”
เซี่ยเหยียนมองหนิงเจี๋ยอย่างไม่คาดคิดว่า ผู้ที่มาก่อเรื่องในสำนักไท่หัวจะเป็นเขา
เหตุใดหนิงเจี๋ยจึงมาที่นี่อีก?
หรือเรื่องที่อาณาจักรเซี่ยยังไม่ทำให้เขาได้รับบทเรียนมากพอ?
ในยามนั้นหนิงเจี๋ยนำยอดฝีมือจากนิกายเจ็ดดาราไปยังอาณาจักรเซี่ยเพื่อบังคับให้นางยอมจำนน
ยังดีที่นางได้รับคันศรและคำชี้แนะจากท่านเซียนมา ไม่เช่นนั้นนางคงถูกนำตัวไปแล้ว
ตอนนั้นนางต้องการจะสังหารพวกหนิงเจี๋ยทิ้ง เพื่อตัดปัญหาในอนาคต
แต่ถ้าพวกหนิงเจี๋ยถูกสังหารในเวลานั้น จะก่อให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่ นิกายเจ็ดดาราจะไม่มีวันปล่อยผ่านเรื่องนี้ หากเกิดการโจมตีครั้งใหญ่ขึ้นมา นางก็เกรงว่าคนจากนิกายเจ็ดดาราจะไปรบกวนท่านเซียนอีก
ดังนั้นนางจึงไม่ได้ปลิดชีพพวกหนิงเจี๋ยลงในครานั้น แต่บังคับให้พวกเขาสัตย์สาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่ปริปากเรื่องใดเกี่ยวกับอาณาจักรเซี่ยและท่านเซียนออกไป
เรื่องที่ตามมาทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองในยามนั้นตัดสินใจถูกต้อง เรื่องทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีผู้ใดจากนิกายเจ็ดดารามาสร้างปัญหาใดให้
ทว่านางกลับคาดไม่ถึงว่าหนิงเจี๋ยจะกลับมาสังหารคนจากสำนักไท่หัวของพวกเขา
หรือหนิงเจี๋ยจะไม่รู้เกี่ยวกับสถานะในปัจจุบันของสำนักไท่หัว?
ไม่รู้ว่าในทุกวันนี้กระทั่งคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่กล้าล่วงเกินสำนักไท่หัวเลย?
อันที่จริงแล้ว หนิงเจี๋ยเองก็ไม่รู้เรื่องเหล่านี้จริง ๆ
หนิงเจี๋ยตรงดิ่งมาที่นี่ทันทีหลังออกจากแดนต้องห้ามนวปรภพ จึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบันเป็นเช่นไร
แต่ถึงจะรู้ เขาก็ไม่สนใจอยู่ดี
วิญญาณนักบุญหลิงเซิ่งฟื้นตัวกลับมาแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใด อีกทั้งหลิงเซิ่งได้กล่าวเอาไว้ว่า หากไม่ใช่ขอบเขตนักบุญก็ไม่อาจคุกคามพวกเขาได้
“ข้าคิดถึงเจ้ามานานแล้ว เจ้ายังคงสวยงดงามชวนให้ข้าตราตรึงเช่นเดิม!”
หนิงเจี๋ยมองไปทางเซี่ยเหยียนด้วยความหลงใหล
เขาชอบเซี่ยเหยียนจริง ๆ หรือ?
ย่อมต้องไม่ใช่!
เซี่ยเหยียนเป็นสตรีคนแรกที่หนึ่งเจี๋ยต้องการจะได้มา หากแต่กลับไม่สามารถครอบครองได้ ดังนั้นแล้วแทนที่จะบอกว่าหนิงเจี๋ยชอบเซี่ยเหยี่ยน ควรกล่าวว่าเขาต้องการจะชดเชยความผิดหวังก่อนหน้านี้ของตนต่างหาก
“เจ้าช่างกล้าเสียจริง...”
เวิงอู๋โยวอดกล่าวออกมาไม่ได้ “เจ้ามาที่นี่ เจ้านิกายเจ็ดดารารู้เรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่?”
เมื่อก่อนในฐานะศิษย์ของนิกายเจ็ดดารา เขาเคยยำเกรงต่อเจ้านิกายเจ็ดดาราเป็นอย่างมาก
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนดังเช่นวันวานแล้ว
เวิงอู๋โยวมองหน้าอีกฝ่าย ตอนนี้อย่าว่าแต่หนิงเจี๋ยเลย กระทั่งเจ้านิกายเจ็ดดาราก็ยังไม่กล้ามาทำตัวเช่นนี้ใส่สำนักไท่หัว
เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าหนิงเจี๋ยเอาความหาญกล้ามาจากที่ใด...
“จำเป็นต้องให้เขารู้ด้วยหรือ?”
หนิงเจี๋ยยิ้มออกมาอย่างไม่แยแส ไร้ซึ่งความเคารพเจ้านิกายเจ็ดดาราในวาจาที่เอ่ยออกมา
ในอดีตเขาเคยต้องการจะเป็นเจ้านิกายของนิกายเจ็ดดารา ทว่าตอนนี้เขากลับไม่ต้องการตำแหน่งนี้อีกต่อไป
ตำแหน่งเจ้านิกายเจ็ดดาราไม่คู่ควรกับเขาในตอนนี้แล้ว!
“คนหนุ่มเช่นเจ้าถูกสิ่งใดกระตุ้นจนกลายเป็นบ้าไปเสียแล้ว?”
เวิงอู๋โยวหมดคำจะกล่าว เหตุใดถึงรู้สึกว่าหนิงเจี๋ยนั้นแตกต่างจากคนปกติอยู่บ้าง?
“ช่างมีตาแต่ไร้แววยิ่งนัก!”
หนิงเจี๋ยสบถ ปราณอันแข็งแกร่งของขอบเขตพรตเต๋าถูกปล่อยออกมาอย่างเต็มพิกัด ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราด “ข้าได้เข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าแล้ว ไม่ว่าข้าอยากจะทำอะไรหรือไปที่ใดก็ย่อมได้ ข้าจะบอกพวกเจ้าเอาไว้ นอกจากเซี่ยเหยียนแล้ว ในวันนี้พวกเจ้าทุกคนจะต้องตาย!”
เขาทั้งกำเริบเสิบสานและเอาแต่ใจ ไม่เห็นพวกเวิงอู๋โยวอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
ฉากดังกล่าว คล้ายกับครั้งก่อนที่เขามายังสำนักไท่หัวเป็นอย่างมาก
ครั้งที่แล้วเขาเองก็ผยองไม่ต่างอะไรไปจากครั้งนี้
หากแต่ครั้งนี้มีสิ่งที่ผิดไปจากครั้งที่แล้ว
ครั้งก่อนตัวเขานั้นพึ่งพาตัวตนในฐานะศิษย์ของนิกายเจ็ดดารา
แต่ในคราวนี้เขาพึ่งพาตนเอง!
มันทำให้ท่าทางของเขาไม่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น กลับกันยังผยองยิ่งกว่าเดิมเสียอีก!
บทที่ 252
“เข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าแล้ว? ไม่ว่าอยากจะทำอะไรหรือไปที่ใดก็ย่อมได้? พวกเราทั้งหมดจะต้องตายด้วย?”
เวิงอู๋โยวแสดงสีหน้าแปลกพิกล
เขาคิดกับตัวเองว่า ‘พ่อหนุ่มเอ๋ย ยามนี้ไม่เหมือนเมื่อวันวาน ขอบเขตพรตเต๋าเอง...ก็ไม่เหมือนเดิมเช่นกัน!’
มันไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาคุยโวโอ้อวดได้อีกต่อไปแล้ว!
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ใบหน้าของหนิงเจี๋ยมืดครึ้ม สีหน้าแปลกประหลาดของเวิงอู๋โยวทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างไร พ่อหนุ่มเอ๋ย หากเจ้าอยากจะอวดอ้างก็ไปที่อื่นเสียเถอะ ณ ที่แห่งนี้เจ้าไม่อาจทำได้”
เวิงอู๋โยวกล่าวตอบ
“ไม่อาจทำได้?”
โทสะของหนิงเจี๋ยพวยพุ่งขึ้นมา
เหตุใดสถานการณ์จึงไม่เหมือนดังที่เขาคิดเอาไว้?
ขอบเขตพรตเต๋า ขอบเขตที่เหล่าประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนไปไม่ถึง ต่อให้ใช้เวลาชั่วชีวิตก็อาจไม่สามารถบรรลุได้
เมื่อเขาสำแดงฐานะของขอบเขตพรตเต๋าออกมา เวิงอู๋โยวและคนอื่น ๆ สมควรจะตกใจกลัวถึงขีดสุด แล้วมาคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาจากเขาไม่ใช่หรือ?
แต่พวกเวิงอู๋โยวกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย ทั้งยังบอกเขาว่าไม่อาจทำได้?
นี่มันอะไรกัน!
เขาเข้ามาด้วยความเดือดดาล ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงขอบเขตอันไร้ผู้ทัดเทียม ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าจะอ่อนน้อมสักนิด เช่นนี้แล้วจะให้เขาไม่โกรธเกรี้ยวได้อย่างไร
ราวกับเขาได้รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีแล้วต่อยออกไป แต่กลับต่อยได้เพียงอากาศไม่กระทบสิ่งใด ไม่ต้องกล่าวเลยว่ามันให้ความรู้สึกอึดอัดใจแค่ไหน!
“ไม่ว่าเป็นหรือตาย วันนี้ข้าจะทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นสายธารโลหิต!”
ร่างของเขาท่วมท้นไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า แสดงให้เห็นว่าโทสะของเขามีมากเพียงใด
พวกเวิงอู๋โยวคิดว่าคันศรในมือของเซี่ยเหยียนจะสามารถหยุดเขาได้หรือ?
อย่าตลกไปหน่อยเลย!
แม้ว่าคันศรในมือของเซี่ยเหยียนจะสามารถหยุดเขาได้ เขาก็ยังมีหลิงเซิ่ง!
วันนี้ที่แห่งนี้จะต้องกลายเป็นสายธารโลหิต แม้กระทั่งให้เซียนมาด้วยตนเองก็ไม่อาจหยุดยั้ง!
เขาลั่นวาจาออกไป!
“พ่อหนุ่ม ไยต้องอารมณ์เสียขนาดนั้นเล่า? พักก่อนเถอะ!”
เวิงอู๋โยวก้าวไปด้านหน้าแล้วปล่อยพลังปราณของเขาออกมา
เขาเองก็อยู่ในขอบเขตพรตเต๋า แถมยังเป็นขั้นสองที่สูงกว่าหนิงเจี๋ยที่อยู่ขั้นหนึ่งด้วย
ตัวเขาได้ดื่มชาของท่านเซียนไปหนึ่งถ้วย ทำให้ได้รับผลประโยชน์ไร้ที่สิ้นสุด ซ้ำยังฝึกฝนกับภาพวาดภูเขาไท่หัวที่ถูกวาดขึ้นมาโดยท่านเซียน ทำให้เขาสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าได้อย่างรวดเร็ว
“อันใดกัน!?”
หลังจากรับรู้ได้ถึงขอบเขตของเวิงอู๋โยว กรามของหนิงเจี๋ยแทบจะยื่นลงไปแตะพื้นด้วยความตกใจ
คนผู้นี้เองก็อยู่ขอบเขตพรตเต๋าเหมือนกัน!?
มิหนำซ้ำยังสูงกว่าเขาหนึ่งขั้นด้วย!?
นี่มันอะไรกัน ฟ้าสวรรค์ยังคงมีกฎเกณฑ์อยู่หรือไม่!?
เขาต้องทนทุกข์ทรมานในแดนต้องห้ามนวปรภพทั้งวันทั้งคืน กัดกินซากศพอสูรแทบทุกชนิด หลังจากนั้นก็โชคดีพอมีวาสนาให้ได้รับสมบัติล้ำค่ามาหนึ่งชิ้น ทำให้สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าได้
แล้วเวิงอู๋โยวนี่มันอะไรกัน?
ไม่เพียงแต่ขอบเขตจะเท่ากับเขา ขั้นก็ยังสูงกว่าด้วย?
ภายในใจของเขากู่ร้องด้วยความอัดอั้น!
“ขอบเขตพรตเต๋า...น่าภูมิใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ในตอนนั้นเอง เซี่ยเหยียนก็กล่าวออกมาด้วยเสียงราบเรียบ ทั้งยังสำแดงพลังของตนเองออกมา
ขอบเขตพรตเต๋าขั้นสาม เหนือกว่าเวิงอู๋โยวด้วยซ้ำ!
ทว่ากลับไม่น่าประหลาดใจแม้แต่น้อยที่นางสามารถรุดหน้าได้ไวถึงเพียงนี้
นางอยู่กับท่านเซียนแทบทุกวัน ผลประโยชน์ที่นางได้รับจากท่านเซียนมีมากมายนับไม่ถ้วน!
ขนาดไม่ได้ฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตายยังมาถึงขั้นนี้ หากนางฝึกฝนอย่างขันแข็ง ขอบเขตในปัจจุบันของนางคงจะสูงกว่านี้อย่างแน่นอน
อย่างน้อยนางก็น่าจะสามารถทะลวงผ่านขอบเขตพรตเต๋าเข้าสู่ขอบเขตราชันได้
“...”
หนิงเจี๋ยถึงกับพูดไม่ออก
เซี่ยเหยียนเองก็สามารถบรรลุถึงขอบเขตพรตเต๋าได้แล้ว?
แถมยังสูงกว่าเขาถึงสองขั้นด้วย?
เขาจำได้ว่าครั้งก่อนที่เห็นเซี่ยเหยียน นางยังคงอยู่ในขอบเขตนิพพานเหมือนกับเขา!
ยามนี้...นางถึงกับอยู่ขอบเขตขั้นสูงกว่าเขาเช่นนั้นหรือ?
สวรรค์!
ฟ้าดินไร้หลักการเกินไปแล้ว!
ภายในใจของหนิงเจี๋ยเต็มไปด้วยความรู้สึกราวกับมีอาชานับหมื่นตัววิ่งผ่าน
ความทุกข์ทรมานและความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญในแดนต้องห้ามนวปรภพล้วนไร้ค่า?
ผู้อื่นที่ไม่ได้รับความทุกข์ทรมานเหมือนกับเขา กลับแข็งแกร่งกว่าเขา!?
ในใจของเขากู่ร้องออกมาว่าไม่ยุติธรรม!
“ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะมีของดีอยู่ในมือไม่น้อย!”
เสียงประหลาดใจของหลิงเซิ่งดังขึ้นมาภายในหัวของหนิงเจี๋ย
ด้วยสภาพของโลกในปัจจุบันนั้นยากยิ่งที่จะบรรลุขอบเขตพรตเต๋า ทว่าเวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียนกลับบรรลุได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังรวดเร็วอย่างที่เขาคาดไม่ถึง
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะช่วยเจ้าด้วยพลังทั้งหมดที่มีเพื่อจัดการคนผู้นั้น!”
หลิงเซิ่งกล่าวขึ้นด้านในหัวของหนิงเจี๋ยด้วยความหนักแน่น
แท้จริงแล้ว ที่เขาช่วยเหลือหนิงเจี๋ยในการล้างแค้นครั้งนี้ ก็เนื่องด้วยเขาต้องการสิ่งที่อยู่ในมือของหลี่จิ่วเต้า
เขาไม่เคยพบหลี่จิ่วเต้ามาก่อน
เมื่อครั้งที่หนิงเจี๋ยไปยังชิงซานเพื่อตามหาหลี่จิ่วเต้า เขารับรู้ได้ถึงสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่างในชิงซาน จึงปิดผนึกตัวเองแล้วตัดการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกทันที
ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงคลาดกับการพบหลี่จิ่วเต้า
แต่การที่อีกฝ่ายสามารถมอบคันศรอันทรงพลังให้กับเซี่ยเหยียนได้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในมือของหลี่จิ่วเต้ามีของดีอยู่อีกมาก
หากไม่มีของดีจำนวนมาก จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมอบสมบัติเช่นนี้ออกมาอย่างส่ง ๆ
ดังนั้นเมื่อหนิงเจี๋ยออกมาจากแดนต้องห้ามนวปรภพแล้วกล่าวว่าต้องการจะแก้แค้น เขาจึงสนับสนุนเด็กหนุ่มอย่างเต็มที่ ซ้ำยังแสดงท่าทางว่าจะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถด้วย
ยิ่งตอนนี้เขาได้เห็นเวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียนได้บรรลุขอบเขตพรตเต๋า เขายิ่งมั่นใจว่าหลี่จิ่วเต้ามีของดีอีกมากอยู่กับตัว!
ทั้งสองคนนี้จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากหลี่จิ่วเต้าอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นทั้งสองคนคงไม่อาจบรรลุขอบเขตพรตเต๋าได้อย่างรวดเร็ว!
“เยี่ยม!”
หลังจากได้ยินหลิงเซิ่งกล่าวออกมา หนิงเจี๋ยก็รู้สึกโล่งใจอย่างสมบูรณ์
“ขอบเขตขั้นสูงกว่าข้าแล้วจะทำไม?”
หนิงเจี๋ยมองไปทางเวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียน สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นหยิ่งผยองเช่นก่อนหน้า “กบในกะลา แหงนหน้ามองก็คิดว่าตนเห็นท้องฟ้าทั่วหล้า ทั้งที่แท้จริงแล้วกลับเห็นเพียงท้องฟ้าในกะลาเท่านั้น!”
ความหมายในคำพูดเขาคือ พวกเจ้าคิดว่าหลี่จิ่วเต้าที่ตนเองได้พบนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่แท้จริงแล้ว หลี่จิ่วเต้าผู้นั้นไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้!
เซี่ยเหยียนเคยบังคับให้เขาเอ่ยสัตย์ปฏิญาณต่อสวรรค์ว่าจะไม่เปิดเผยข่าวคราวใด ๆ เกี่ยวกับหลี่จิ่วเต้า
เขาจึงไม่กล้าเอ่ยถึงหลี่จิ่วเต้าโดยตรง ทำได้เพียงพูดออกมาเช่นนี้
“วันนี้ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้เห็นว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นเช่นไร! ข้าจะทำให้เข้าใจว่าท้องฟ้าที่พวกเจ้าเห็นนั้นเล็กเพียงใด!”
เขาตะโกนออกมาด้วยความเย็นชา พลังปราณของเขาเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
หลิงเซิ่งกำลังให้เขาหยิบยืมพลัง!
วิญญาณนักบุญหลิงเซิ่งที่ฟื้นตัวกลับมาอย่างเต็มที่นั้น มีพลังแข็งแกร่งน่าหวาดเกรงเป็นอย่างมาก หนิงเจี๋ยเพียงหยิบยืมพลังมาส่วนหนึ่งก็เพียงพอที่จะบดขยี้เวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียนได้แล้ว
ปราณของหนิงเจี๋ยพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว ปราณของเขาก็ก้าวกระโดดขึ้นไปเก้าขั้นจนไปถึงขอบเขตราชัน
ทว่ากลับไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง!
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
จนกระทั่งตอนที่ผิวของหนิงเจี๋ยเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาจึงได้หยุดลง
ร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มไว้ด้วยรัศมีเรืองรอง ดวงตาสองข้างราวกับมีอสนีบาตที่เกิดจากพลังเทวา เพียงแค่โบกมือก็เปี่ยมไปด้วยพลังเทวา บรรลุถึงขอบเขตเทวา!
เดิมทีแล้วหากต้องการจะจัดการกับเวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียน เขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังจนขึ้นถึงขอบเขตเทวา แค่ขอบเขตราชันก็เพียงพอแล้ว
ทว่าในมือของเซี่ยเหยียนนั้นมีคันศรล้ำค่าอยู่ ขอบเขตราชันไม่อาจทำให้เขามั่นใจได้ ดังนั้นจึงได้หยิบยืมพลังมาจนถึงขอบเขตเทวา
ด้วยพลังของขอบเขตเทวานั้นเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาไร้ความหวาดเกรงต่อคันศรที่เซี่ยเหยียนถือครองอยู่!
“เซี่ยเหยียน ข้าจะพาเจ้าไปหาผืนฟ้าที่เจ้าพึ่งพา หลังจากนั้นข้าจะฉีกผืนฟ้านั้นออกเป็นชิ้น ๆ ต่อหน้าเจ้า!”
หนิงเจี๋ยมองไปทางเซี่ยเหยียน มุมปากของเขาเหยียดขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย
ผืนฟ้าที่เขาพูดถึงย่อมต้องเป็นหลี่จิ่วเต้า!
เซี่ยเหยียนควรจะตระหนักได้ในสิ่งที่เขาเอ่ยถึง!
บทที่ 253
สองมือของหนิงเจี๋ยไพล่หลัง ประกายแสงส่องสว่างเจิดจ้าทั่วตัว ประหนึ่งเทพเจ้าที่จุติมายังโลกอย่างแท้จริง
เขาทอดมองพวกเซี่ยเหยียนด้วยสีหน้าโอหัง สายตาเปี่ยมไปด้วยความผยองถือตัว!
ทุกอากัปกิริยาเปี่ยมไปด้วยพลังเทวา เขามีความสามารถพอให้ผยองถือตัวเยี่ยงนี้ ความล้มเหลว และความบั่นทอนในจิตใจเมื่อครั้งอดีตมลายสิ้น เขาครอบครองพลังอย่างแท้จริง และจักบดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ที่นี่!
เวิงอู๋โยวขมวดคิ้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน
เหตุใดจู่ ๆ หนิงเจี๋ยถึงแข็งแกร่งขึ้นถึงเพียงนี้
ทว่าเขาเพียงแปลกใจเท่านั้น ส่วนเรื่องหวาดกลัวอะไรนั่น ย่อมไม่มีทาง!
กลัวสิ่งใดเล่า?
เขารู้ดีว่าเซี่ยเหยียนในตอนนี้ทรงพลังปานใด ขอบเขตเทวาแล้วอย่างไร?
ไม่อาจก่อการใดได้เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยเหยียน
อีกอย่าง…ที่นี่คือที่ใดกัน
ที่นี่คือสำนักไท่หัว ซึ่งอยู่ติดกับเมืองชิงซาน!
ท่านเซียนอยู่ในเมืองชิงซานนะ
เซี่ยเหยียนเป็นที่โปรดปรานของท่านเซียน ไฉนเลยจะเกิดเรื่องกับนาง
เป็นไปไม่ได้!
เขาปรายตามองหนิงเจี๋ย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เด็กเอ๋ย เพลา ๆ บ้างเถิด จองหองไปไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า…”
บัดซบ!
ไม่เรียกเด็กหนุ่ม แต่เรียกเด็กเอ๋ยอย่างนั้นหรือ?
หนิงเจี๋ยได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโมโหจนสติแตก ความโอหังไร้เทียมทานที่แสดงให้เห็นเมื่อครั้งก้าวสู่ขอบเขตเทวาปะทุฉับพลัน
ไอ้เวรนี่ เขาบรรลุถึงขอบเขตเทวาแล้วยังไม่พออีกหรือ?
เวิงอู๋โยวบังอาจเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้กับเขาอีก!
ไสหัวไปไกล ๆ เลย หากวันนี้เขาไม่อาจทำให้สำนักไท่หัวหลั่งเลือดเป็นลำธาร เขายอมเขียนชื่อหนิงเจี๋ยของตนกลับหัว!
“ต้องหน้ามืดตามัวเชื่อใจคนผู้นั้นขนาดไหน?”
หลิงเซิ่งแค่นเสียงเย็น กล่าวกับหนิงเจี๋ยว่า “ลุยเลย สังหารทุกคนที่นี่ให้เกลี้ยง!”
เขามิใช่ผู้โอบอ้อมอารีมาแต่ไหนแต่ไร ที่หนิงเจี๋ยในยามนี้จองหองผยองเยี่ยงนี้ ไม่เห็นชีวิตผู้อื่นอยู่ในสายตาส่วนหนึ่งเพราะนิสัยใจคอเดิมของหนิงเจี๋ยเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
ทว่าเหตุผลอีกส่วนก็เพราะมีเขาคอยยุยง
เขาบอกกับหนิงเจี๋ยว่า การฝึกตนของเขาเกิดปัญหา จึงส่งผลให้สูญเสียกายเนื้อ เหลือไว้เพียงเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนักบุญ ด้วยความจนใจ ถึงได้เลือกสิงร่างหนิงเจี๋ย ใช่ร่างร่วมกับหนิงเจี๋ย
ทว่าคำกล่าวเหล่านี้เป็นเพียงคำโป้ปด
ขอบเขตสูงส่งอย่างนักบุญไฉนเลยจะเกือบตายเพราะการฝึกฝน
เป็นไปไม่ได้เลย!
นักบุญเป็นขอบเขตใหญ่ในฟ้าดินผืนนี้ ทิ้งร่องรอยแม้กระทั่งในมหาวิถีแห่งฟ้าดิน หากมิใช่ว่าฉกาจเหลือล้น และตื่นรู้ในการบำเพ็ญอย่างถ่องแท้ ย่อมไม่มีทางเป็นนักบุญได้เลย!
นักบุญเกิดปัญหาเพราะการฝึกฝน ซ้ำร้ายยังเป็นปัญหาใหญ่อีกด้วย เรื่องนี้ไม่มีความเป็นไปได้เลย
หากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่สมควรเรียกตนเองว่านักบุญเลย!
ที่หลิงเซิ่งสูญเสียกายเนื้อ เหลือเพียงเสี้ยวเดียวของวิญญาณนักบุญ ล้วนเป็นเพราะเขาทำเรื่องชั่วช้าไว้มาก จนถูกนักบุญตนอื่นไล่ฆ่า กายเนื้อถูกตีจนแหลก แม้แต่วิญญาณนักบุญยังเกือบสลาย เหลือวิญญาณนักบุญเพียงเสี้ยวเดียวที่หนีออกมาได้
หลิงเซิ่งในครานั้นน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่วิญญาณนักบุญเสี้ยวนี้ยังใช้เวลาอยู่นานกว่าจะฟื้นพลังกลับมาได้
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้เป็นการพิสูจน์ให้ประจักษ์ถึงความทรงพลังของนักบุญ หากมิกำจัดให้สิ้นซาก นักบุญสามารถฟื้นคืนชีพจากกองขี้เถ้าที่ดับมอด
หลิงเซิ่งมิได้บรรลุนักบุญในยุคนี้ หากแต่บรรลุนักบุญตั้งแต่ยุคโบราณตอนปลาย
ครานั้นภัยพิบัติครั้งใหญ่เพิ่งสิ้นสุดลง เขาหมายตาเผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจแกร่งกล้าไว้คณานับ
ภัยพิบัติใหญ่ครานั้นน่าสยดสยองยิ่ง ยอดฝีมือในใต้หล้าตายตกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ล้วนถูกตัดทอนกำลังลงมาก เสียหายถึงแก่น เรียกได้ว่าอนาถถึงขีดสุด
ครานั้นเขามิได้เข้าร่วมสงคราม แต่ไปซ่อนตัวไว้ เมื่อได้เห็นเผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจแกร่งกล้าเหล่านั้นกำลังลดทอนลงถึงระดับร้ายแรงเยี่ยงนี้ เขาพลันเกิดความคิดหมายตาเผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจแกร่งกล้าเหล่านี้
นี่เป็นโอกาสก้าวหน้าที่หาได้ยากยิ่ง ไฉนเลยจะยอมพลาด?
เขาไม่ยอมพลาด ฉวยโอกาสนั้นปล้นสะดมเผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจเป็นจำนวนมาก มิหนำซ้ำยังหมายตาศพของมหาจักรพรรดิท่านหนึ่งอีกด้วย เขาชิงศพของมหาจักรพรรดิท่านนั้นไป
มหาจักรพรรดิท่านนั้นสิ้นชีพลงในมหาสงคราม ตายอย่างน่าเวทนา ไม่อาจรักษาร่างสมบูรณ์ไว้ได้ด้วยซ้ำ
สิ่งแวดล้อมในฟ้าดินยุคโบราณนับว่ามิได้ดีมาก ยากจะบรรลุเป็นจักรพรรดิ มหาจักรพรรดิยิ่งบรรลุยากเข้าไปใหญ่ ทั้งยุคสมัยนั้นมีมหาจักรพรรดิเพียงไม่กี่ตนเท่านั้น
มหาจักรพรรดิท่านนั้นยังดี แม้ว่าศพของมหาจักรพรรดิไม่สมบูรณ์ ทว่าก็ยังเหลือศพของมหาจักรพรรดิไว้ ส่วนมหาจักรพรรดิตนอื่น ๆ ไม่เหลืออะไรเลย ศพของพวกเขาถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงในมหาสงคราม ไม่เหลือซากแม้แต่น้อย
ในศพของมหาจักรพรรดิมีขุมสมบัติอยู่มากมาย สุดท้ายหลิงเซิ่งก็อดไม่ไหว ชิงศพของมหาจักรพรรดิท่านนั้นไปด้วย
เหล่ามหาจักรพรรดิเข้าต่อสู้ห้ำหั่นเพื่ออาณาจักรนี้อย่างไม่คิดชีวิต ศพมหาจักรพรรดิเพียงตนเดียวที่เหลือยังโดนผู้อื่นชิงไปอีก…
เวลานั้นสิ่งมีชีวิตทุกตนเดือดดาลกันหมด บรรดานักบุญเฒ่าไม่สนบาดแผลฉกรรจ์ที่ได้จากมหาสงคราม ตามล่าหลิงเซิ่งไปทั่วสารทิศ หมายจะชิงศพของมหาจักรพรรดิคืนมา
บาดแผลที่พวกเขาได้จากมหาสงครามนั้นสาหัสเกินไป ถึงแม้พวกเขาจะชิงศพของมหาจักรพรรดิกลับคืนมาได้ ต่อสู้กันจนหลิงเซิ่งแหลกเหลว กระนั้นก็ไม่อาจกำจัดหลิงเซิ่งได้อย่างสิ้นเชิง ปล่อยให้เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนักบุญของหลิงเซิ่งหนีไปได้
นี่ก็เป็นเหตุผลที่แท้จริงที่หลิงเซิ่งเหลือวิญญาณนักบุญเพียงเสี้ยวเดียว
“เข้าใจแล้ว!”
หนิงเจี๋ยตอบหลิงเซิ่งในหัว
จากนั้นเขาก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอำมหิต หันมองไปที่เวิงอู๋โยว “ตาเฒ่า ข้าจองหองแล้วอย่างไร! วันนี้ ข้าจักให้เจ้าได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองว่าที่แห่งนี้จะเลือดนองเป็นลำธารได้อย่างไร!”
เขาย่างเท้าออกไปก้าวหนึ่ง ปราณแสนน่ากลัวถาโถมสู่ฟ้าดิน จิตสังหารปกคลุมทั้งสำนักไท่หัว!
หนิงเจี๋ยยกมือข้างหนึ่ง พลังเทวาแสนสยดสยองหลอมรวม มิติผืนนั้นบิดเบี้ยว สีของฟ้าดินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้!
หากพลังเทวานี้กระแทกลงมา ทั้งสำนักไท่หัวจักราบเป็นหน้ากลอง!
“เตรียมรับความตายของพวกเจ้าได้แล้ว!”
เขาปริปากเสียงเย็น ยกมือข้างที่ยกอยู่แล้วให้สูงขึ้นไปอีก พลังเทวาที่เข้ามาหลอมรวมรุนแรงยิ่งขึ้น เขาหมายมั่นจะให้สำนักไท่หัวหลั่งเลือดเป็นลำธาร!
“เจ้ากำลัง…ละเมออะไรอยู่?”
อีกด้าน เซี่ยเหยียนเรียกคันศรราชันออกมา ดึงคันยิงศรว่องไวรวดเดียว ศรอาบแสงดอกหนึ่งพุ่งทะลุมิติพร้อมด้วยคลื่นพลังอันน่าหวาดหวั่น ยิงไปทางหนิงเจี๋ย!
ไวมาก ไวจนหนิงเจี๋ยและหลิงเซิ่งตั้งตัวไม่ทัน!
พรวด!
ศรอาบแสงยิงทะลุร่างของหนิงเจี๋ย พลังสุดแกร่งกล้ากระแทกตัวเขาและตรึงเขาไว้บนภูเขาไกล ๆ ลูกหนึ่ง
พลังเทวาที่หนิงเจี๋ยรวบรวมไว้สลายหายไป ลมปราณในตัวลดฮวบ กระอักเลือดคำแล้วคำเล่า โลหิตไหลลงมาตามอาภรณ์ไม่หยุด
“คาดการณ์ผิดไป! คันศรเล่มนี้มิใช่คันศรศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด หากแต่เป็นคันศรที่ทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิเสียอีก!”
หลิงเซิ่งร้องเสียงหลง ศรที่ยิงทะลุหนิงเจี๋ยดอกนี้ไม่เพียงแต่ทำให้หนิงเจี๋ยบาดเจ็บสาหัส แม้แต่ตัวเขาเองก็บาดเจ็บหนักไปด้วย วิญญาณนักบุญหลั่งโลหิตวิญญาณ ร่างวิญญาณอันตรธานอย่างรวดเร็ว!
ครั้งก่อนตอนยังอยู่ในอาณาจักรเซี่ย เซี่ยเหยียนเคยยิงศรด้วยคันศรเล่มนี้
ทว่าวิญญาณนักบุญของเขาในยามนั้นอยู่ในสภาวะปรวนแปร ย่ำแย่ถึงขีดสุด มิกล้าใช้ประสาทสัมผัสนักบุญจับระดับขั้นของคันศรในมือเซี่ยเหยียน
เขาเพียงแต่คาดเดาตามความรู้สึกว่าคันศรในมือเซี่ยเหยียนไม่เป็นคันศรศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นคันศรระดับจ้าวสูงสุด
บัดนี้วิญญาณนักบุญของเขาพลังฟื้นแล้ว สามารถจับสัมผัสด้วยประสาทสัมผัสนักบุญ ทันทีที่เซี่ยเหยียนเรียกคันศรเล่มนั้นออกมา เขาก็สัมผัสถึงบารมีจักรพรรดิอันแกร่งกล้าน่ากลัวจากคันศรเล่มนั้นได้ในบัดดล!
บารมีจักรพรรดินี้สยองกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิที่เขาเคยพานพบมาเสียอีก!
การคาดเดาของเขาในอดีตผิดเพี้ยน และมิได้เพี้ยนเพียงเล็กน้อย แต่เพี้ยนไปไกลโข!
ไม่เป็นคันศรศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นคันศรระดับจ้าวสูงสุดอะไรกัน…
นี่มันคือยอดคันศรที่มีระดับเหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิเสียด้วยซ้ำ!
บทที่ 254
บัดซบ!
เหตุใดคันศรในมือเซี่ยเหยียนถึงมีระดับขั้นสูงส่งปานนั้น!?
โดยเฉพาะเรื่องที่เขาคิดไม่ตกเลยคือ ขอบเขตของเซี่ยเหยียนที่หาได้สูงไม่ ไฉนจึงสามารถรีดเร้นพลังของยอดคันศรระดับสูงส่งเยี่ยงนั้นออกมาได้ไหว?
คันศรระดับสูงส่งเยี่ยงนั้น แม้แต่ขอบเขตเทวายังยากจะดึงออกมาได้!
หลิงเซิ่งจิตใจว้าวุ่น อารมณ์ย่ำแย่ถึงขีดสุด
“หลิงเซิ่งช่วยข้าด้วย!”
หนิงเจี๋ยร่ำไห้ตะโกนขอความช่วยเหลือจากหลิงเซิ่ง
ขุมปราณชีวิตของเขากำลังรั่วไหลออกไปอย่างมหาศาล ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาต้องตายตกอยู่ที่นี่!
แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงดิ้นรนขนาดไหน ก็สลัดไม่ออก ถูกศรอาบแสงเล่มนั้นตรึงไว้กับยอดเขาอย่างแน่นหนา
“ช่วยเจ้ารึ ช่วยกับผีน่ะสิ!”
หลิงเซิ่งด่ากราด ฝืนรวบรวมวิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลาย ดูดกลืนวิญญาณของหนิงเจี๋ยเพื่อเพิ่มพูนพลังให้วิญญาณนักบุญของเขา
จากนั้นวิญญาณนักบุญของเขาก็ทะยานออกจากร่างหนิงเจี๋ยอย่างรวดเร็ว!
เมื่อวิญญาณถูกดูดกลืน ร่างหนิงเจี๋ยก็มอดม้วยในทันที
ก่อนตาย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะได้พบจุดจบเช่นนี้ ต้องมาถูกหลิงเซิ่งดูดกลืนวิญญาณ!
นอกจากนี้ก่อนตาย ภายในใจของเขายังเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
เซี่ยเหยียนคือคู่เวรของเขาโดยแท้ คราวก่อนเขาก็พ่ายในมือเซี่ยเหยียน คราวนี้เขาก็ต้องพ่ายในมือเซี่ยเหยียนอีกแล้ว!
หากรู้เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาคงไม่มาหาเรื่องเซี่ยเหยียนอีก!
แต่ทั้งหมดนี้กลับเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง
หลิงเซิ่งเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง ไม่ละล้าละลังแม้แต่น้อย พริบตาที่ดูดกลืนวิญญาณได้ก็ทะยานหนีไปทันที
“หืม? นั่นอะไร?”
คิ้วเรียวของเซี่ยเหยียนขมวด เห็นเพียงลำแสงศักดิ์สิทธิ์ลำหนึ่งทะยานออกมาจากตัวหนิงเจี๋ย ก่อนจะอันตรธานหายไป
นางหันมองหนิงเจี๋ยอีกครั้ง ก็พบว่าเขาตายไปแล้ว
“แย่แล้ว ดูเหมือนนั่นน่าจะเป็นวิญญาณนักบุญ!”
นัยน์ตาเวิงอู๋โยวสั่นไหว เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณนักบุญจากลำแสงศักดิ์สิทธิ์นั้น ซ้ำยังเห็นเงาของผู้เฒ่าคนหนึ่งราง ๆ
“เข้าใจแล้ว! มิน่าเล่าหนิงเจี๋ยผู้นี้ถึงมีพลังทวีคูณมหาศาล ที่แท้เป็นเพราะเขามีวิญญาณนักบุญอาศัยอยู่ในร่างนี่เอง!” เขากล่าวต่อ ในหัวนึกถึงภาพการณ์เมื่อครั้งพลังของหนิงเจี๋ยเพิ่มพูนทวีคูณ
ครานั้น หนิงเจี๋ยมิได้รับยาลูกกลอนใด ๆ มิได้ใช่วิชาค่ายกล หรือใช้อภินิหารใด ๆ จู่ๆ พลังก็ทวีคูณขึ้นเสียอย่างนั้น เขายังประหลาดใจอยู่ว่าหนิงเจี๋ยทำได้อย่างไร
บัดนี้ได้เห็นวิญญาณนักบุญ ถึงเข้าใจทุกอย่างได้อย่างกระจ่าง!
สาเหตุที่พลังของหนิงเจี๋ยทวีคูณ เป็นเพราะวิญญาณนักบุญตนนี้นี่เอง!
วิญญาณนักบุญตนนี้ให้หนิงเจี๋ยยืมพลัง!
“ข้าก็เข้าใจแล้ว! มิน่าก่อนหน้านี้หนิงเจี๋ยถึงตะโกนว่า ‘หลิงเซิ่งช่วยข้าด้วย’! วิญญาณนักบุญตนนั้นคงจะเป็นหลิงเซิ่ง”
เซี่ยเหยียนพยักหน้า
หลังจากตรึงหนิงเจี๋ยไว้บนยอดเขาแล้ว นางก็พุ่งตัวไปอยู่ที่ยอดเขาทันที ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนของหนิงเจี๋ย
“แย่แล้ว! หลิงเซิ่งผู้นั้นทะยานไปทางเมืองชิงซาน!”
สีหน้าเซี่ยเหยียนเปลี่ยนไปอย่างมาก นางไม่มีเวลาให้ไตร่ตรองสิ่งใดอีก รีบเหินไปทางเมืองชิงซานทันที
แต่หาได้กังวลว่า หลิงเซิ่งจะทำร้ายท่านเซียนเข้า
น่าขัน ระดับขั้นของท่านเซียนสูงส่งเพียงใด อย่าว่าแต่หลิงเซิ่งผู้นี้เลย ต่อให้เป็นตัวตนระดับจักรพรรดิก็มิได้ยิ่งใหญ่สำหรับท่านเซียน!
ทว่านางเพียงกลัวว่า หลิงเซิ่งผู้นี้จะเข้าไปรบกวนท่านเซียนต่างหาก!
หลิงเซิ่งผู้หนีออกไปนั้นไม่กล้าหยุดชะงักแม้แต่น้อย ถึงแม้มันจะเพิ่มพลังขึ้นมาได้นิดหน่อยจากการดูดกลืนวิญญาณของหนิงเจี๋ย
กระนั้นคันศรที่เซี่ยเหยียนยิงมานั้นน่ากลัวเกินไป พลังที่ได้จากการดูดกลืนวิญญาณหนิงเจี๋ยไม่เพียงพอแม้แต่น้อย วิญญาณนักบุญของเขายังคงสลายต่อไปอย่างรวดเร็ว!
หากปล่อยให้สลายเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาจักแตกดับ มลายหายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง!
“ระยำนัก!”
เขาสบถก่นด่า ใจรู้สึกระทมอย่างยิ่ง
หลังจากวิญญาณนักบุญของเขาฟื้นพลังกลับมาแล้ว เขาก็สามารถไปจากร่างของหนิงเจี๋ย และเดินเหินได้อย่างอิสระ
พลังแกร่งกล้าจากวิญญาณนักบุญสามารถค้ำจุนให้เขาเคลื่อนไหวในปฐพีนี้โดยไม่ต้องมีกายเนื้อก็ได้
แต่เขาคำนึงว่าวิญญาณนักบุญเพิ่งฟื้นพลัง ยังไม่มั่นคงเท่าใด จำต้องรอให้มั่นคงอยู่ในร่างหนิงเจี๋ยไปอีกสักพักแล้วค่อยว่ากัน เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาอื่นตามมา
บวกกับหนิงเจี๋ยกล่าวว่าต้องการกลับมาแก้แค้น เขาเองก็หมายตาสมบัติชั้นยอดของหลี่จิ่วเต้า จึงมิได้ไปจากร่างกายของหนิงเจี๋ยในทันที แต่เลือกที่จะอยู่ต่อ
ทว่าผู้ใดเล่าจะคิดว่า คันศรในมือเซี่ยเหยียนจะน่ากลัวปานฉะนี้ ศรเดียวก็จัดการเขากับหนิงเจี๋ยได้เสียอยู่หมัด!
เขาไม่บรรลุเป้าหมายไม่พอ ยังเสียหายอย่างหนักหนาสาหัสอีกด้วย!
“อ๊ากกก!”
เขาแผดเสียงคำรามกราดเกรี้ยว สำนึกเสียใจอย่างที่สุด!
ครานั้นตนมัวรอความมั่นคงเพื่ออะไร!
เวลานั้น หากเขาไม่มัวแต่คิดว่าจะอาศัยในร่างของหนิงเจี๋ยต่อจนสถานการณ์มั่นคงแล้วค่อยว่ากัน แต่ไปจากร่างของหนิงเจี๋ยทันที เขาไฉนเลยจะมีสภาพอนาถาเยี่ยงนี้!
ในกาลเวลาอันแสนยาวนาน เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนักบุญเขาอุตส่าห์ฟื้นพลังขึ้นมาได้บ้าง จนสติของเขาปรากฏอีกครั้ง ต่อมา เขาได้มาซึ่งหญ้านวปรภพ จนสร้างวิญญาณนักบุญขึ้นได้ใหม่
ผลสุดท้าย เขายังไม่ทันได้ทำสิ่งใด วิญญาณนักบุญก็ถูกทำร้ายสาหัสอีกครั้ง ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้สูญเปล่า!
ปัญหาคือ หากตอนนี้เขาไม่หาทางหยุดยั้งการเสื่อมสลายของวิญญาณนักบุญ เขาจักแตกดับ มลายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง!
“ต้องหากายเนื้อก่อน!”
วิญญาณนักบุญของเขาเสื่อมสลายเร็วเกินไป ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ จำต้องหากายเนื้อสิงสู่ก่อน แล้วค่อยหลอมรวมวิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลายให้มั่นคงขึ้นมา
ไม่หากายเนื้อก็ได้ ทว่าหากเป็นเช่นนั้นเขาจักรักษาวิญญาณนักบุญไว้ได้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น และกลายเป็นเหมือนในอดีต สติเข้าสู่การนิทรา ต้องค่อย ๆ ฟื้นพลังทีละนิดโดยอาศัยกาลเวลาอันยาวนาน
เขาไม่ต้องการมีประสบการณ์เช่นนั้นอีกแล้ว
สติเข้าสู่การนิทรา จนเขาไม่รับรู้เหตุการณ์ภายนอกแม้แต่น้อย ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะโชคดี สามารถยืนหยัดจนถึงยามที่สติตื่นขึ้นอีกครั้งเหมือนคราวก่อนได้อีกครั้งหรือไม่
หากเขาถูกผู้ฝึกตนหรืออสูรตนใดพบเข้า แล้วหลอมวิญญาณของเขา เขาได้จบเห่จริง ๆ แน่…
คราวก่อนเขาไม่มีทางเลือก
นักบุญเฒ่าพวกนั้นหมายมั่นจะฆ่าเขาโดยยอมแลกด้วยชีวิต เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนักบุญอุตส่าห์หนีรอดออกมาได้ ทว่าก็ได้เพียงแค่นั้น ทันทีที่หนีออกไป เขาก็สูญสิ้นสติ จมอยู่ในห้วงนิทรา
โชคดีที่นักบุญเฒ่าเหล่านั้นเพิ่งผ่านสงคราม มิได้อยู่ในสภาวะที่ดีเท่าใด จึงมิได้ไล่ตามเขามา ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางรอดมาได้
ทว่าหนนี้ต่างออกไป
หนนี้เขามีโอกาสเลือก!
แม้ว่าวิญญาณนักบุญของเขาแตกสลายรุนแรง กระนั้นมิได้รุนแรงเท่าครั้งก่อนและยังไม่ถึงขั้นสูญเสียสติไป
“เมื่อถึงคราวซวย ดื่มน้ำยังติดฟันได้! เหตุใดถึงไม่เห็นใครสักคนเลยเล่า!”
เขาร้อนใจแทบทนไม่ไหว ทะยานมาทั้งทางยังมิได้พบผู้ใด
“สัตว์อสูรก็ได้!”
ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์อสูร ขอเพียงมีกายเนื้อเป็นพอ
ความเสียหายที่เกิดจากวิญญาณออกจากร่างสาหัสมาก เขาไม่มีวิธีทำให้วิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลายมั่นคงได้ด้วยร่างวิญญาณ
“บัดซบ! สวรรค์ต้องการเป็นปรปักษ์กับข้าหรือ!?”
เขากล่าวอย่างมีโทสะ เพิ่งบอกไปว่าสัตว์อสูรก็ได้ แล้วเขาก็มาเห็นสัตว์ตัวหนึ่งจริง ๆ!
ทว่ามิใช่สัตว์ชั้นดีแต่อย่างใด หากแต่เป็นหมูป่าตัวหนึ่ง!
เขาเป็นถึงนักบุญ แต่ต้องมาสิงสู่วิญญาณในร่างหมูจริงหรือ?
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เขาจะมีหน้าไปพบผู้ใดอีก!
“หมูก็หมู ถึงอย่างไรก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ขอเพียงข้าฟื้นพลังอีกหน่อย ข้าก็จะออกจากร่างหมู ไปสิงสู่ร่างมนุษย์”
เขาไม่อยากสิงสู่วิญญาณในร่างหมู แต่เพราะจนปัญญาและหมดหนทาง วิญญาณนักบุญของเขาเสื่อมสลายในอัตราที่เร็วเกินไป หากไม่ยอมเข้าไปในร่างหมู เขาจะรักษาวิญญาณนักบุญไว้ได้เพียงเสี้ยวเดียว และสติก็จะถูกบังคับให้เข้าสู่ห้วงนิทรา
ท้ายที่สุด เขากัดฟันพุ่งเข้าไปในร่างหมูป่าตัวนั้น
อี๊ดอี๊ด!
หลังจากเข้ามาอยู่ในร่างหมู หลิงเซิ่งก็ได้ยินวิญญาณหมูป่าร้องอี๊ด ๆ ใส่เขา
“อี๊ดกับป้าแกสิ! เวรเอ๊ย น่ารำคาญจริง!”
เขาลบล้างวิญญาณหมูป่าได้ด้วยฝ่ามือเดียว
หมูป่าตัวนี้เป็นเพียงหมูป่าธรรมดา การลบล้างวิญญาณหมูป่าธรรมดาจึงมิใช่เรื่องหนักหนาสำหรับเขา
บทที่ 255
หลังจากลบล้างวิญญาณหมูป่าไปแล้ว หลิงเซิ่งมิกล้าลังเลอีก รีบเร่งรีดเร้นพลังที่เหลืออยู่เพื่อทำให้วิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลายมีความมั่นคงขึ้น
การมีกายเนื้อสำคัญต่อวิญญาณมากพอสมควร
แม้ว่าวิญญาณของเขาเป็นวิญญาณนักบุญก็เช่นกัน
กฎแห่งสวรรค์และโลกต่อต้านวิญญาณไร้ร่างเช่นนี้ หลังจากเขาเข้ามาในร่างหมูป่า ในที่สุดก็ทำให้วิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลายมั่นคงได้ในที่สุด
ทว่าเขาต้องจ่ายด้วยราคาสูงลิ่ว พลังในตัวเหลือเพียงน้อยนิด คันศรที่เซี่ยเหยียนยิงออกมาน่ากลัวเหลือเกิน!
“แม้แต่วิญญาณนักบุญของข้ายังสู้ไม่ไหว!”
เขาสูดปากในใจ นึกย้อนกลับไปแล้วยังกลัวอยู่
เซี่ยเหยียนไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเขา จึงมิได้ระแวดระวังในตัวเขา ศรดอกนั้นยิงมาเพื่อจัดการหนิงเจี๋ยล้วน ๆ
หากเซี่ยเหยียนรู้ถึงการมีอยู่ของเขา แล้วยิงคันศรโดยหมายหัวเขาด้วย เขาไม่มีทางรอดมาได้
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เขาที่มิใช่เป้าหมายหลัก เพียงแต่ได้รับลูกหลงเท่านั้นยังเกือบเสื่อมสลาย แค่คิดก็อกสั่นขวัญแขวน!
ผู้ฝึกตนต่ำต้อยที่อยู่แค่ขอบเขตพรตเต๋ากลับทำอันตรายเขาได้ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดเคยฝันเลย
แม้ว่าเขายังอยู่ในสภาวะร่างวิญญาณ กระนั้นเขาก็เป็นถึงนักบุญ
การเป็นนักบุญจำต้องครบเงื่อนไขทุกด้าน อย่างเช่นกายเนื้อ หทัยเต๋า วิญญาณ และอื่น ๆ อีกมากมาย
วิญญาณนักบุญของเขาผ่านการหลอมหญ้านวปรภพมาก่อน พลังฟื้นคืนมาได้นานแล้ว
ในสถานการณ์ปกติ ผู้ที่ยังไม่บรรลุเป็นนักบุญไม่อาจทำอันตรายเขาได้เลย
ต่อให้เป็นยอดเทวาก็ไม่ได้
ขอบเขตเทวามีทั้งหมดสี่ขั้นใหญ่ ขั้นเทวะ ขั้นจ้าวเทวา ขั้นราชันเทวา และขั้นยอดเทวา
เมื่อข้ามพ้นขอบเขตยอดเทวาไปสัมผัสกับขอบเขตนักบุญ จักได้เป็นว่าที่นักบุญ หากก้าวหน้าขึ้นไปอีก จักผันตัวจากว่าที่นักบุญเป็นนักบุญอย่างแท้จริง
ผู้มีระดับต่ำกว่านักบุญล้วนเป็นเพียงมดปลวก วาจานี้มิได้กล่าวส่ง ๆ นักบุญมีพลังพอจะทำลายฟ้าดิน ผู้ที่มิใช่นักบุญไม่มีทางสร้างผลกระทบได้เลย
ทว่าเซี่ยเหยียนกลับทำอันตรายเขาได้ ซ้ำร้ายยังมิใช่แค่นั้น หากนางมีความตั้งใจ เขาไม่ข้องใจเลยว่านางสามารถปลิดชีพเขาได้สบาย!
แน่นอนว่ามิใช่เพราะพลังที่เซี่ยนเหยียนครอบครอง ต้องกล่าวว่านางสามารถใช้คันศรวิเศษในมือปลิดชีพเขาได้สบาย
นี่เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ตกเอาเสียเลย!
เซี่ยเหยียนใช้พลังจากคันศรวิเศษนั้นไหวได้เยี่ยงไร?
เรื่องนี้เกินกว่าความรู้ของเขาไปอย่างสิ้นเชิง!
“หลี่จิ่วเต้าย่อมต้องน่ากลัวกว่านี้เป็นแน่!”
วิญญาณของเขาสั่นระรัวเมื่อนึกถึงหลี่จิ่วเต้า เซี่ยเหยียนยังน่าพรั่นพรึงปานนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลี่จิ่วเต้า!
คันศรในมือเซี่ยเหยียนเป็นของขวัญจากหลี่จิ่วเต้า
สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้เกี่ยวกับหลี่จิ่วเต้าคงเกิดข้อผิดพลาดร้ายแรง!
ในการคาดการณ์ของเขา หลี่จิ่วเต้ามิใช่นักบุญ มีระดับพลังต่ำกว่าขอบเขตนักบุญ
ทว่าบัดนี้ดูแล้ว เขาคงจะคิดผิดมหันต์
เซี่ยเหยียนเป็นเพียงผู้ฝึกตนต่ำต้อยขอบเขตพรตเต๋า พลังในตัวกระจอกงอกง่อย…
เขาคิดว่า ที่เซี่ยเหยียนสามารถรีดเร้นพลังคันศรวิเศษซึ่งมีอานุภาพเหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดินั้นได้น่าจะเกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้า
ช่วยให้ผู้ฝึกตนขอบเขตพรตเต๋าเล็ก ๆ อย่างเซี่ยเหยียนรีดเร้นพลังคันศรวิเศษที่มีอานุภาพเหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิ หลี่จิ่วเต้าย่อมต้องแข็งแกร่งเหลือคณา เกินกว่าความคาดหมายของเขาไปมาก!
“เฮ้อ ข้าหมายหัวคนใหญ่คนโตแสนสยองเช่นกัน!”
เขาถอนใจหนักหน่วง สำนึกเสียใจและนึกกลัวอย่างยิ่งยวด
ยังดีที่สุดท้ายเขาหนีมาได้
พ้นครั้งนี้ไป เขามิกล้าหมายหัวหลี่จิ่วเต้าอีก!
“จากนี้ไปต้องรอบคอบให้มาก รอจนได้เปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์ก่อน ข้าต้องรีบหาทางหล่อวิญญาณนักบุญ และกายาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นใหม่ ก่อนนั้น ข้าจำต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว!”
เขาเอ่ย “จะหาคนนิสัยเช่นหนิงเจี๋ยอีกไม่ได้ ต้องหาคนนิสัยซื่อสัตย์หน่อย”
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะหนิงเจี๋ย หากมิใช่หนิงเจี๋ย ตอนนี้เขาคงไม่อยู่ในสภาพน่าเวทนาเยี่ยงนี้!
“ศพของมหาจักรพรรดิมีขุมสมบัติมหาศาล ตอนนี้ต้องยังไม่เน่าเปื่อยแน่ ๆ ไว้ข้าหล่อวิญญาณนักบุญและกายาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นใหม่ได้เมื่อใด อย่างไรข้าก็ต้องชิงศพมหาจักรพรรดิร่างนั้นมาอีกครั้ง!”
เขาเอ่ยต่อ ยังไม่ลืมเลือนศพมหาจักรพรรดิ และยังคิดถึงศพมหาจักรพรรดิอยู่
ขณะที่กำลังขบคิดเรื่องเหล่านี้ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนตรงก้น
เขาหันไปมอง
แม่เจ้า!
ธนูดอกหนึ่ง!
หลิงเซิ่งตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างในบัดดล ตรงก้นหมูของเขามีธนูดอกหนึ่งปักอยู่!
เขาในตอนนี้หวาดกลัวต่อธนูยิ่ง ศรที่เซี่ยเหยียนยิงมานั้นสร้างปมในใจให้เขาร้ายแรง
ธนูดอกหนึ่งปักอยู่ที่ก้น เขาไม่มีเวลาคิดอันใดไปมากกว่านี้ นึกเพียงว่าเซี่ยเหยียนไล่ตามมา ก็กลัวจนวิ่งหนีอุตลุด!
พรวด!
เวลานั้นเอง ธนูอีกดอกพุ่งเข้ามา ปักเข้าที่ขาของเขา ร่างหมูของหลิงเซิ่งล้มตึงลงกับพื้น คิดจะหนียังหนีไม่ได้!
“ฮ่า ๆ หมูป่าตัวนี้อ้วนดีจริง”
“หมูป่าตัวอ้วนขนาดนี้ขายได้ราคาดีแน่!”
จากนั้น หลิงเซิ่งได้ยินเสียงคนคุยกันหลายเสียง
เขาหันไปมองแล้วนึกฉุนขึ้นมาทันที
หาใช่เซี่ยเหยียนที่ไล่ตามเข้ามาไม่ เป็นเพียงปุถุชนไม่กี่คนที่เห็นเขาเป็นเหยื่อ!
ไอ้บัดซบ เมื่อพยัคฆ์ตกที่นั่งลำบาก แม้แต่สุนัขยังรังแกได้!
ลำพังปุถุชนไม่กี่คนยังบังอาจทำกับเขาเยี่ยงนี้!
นึกถึงว่าเมื่อครู่เขากลัวจนหัวหดเพราะนายพรานปุถุชนสามสี่คนนี้แล้วแทบกลั้นความโกรธไว้ไม่ไหว
ทว่าโกรธก็ส่วนโกรธ บัดนี้เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
พลังทั้งหมดที่เหลือของเขาล้วนใช่ไปกับการหล่อวิญญาณนักบุญขึ้นใหม่ เขาในตอนนี้อ่อนแออย่างมาก อย่าว่าแต่ฆ่าปุถุชนไม่กี่คนนี้เลย แม้กระทั่งส่งเสียงเป็นภาษามนุษย์ยังทำไม่ได้ เสียงที่เปล่งออกมาล้วนเป็นเสียง ‘อี๊ดอู๊ด’ ตามฉบับเสียงหมู
เวรเอ๊ย!
นักบุญผู้นี้โมโหนัก!
ข้าผู้เป็นนักบุญวันหนึ่งต้องมาร้องเหมือนหมู!
หลิงเซิ่งโกรธเกรี้ยวเหลือแสน อัปยศ อัปยศอย่างยิ่ง!
“ราคาหมูเป็น ๆ สูงกว่า มัดไว้แล้วนำกลับไปขายในเมือง!”
“ได้เลย”
นายพรานทั้งหลายปราดเปรียวคล่องแคล่ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มัดหมูป่าสำเร็จ แล้วแบกกลับเมืองชิงซาน
หลิงเซิ่งมิได้หนีไปไกลนัก เขาหนีมาถึงเนินเขาเขียว นายพรานสามสี่คนนี้คือ นายพรานที่มาล่าสัตว์บนเนินเขาเขียว
“ถ้าถูกจับขายไปต้องพบชะตากรรมโดนเชือดแน่ ไม่ได้การ! ข้าต้องเร่งทำเวลา”
หลิงเซิ่งมิกล้าลังเล ฝึกฝนอย่างรวดเร็ว หมายจะฟื้นพลังขึ้นมาสักนิดหน่อยก่อนถูกเชือด เขาจักได้แยกจากร่างหมู ไปหาร่างอื่นสิงสู่
หากหมูป่าตาย เขาเองก็ไม่รอด!
…
“คุณชายอยู่หรือไม่”
เวลานั้น เซี่ยเหยียนมาถึงร้านของท่านเซียน พร้อมเดินเข้าไปในลานเล็กของท่านเซียน
“เอ๊ะ แม่นางเซี่ยเหยียนมาหรือนี่!”
ภายในลาน ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเห็นเซี่ยเหยียน จึงเอ่ยทักยิ้ม ๆ “แม่นางเซี่ยเหยียนวาสนาดียิ่ง มาได้พอดี มีลาภปากอีกแล้ว”
“สวัสดี แม่นางเซี่ยเหยียน!”
สือเฟิงก็อยู่ จึงกล่าวทักทายเซี่ยเหยียน
“คุณชายไม่อยู่หรือ”
เซี่ยเหยียนถาม
“ไม่อยู่ คุณชายเพิ่งออกไป เห็นว่าจะไปซื้อเนื้อ แม่นางเซี่ยเหยียนมาได้เวลาพอดี ประเดี๋ยวคุณชายกลับมาก็กินข้าวกันได้แล้ว”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าวยิ้ม ๆ
ท่านเซียนขอให้เขากับสือเฟิงอยู่กินข้าวที่บ้าน เนื้อในบ้านไม่พอเท่าใด ท่านเซียนจึงบอกว่าจะไปซื้อเนื้อ ให้เขากับสือเฟิงรออยู่ที่บ้าน
“ข้าจะไปหาคุณชาย!”
เซี่ยเหยียนพูดจบก็รีบร้อนออกจากลานเล็ก
นางกลัวเหลือเกินว่าหลิงเซิ่งอะไรนั่นจะไปรบกวนท่านเซียน หากเป็นเช่นนั้น ความผิดของนางนับว่าใหญ่หลวงยิ่ง
“แม่นางเซี่ยเหยียนเปี่ยมด้วยบุญวาสนาจริง เป็นที่ชื่นชอบของคุณชายอย่างมาก!”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมองแผ่นหลังที่จากไปของเซี่ยเหยียน แล้วเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ
“ใช่แล้ว!”
สือเฟิงเองก็สะท้อนใจอย่างมากเช่นกัน หากกล่าวถึงผู้มีวาสนา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเซี่ยเหยียนนั้นมีวาสนาที่สุด ได้อยู่ข้างกายท่านเซียนเสมอ