251-255

บทที่ 251 


ร่างกายของหนิงเจี๋ยเปล่งรัศมีพร่างพราว เขาเดินไปยังประตูของสำนักไท่หัวด้วยสีหน้ายโส ไม่คิดจะเก็บซ่อนปราณของตนไว้แม้แต่น้อย


“คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านคือ?”


ศิษย์ผู้เฝ้าประตูสำนักไท่หัวเอ่ยถามหลังจากเห็นหนิงเจี๋ยเดินเข้ามา


เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณของหนิงเจี๋ยที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซ้ำยังทำให้ร่างกายรู้สึกสั่นสะท้าน มองแวบแรกดูแล้วอีกฝ่ายไม่น่าจะมีเจตนาดีนัก


ทว่าเขาก็ยังคงปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยความมีมารยาท ไร้ซึ่งความหยาบกระด้างต่อหนิงเจี๋ย


ความสัมพันธ์ของสำนักไท่หัวและแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนจะแน่นแฟ้นเป็นอย่างมาก ทำให้ทุกวันนี้สำนักไท่หัวมีตำแหน่งสูงส่ง แม้กระทั่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางยังต้องไว้หน้าพวกเขา


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ศิษย์จากสำนักไท่หัวได้รับความเคารพจากผู้คนในทุกที่ที่พวกเขาไป


ทว่าทุกคนในสำนักไท่หัวไม่มีผู้ใดกลายเป็นคนหยิ่งผยองหรือหลงระเริงจนมองไม่เห็นหัวผู้อื่น


เนื่องจากบรรพชนสำนักไท่หัวเข้มงวดกับเรื่องนี้มาก ครั้งหนึ่งเคยมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งอ้างอำนาจบารมีของสำนักไท่หัวไปหาเรื่องสำนักอื่น ทว่าหลังจากที่ท่านบรรพชนทราบเรื่องนี้เข้า ก็ตรงไปตัดหัวของผู้อาวุโสผู้นั้นทันที


นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครในสำนักไท่หัวกล้าทำผิดเช่นนั้นอีก


พรึ่บ!


หนิงเจี๋ยเมินเฉยต่อศิษย์ผู้นั้นด้วยสีหน้าเย็นชา เขาไพล่มือสองข้างไปด้านหลัง ก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณออกมาใส่ศิษย์ผู้นั้นจนกระเด็นออกไป แล้วกระอักเลือดออกจากปาก โลหิตกระเซ็นลงบนพื้นประหนึ่งบุปผาแย้มบาน


“เรื่องที่ครั้งก่อนไม่ได้ทำ ข้าก็จะทำมันในครั้งนี้...”


หนิงเจี๋ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขายกมือข้างหนึ่งแล้วสะบัดออก พลังอันแข็งแกร่งพุ่งเข้าใส่ประตูของสำนักไท่หัวจนทลายลงเหลือเพียงซากปรักหักพังในทันที


หลังจากนั้นเขาก็เดินเหยียบซากปรักหักพังก้าวไปข้างหน้า


ตู้ม ตู้ม ตู้ม!


เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าระหว่างทางที่เขาเดิน ทุกสิ่งรอบตัวเขากลายเป็นซากปรักหักพัง


ในครั้งนี้เป้าหมายของเขาไม่ได้มีเพียงการมาพาตัวเซี่ยเหยียนไป แต่เขายังต้องการจะล้างบางสำนักไท่หัว!


เขายังคงไม่ลืมเลือน ซ้ำยังจำได้อย่างชัดเจน ถึงความคับแค้นที่ประสบจากสำนักไท่หัวในครั้งนั้น


“ข้าชอบที่เจ้าทำตัวเลวทรามเช่นนี้”


หลิงเซิ่งส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย


“ข้าเองก็ชอบ”


หนิงเจี๋ยหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความหยิ่งผยองและปีติยินดี ในเมื่อมีพลังอันแข็งแกร่ง ไยจึงต้องทนเก็บงำสันดานของตัวเองเอาไว้?


ช่างน่าเบื่อสิ้นดี!


ปลดปล่อยนิสัยตัวเองทำตัวตามธรรมชาติ พลังอันแข็งแกรงที่ถือครองไว้จึงจะไม่เสียเปล่า


ทว่าเขากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าหลิงเซิ่งนั้นหมายมาดจะมอบความตายให้แก่ตัวเขาไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหัวเราะออกมาได้ดังและเปี่ยมสุขเช่นนี้


“ใครบังอาจมาก่อกวนสำนักไท่หัวของข้า!?”


“จงหยุดบัดเดี๋ยวนี้!”


มีเสียงตวาดดังกึกก้อง ตามมาด้วยร่างยอดฝีมือทะยานออกมาจากส่วนในของสำนักไท่หัวทีละร่าง


พวกเขาเหล่านี้คือผู้อาวุโสของสำนักไท่หัว


เวิงอู๋โยวเคยนำภาพเขาไท่หัวซึ่งท่านเซียนเป็นผู้วาดกลับมา ด้านในภาพนั้นมี ‘แสงแห่งไท่หัว’ อยู่ สามารถชักนำวิถีไท่หัวได้!


หลังจากพินิจภาพนี้แล้ว พวกเขาต่างก็ได้รับผลประโยชน์ ความแข็งแกร่งแต่เดิมถูกปรับปรุงขึ้นเป็นอย่างมาก


แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหนิงเจี๋ยแล้ว พวกเขาก็คล้ายกำลังรนหาที่ตายประหนึ่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ เพียงแค่หนิงเจี๋ยกระทืบเท้าเบา ๆ กลับให้ความรู้สึกราวกับถูกค้อนขนาดใหญ่ทุบลงที่หน้าอก พากันร่วงลงจากท้องฟ้ากระแทกลงพื้นอย่างแรงทีละคนทีละคน!


“เป็นเจ้า!”


“เหตุใดเจ้าถึงแข็งแกร่งเช่นนี้?!”


ดวงตาของเหล่าผู้อาวุโสที่จำหนิงเจี๋ยได้เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ


ครั้งล่าสุดที่หนิงเจี๋ยมายังที่แห่งนี้ยังอยู่เพียงขอบเขตนิพพาน หากแต่ในยามนี้ ความรู้สึกที่พวกเขาสัมผัสได้จากหนิงเจี๋ยนั้นแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเหล่าบรรดาประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เสียอีก!


พวกเขาต่างรู้สึกเหลือเชื่อ ความเร็วในการเลื่อนขั้นของหนิงเจี๋ยนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เร็วจนชวนให้คนตื่นตะลึง!


“เซี่ยเหยียนล่ะ? นางอยู่ที่ใด?”


หนิงเจี๋ยเอ่ยถามออกมาด้วยเสียราบเรียบ


หากเซี่ยเหยียนไม่ได้อยู่ที่สำนักไท่หัว นางก็คงจะอยู่ที่เมืองชิงซาน


หากเป็นเช่นนี้ก็ดี เขาจะได้ทำลายสำนักไท่หัวแล้วตรงไปยังเมืองชิงซาน


ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!


ทว่าหลังจากที่เส้นแสงสว่างวาบ เซี่ยเหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นมา แสดงให้เห็นว่านางยังคงอยู่ในสำนักไท่หัว


จากนั้นจึงตามมาด้วยร่างของเวิงอู๋โยวและเจ้าสำนักไท่หัว


“เป็นเจ้านี่เอง!”


เซี่ยเหยียนมองหนิงเจี๋ยอย่างไม่คาดคิดว่า ผู้ที่มาก่อเรื่องในสำนักไท่หัวจะเป็นเขา


เหตุใดหนิงเจี๋ยจึงมาที่นี่อีก?


หรือเรื่องที่อาณาจักรเซี่ยยังไม่ทำให้เขาได้รับบทเรียนมากพอ?


ในยามนั้นหนิงเจี๋ยนำยอดฝีมือจากนิกายเจ็ดดาราไปยังอาณาจักรเซี่ยเพื่อบังคับให้นางยอมจำนน


ยังดีที่นางได้รับคันศรและคำชี้แนะจากท่านเซียนมา ไม่เช่นนั้นนางคงถูกนำตัวไปแล้ว


ตอนนั้นนางต้องการจะสังหารพวกหนิงเจี๋ยทิ้ง เพื่อตัดปัญหาในอนาคต


แต่ถ้าพวกหนิงเจี๋ยถูกสังหารในเวลานั้น จะก่อให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่ นิกายเจ็ดดาราจะไม่มีวันปล่อยผ่านเรื่องนี้ หากเกิดการโจมตีครั้งใหญ่ขึ้นมา นางก็เกรงว่าคนจากนิกายเจ็ดดาราจะไปรบกวนท่านเซียนอีก


ดังนั้นนางจึงไม่ได้ปลิดชีพพวกหนิงเจี๋ยลงในครานั้น แต่บังคับให้พวกเขาสัตย์สาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่ปริปากเรื่องใดเกี่ยวกับอาณาจักรเซี่ยและท่านเซียนออกไป


เรื่องที่ตามมาทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองในยามนั้นตัดสินใจถูกต้อง เรื่องทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีผู้ใดจากนิกายเจ็ดดารามาสร้างปัญหาใดให้


ทว่านางกลับคาดไม่ถึงว่าหนิงเจี๋ยจะกลับมาสังหารคนจากสำนักไท่หัวของพวกเขา


หรือหนิงเจี๋ยจะไม่รู้เกี่ยวกับสถานะในปัจจุบันของสำนักไท่หัว?


ไม่รู้ว่าในทุกวันนี้กระทั่งคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่กล้าล่วงเกินสำนักไท่หัวเลย?


อันที่จริงแล้ว หนิงเจี๋ยเองก็ไม่รู้เรื่องเหล่านี้จริง ๆ


หนิงเจี๋ยตรงดิ่งมาที่นี่ทันทีหลังออกจากแดนต้องห้ามนวปรภพ จึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบันเป็นเช่นไร


แต่ถึงจะรู้ เขาก็ไม่สนใจอยู่ดี


วิญญาณนักบุญหลิงเซิ่งฟื้นตัวกลับมาแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใด อีกทั้งหลิงเซิ่งได้กล่าวเอาไว้ว่า หากไม่ใช่ขอบเขตนักบุญก็ไม่อาจคุกคามพวกเขาได้


“ข้าคิดถึงเจ้ามานานแล้ว เจ้ายังคงสวยงดงามชวนให้ข้าตราตรึงเช่นเดิม!”


หนิงเจี๋ยมองไปทางเซี่ยเหยียนด้วยความหลงใหล


เขาชอบเซี่ยเหยียนจริง ๆ หรือ?


ย่อมต้องไม่ใช่!


เซี่ยเหยียนเป็นสตรีคนแรกที่หนึ่งเจี๋ยต้องการจะได้มา หากแต่กลับไม่สามารถครอบครองได้ ดังนั้นแล้วแทนที่จะบอกว่าหนิงเจี๋ยชอบเซี่ยเหยี่ยน ควรกล่าวว่าเขาต้องการจะชดเชยความผิดหวังก่อนหน้านี้ของตนต่างหาก


“เจ้าช่างกล้าเสียจริง...”


เวิงอู๋โยวอดกล่าวออกมาไม่ได้ “เจ้ามาที่นี่ เจ้านิกายเจ็ดดารารู้เรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่?”


เมื่อก่อนในฐานะศิษย์ของนิกายเจ็ดดารา เขาเคยยำเกรงต่อเจ้านิกายเจ็ดดาราเป็นอย่างมาก


แต่ตอนนี้ไม่เหมือนดังเช่นวันวานแล้ว


เวิงอู๋โยวมองหน้าอีกฝ่าย ตอนนี้อย่าว่าแต่หนิงเจี๋ยเลย กระทั่งเจ้านิกายเจ็ดดาราก็ยังไม่กล้ามาทำตัวเช่นนี้ใส่สำนักไท่หัว


เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าหนิงเจี๋ยเอาความหาญกล้ามาจากที่ใด...


“จำเป็นต้องให้เขารู้ด้วยหรือ?”


หนิงเจี๋ยยิ้มออกมาอย่างไม่แยแส ไร้ซึ่งความเคารพเจ้านิกายเจ็ดดาราในวาจาที่เอ่ยออกมา


ในอดีตเขาเคยต้องการจะเป็นเจ้านิกายของนิกายเจ็ดดารา ทว่าตอนนี้เขากลับไม่ต้องการตำแหน่งนี้อีกต่อไป


ตำแหน่งเจ้านิกายเจ็ดดาราไม่คู่ควรกับเขาในตอนนี้แล้ว!


“คนหนุ่มเช่นเจ้าถูกสิ่งใดกระตุ้นจนกลายเป็นบ้าไปเสียแล้ว?”


เวิงอู๋โยวหมดคำจะกล่าว เหตุใดถึงรู้สึกว่าหนิงเจี๋ยนั้นแตกต่างจากคนปกติอยู่บ้าง?


“ช่างมีตาแต่ไร้แววยิ่งนัก!”


หนิงเจี๋ยสบถ ปราณอันแข็งแกร่งของขอบเขตพรตเต๋าถูกปล่อยออกมาอย่างเต็มพิกัด ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราด “ข้าได้เข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าแล้ว ไม่ว่าข้าอยากจะทำอะไรหรือไปที่ใดก็ย่อมได้ ข้าจะบอกพวกเจ้าเอาไว้ นอกจากเซี่ยเหยียนแล้ว ในวันนี้พวกเจ้าทุกคนจะต้องตาย!”


เขาทั้งกำเริบเสิบสานและเอาแต่ใจ ไม่เห็นพวกเวิงอู๋โยวอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย


ฉากดังกล่าว คล้ายกับครั้งก่อนที่เขามายังสำนักไท่หัวเป็นอย่างมาก


ครั้งที่แล้วเขาเองก็ผยองไม่ต่างอะไรไปจากครั้งนี้


หากแต่ครั้งนี้มีสิ่งที่ผิดไปจากครั้งที่แล้ว


ครั้งก่อนตัวเขานั้นพึ่งพาตัวตนในฐานะศิษย์ของนิกายเจ็ดดารา


แต่ในคราวนี้เขาพึ่งพาตนเอง!


มันทำให้ท่าทางของเขาไม่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น กลับกันยังผยองยิ่งกว่าเดิมเสียอีก!
บทที่ 252 


“เข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าแล้ว? ไม่ว่าอยากจะทำอะไรหรือไปที่ใดก็ย่อมได้? พวกเราทั้งหมดจะต้องตายด้วย?”


เวิงอู๋โยวแสดงสีหน้าแปลกพิกล


เขาคิดกับตัวเองว่า ‘พ่อหนุ่มเอ๋ย ยามนี้ไม่เหมือนเมื่อวันวาน ขอบเขตพรตเต๋าเอง...ก็ไม่เหมือนเดิมเช่นกัน!’


มันไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาคุยโวโอ้อวดได้อีกต่อไปแล้ว!


“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”


ใบหน้าของหนิงเจี๋ยมืดครึ้ม สีหน้าแปลกประหลาดของเวิงอู๋โยวทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก


“ไม่ได้หมายความว่าอย่างไร พ่อหนุ่มเอ๋ย หากเจ้าอยากจะอวดอ้างก็ไปที่อื่นเสียเถอะ ณ ที่แห่งนี้เจ้าไม่อาจทำได้”


เวิงอู๋โยวกล่าวตอบ


“ไม่อาจทำได้?”


โทสะของหนิงเจี๋ยพวยพุ่งขึ้นมา


เหตุใดสถานการณ์จึงไม่เหมือนดังที่เขาคิดเอาไว้?


ขอบเขตพรตเต๋า ขอบเขตที่เหล่าประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนไปไม่ถึง ต่อให้ใช้เวลาชั่วชีวิตก็อาจไม่สามารถบรรลุได้


เมื่อเขาสำแดงฐานะของขอบเขตพรตเต๋าออกมา เวิงอู๋โยวและคนอื่น ๆ สมควรจะตกใจกลัวถึงขีดสุด แล้วมาคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาจากเขาไม่ใช่หรือ?


แต่พวกเวิงอู๋โยวกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย ทั้งยังบอกเขาว่าไม่อาจทำได้?


นี่มันอะไรกัน!


เขาเข้ามาด้วยความเดือดดาล ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงขอบเขตอันไร้ผู้ทัดเทียม ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าจะอ่อนน้อมสักนิด เช่นนี้แล้วจะให้เขาไม่โกรธเกรี้ยวได้อย่างไร


ราวกับเขาได้รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีแล้วต่อยออกไป แต่กลับต่อยได้เพียงอากาศไม่กระทบสิ่งใด ไม่ต้องกล่าวเลยว่ามันให้ความรู้สึกอึดอัดใจแค่ไหน!


“ไม่ว่าเป็นหรือตาย วันนี้ข้าจะทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นสายธารโลหิต!”


ร่างของเขาท่วมท้นไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า แสดงให้เห็นว่าโทสะของเขามีมากเพียงใด


พวกเวิงอู๋โยวคิดว่าคันศรในมือของเซี่ยเหยียนจะสามารถหยุดเขาได้หรือ?


อย่าตลกไปหน่อยเลย!


แม้ว่าคันศรในมือของเซี่ยเหยียนจะสามารถหยุดเขาได้ เขาก็ยังมีหลิงเซิ่ง!


วันนี้ที่แห่งนี้จะต้องกลายเป็นสายธารโลหิต แม้กระทั่งให้เซียนมาด้วยตนเองก็ไม่อาจหยุดยั้ง!


เขาลั่นวาจาออกไป!


“พ่อหนุ่ม ไยต้องอารมณ์เสียขนาดนั้นเล่า? พักก่อนเถอะ!”


เวิงอู๋โยวก้าวไปด้านหน้าแล้วปล่อยพลังปราณของเขาออกมา


เขาเองก็อยู่ในขอบเขตพรตเต๋า แถมยังเป็นขั้นสองที่สูงกว่าหนิงเจี๋ยที่อยู่ขั้นหนึ่งด้วย


ตัวเขาได้ดื่มชาของท่านเซียนไปหนึ่งถ้วย ทำให้ได้รับผลประโยชน์ไร้ที่สิ้นสุด ซ้ำยังฝึกฝนกับภาพวาดภูเขาไท่หัวที่ถูกวาดขึ้นมาโดยท่านเซียน ทำให้เขาสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าได้อย่างรวดเร็ว


“อันใดกัน!?”


หลังจากรับรู้ได้ถึงขอบเขตของเวิงอู๋โยว กรามของหนิงเจี๋ยแทบจะยื่นลงไปแตะพื้นด้วยความตกใจ


คนผู้นี้เองก็อยู่ขอบเขตพรตเต๋าเหมือนกัน!?


มิหนำซ้ำยังสูงกว่าเขาหนึ่งขั้นด้วย!?


นี่มันอะไรกัน ฟ้าสวรรค์ยังคงมีกฎเกณฑ์อยู่หรือไม่!?


เขาต้องทนทุกข์ทรมานในแดนต้องห้ามนวปรภพทั้งวันทั้งคืน กัดกินซากศพอสูรแทบทุกชนิด หลังจากนั้นก็โชคดีพอมีวาสนาให้ได้รับสมบัติล้ำค่ามาหนึ่งชิ้น ทำให้สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตพรตเต๋าได้


แล้วเวิงอู๋โยวนี่มันอะไรกัน?


ไม่เพียงแต่ขอบเขตจะเท่ากับเขา ขั้นก็ยังสูงกว่าด้วย?


ภายในใจของเขากู่ร้องด้วยความอัดอั้น!


“ขอบเขตพรตเต๋า...น่าภูมิใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”


ในตอนนั้นเอง เซี่ยเหยียนก็กล่าวออกมาด้วยเสียงราบเรียบ ทั้งยังสำแดงพลังของตนเองออกมา


ขอบเขตพรตเต๋าขั้นสาม เหนือกว่าเวิงอู๋โยวด้วยซ้ำ!


ทว่ากลับไม่น่าประหลาดใจแม้แต่น้อยที่นางสามารถรุดหน้าได้ไวถึงเพียงนี้


นางอยู่กับท่านเซียนแทบทุกวัน ผลประโยชน์ที่นางได้รับจากท่านเซียนมีมากมายนับไม่ถ้วน!


ขนาดไม่ได้ฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตายยังมาถึงขั้นนี้ หากนางฝึกฝนอย่างขันแข็ง ขอบเขตในปัจจุบันของนางคงจะสูงกว่านี้อย่างแน่นอน


อย่างน้อยนางก็น่าจะสามารถทะลวงผ่านขอบเขตพรตเต๋าเข้าสู่ขอบเขตราชันได้


“...”


หนิงเจี๋ยถึงกับพูดไม่ออก


เซี่ยเหยียนเองก็สามารถบรรลุถึงขอบเขตพรตเต๋าได้แล้ว?


แถมยังสูงกว่าเขาถึงสองขั้นด้วย?


เขาจำได้ว่าครั้งก่อนที่เห็นเซี่ยเหยียน นางยังคงอยู่ในขอบเขตนิพพานเหมือนกับเขา!


ยามนี้...นางถึงกับอยู่ขอบเขตขั้นสูงกว่าเขาเช่นนั้นหรือ?


สวรรค์!


ฟ้าดินไร้หลักการเกินไปแล้ว!


ภายในใจของหนิงเจี๋ยเต็มไปด้วยความรู้สึกราวกับมีอาชานับหมื่นตัววิ่งผ่าน


ความทุกข์ทรมานและความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญในแดนต้องห้ามนวปรภพล้วนไร้ค่า?


ผู้อื่นที่ไม่ได้รับความทุกข์ทรมานเหมือนกับเขา กลับแข็งแกร่งกว่าเขา!?


ในใจของเขากู่ร้องออกมาว่าไม่ยุติธรรม!


“ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะมีของดีอยู่ในมือไม่น้อย!”


เสียงประหลาดใจของหลิงเซิ่งดังขึ้นมาภายในหัวของหนิงเจี๋ย


ด้วยสภาพของโลกในปัจจุบันนั้นยากยิ่งที่จะบรรลุขอบเขตพรตเต๋า ทว่าเวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียนกลับบรรลุได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังรวดเร็วอย่างที่เขาคาดไม่ถึง


“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะช่วยเจ้าด้วยพลังทั้งหมดที่มีเพื่อจัดการคนผู้นั้น!”


หลิงเซิ่งกล่าวขึ้นด้านในหัวของหนิงเจี๋ยด้วยความหนักแน่น


แท้จริงแล้ว ที่เขาช่วยเหลือหนิงเจี๋ยในการล้างแค้นครั้งนี้ ก็เนื่องด้วยเขาต้องการสิ่งที่อยู่ในมือของหลี่จิ่วเต้า


เขาไม่เคยพบหลี่จิ่วเต้ามาก่อน


เมื่อครั้งที่หนิงเจี๋ยไปยังชิงซานเพื่อตามหาหลี่จิ่วเต้า เขารับรู้ได้ถึงสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่างในชิงซาน จึงปิดผนึกตัวเองแล้วตัดการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกทันที


ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงคลาดกับการพบหลี่จิ่วเต้า


แต่การที่อีกฝ่ายสามารถมอบคันศรอันทรงพลังให้กับเซี่ยเหยียนได้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในมือของหลี่จิ่วเต้ามีของดีอยู่อีกมาก


หากไม่มีของดีจำนวนมาก จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมอบสมบัติเช่นนี้ออกมาอย่างส่ง ๆ


ดังนั้นเมื่อหนิงเจี๋ยออกมาจากแดนต้องห้ามนวปรภพแล้วกล่าวว่าต้องการจะแก้แค้น เขาจึงสนับสนุนเด็กหนุ่มอย่างเต็มที่ ซ้ำยังแสดงท่าทางว่าจะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถด้วย


ยิ่งตอนนี้เขาได้เห็นเวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียนได้บรรลุขอบเขตพรตเต๋า เขายิ่งมั่นใจว่าหลี่จิ่วเต้ามีของดีอีกมากอยู่กับตัว!


ทั้งสองคนนี้จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากหลี่จิ่วเต้าอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นทั้งสองคนคงไม่อาจบรรลุขอบเขตพรตเต๋าได้อย่างรวดเร็ว!


“เยี่ยม!”


หลังจากได้ยินหลิงเซิ่งกล่าวออกมา หนิงเจี๋ยก็รู้สึกโล่งใจอย่างสมบูรณ์


“ขอบเขตขั้นสูงกว่าข้าแล้วจะทำไม?”


หนิงเจี๋ยมองไปทางเวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียน สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นหยิ่งผยองเช่นก่อนหน้า “กบในกะลา แหงนหน้ามองก็คิดว่าตนเห็นท้องฟ้าทั่วหล้า ทั้งที่แท้จริงแล้วกลับเห็นเพียงท้องฟ้าในกะลาเท่านั้น!”


ความหมายในคำพูดเขาคือ พวกเจ้าคิดว่าหลี่จิ่วเต้าที่ตนเองได้พบนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่แท้จริงแล้ว หลี่จิ่วเต้าผู้นั้นไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้!


เซี่ยเหยียนเคยบังคับให้เขาเอ่ยสัตย์ปฏิญาณต่อสวรรค์ว่าจะไม่เปิดเผยข่าวคราวใด ๆ เกี่ยวกับหลี่จิ่วเต้า


เขาจึงไม่กล้าเอ่ยถึงหลี่จิ่วเต้าโดยตรง ทำได้เพียงพูดออกมาเช่นนี้


“วันนี้ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้เห็นว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นเช่นไร! ข้าจะทำให้เข้าใจว่าท้องฟ้าที่พวกเจ้าเห็นนั้นเล็กเพียงใด!”


เขาตะโกนออกมาด้วยความเย็นชา พลังปราณของเขาเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง


หลิงเซิ่งกำลังให้เขาหยิบยืมพลัง!


วิญญาณนักบุญหลิงเซิ่งที่ฟื้นตัวกลับมาอย่างเต็มที่นั้น มีพลังแข็งแกร่งน่าหวาดเกรงเป็นอย่างมาก หนิงเจี๋ยเพียงหยิบยืมพลังมาส่วนหนึ่งก็เพียงพอที่จะบดขยี้เวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียนได้แล้ว


ปราณของหนิงเจี๋ยพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว ปราณของเขาก็ก้าวกระโดดขึ้นไปเก้าขั้นจนไปถึงขอบเขตราชัน


ทว่ากลับไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง!


พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!


จนกระทั่งตอนที่ผิวของหนิงเจี๋ยเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาจึงได้หยุดลง


ร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มไว้ด้วยรัศมีเรืองรอง ดวงตาสองข้างราวกับมีอสนีบาตที่เกิดจากพลังเทวา เพียงแค่โบกมือก็เปี่ยมไปด้วยพลังเทวา บรรลุถึงขอบเขตเทวา!


เดิมทีแล้วหากต้องการจะจัดการกับเวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียน เขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังจนขึ้นถึงขอบเขตเทวา แค่ขอบเขตราชันก็เพียงพอแล้ว


ทว่าในมือของเซี่ยเหยียนนั้นมีคันศรล้ำค่าอยู่ ขอบเขตราชันไม่อาจทำให้เขามั่นใจได้ ดังนั้นจึงได้หยิบยืมพลังมาจนถึงขอบเขตเทวา


ด้วยพลังของขอบเขตเทวานั้นเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาไร้ความหวาดเกรงต่อคันศรที่เซี่ยเหยียนถือครองอยู่!


“เซี่ยเหยียน ข้าจะพาเจ้าไปหาผืนฟ้าที่เจ้าพึ่งพา หลังจากนั้นข้าจะฉีกผืนฟ้านั้นออกเป็นชิ้น ๆ ต่อหน้าเจ้า!”


หนิงเจี๋ยมองไปทางเซี่ยเหยียน มุมปากของเขาเหยียดขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย


ผืนฟ้าที่เขาพูดถึงย่อมต้องเป็นหลี่จิ่วเต้า!


เซี่ยเหยียนควรจะตระหนักได้ในสิ่งที่เขาเอ่ยถึง!

บทที่ 253

สองมือของหนิงเจี๋ยไพล่หลัง ประกายแสงส่องสว่างเจิดจ้าทั่วตัว ประหนึ่งเทพเจ้าที่จุติมายังโลกอย่างแท้จริง


เขาทอดมองพวกเซี่ยเหยียนด้วยสีหน้าโอหัง สายตาเปี่ยมไปด้วยความผยองถือตัว!


ทุกอากัปกิริยาเปี่ยมไปด้วยพลังเทวา เขามีความสามารถพอให้ผยองถือตัวเยี่ยงนี้ ความล้มเหลว และความบั่นทอนในจิตใจเมื่อครั้งอดีตมลายสิ้น เขาครอบครองพลังอย่างแท้จริง และจักบดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ที่นี่!


เวิงอู๋โยวขมวดคิ้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน


เหตุใดจู่ ๆ หนิงเจี๋ยถึงแข็งแกร่งขึ้นถึงเพียงนี้


ทว่าเขาเพียงแปลกใจเท่านั้น ส่วนเรื่องหวาดกลัวอะไรนั่น ย่อมไม่มีทาง!


กลัวสิ่งใดเล่า?


เขารู้ดีว่าเซี่ยเหยียนในตอนนี้ทรงพลังปานใด ขอบเขตเทวาแล้วอย่างไร?


ไม่อาจก่อการใดได้เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยเหยียน


อีกอย่าง…ที่นี่คือที่ใดกัน


ที่นี่คือสำนักไท่หัว ซึ่งอยู่ติดกับเมืองชิงซาน!


ท่านเซียนอยู่ในเมืองชิงซานนะ


เซี่ยเหยียนเป็นที่โปรดปรานของท่านเซียน ไฉนเลยจะเกิดเรื่องกับนาง


เป็นไปไม่ได้!


เขาปรายตามองหนิงเจี๋ย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เด็กเอ๋ย เพลา ๆ บ้างเถิด จองหองไปไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า…”


บัดซบ!


ไม่เรียกเด็กหนุ่ม แต่เรียกเด็กเอ๋ยอย่างนั้นหรือ?


หนิงเจี๋ยได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโมโหจนสติแตก ความโอหังไร้เทียมทานที่แสดงให้เห็นเมื่อครั้งก้าวสู่ขอบเขตเทวาปะทุฉับพลัน


ไอ้เวรนี่ เขาบรรลุถึงขอบเขตเทวาแล้วยังไม่พออีกหรือ?


เวิงอู๋โยวบังอาจเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้กับเขาอีก!


ไสหัวไปไกล ๆ เลย หากวันนี้เขาไม่อาจทำให้สำนักไท่หัวหลั่งเลือดเป็นลำธาร เขายอมเขียนชื่อหนิงเจี๋ยของตนกลับหัว!


“ต้องหน้ามืดตามัวเชื่อใจคนผู้นั้นขนาดไหน?”


หลิงเซิ่งแค่นเสียงเย็น กล่าวกับหนิงเจี๋ยว่า “ลุยเลย สังหารทุกคนที่นี่ให้เกลี้ยง!”


เขามิใช่ผู้โอบอ้อมอารีมาแต่ไหนแต่ไร ที่หนิงเจี๋ยในยามนี้จองหองผยองเยี่ยงนี้ ไม่เห็นชีวิตผู้อื่นอยู่ในสายตาส่วนหนึ่งเพราะนิสัยใจคอเดิมของหนิงเจี๋ยเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว


ทว่าเหตุผลอีกส่วนก็เพราะมีเขาคอยยุยง


เขาบอกกับหนิงเจี๋ยว่า การฝึกตนของเขาเกิดปัญหา จึงส่งผลให้สูญเสียกายเนื้อ เหลือไว้เพียงเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนักบุญ ด้วยความจนใจ ถึงได้เลือกสิงร่างหนิงเจี๋ย ใช่ร่างร่วมกับหนิงเจี๋ย


ทว่าคำกล่าวเหล่านี้เป็นเพียงคำโป้ปด


ขอบเขตสูงส่งอย่างนักบุญไฉนเลยจะเกือบตายเพราะการฝึกฝน


เป็นไปไม่ได้เลย!


นักบุญเป็นขอบเขตใหญ่ในฟ้าดินผืนนี้ ทิ้งร่องรอยแม้กระทั่งในมหาวิถีแห่งฟ้าดิน หากมิใช่ว่าฉกาจเหลือล้น และตื่นรู้ในการบำเพ็ญอย่างถ่องแท้ ย่อมไม่มีทางเป็นนักบุญได้เลย!


นักบุญเกิดปัญหาเพราะการฝึกฝน ซ้ำร้ายยังเป็นปัญหาใหญ่อีกด้วย เรื่องนี้ไม่มีความเป็นไปได้เลย


หากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่สมควรเรียกตนเองว่านักบุญเลย!


ที่หลิงเซิ่งสูญเสียกายเนื้อ เหลือเพียงเสี้ยวเดียวของวิญญาณนักบุญ ล้วนเป็นเพราะเขาทำเรื่องชั่วช้าไว้มาก จนถูกนักบุญตนอื่นไล่ฆ่า กายเนื้อถูกตีจนแหลก แม้แต่วิญญาณนักบุญยังเกือบสลาย เหลือวิญญาณนักบุญเพียงเสี้ยวเดียวที่หนีออกมาได้


หลิงเซิ่งในครานั้นน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่วิญญาณนักบุญเสี้ยวนี้ยังใช้เวลาอยู่นานกว่าจะฟื้นพลังกลับมาได้


ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้เป็นการพิสูจน์ให้ประจักษ์ถึงความทรงพลังของนักบุญ หากมิกำจัดให้สิ้นซาก นักบุญสามารถฟื้นคืนชีพจากกองขี้เถ้าที่ดับมอด


หลิงเซิ่งมิได้บรรลุนักบุญในยุคนี้ หากแต่บรรลุนักบุญตั้งแต่ยุคโบราณตอนปลาย


ครานั้นภัยพิบัติครั้งใหญ่เพิ่งสิ้นสุดลง เขาหมายตาเผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจแกร่งกล้าไว้คณานับ


ภัยพิบัติใหญ่ครานั้นน่าสยดสยองยิ่ง ยอดฝีมือในใต้หล้าตายตกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ล้วนถูกตัดทอนกำลังลงมาก เสียหายถึงแก่น เรียกได้ว่าอนาถถึงขีดสุด


ครานั้นเขามิได้เข้าร่วมสงคราม แต่ไปซ่อนตัวไว้ เมื่อได้เห็นเผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจแกร่งกล้าเหล่านั้นกำลังลดทอนลงถึงระดับร้ายแรงเยี่ยงนี้ เขาพลันเกิดความคิดหมายตาเผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจแกร่งกล้าเหล่านี้


นี่เป็นโอกาสก้าวหน้าที่หาได้ยากยิ่ง ไฉนเลยจะยอมพลาด?


เขาไม่ยอมพลาด ฉวยโอกาสนั้นปล้นสะดมเผ่าพันธุ์และกลุ่มอำนาจเป็นจำนวนมาก มิหนำซ้ำยังหมายตาศพของมหาจักรพรรดิท่านหนึ่งอีกด้วย เขาชิงศพของมหาจักรพรรดิท่านนั้นไป


มหาจักรพรรดิท่านนั้นสิ้นชีพลงในมหาสงคราม ตายอย่างน่าเวทนา ไม่อาจรักษาร่างสมบูรณ์ไว้ได้ด้วยซ้ำ


สิ่งแวดล้อมในฟ้าดินยุคโบราณนับว่ามิได้ดีมาก ยากจะบรรลุเป็นจักรพรรดิ มหาจักรพรรดิยิ่งบรรลุยากเข้าไปใหญ่ ทั้งยุคสมัยนั้นมีมหาจักรพรรดิเพียงไม่กี่ตนเท่านั้น


มหาจักรพรรดิท่านนั้นยังดี แม้ว่าศพของมหาจักรพรรดิไม่สมบูรณ์ ทว่าก็ยังเหลือศพของมหาจักรพรรดิไว้ ส่วนมหาจักรพรรดิตนอื่น ๆ ไม่เหลืออะไรเลย ศพของพวกเขาถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงในมหาสงคราม ไม่เหลือซากแม้แต่น้อย


ในศพของมหาจักรพรรดิมีขุมสมบัติอยู่มากมาย สุดท้ายหลิงเซิ่งก็อดไม่ไหว ชิงศพของมหาจักรพรรดิท่านนั้นไปด้วย


เหล่ามหาจักรพรรดิเข้าต่อสู้ห้ำหั่นเพื่ออาณาจักรนี้อย่างไม่คิดชีวิต ศพมหาจักรพรรดิเพียงตนเดียวที่เหลือยังโดนผู้อื่นชิงไปอีก…


เวลานั้นสิ่งมีชีวิตทุกตนเดือดดาลกันหมด บรรดานักบุญเฒ่าไม่สนบาดแผลฉกรรจ์ที่ได้จากมหาสงคราม ตามล่าหลิงเซิ่งไปทั่วสารทิศ หมายจะชิงศพของมหาจักรพรรดิคืนมา


บาดแผลที่พวกเขาได้จากมหาสงครามนั้นสาหัสเกินไป ถึงแม้พวกเขาจะชิงศพของมหาจักรพรรดิกลับคืนมาได้ ต่อสู้กันจนหลิงเซิ่งแหลกเหลว กระนั้นก็ไม่อาจกำจัดหลิงเซิ่งได้อย่างสิ้นเชิง ปล่อยให้เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนักบุญของหลิงเซิ่งหนีไปได้


นี่ก็เป็นเหตุผลที่แท้จริงที่หลิงเซิ่งเหลือวิญญาณนักบุญเพียงเสี้ยวเดียว


“เข้าใจแล้ว!”


หนิงเจี๋ยตอบหลิงเซิ่งในหัว


จากนั้นเขาก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอำมหิต หันมองไปที่เวิงอู๋โยว “ตาเฒ่า ข้าจองหองแล้วอย่างไร! วันนี้ ข้าจักให้เจ้าได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองว่าที่แห่งนี้จะเลือดนองเป็นลำธารได้อย่างไร!”


เขาย่างเท้าออกไปก้าวหนึ่ง ปราณแสนน่ากลัวถาโถมสู่ฟ้าดิน จิตสังหารปกคลุมทั้งสำนักไท่หัว!


หนิงเจี๋ยยกมือข้างหนึ่ง พลังเทวาแสนสยดสยองหลอมรวม มิติผืนนั้นบิดเบี้ยว สีของฟ้าดินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้!


หากพลังเทวานี้กระแทกลงมา ทั้งสำนักไท่หัวจักราบเป็นหน้ากลอง!


“เตรียมรับความตายของพวกเจ้าได้แล้ว!”


เขาปริปากเสียงเย็น ยกมือข้างที่ยกอยู่แล้วให้สูงขึ้นไปอีก พลังเทวาที่เข้ามาหลอมรวมรุนแรงยิ่งขึ้น เขาหมายมั่นจะให้สำนักไท่หัวหลั่งเลือดเป็นลำธาร!


“เจ้ากำลัง…ละเมออะไรอยู่?”


อีกด้าน เซี่ยเหยียนเรียกคันศรราชันออกมา ดึงคันยิงศรว่องไวรวดเดียว ศรอาบแสงดอกหนึ่งพุ่งทะลุมิติพร้อมด้วยคลื่นพลังอันน่าหวาดหวั่น ยิงไปทางหนิงเจี๋ย!


ไวมาก ไวจนหนิงเจี๋ยและหลิงเซิ่งตั้งตัวไม่ทัน!


พรวด!


ศรอาบแสงยิงทะลุร่างของหนิงเจี๋ย พลังสุดแกร่งกล้ากระแทกตัวเขาและตรึงเขาไว้บนภูเขาไกล ๆ ลูกหนึ่ง


พลังเทวาที่หนิงเจี๋ยรวบรวมไว้สลายหายไป ลมปราณในตัวลดฮวบ กระอักเลือดคำแล้วคำเล่า โลหิตไหลลงมาตามอาภรณ์ไม่หยุด


“คาดการณ์ผิดไป! คันศรเล่มนี้มิใช่คันศรศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด หากแต่เป็นคันศรที่ทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิเสียอีก!”


หลิงเซิ่งร้องเสียงหลง ศรที่ยิงทะลุหนิงเจี๋ยดอกนี้ไม่เพียงแต่ทำให้หนิงเจี๋ยบาดเจ็บสาหัส แม้แต่ตัวเขาเองก็บาดเจ็บหนักไปด้วย วิญญาณนักบุญหลั่งโลหิตวิญญาณ ร่างวิญญาณอันตรธานอย่างรวดเร็ว!


ครั้งก่อนตอนยังอยู่ในอาณาจักรเซี่ย เซี่ยเหยียนเคยยิงศรด้วยคันศรเล่มนี้


ทว่าวิญญาณนักบุญของเขาในยามนั้นอยู่ในสภาวะปรวนแปร ย่ำแย่ถึงขีดสุด มิกล้าใช้ประสาทสัมผัสนักบุญจับระดับขั้นของคันศรในมือเซี่ยเหยียน


เขาเพียงแต่คาดเดาตามความรู้สึกว่าคันศรในมือเซี่ยเหยียนไม่เป็นคันศรศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นคันศรระดับจ้าวสูงสุด


บัดนี้วิญญาณนักบุญของเขาพลังฟื้นแล้ว สามารถจับสัมผัสด้วยประสาทสัมผัสนักบุญ ทันทีที่เซี่ยเหยียนเรียกคันศรเล่มนั้นออกมา เขาก็สัมผัสถึงบารมีจักรพรรดิอันแกร่งกล้าน่ากลัวจากคันศรเล่มนั้นได้ในบัดดล!


บารมีจักรพรรดินี้สยองกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิที่เขาเคยพานพบมาเสียอีก!


การคาดเดาของเขาในอดีตผิดเพี้ยน และมิได้เพี้ยนเพียงเล็กน้อย แต่เพี้ยนไปไกลโข!


ไม่เป็นคันศรศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นคันศรระดับจ้าวสูงสุดอะไรกัน…


นี่มันคือยอดคันศรที่มีระดับเหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิเสียด้วยซ้ำ!

บทที่ 254

บัดซบ!


เหตุใดคันศรในมือเซี่ยเหยียนถึงมีระดับขั้นสูงส่งปานนั้น!?


โดยเฉพาะเรื่องที่เขาคิดไม่ตกเลยคือ ขอบเขตของเซี่ยเหยียนที่หาได้สูงไม่ ไฉนจึงสามารถรีดเร้นพลังของยอดคันศรระดับสูงส่งเยี่ยงนั้นออกมาได้ไหว?


คันศรระดับสูงส่งเยี่ยงนั้น แม้แต่ขอบเขตเทวายังยากจะดึงออกมาได้!


หลิงเซิ่งจิตใจว้าวุ่น อารมณ์ย่ำแย่ถึงขีดสุด


“หลิงเซิ่งช่วยข้าด้วย!”


หนิงเจี๋ยร่ำไห้ตะโกนขอความช่วยเหลือจากหลิงเซิ่ง


ขุมปราณชีวิตของเขากำลังรั่วไหลออกไปอย่างมหาศาล ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาต้องตายตกอยู่ที่นี่!


แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงดิ้นรนขนาดไหน ก็สลัดไม่ออก ถูกศรอาบแสงเล่มนั้นตรึงไว้กับยอดเขาอย่างแน่นหนา


“ช่วยเจ้ารึ ช่วยกับผีน่ะสิ!”


หลิงเซิ่งด่ากราด ฝืนรวบรวมวิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลาย ดูดกลืนวิญญาณของหนิงเจี๋ยเพื่อเพิ่มพูนพลังให้วิญญาณนักบุญของเขา


จากนั้นวิญญาณนักบุญของเขาก็ทะยานออกจากร่างหนิงเจี๋ยอย่างรวดเร็ว!


เมื่อวิญญาณถูกดูดกลืน ร่างหนิงเจี๋ยก็มอดม้วยในทันที


ก่อนตาย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะได้พบจุดจบเช่นนี้ ต้องมาถูกหลิงเซิ่งดูดกลืนวิญญาณ!


นอกจากนี้ก่อนตาย ภายในใจของเขายังเต็มไปด้วยความเคียดแค้น


เซี่ยเหยียนคือคู่เวรของเขาโดยแท้ คราวก่อนเขาก็พ่ายในมือเซี่ยเหยียน คราวนี้เขาก็ต้องพ่ายในมือเซี่ยเหยียนอีกแล้ว!


หากรู้เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาคงไม่มาหาเรื่องเซี่ยเหยียนอีก!


แต่ทั้งหมดนี้กลับเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง


หลิงเซิ่งเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง ไม่ละล้าละลังแม้แต่น้อย พริบตาที่ดูดกลืนวิญญาณได้ก็ทะยานหนีไปทันที


“หืม? นั่นอะไร?”


คิ้วเรียวของเซี่ยเหยียนขมวด เห็นเพียงลำแสงศักดิ์สิทธิ์ลำหนึ่งทะยานออกมาจากตัวหนิงเจี๋ย ก่อนจะอันตรธานหายไป


นางหันมองหนิงเจี๋ยอีกครั้ง ก็พบว่าเขาตายไปแล้ว


“แย่แล้ว ดูเหมือนนั่นน่าจะเป็นวิญญาณนักบุญ!”


นัยน์ตาเวิงอู๋โยวสั่นไหว เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณนักบุญจากลำแสงศักดิ์สิทธิ์นั้น ซ้ำยังเห็นเงาของผู้เฒ่าคนหนึ่งราง ๆ


“เข้าใจแล้ว! มิน่าเล่าหนิงเจี๋ยผู้นี้ถึงมีพลังทวีคูณมหาศาล ที่แท้เป็นเพราะเขามีวิญญาณนักบุญอาศัยอยู่ในร่างนี่เอง!” เขากล่าวต่อ ในหัวนึกถึงภาพการณ์เมื่อครั้งพลังของหนิงเจี๋ยเพิ่มพูนทวีคูณ


ครานั้น หนิงเจี๋ยมิได้รับยาลูกกลอนใด ๆ มิได้ใช่วิชาค่ายกล หรือใช้อภินิหารใด ๆ จู่ๆ พลังก็ทวีคูณขึ้นเสียอย่างนั้น เขายังประหลาดใจอยู่ว่าหนิงเจี๋ยทำได้อย่างไร


บัดนี้ได้เห็นวิญญาณนักบุญ ถึงเข้าใจทุกอย่างได้อย่างกระจ่าง!


สาเหตุที่พลังของหนิงเจี๋ยทวีคูณ เป็นเพราะวิญญาณนักบุญตนนี้นี่เอง!


วิญญาณนักบุญตนนี้ให้หนิงเจี๋ยยืมพลัง!


“ข้าก็เข้าใจแล้ว! มิน่าก่อนหน้านี้หนิงเจี๋ยถึงตะโกนว่า ‘หลิงเซิ่งช่วยข้าด้วย’! วิญญาณนักบุญตนนั้นคงจะเป็นหลิงเซิ่ง”


เซี่ยเหยียนพยักหน้า


หลังจากตรึงหนิงเจี๋ยไว้บนยอดเขาแล้ว นางก็พุ่งตัวไปอยู่ที่ยอดเขาทันที ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนของหนิงเจี๋ย


“แย่แล้ว! หลิงเซิ่งผู้นั้นทะยานไปทางเมืองชิงซาน!”


สีหน้าเซี่ยเหยียนเปลี่ยนไปอย่างมาก นางไม่มีเวลาให้ไตร่ตรองสิ่งใดอีก รีบเหินไปทางเมืองชิงซานทันที


แต่หาได้กังวลว่า หลิงเซิ่งจะทำร้ายท่านเซียนเข้า


น่าขัน ระดับขั้นของท่านเซียนสูงส่งเพียงใด อย่าว่าแต่หลิงเซิ่งผู้นี้เลย ต่อให้เป็นตัวตนระดับจักรพรรดิก็มิได้ยิ่งใหญ่สำหรับท่านเซียน!


ทว่านางเพียงกลัวว่า หลิงเซิ่งผู้นี้จะเข้าไปรบกวนท่านเซียนต่างหาก!


หลิงเซิ่งผู้หนีออกไปนั้นไม่กล้าหยุดชะงักแม้แต่น้อย ถึงแม้มันจะเพิ่มพลังขึ้นมาได้นิดหน่อยจากการดูดกลืนวิญญาณของหนิงเจี๋ย


กระนั้นคันศรที่เซี่ยเหยียนยิงมานั้นน่ากลัวเกินไป พลังที่ได้จากการดูดกลืนวิญญาณหนิงเจี๋ยไม่เพียงพอแม้แต่น้อย วิญญาณนักบุญของเขายังคงสลายต่อไปอย่างรวดเร็ว!


หากปล่อยให้สลายเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาจักแตกดับ มลายหายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง!


“ระยำนัก!”


เขาสบถก่นด่า ใจรู้สึกระทมอย่างยิ่ง


หลังจากวิญญาณนักบุญของเขาฟื้นพลังกลับมาแล้ว เขาก็สามารถไปจากร่างของหนิงเจี๋ย และเดินเหินได้อย่างอิสระ


พลังแกร่งกล้าจากวิญญาณนักบุญสามารถค้ำจุนให้เขาเคลื่อนไหวในปฐพีนี้โดยไม่ต้องมีกายเนื้อก็ได้


แต่เขาคำนึงว่าวิญญาณนักบุญเพิ่งฟื้นพลัง ยังไม่มั่นคงเท่าใด จำต้องรอให้มั่นคงอยู่ในร่างหนิงเจี๋ยไปอีกสักพักแล้วค่อยว่ากัน เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาอื่นตามมา


บวกกับหนิงเจี๋ยกล่าวว่าต้องการกลับมาแก้แค้น เขาเองก็หมายตาสมบัติชั้นยอดของหลี่จิ่วเต้า จึงมิได้ไปจากร่างกายของหนิงเจี๋ยในทันที แต่เลือกที่จะอยู่ต่อ


ทว่าผู้ใดเล่าจะคิดว่า คันศรในมือเซี่ยเหยียนจะน่ากลัวปานฉะนี้ ศรเดียวก็จัดการเขากับหนิงเจี๋ยได้เสียอยู่หมัด!


เขาไม่บรรลุเป้าหมายไม่พอ ยังเสียหายอย่างหนักหนาสาหัสอีกด้วย!


“อ๊ากกก!”


เขาแผดเสียงคำรามกราดเกรี้ยว สำนึกเสียใจอย่างที่สุด!


ครานั้นตนมัวรอความมั่นคงเพื่ออะไร!


เวลานั้น หากเขาไม่มัวแต่คิดว่าจะอาศัยในร่างของหนิงเจี๋ยต่อจนสถานการณ์มั่นคงแล้วค่อยว่ากัน แต่ไปจากร่างของหนิงเจี๋ยทันที เขาไฉนเลยจะมีสภาพอนาถาเยี่ยงนี้!


ในกาลเวลาอันแสนยาวนาน เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนักบุญเขาอุตส่าห์ฟื้นพลังขึ้นมาได้บ้าง จนสติของเขาปรากฏอีกครั้ง ต่อมา เขาได้มาซึ่งหญ้านวปรภพ จนสร้างวิญญาณนักบุญขึ้นได้ใหม่


ผลสุดท้าย เขายังไม่ทันได้ทำสิ่งใด วิญญาณนักบุญก็ถูกทำร้ายสาหัสอีกครั้ง ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้สูญเปล่า!


ปัญหาคือ หากตอนนี้เขาไม่หาทางหยุดยั้งการเสื่อมสลายของวิญญาณนักบุญ เขาจักแตกดับ มลายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง!


“ต้องหากายเนื้อก่อน!”


วิญญาณนักบุญของเขาเสื่อมสลายเร็วเกินไป ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ จำต้องหากายเนื้อสิงสู่ก่อน แล้วค่อยหลอมรวมวิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลายให้มั่นคงขึ้นมา


ไม่หากายเนื้อก็ได้ ทว่าหากเป็นเช่นนั้นเขาจักรักษาวิญญาณนักบุญไว้ได้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น และกลายเป็นเหมือนในอดีต สติเข้าสู่การนิทรา ต้องค่อย ๆ ฟื้นพลังทีละนิดโดยอาศัยกาลเวลาอันยาวนาน


เขาไม่ต้องการมีประสบการณ์เช่นนั้นอีกแล้ว


สติเข้าสู่การนิทรา จนเขาไม่รับรู้เหตุการณ์ภายนอกแม้แต่น้อย ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะโชคดี สามารถยืนหยัดจนถึงยามที่สติตื่นขึ้นอีกครั้งเหมือนคราวก่อนได้อีกครั้งหรือไม่


หากเขาถูกผู้ฝึกตนหรืออสูรตนใดพบเข้า แล้วหลอมวิญญาณของเขา เขาได้จบเห่จริง ๆ แน่…


คราวก่อนเขาไม่มีทางเลือก


นักบุญเฒ่าพวกนั้นหมายมั่นจะฆ่าเขาโดยยอมแลกด้วยชีวิต เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณนักบุญอุตส่าห์หนีรอดออกมาได้ ทว่าก็ได้เพียงแค่นั้น ทันทีที่หนีออกไป เขาก็สูญสิ้นสติ จมอยู่ในห้วงนิทรา


โชคดีที่นักบุญเฒ่าเหล่านั้นเพิ่งผ่านสงคราม มิได้อยู่ในสภาวะที่ดีเท่าใด จึงมิได้ไล่ตามเขามา ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางรอดมาได้


ทว่าหนนี้ต่างออกไป


หนนี้เขามีโอกาสเลือก!


แม้ว่าวิญญาณนักบุญของเขาแตกสลายรุนแรง กระนั้นมิได้รุนแรงเท่าครั้งก่อนและยังไม่ถึงขั้นสูญเสียสติไป


“เมื่อถึงคราวซวย ดื่มน้ำยังติดฟันได้! เหตุใดถึงไม่เห็นใครสักคนเลยเล่า!”


เขาร้อนใจแทบทนไม่ไหว ทะยานมาทั้งทางยังมิได้พบผู้ใด


“สัตว์อสูรก็ได้!”


ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์อสูร ขอเพียงมีกายเนื้อเป็นพอ


ความเสียหายที่เกิดจากวิญญาณออกจากร่างสาหัสมาก เขาไม่มีวิธีทำให้วิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลายมั่นคงได้ด้วยร่างวิญญาณ


“บัดซบ! สวรรค์ต้องการเป็นปรปักษ์กับข้าหรือ!?”


เขากล่าวอย่างมีโทสะ เพิ่งบอกไปว่าสัตว์อสูรก็ได้ แล้วเขาก็มาเห็นสัตว์ตัวหนึ่งจริง ๆ!


ทว่ามิใช่สัตว์ชั้นดีแต่อย่างใด หากแต่เป็นหมูป่าตัวหนึ่ง!


เขาเป็นถึงนักบุญ แต่ต้องมาสิงสู่วิญญาณในร่างหมูจริงหรือ?


หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เขาจะมีหน้าไปพบผู้ใดอีก!


“หมูก็หมู ถึงอย่างไรก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ขอเพียงข้าฟื้นพลังอีกหน่อย ข้าก็จะออกจากร่างหมู ไปสิงสู่ร่างมนุษย์”


เขาไม่อยากสิงสู่วิญญาณในร่างหมู แต่เพราะจนปัญญาและหมดหนทาง วิญญาณนักบุญของเขาเสื่อมสลายในอัตราที่เร็วเกินไป หากไม่ยอมเข้าไปในร่างหมู เขาจะรักษาวิญญาณนักบุญไว้ได้เพียงเสี้ยวเดียว และสติก็จะถูกบังคับให้เข้าสู่ห้วงนิทรา


ท้ายที่สุด เขากัดฟันพุ่งเข้าไปในร่างหมูป่าตัวนั้น


อี๊ดอี๊ด!


หลังจากเข้ามาอยู่ในร่างหมู หลิงเซิ่งก็ได้ยินวิญญาณหมูป่าร้องอี๊ด ๆ ใส่เขา


“อี๊ดกับป้าแกสิ! เวรเอ๊ย น่ารำคาญจริง!”


เขาลบล้างวิญญาณหมูป่าได้ด้วยฝ่ามือเดียว


หมูป่าตัวนี้เป็นเพียงหมูป่าธรรมดา การลบล้างวิญญาณหมูป่าธรรมดาจึงมิใช่เรื่องหนักหนาสำหรับเขา

บทที่ 255

หลังจากลบล้างวิญญาณหมูป่าไปแล้ว หลิงเซิ่งมิกล้าลังเลอีก รีบเร่งรีดเร้นพลังที่เหลืออยู่เพื่อทำให้วิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลายมีความมั่นคงขึ้น


การมีกายเนื้อสำคัญต่อวิญญาณมากพอสมควร


แม้ว่าวิญญาณของเขาเป็นวิญญาณนักบุญก็เช่นกัน


กฎแห่งสวรรค์และโลกต่อต้านวิญญาณไร้ร่างเช่นนี้ หลังจากเขาเข้ามาในร่างหมูป่า ในที่สุดก็ทำให้วิญญาณนักบุญที่กำลังเสื่อมสลายมั่นคงได้ในที่สุด


ทว่าเขาต้องจ่ายด้วยราคาสูงลิ่ว พลังในตัวเหลือเพียงน้อยนิด คันศรที่เซี่ยเหยียนยิงออกมาน่ากลัวเหลือเกิน!


“แม้แต่วิญญาณนักบุญของข้ายังสู้ไม่ไหว!”


เขาสูดปากในใจ นึกย้อนกลับไปแล้วยังกลัวอยู่


เซี่ยเหยียนไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเขา จึงมิได้ระแวดระวังในตัวเขา ศรดอกนั้นยิงมาเพื่อจัดการหนิงเจี๋ยล้วน ๆ


หากเซี่ยเหยียนรู้ถึงการมีอยู่ของเขา แล้วยิงคันศรโดยหมายหัวเขาด้วย เขาไม่มีทางรอดมาได้


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


เขาที่มิใช่เป้าหมายหลัก เพียงแต่ได้รับลูกหลงเท่านั้นยังเกือบเสื่อมสลาย แค่คิดก็อกสั่นขวัญแขวน!


ผู้ฝึกตนต่ำต้อยที่อยู่แค่ขอบเขตพรตเต๋ากลับทำอันตรายเขาได้ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดเคยฝันเลย


แม้ว่าเขายังอยู่ในสภาวะร่างวิญญาณ กระนั้นเขาก็เป็นถึงนักบุญ


การเป็นนักบุญจำต้องครบเงื่อนไขทุกด้าน อย่างเช่นกายเนื้อ หทัยเต๋า วิญญาณ และอื่น ๆ อีกมากมาย


วิญญาณนักบุญของเขาผ่านการหลอมหญ้านวปรภพมาก่อน พลังฟื้นคืนมาได้นานแล้ว


ในสถานการณ์ปกติ ผู้ที่ยังไม่บรรลุเป็นนักบุญไม่อาจทำอันตรายเขาได้เลย


ต่อให้เป็นยอดเทวาก็ไม่ได้


ขอบเขตเทวามีทั้งหมดสี่ขั้นใหญ่ ขั้นเทวะ ขั้นจ้าวเทวา ขั้นราชันเทวา และขั้นยอดเทวา


เมื่อข้ามพ้นขอบเขตยอดเทวาไปสัมผัสกับขอบเขตนักบุญ จักได้เป็นว่าที่นักบุญ หากก้าวหน้าขึ้นไปอีก จักผันตัวจากว่าที่นักบุญเป็นนักบุญอย่างแท้จริง


ผู้มีระดับต่ำกว่านักบุญล้วนเป็นเพียงมดปลวก วาจานี้มิได้กล่าวส่ง ๆ นักบุญมีพลังพอจะทำลายฟ้าดิน ผู้ที่มิใช่นักบุญไม่มีทางสร้างผลกระทบได้เลย


ทว่าเซี่ยเหยียนกลับทำอันตรายเขาได้ ซ้ำร้ายยังมิใช่แค่นั้น หากนางมีความตั้งใจ เขาไม่ข้องใจเลยว่านางสามารถปลิดชีพเขาได้สบาย!


แน่นอนว่ามิใช่เพราะพลังที่เซี่ยนเหยียนครอบครอง ต้องกล่าวว่านางสามารถใช้คันศรวิเศษในมือปลิดชีพเขาได้สบาย


นี่เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ตกเอาเสียเลย!


เซี่ยเหยียนใช้พลังจากคันศรวิเศษนั้นไหวได้เยี่ยงไร?


เรื่องนี้เกินกว่าความรู้ของเขาไปอย่างสิ้นเชิง!


“หลี่จิ่วเต้าย่อมต้องน่ากลัวกว่านี้เป็นแน่!”


วิญญาณของเขาสั่นระรัวเมื่อนึกถึงหลี่จิ่วเต้า เซี่ยเหยียนยังน่าพรั่นพรึงปานนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลี่จิ่วเต้า!


คันศรในมือเซี่ยเหยียนเป็นของขวัญจากหลี่จิ่วเต้า


สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้เกี่ยวกับหลี่จิ่วเต้าคงเกิดข้อผิดพลาดร้ายแรง!


ในการคาดการณ์ของเขา หลี่จิ่วเต้ามิใช่นักบุญ มีระดับพลังต่ำกว่าขอบเขตนักบุญ


ทว่าบัดนี้ดูแล้ว เขาคงจะคิดผิดมหันต์


เซี่ยเหยียนเป็นเพียงผู้ฝึกตนต่ำต้อยขอบเขตพรตเต๋า พลังในตัวกระจอกงอกง่อย…


เขาคิดว่า ที่เซี่ยเหยียนสามารถรีดเร้นพลังคันศรวิเศษซึ่งมีอานุภาพเหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดินั้นได้น่าจะเกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้า


ช่วยให้ผู้ฝึกตนขอบเขตพรตเต๋าเล็ก ๆ อย่างเซี่ยเหยียนรีดเร้นพลังคันศรวิเศษที่มีอานุภาพเหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิ หลี่จิ่วเต้าย่อมต้องแข็งแกร่งเหลือคณา เกินกว่าความคาดหมายของเขาไปมาก!


“เฮ้อ ข้าหมายหัวคนใหญ่คนโตแสนสยองเช่นกัน!”


เขาถอนใจหนักหน่วง สำนึกเสียใจและนึกกลัวอย่างยิ่งยวด


ยังดีที่สุดท้ายเขาหนีมาได้


พ้นครั้งนี้ไป เขามิกล้าหมายหัวหลี่จิ่วเต้าอีก!


“จากนี้ไปต้องรอบคอบให้มาก รอจนได้เปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์ก่อน ข้าต้องรีบหาทางหล่อวิญญาณนักบุญ และกายาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นใหม่ ก่อนนั้น ข้าจำต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว!”


เขาเอ่ย “จะหาคนนิสัยเช่นหนิงเจี๋ยอีกไม่ได้ ต้องหาคนนิสัยซื่อสัตย์หน่อย”


ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะหนิงเจี๋ย หากมิใช่หนิงเจี๋ย ตอนนี้เขาคงไม่อยู่ในสภาพน่าเวทนาเยี่ยงนี้!


“ศพของมหาจักรพรรดิมีขุมสมบัติมหาศาล ตอนนี้ต้องยังไม่เน่าเปื่อยแน่ ๆ ไว้ข้าหล่อวิญญาณนักบุญและกายาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นใหม่ได้เมื่อใด อย่างไรข้าก็ต้องชิงศพมหาจักรพรรดิร่างนั้นมาอีกครั้ง!”


เขาเอ่ยต่อ ยังไม่ลืมเลือนศพมหาจักรพรรดิ และยังคิดถึงศพมหาจักรพรรดิอยู่


ขณะที่กำลังขบคิดเรื่องเหล่านี้ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนตรงก้น


เขาหันไปมอง


แม่เจ้า!


ธนูดอกหนึ่ง!


หลิงเซิ่งตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างในบัดดล ตรงก้นหมูของเขามีธนูดอกหนึ่งปักอยู่!


เขาในตอนนี้หวาดกลัวต่อธนูยิ่ง ศรที่เซี่ยเหยียนยิงมานั้นสร้างปมในใจให้เขาร้ายแรง


ธนูดอกหนึ่งปักอยู่ที่ก้น เขาไม่มีเวลาคิดอันใดไปมากกว่านี้ นึกเพียงว่าเซี่ยเหยียนไล่ตามมา ก็กลัวจนวิ่งหนีอุตลุด!


พรวด!


เวลานั้นเอง ธนูอีกดอกพุ่งเข้ามา ปักเข้าที่ขาของเขา ร่างหมูของหลิงเซิ่งล้มตึงลงกับพื้น คิดจะหนียังหนีไม่ได้!


“ฮ่า ๆ หมูป่าตัวนี้อ้วนดีจริง”


“หมูป่าตัวอ้วนขนาดนี้ขายได้ราคาดีแน่!”


จากนั้น หลิงเซิ่งได้ยินเสียงคนคุยกันหลายเสียง


เขาหันไปมองแล้วนึกฉุนขึ้นมาทันที


หาใช่เซี่ยเหยียนที่ไล่ตามเข้ามาไม่ เป็นเพียงปุถุชนไม่กี่คนที่เห็นเขาเป็นเหยื่อ!


ไอ้บัดซบ เมื่อพยัคฆ์ตกที่นั่งลำบาก แม้แต่สุนัขยังรังแกได้!


ลำพังปุถุชนไม่กี่คนยังบังอาจทำกับเขาเยี่ยงนี้!


นึกถึงว่าเมื่อครู่เขากลัวจนหัวหดเพราะนายพรานปุถุชนสามสี่คนนี้แล้วแทบกลั้นความโกรธไว้ไม่ไหว


ทว่าโกรธก็ส่วนโกรธ บัดนี้เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง


พลังทั้งหมดที่เหลือของเขาล้วนใช่ไปกับการหล่อวิญญาณนักบุญขึ้นใหม่ เขาในตอนนี้อ่อนแออย่างมาก อย่าว่าแต่ฆ่าปุถุชนไม่กี่คนนี้เลย แม้กระทั่งส่งเสียงเป็นภาษามนุษย์ยังทำไม่ได้ เสียงที่เปล่งออกมาล้วนเป็นเสียง ‘อี๊ดอู๊ด’ ตามฉบับเสียงหมู


เวรเอ๊ย!


นักบุญผู้นี้โมโหนัก!


ข้าผู้เป็นนักบุญวันหนึ่งต้องมาร้องเหมือนหมู!


หลิงเซิ่งโกรธเกรี้ยวเหลือแสน อัปยศ อัปยศอย่างยิ่ง!


“ราคาหมูเป็น ๆ สูงกว่า มัดไว้แล้วนำกลับไปขายในเมือง!”


“ได้เลย”


นายพรานทั้งหลายปราดเปรียวคล่องแคล่ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มัดหมูป่าสำเร็จ แล้วแบกกลับเมืองชิงซาน


หลิงเซิ่งมิได้หนีไปไกลนัก เขาหนีมาถึงเนินเขาเขียว นายพรานสามสี่คนนี้คือ นายพรานที่มาล่าสัตว์บนเนินเขาเขียว


“ถ้าถูกจับขายไปต้องพบชะตากรรมโดนเชือดแน่ ไม่ได้การ! ข้าต้องเร่งทำเวลา”


หลิงเซิ่งมิกล้าลังเล ฝึกฝนอย่างรวดเร็ว หมายจะฟื้นพลังขึ้นมาสักนิดหน่อยก่อนถูกเชือด เขาจักได้แยกจากร่างหมู ไปหาร่างอื่นสิงสู่


หากหมูป่าตาย เขาเองก็ไม่รอด!




“คุณชายอยู่หรือไม่”


เวลานั้น เซี่ยเหยียนมาถึงร้านของท่านเซียน พร้อมเดินเข้าไปในลานเล็กของท่านเซียน


“เอ๊ะ แม่นางเซี่ยเหยียนมาหรือนี่!”


ภายในลาน ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเห็นเซี่ยเหยียน จึงเอ่ยทักยิ้ม ๆ “แม่นางเซี่ยเหยียนวาสนาดียิ่ง มาได้พอดี มีลาภปากอีกแล้ว”


“สวัสดี แม่นางเซี่ยเหยียน!”


สือเฟิงก็อยู่ จึงกล่าวทักทายเซี่ยเหยียน


“คุณชายไม่อยู่หรือ”


เซี่ยเหยียนถาม


“ไม่อยู่ คุณชายเพิ่งออกไป เห็นว่าจะไปซื้อเนื้อ แม่นางเซี่ยเหยียนมาได้เวลาพอดี ประเดี๋ยวคุณชายกลับมาก็กินข้าวกันได้แล้ว”


ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าวยิ้ม ๆ


ท่านเซียนขอให้เขากับสือเฟิงอยู่กินข้าวที่บ้าน เนื้อในบ้านไม่พอเท่าใด ท่านเซียนจึงบอกว่าจะไปซื้อเนื้อ ให้เขากับสือเฟิงรออยู่ที่บ้าน


“ข้าจะไปหาคุณชาย!”


เซี่ยเหยียนพูดจบก็รีบร้อนออกจากลานเล็ก


นางกลัวเหลือเกินว่าหลิงเซิ่งอะไรนั่นจะไปรบกวนท่านเซียน หากเป็นเช่นนั้น ความผิดของนางนับว่าใหญ่หลวงยิ่ง


“แม่นางเซี่ยเหยียนเปี่ยมด้วยบุญวาสนาจริง เป็นที่ชื่นชอบของคุณชายอย่างมาก!”


ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมองแผ่นหลังที่จากไปของเซี่ยเหยียน แล้วเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ


“ใช่แล้ว!”


สือเฟิงเองก็สะท้อนใจอย่างมากเช่นกัน หากกล่าวถึงผู้มีวาสนา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเซี่ยเหยียนนั้นมีวาสนาที่สุด ได้อยู่ข้างกายท่านเซียนเสมอ