ณ เมืองชิงซาน
หลี่จิ่วเต้าปรุงซุปกระดูกหม้อใหญ่ไว้พร้อมสำหรับทำหม้อไฟ
เขาเคยกินหม้อไฟมาก่อน จึงมีทั้งเตาถ่าน และหม้อทองแดง
หม้อทองแดงเป็นหม้อหยวนหยางที่เขาทำขึ้นมาเอง
เขาเตรียมน้ำจิ้มหลากหลายชนิด ระหว่างรอให้พวกอ้ายฉานกลับมาพร้อมกับเนื้อและอาหารทะเล
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ราตรีเริ่มย่างกราย
หลิงอินกับเซี่ยเหยียนมาถึงอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานนัก พวกอ้ายฉานก็กลับมา
“คุณชาย ท่านดูสิ ข้านำวัวยักษ์มาด้วย!”
“ข้าเอานกยักษ์กลับมา!”
“ของข้าเป็นแพะ!”
“ข้าเอากุ้งกลับมาด้วยหลายตัวเลย!”
…
พวกอ้ายฉานพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะนำสัตว์อสูรที่ล่าได้ออกมา
“ไม่เลว ไม่เลว!”
หลี่จิ่วเต้าพึ่งพอใจเป็นอย่างมากเมื่อเห้นวัวยักษ์สีดำ นกตัวใหญ่ แพะภูเขา กุ้งและสัตว์อสูรอื่น ๆ
มองแวบแรกก็รู้ว่าสัตว์เหล่านี้ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา หลี่จิ่วเต้าคิดว่า สิ่งที่พวกเขาล่ากลับมาน่าจะเป็นสัตว์อสูร
สัตว์อสูร...!
ภายในใจของหลี่จิ่วเต้ารู้สึกตื่นเต้น
เขากินเนื้อมามากมาย แต่ไม่เคยกินเนื้อสัตว์อสูรมาก่อน ครั้งนี้นับว่าเขาได้รับอานิสงส์จากพวกอ้ายฉานแล้ว
‘ถึงจะกินเข้าไปแล้วก็ไม่อาจฝึกตนได้ ทว่าเนื้อสัตว์อสูรเหล่านี้ก็น่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย!’
หลี่จิ่วเต้าคิดขึ้นมาในใจ
เขาไม่คิดว่าตนเองจะสามารถฝึกตนได้จากกินเนื้อสัตว์อสูร หากสามารถฝึกตนได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ เช่นนี้ เกรงว่าบนโลกคงไม่เต็มไปด้วยปุถุชนคนธรรมดามากมายเพียงนี้...
การฝึกตนนั้นขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ ไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์อสูร หากไร้ซึ่งพรสวรค์ก็ไม่อาจเข้าสู่เส้นทางการฝึกตนได้
เซี่ยเหยียนมองไปยังซากของสัตว์อสูรต่าง ๆ ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมา “ทั้งหมดนี้…พวกเจ้าล่าเองหมดเลยหรือ?”
นางคาดไม่ถึงอยู่บ้างว่า เด็ก ๆ อย่างพวกอ้ายฉานจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
สัตว์เหล่านี้ ไม่ว่าจะตัวไหน นางก็สัมผัสได้ถึงแก่นชีวิตอันน่าทึ่งในเลือดและเนื้อ แสดงให้เห็นว่าสัตว์เหล่านี้ทรงพลังเป็นอย่างมากในยามที่มีชีวิต ไม่ได้เป็นเพียงสัตว์อสูรธรรมดาทั่วไป
โดยเฉพาะนกยักษ์ตัวนั้น แก่นชีวิตที่อยู่ภายในเลือดเนื้อนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง นางรู้สึกว่ามันอาจไม่ใช่สัตว์อสูร แต่เป็นอสูรร้ายที่สืบเชื้อสายมาตั้งแต่สมัยโบราณ!
ปีกสีทอง...ครุฑ!
เป็นมันนั่นเอง!
เซี่ยเหยียนที่รู้สึกว่านกยักษ์ตัวนี้เหมือนกับอสูรร้าย จึงนึกทบทวนตำราเกี่ยวกับอสูรร้ายที่นางเคยอ่านมา
แล้วนางก็นึกออกขึ้นมาจริง ๆ!
นกยักษ์ด้านหน้านางเหมือนกับอสูรร้ายยุคโบราณอย่างครุฑปีกทองไม่มีผิด!
ครุฑปีกทอง อสูรร้ายโบราณอันเลื่องชื่อ มีความดุร้ายเป็นอย่างมาก เป็นรองเพียงสิบอสูรร้ายในตำนานเท่านั้น!
ดูเหมือนว่าสายเลือดครุฑปีกทองในร่างของนกยักษ์ตัวนี้จะบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่แสดงลักษณะออกมาเหมือนเช่นนี้
กระทั่งอสูรร้ายที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ขนาดนี้กลับถูกสังหาร พวกเด็ก ๆ แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยหรือ?
พรรคจื่อเสีย...!
ใช่แล้ว
เซี่ยเหยียนนึกขึ้นมาได้ ตอนที่อันหลานเสวี่ยไปสำนักไท่หัวเพื่อตามหานางได้กล่าวเอาไว้ว่าตนเองมากจากพรรคจื่อเสีย ทว่าในยามนั้นนางไม่ได้คิดอะไรมาก
ตอนที่นางมาเห็นพวกเด็ก ๆ จึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้
เมืองชิงซานได้ให้กำเนิดแปดอัจฉริยะสะท้านฟ้า และทุกคนล้วนเข้าร่วมพรรคจื่อเสีย…
เห็นได้ชัดเจนว่าพวกอ้ายฉานคือแปดอัจฉริยะสะท้านฟ้า!
นี่คือความน่ากลัวของอัจฉริยะสะท้านฟ้า?
พวกเขาอายุไม่เท่าไหร่ แถมยังเริ่มฝึกฝนมาเพียงไม่กี่เดือน กลับสามารถสังหารอสูรร้ายสายเลือดบริสุทธิ์ได้แล้ว?
ช่างน่าตื่นตะลึงจริง ๆ!
‘สมกับเป็นท่านเซียน!’
เซี่ยเหยียนอดเอ่ยขึ้นมาภายในใจไม่ได้
นางรู้ดีเป็นอย่างยิ่งว่าพวกอ้ายฉานมีพรสวรรค์สะท้านฟ้าได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะท่านเซียน
สามารถทำให้เด็กแปดคนมีพรสวรรค์สะท้านฟ้าได้ หากไม่ใช่ท่านเซียน ผู้ใดจะทำได้อีก!
หลิงอินที่อยู่ด้านข้างเองก็ดูจะประหลาดใจเช่นเดียวกัน
เด็กอายุเพียงไม่กี่ปีกลับแข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่น แข็งแกร่งกว่านางแต่กาลก่อนเป็นอย่างมาก!
จ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาลมาเกิดใหม่ ยังไม่อาจทัดเทียมกับผู้ที่ได้รับการชี้แนะจากท่านเซียน...
หลิงอินคิดขึ้นมาภายในใจ
เด็กที่ท่านเซียนรัก ล้วนโชคดีเป็นอย่างยิ่ง!
อันหลานเสวี่ยมองด้วยความอิจฉา นางเองก็จำได้ถึงต้นกำเนิดของครุฑปีกทองเช่นกัน
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ทั้งหมดนี่คือที่พวกข้าล่ามา!”
“คิคิ คุณชาย พวกเราเก่งมากใช่หรือไม่!”
พวกอ้ายฉานยิ้มหัวเราะพลางกล่าวกับคุณชาย
“เก่ง พวกเจ้าเก่งมาก เข้าไปพักในบ้านเถอะ เดี๋ยวคุณชายจะจัดการกับเหล่าสัตว์พวกนี้เอง จากนั้นพวกเรามากินหม้อไฟกัน!”
หลี่จิ่วเต้ากล่าวขึ้นมากับพวกอ้ายฉาน
เซี่ยเหยียนอาสาขึ้นมา “คุณชาย ข้าจะช่วยท่านจัดการขน!”
“ได้!”
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า จากนั้นจึงเริ่มจัดการกับสัตว์อสูรเหล่านี้
“ข้าเองก็จะช่วย!”
“ข้าด้วย!”
หลิงอินและอันหลานเสวี่ยเองก็ร่วมวงด้วย
มันทำให้หลี่จิ่วเต้าสบายขึ้นไม่น้อย เขาไม่ต้องไปยุ่งอยู่กับการกำจัดขนอีก จึงลงมือรีดเลือดมาแปรสภาพให้กลายเป็นก้อน
ก้อนเลือดใส่กับหม้อไฟแล้วอร่อยเป็นอย่างยิ่ง
เขาทำความสะอาดเนื้อที่ถูกกำจัดขนไปแล้ว จากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ สะดวกแก่การจุ่มลงในหม้อไฟ
ในที่สุด หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็กินหม้อไฟด้วยกันในลานท่ามกลางอากาศร้อน ๆ
ดีที่ลูกแก้วที่อวิ๋นกู่มอบให้สามารถปรับอุณหภูมิได้ตามต้องการ อากาศในลานเล็กจึงกำลังดี ทั้งยังกว้างขวางพอ
หากจะทานกันภายในบ้านนั้น ก็มีพื้นที่เล็กเกินไป
“ว้าว นี่มันอร่อยเกินไปแล้ว!”
จู้จื่อกินสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าครุฑปีกทองเข้าไปหนึ่งคำ รสชาติอันแสนอร่อยก็ระเบิดออกมา!
“ครั้งหน้าหากเจอนกแบบนี้ ข้าจะล่ามากินอีก!”
เขาพึมพำออกมาขณะกำลังเคี้ยว
ล่ามากินอีก?
สมกับเป็นเด็กที่ท่านเซียนรัก ช่างแข็งแกร่งหาญกล้า อสูรร้ายเลือดบริสุทธิ์บอกจะล่าสังหารก็ล่าสังหาร!
การกินหม้อไฟในครั้งนี้ได้เปิดประตูบานใหม่ให้กับพวกจู้จื่อ ในอนาคตอสูรร้ายเลือดบริสุทธิ์เหล่านี้คงจะต้องทนทุกข์ทรมานแล้ว...
อันหลานเสวี่ยคิดขึ้นมาในใจ วันข้างหน้าเกรงว่าจะมีอสูรร้ายเลือดบริสุทธิ์จำนวนมากกลายเป็นอาหารมื้อใหญ่ให้กับพวกจู้จื่อ
หากคนนอกได้ยินความคิดของนาง คงจะพูดไม่ออกอย่างแน่นอน
อสูรร้ายเลือดบริสุทธ์ อสูรร้ายที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ ทั้งดุร้ายและทรงพลัง พวกมันมักจะเป็นฝ่ายกินสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่เสมอ กลับถูกลดฐานะกลายเป็นของกินในปากคนไปเสียแล้ว?
“น้ำผลไม้เองก็อร่อยมากเช่นกัน!”
“ยังมีน้ำจิ้มนี่อีก!”
“คุณชายฝีมือดีจริง ๆ”
พวกอ้ายฉานกินกันอย่างมีความสุข เนื้อจิ้มจุ่มกินกับน้ำจิ้มแล้วรสชาติลงตัวอย่างถึงที่สุด!
แถมยังมีน้ำผลไม้ให้ดื่มแก้เลี่ยน ไม่ต้องพูดเลยว่าพวกเขามีความสุขกันมากแค่ไหน!
นอกจากนี้ พวกเขารับรู้ได้ว่าร่างกายถูกโอบล้อมไว้ด้วยพลังอันนุ่มนวลและแข็งแกร่ง ทั้งยังเสริมพลังและเลื่อนระดับให้พวกเขาในทุกด้าน!
นี่นับเป็นวาสนาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขารับรู้ได้ว่ามันให้ผลเสียยิ่งกว่าการกินโอสถจักรพรรดิ!
“ถ้าอร่อยก็กินให้มากขึ้น ยังมีเนื้อ ผัก และน้ำผลไม้อีกมาก”
หลี่จิ่วเต้ากล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
พวกเด็ก ๆ ต้องไม่ชอบดื่มชาอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเตรียมน้ำผลไม้จำนวนมากไว้สำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ
รสชาติของเนื้อสัตว์อสูรนั้นแตกต่างจากเนื้อทั่วไป มันให้ความสดมากกว่า นุ่มมากกว่า และก็อร่อยมากกว่า หลี่จิ่วเต้ามีความสุขเป็นอย่างยิ่งที่ได้กิน
พวกเขาทั้งกินทั้งพูดคุยหัวเราะเฮฮากันไม่หยุด ทำให้คุ้นเคยกันมากยิ่งขึ้น
“พี่เซี่ยเหยียน ท่านจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมครั้งใหญ่ที่ภาคกลางหรือไม่?”
อ้ายฉานกล่าวออกมา “พวกเรากำลังจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่ภาคกลาง หากพี่เซี่ยเหยียนไป เช่นนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเลย!”
บทที่ 267
“ใช่แล้ว ข้าไป พวกเราไปด้วยกันเถิด”
เซี่ยเหยียนตอบยิ้ม ๆ
งานชุมนุมใหญ่แห่งภาคกลาง
ถูกจัดขึ้นโดยโอรสสวรรค์จากตระกูลจักรพรรดิโบราณในดินแดนฮวงคนหนึ่ง ลือกันว่าตระกูลจักรพรรดิโบราณนี้ทรงพลังแกร่งกล้า มีการสืบสานมาอย่างยาวนาน บารมีสูงส่งในดินแดนฮวง
เดิมทีเซี่ยเหยียนไม่อยากไป
สถานการณ์ในตอนนี้วุ่นวายยิ่ง สิ่งมีชีวิตจากดินแดนฮวงและดินแดนฝอมาเยือนเหยียนโจวกันคับคั่ง นางไม่ต้องการร่วมวง
ทว่าตระกูลจักรพรรดิโบราณนี้ส่งเทียบเชิญมาถึงสำนักไท่หัว หากนางไม่ไป ดูเป็นการไม่ไว้หน้าตระกูลจักรพรรดิโบราณนี้เท่าใด อาจเกิดเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลัง
ด้วยเหตุนี้ สุดท้ายนางก็ตัดสินใจเข้าร่วม
แต่นางคิดไม่ถึงว่า พรรคจื่อเสียก็ได้เทียบเชิญด้วย
นางได้ยินว่ามีเพียงกลุ่มอำนาจที่รุ่งโรจน์ในแต่ละภาคเท่านั้นถึงได้รับเทียบเชิญ และพรรคจื่อเสียหาใช่กลุ่มอำนาจรุ่งเรืองไม่…
เมื่อลองขบคิดดู นางก็เข้าใจ
เกรงว่าที่ตระกูลจักรพรรดิโบราณนี้ส่งเทียบเชิญให้พรรคจื่อเสียมิได้มุ่งไปที่พรรคจื่อเสีย คงมุ่งไปที่พวกอ้ายฉานมากกว่า
ช่วงก่อนนี้ พวกอ้ายฉานสำแดงพรสวรรค์สะท้านโลกันตร์ออกมา สะเทือนไปทั้งเหยียนโจว
ตระกูลจักรพรรดิโบราณนี้ก็ได้ยินมาเช่นเดียวกัน ถึงได้ส่งเทียบเชิญให้พรรคจื่อเสีย
“เยี่ยมเลยพี่หญิง!”
“พวกเราไปด้วยกัน!”
พวกอ้ายฉานเอ่ยด้วยความดีใจ
ถึงแม้พวกเขาจะมิได้รู้จักกับเซี่ยเหยียนนานนัก ทว่าพวกเขาทุกคนต่างชอบเซี่ยเหยียนมาก อยากอยู่กับเซี่ยเหยียนให้นานกว่านี้
“งานชุมนุมใหญ่หรือ?”
หลังได้ยินคำว่างานชุมนุมใหญ่ หลี่จิ่วเต้าสนอกสนใจขึ้นมา
เขาไม่อาจบำเพ็ญตน ทว่าเขาสนใจในเรื่องราวของโลกแห่งการฝึกตนมาก
งานชุมนุมใหญ่ที่มีกลุ่มผู้ฝึกตนมารวมตัว คงสนุกยิ่ง!
เขายังไม่เคยเห็นภาพเช่นนั้นมาก่อน!
แม้ว่าชีวิตของเขาในเมืองชิงซานนั้นเริงร่าสบาย ทว่าอย่างไรก็น่าเบื่อไปหน่อย เขาอยากไปร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งนี้
“คุณชายสนใจหรือ”
เซี่ยเหยียนตาเป็นประกาย รู้สึกได้ว่าท่านเซียนใคร่สนใจในงานนี้มาก
ทว่านางกลับยังมีข้อกังขาในใจ
ท่านเซียนท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน อาศัยอยู่ในเมืองปุถุชน เห็นได้ชัดว่าเพราะไม่ต้องการข้องแวะกับโลกแห่งการฝึกตนเท่าใด
ไฉนบัดนี้ท่านเซียนกลับอยากร่วมงานชุมนุมใหญ่ของโลกแห่งการฝึกตนเสียได้?
หรือท่านเซียนต้องการเปิดเผยตัวตนแล้วหรือ?
ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น…
นางไม่รู้สึกเลยว่าท่านเซียนมีประสงค์ต้องการเปิดเผยตัวตน
“อยากไปดูชมอยู่เหมือนกัน อยู่แต่ในเมืองชิงซานน่าเบื่อนัก อยากไปร่วมครึกครื้นบ้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าสะดวกหรือไม่”
หลี่จิ่วเต้ากล่าว
เข้าใจแล้ว!
ท่านเซียนมิได้มีประสงค์เปิดเผยตัวตนจริง ๆ
ไม่อย่างนั้นท่านเซียนคงไม่พูดจาถามว่าสะดวกหรือไม่
หากประสงค์เปิดเผยตัวตนจริง ไฉนเลยต้องสนว่าสะดวกหรือไม่ ท่านเซียนอยากไปย่อมไปได้อยู่แล้ว
ท่านเซียนกำลังบอกนางเป็นนัย ๆ
เซี่ยเหยียนคิดตกแล้ว
นางเอ่ยยิ้ม ๆ “คุณชายอยากไปย่อมสะดวก ไฉนเลยจะไม่สะดวกเล่า”
ดูเอาเถิด สำนักใหญ่โตก็คือสำนักใหญ่โต จะพูดจะจามีความมั่นใจอยู่เต็มร้อย
หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ
“ถ้าสะดวก ข้าขอตามไปด้วย”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม
“คุณชายก็จะไปหรือ เยี่ยมไปเลย!”
“ดี ๆ!”
พวกอ้ายฉานยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก
“ข้ากลับไปเมื่อใดจะเตรียมการทันที!”
เซี่ยเหยียนบอก
ท่านเซียนต้องการเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย นางจำต้องเตรียมการให้ดี!
“หลิงอินอยากไปเที่ยวเล่นที่นั่นหรือไม่”
หลี่จิ่วเต้าหันมองหลิงอินพลางถาม
ทุกคนกำลังนั่งกินสุกี้หม้อไฟด้วยกัน อีกทั้งยังตัดสินใจเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่ภาคกลางด้วยกัน หากไม่ถามหลิงอินดู เขารู้สึกไม่เหมาะเท่าไร
“อยากสิ!”
หลิงอินตอบ
บอกตามตรง นางมิใคร่สนใจงานชุมนุมใหญ่ในภาคกลางที่ว่านี้นัก
นางเป็นถึงจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล เคยเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่มาแล้วทุกรูปแบบ
ทว่าท่านเซียนถามนางเช่นนี้แล้ว ไฉนนางจะตอบว่าไม่ไปได้
งานชุมนุมใหญ่ในภาคกลางมีสถานที่พิเศษอยู่หรือ
มิเช่นนั้นไยท่านเซียนถึงอยากไป
นางคิดในใจ รู้สึกว่าที่ท่านเซียนไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ภาคกลางมิใช่เพราะผุดความคิดกะทันหัน แต่มีความหมายบางอย่าง
และที่พานางไป เกรงว่าอาจมีความหมายเช่นกัน
“ได้”
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้าให้หลิงอิน ก่อนจะหันไปถามเซี่ยเหยียน “พาไปด้วยอีกสักคนสะดวกหรือไม่”
“สะดวก ไฉนเลยจะไม่สะดวก ต่อให้คุณชายพาไปอีกสิบคนก็ไม่เป็นปัญหา”
เซี่ยเหยียนตอบยิ้ม ๆ
“เช่นนี้ก็ดี”
หลังได้ยินคำตอบเซี่ยเหยียน หลี่จิ่วเต้าจึงวางใจ เขากลัวเหลือเกินว่าการเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ภาคกลางจะสร้างความวุ่นวายให้เซี่ยเหยียน
แต่ฟังจากน้ำเสียงของเซี่ยเหยียน เห็นได้ชัดว่าเขาคิดมากไป มิได้วุ่นวายถึงปานนั้น
มิฉะนั้น เซี่ยเหยียนคงไม่ตอบตกลงโดยไม่อิดออด
จริงสินะ การมีพลังในครอบครองเป็นเรื่องดียิ่ง
สำนักไท่หัวเป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจฝึกตนที่แข็งแกร่งรุ่งเรืองที่สุดแห่งแดนบูรพาทิศ ไม่จำเป็นต้องระวังตัวมากนัก แสดงให้เห็นถึงความทรงพลังของสำนัก
ยังดีที่เขามีสัมพันธ์ไม่เลวกับสำนักไท่หัว ขณะที่รักษาความปลอดภัยของตนได้ ยังได้รับความสะดวกสบายอีกหลายอย่าง
หากมิใช่เช่นนั้น การไปเที่ยวเล่นที่ภาคกลางเป็นได้เพียงความคิดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น
“ข้าเตรียมการเรียบร้อยเมื่อใดจะมารับคุณชายกับพี่หญิงหลิงอิน”
เซี่ยเหยียนบอก
“ได้”
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้น “มา ๆ กินสุกี้หม้อไฟกันต่อเถิด!”
“ได้เลย!”
“กิน ๆๆ!”
พวกอ้ายฉานเอ่ยด้วยความชื่นมื่น
…
ขณะเดียวกัน มีสิ่งมีชีวิตมหาศาลกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเหยียนโจว ต่างมุ่งหน้าไปยังภาคกลางเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่
ตระกูลจักรพรรดิโบราณจากดินแดนฮวงแข็งแกร่งน่ากลัวเกินไป มิมีผู้ใดหาญกล้าล่วงเกินตระกูลจักรพรรดิโบราณเช่นนี้ เมื่อได้รับเทียบเชิญจึงมุ่งหน้าไปทันที
ผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่มิได้มีเพียงสิ่งมีชีวิตในเหยียนโจว สิ่งมีชีวิตจากดินแดนฮวงที่เดินทางมายังเหยียนโจวก็ได้รับเทียบเชิญเช่นกัน
นอกจากนี้ สิ่งมีชีวิตจากดินแดนฝอที่อยู่ในเหยียนโจวก็ได้รับเทียบเชิญด้วย
...
ณ ภาคกลาง
ที่ตั้งลัทธิไท่เสวียน
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้!”
สีหน้าเจ้าลัทธิไท่เสวียนอึมครึมย่ำแย่ ในมือเขามีเทียบเชิญอยู่ใบหนึ่ง กล่าวเชิญลูกศิษย์วัยเยาว์ในลัทธิของเขาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่จัดขึ้นในภาคกลาง
“พวกเราถูกจับได้แล้วหรือ”
“พวกเขาล่วงรู้การมีอยู่ของพวกเราได้อย่างไร!”
ไม่เพียงแต่ลัทธิไท่เสวียนที่ได้รับเทียบเชิญ กลุ่มอำนาจลับอื่น ๆ ก็ได้รับเทียบเชิญกันถ้วนหน้า ลูกศิษย์วัยเยาว์ในกลุ่มอำนาจพวกเขาถูกเชิญไปเช้าร่วมงานชุมนุมใหญ่เช่นกัน
พวกเขาเลือกซ่อนตัวตั้งแต่ยุคโบราณ มิกล้าเปิดเผยร่องรอยในยุคนี้แม้แต่น้อย เหตุใดพวกเขาถึงยังถูกจับได้อีก
“หรือว่าเป็นฝีมือของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงผู้นั้น!”
พวกเขานึกถึงประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงในทันที
ครานั้น ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงเคยมาเยือนที่ตั้งสำนักลัทธิของพวกเขา โดยมีเจ้าลัทธิไท่เสวียนนำทาง
นั่นเป็นความทรงจำแสนอัปยศ พวกเขาถูกประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงเข้ากำราบด้วยกำลัง ซ้ำยังถูกบีบบังคับให้มอบคัมภีร์บันทึกโบราณอันเป็นการสืบสานที่พวกเขาแต่ละสำนักเก็บรักษาไว้อย่างดี ต่อประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิง
หลังเรื่องนี้จบลง พวกเขาทั้งหมดต่างผูกใจเจ็บกับลัทธิไท่เสวียน
ถึงอย่างไรเจ้าลัทธิไท่เสวียนก็เป็นผู้พาประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงมาที่นี่
พวกเขาไม่เพียงแต่ถูกประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงกำราบด้วยกำลัง ตำแหน่งที่ตั้งของพวกเขายังถูกเปิดเผยต่อประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงอีกด้วย
ลัทธิไท่เสวียนเจ้าเล่ห์นัก หลังเรื่องจบก็ปิดผนึกม่านพลังอย่างสมบูรณ์
ยามที่พวกเขาบุกไปถึง หากมิใช่เพราะกังวลว่าจะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนอาจเปิดเผยตัวพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องทลายม่านพลังของลัทธิไท่เสวียน แล้วล้างบางลัทธิไท่เสวียนให้ได้!
ทว่าจวบจนบัดนี้พวกเขายังไม่คิดปล่อยลัทธิไท่เสวียนไป ต่างเพ่งเล็งลัทธิไท่เสวียนอยู่ตลอด ขอเพียงมีคนจากลัทธิไท่เสวียนกล้าออกจากม่านพลัง พวกเขาก็กล้าลงมือสังหาร!
บทที่ 268
พวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่มาส่งเทียบเชิญ
เทียบเชิญถูกห่อหุ้มด้วยพลังแกร่งกล้า ตรงเข้ามาถึงสถานที่พำนักของพวกเขา ราวกับม่านพลังไม่มีอยู่ บนเทียบเชิญมีข้อความเชื้อเชิญเด็กรุ่นหลังผู้มีฝีมือโดดเด่นของกลุ่มอำนาจพวกเขาไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่ภาคกลาง
จะให้พวกเขาเปิดเผยตัวตนหรือ?
กลุ่มอำนาจลับทั้งหลายเดือดดาลถึงขีดสุด จิตสังหารพลุ่งพล่าน ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาของพวกเขาสูญเปล่า บัดนี้ถูกเปิดโปงอย่างสมบูรณ์
ไม่ไปหรือ?
เป็นไปได้เยี่ยงไร
ผู้ส่งเทียบเชิญส่งมาถึงด้านในสถานที่พำนักของพวกเขาได้ง่ายดายปานนี้ ราวกับม่านพลังไม่มีอยู่ บ่งบอกว่าอีกฝ่ายมีความสามารถกล้าแกร่ง เกินกว่าที่พวกเขาจะต้านทานได้ไหว
หากไม่ไป…เท่ากับรนหาที่ตาย
“ลัทธิไท่เสวียน…สมควรตายนัก!”
“ฆ่า!”
พวกเขาล้วนโกรธจัด ทนไม่ไหวอีกต่อไป เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะลัทธิไท่เสวียน พวกเขาต้องการให้ลัทธิไท่เสวียนชดใช้อย่างสาสม
พวกเขาตั้งใจหลบซ่อนตัวมาตั้งแต่ยุคโบราณ มิกล้าเผยตัวแม้แต่น้อยในยุคนี้ บัดนี้ทุกอย่างสูญเปล่า โทสะในใจพวกเขาพวยพุ่งในระดับที่ระงับไม่ได้อีกต่อไป!
พวกเขาออกโรงอย่างพร้อมเพรียง ส่งยอดฝีมือทั้งหมดในสำนักบุกไปยังสถานที่ตั้งลัทธิไท่เสวียน
บัดนี้พวกเขาปราศจากความกังวล เพราะทุกอย่างหมดสิ้นประโยชน์แล้ว
พวกเขาจำต้องเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อไปถึงงานชุมนุมใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขาไม่อาจหลบซ่อนปิดบังได้อีก พวกเขาจักเผยตัวสู่ธารกำนัลอย่างสิ้นเชิง
ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงสถานที่ตั้งของลัทธิไท่เสวียน
พวกเขามองหน้ากันและกัน ไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดไปมากกว่านี้ ทุกคนต่างมีความในใจเดียวกัน จากจิตสังหารรุนแรงที่แผ่ซ่านออกมาจากแต่ละคน พวกเขาก็เข้าใจแล้วทุกอย่าง
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
พวกเขาจู่โจมทันที อาวุธศักดิ์สิทธิ์ อาวุธราชันศักดิ์สิทธิ์ และแม้กระทั่งอาวุธจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงกู่ร้อง เปล่งพลานุภาพแสนสยดสยอง อสนีบาตแปลบปลาบ มิติบิดเบี้ยว ทุกสิ่งถล่มใส่ม่านพลังของลัทธิไท่เสวียน หมายจะบุกเข้าไป!
“อ๊ากกก! เฮ่อเหยียน ข้าต้องซวยเพราะเจ้า!”
ภายในลัทธิไท่เสวียน เจ้าลัทธิไท่เสวียนคำรามอย่างเดือดดาล
เขาเข้าใจว่าประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน เฮ่อเหยียนเป็นผู้เปิดเผยเรื่องราวของกลุ่มอำนาจลับอย่างพวกเขาออกไป
เวลานั้น เสียงม่านพลังแหลกลาญดังขึ้น ยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับต่าง ๆ บุกเข้ามา พวกเขาลงมือด้วยความเคียดแค้น ทั้งยังลงมืออย่างพร้อมเพรียง ม่านพลังของลัทธิไท่เสวียนไม่อาจกีดขวางพวกเขาได้เลย ไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
“ทุกท่าน โปรดฟังข้าก่อน ข้าเอง…ก็เป็นเหยื่อเหมือนกัน!”
หยวนเซิ่ง เจ้าลัทธิไท่เสวียนร่ำไห้ตะโกนบอก
เขาไฉนเลยเคยคิดอยากพาประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไปยังสถานที่ตั้งของกลุ่มอำนาจลับต่าง ๆ
แต่เขา…ไม่มีทางเลือก!
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนแข็งแกร่งเกินไป หากไม่พาไป เขาคงต้องตายตั้งแต่ครานั้น ลัทธิไท่เสวียนของพวกเขาก็ต้องถึงคราวจบสิ้นตั้งแต่ครานั้น!
“เหยื่อบ้าเหยื่อบออันใด!”
“วันนี้ลัทธิไท่เสวียนจักถูกลบล้าง!”
จิตสังหารของยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับต่าง ๆ มิได้ลดทอนไปแต่อย่างใด พวกเขาล้อมหยวนเซิ่งไว้ หากไม่ล้างบางทั้งลัทธิไท่เสวียน ยากจะสาสมต่อความแค้นของพวกเขา
ถึงอย่างไรอีกไม่นานพวกเขาก็ต้องเผยตัวอยู่ดี มิต้องกลัวจะเอิกเกริกเกินไป
“ล้างแค้นต้องล้างกับตัวการ พวกเจ้าไปหาเฮ่อเหยียนสิ ข้าเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์จำยอมเช่นกัน!”
หยวนเซิ่งตื่นตระหนก วันนี้ลัทธิไท่เสวียนของพวกเขาคงหนีไม่พ้นเคราะห์ร้าย ต้องถูกล้างบาง!
เขาสังหรณ์ใจมานานแล้วว่าจะเกิดเรื่อง จึงปิดผนึกม่านพลังของลัทธิไท่เสวียน และคิดเคลื่อนย้ายสมาชิกลัทธิไท่เสวียนออกไปให้หมด
การเคลื่อนย้ายอาจเปิดเผยตัวตนของลัทธิไท่เสวียน กระนั้นยังดีกว่าถูกล้างบางอย่างสิ้นเชิง!
ทว่ากลุ่มอำนาจลับทั้งหลายล้อมลัทธิไท่เสวียนไว้หมดแล้ว พวกเขาไม่มีโอกาสเคลื่อนย้ายได้เลย
บัดนี้ ลางสังหรณ์ของเขากลายเป็นจริง กาลอวสานของลัทธิไท่เสวียนมาถึงแล้วจริง ๆ!
“ฆ่า!”
“อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
ยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับต่าง ๆ สายตาเย็นยะเยือก ไม่เปลี่ยนความคิดแม้แต่น้อย ยังคงต้องการล้างบางทั้งลัทธิไท่เสวียน
ส่วนการคิดบัญชีกับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนนั้น…
คิดอันใดอยู่ หากพวกเขาสามารถถึงเพียงนั้น มีหรือจะปล่อยให้ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนทำตามอำเภอใจในสำนักลัทธิของพวกเขา
ไปคิดบัญชีกับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน เท่ากับรนหาที่ตาย!
พวกเขาลงมือ สุดยอดวิชาทั้งหลายถูกปล่อยออกมาพร้อมกัน หยวนเซิ่งไม่มีความคิดแม้แต่จะป้องกันตน เขาหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
ให้ป้องกันอย่างไร?
ยอดฝีมือที่ลงมือนั้นล้วนแต่แกร่งกล้ากว่าเขา ไม่มีทางเลยที่เขาจะป้องกันได้
พรวด พรวด พรวด!
ขณะนั้นเอง พลังแสนน่ากลัวมวลหนึ่งพลันปรากฏ น่ากลัวจนสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ ยอดฝีมือกลุ่มอำนาจลับต่าง ๆ ล้วนสะเทือนจนกระเด็นออกไป ปากกระอักเลือด โลหิตกระเซ็นอยู่บนพื้น
“ความสมัครสมานนั้นสำคัญที่สุด มัวต่อสู้ห้ำหั่นกันไปไย ทุกท่านกลับไปเตรียมตัวดีกว่า จักได้พาโอรสสวรรค์ผู้มีสามารถโดดเด่นในแต่ละกลุ่มอำนาจเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากกลางอากาศ สีหน้าราบเรียบ ผมสีทองยาวถึงเอว ดวงตาวาวโรจน์ บุคลิกสูงส่งไม่ธรรมดา
“งานชุมนุมใหญ่?”
“เจ้าคือคนส่งเทียบเชิญหรือ?”
สีหน้ายอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับทั้งหลายเปลี่ยนไปฉับพลัน ปราณของเด็กหนุ่มเหนือกว่าขอบเขตพรตเต๋าทั้งเก้าขั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้เกริกไกร หรืออาจแข็งแกร่งยิ่งกว่านั้น!
“ถูกต้อง”
เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “หนูต่ำทรามเช่นพวกเจ้าชินกับการหลบซ่อนตัว ขืนไม่จับตาดูไว้หน่อย ประเดี๋ยวหนูต่ำทรามอย่างพวกเจ้าจะเผ่นไปอีก”
หนู?
ดูแคลนกันปานนี้…ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาหรือ!?
เหล่ายอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับเดือดดาล ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นถึงตระกูลนักบุญจากยุคโบราณ อีกฝ่ายกลับเรียกขานพวกเขาดั่งหนู หากมิใช่ว่าพวกเขามีกำลังไม่พอ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสังหารเด็กหนุ่มผู้นี้ลง ณ ที่นี้!
“แม้เป็นเพียงฝูงหนูต่ำทราม ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ของยุคนี้ก็นับว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง…เอาเถิด เลิกคิดเรื่องห้ำหั่นกันเองเสียที อยู่เฉย ๆ เสีย!”
เด็กหนุ่มปรายตามองเหล่ายอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับทั้งหลายด้วยความรังเกียจ จากนั้นร่างของเขาก็สลายไปจากที่แห่งนี้เสียแล้ว
วาสนาการเปลี่ยนแปลงสะท้านนภากำลังจะปรากฏในดินแดนหยินอย่างนั้นหรือ
นั่นหาใช่วาสนาการเปลี่ยนแปลงไม่…
เด็กหนุ่มล่วงรู้ความจริง สิ่งที่กำลังจะปรากฏในดินแดนหยินคือหายนะครั้งใหญ่ คือภัยพิบัติที่เรื้อรังมาตั้งแต่ยุคโบราณ ภัยพิบัติที่พร้อมถล่มใส่สิ่งมีชีวิตทั้งแดน…
หากมิใช่เพราะเหตุนี้ เขาไม่มีทางออกหน้าช่วยลัทธิไท่เสวียน
เขาอาจล้างบางกลุ่มอำนาจลับทั้งหมดนี้ด้วยซ้ำ
สิ่งที่เขาดูแคลนมากที่สุดก็คือพวกเห็นแก่ตัว มองแต่ตนเอง…
เรื่องนี้มิใช่ความปลอดภัยส่วนบุคคลอีกแล้ว หากแต่เป็นภัยพิบัติที่ทั้งแดนต้องเผชิญ การเห็นแก่ตัวไม่เพียงแต่เป็นภัยต่อผู้อื่น ยังบ่อนทำลายตัวเองอีกด้วย!
“พวกเจ้าคิดจริงหรือว่าแค่ซ่อนตัวไว้ก็มิมีผู้ใดล่วงรู้ ครั้งยุคโบราณ ข้าเพียงแต่ไม่ว่างจัดการพวกเจ้า ที่ไม่จัดการพวกเจ้าในยุคนี้ ก็เพื่อให้พวกเจ้าได้เปล่งประกายในยามนี้!”
เด็กหนุ่มพึมพำเสียงเบา “พวกต่ำทรามที่ซ่อนตัวในความมืดของยุคนี้ ต้องออกมาอยู่กลางแจ้งทั้งหมด เข้าร่วมมหาสงครามที่มิได้เข้าร่วมในยุคโบราณ!”
ไม่เพียงแต่เหยียนโจวเท่านั้นที่มีกลุ่มอำนาจเห็นแก่ตัว หนีสงครามเอาตัวรอด แคว้นอื่นในดินแดนหยิน รวมถึงดินแดนฮวงล้วนมีกลุ่มอำนาจลับเห็นแก่ตัวเยี่ยงนี้อยู่
กลับเป็นดินแดนฝอที่ไม่มี ดินแดนฝอเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาก มหาสงครามยุคโบราณครานั้น พุทธศาสนาเป็นกำลังสำคัญทีเดียว
กลุ่มอำนาจลับทั้งปวงในอาณาจักรนี้ต่างคิดว่าพวกเขาซ่อนตัวได้ดีเยี่ยม หารู้ไม่ พวกเขาหนีไม่พ้นสักคน ถูกสืบจนเจอตัวกันนานแล้ว
ที่ก่อนหน้านี้มิได้เอาเรื่องกลุ่มอำนาจลับเหล่านี้ มีเหตุผลดังที่เด็กหนุ่มว่า เก็บกลุ่มอำนาจลับเหล่านี้ไว้เพื่อเวลาที่ภัยพิบัติจุติลงมาในยุคนี้อีกครั้ง กลุ่มอำนาจลับเหล่านี้ยังสามารถเข้าร่วมสงครามได้
…
สำนักไท่หัว
“คุณชายต้องการเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่ภาคกลางถือเป็นเรื่องใหญ่!”
เซี่ยเหยียนรายงานเรื่องนี้ต่อผู้อาวุโสเวิงอู๋โยว
“ผู้อาวุโส เราแยกย้ายกันไปเตรียมการ ท่านไปเตรียมรถลาก ข้าไปเตรียมสัตว์อสูรมาลากรถ!”
นางกล่าวกับผู้อาวุโส แล้วออกจากสำนักไท่หัว
บทที่ 269
เหยียนโจวมีขนาดใหญ่มาก พื้นที่ทั้งห้าภูมิภาคต่างกว้างขวาง การเดินทางระหว่างภาคมิใช่เรื่องเล็ก จำต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่จึงจะส่งไปถึง
ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่เยี่ยงนี้ กลุ่มอำนาจฝึกตนที่ครอบครองนั้นมีเป็นส่วนน้อย ซึ่งสำนักไท่หัวไม่มี
การที่พวกเขาต้องเดินทางจากแดนบูรพาทิศไปยังภาคกลาง จำต้องค่อย ๆ รุดหน้าไป
เวิงอู๋โยวกับเซี่ยเหยียนแยกย้ายกันปฏิบัติหน้าที่ คนหนึ่งไปเตรียมรถ คนหนึ่งไปตามหาสัตว์อสูรลากรถ
รถนั้นหาง่าย
เวิงอู๋โยวจำได้ว่าเคยเห็นจากร้านประมูลว่ามีการเปิดประมูลรถลาก เพียงแต่รถลากนั้นมีประโยชน์ใช้สอยน้อยนิด อีกทั้งราคายังสูงลิ่ว จึงหลุดประมูลไปในตอนนั้น มิมีผู้ใดเสนอราคา
รถลากคั้นนั้นเป็นของจากยุคโบราณ ภายนอกดูมิได้วิเศษวิโสใด ๆ ขนาดก็ไม่ใหญ่ ทว่าภายในนั้นมีความยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ ด้านในหรูหราสบายอย่างยิ่ง
ทว่า…ก็ได้เพียงแค่นั้น
รถลากโบราณคันนี้ นอกจากความหรูหราภายใน มันไม่เหลือประโยชน์อื่นใดอีก บินเหินไม่ได้ โจมตีไม่ได้ และไม่มีกลไกป้องกันใด ๆ…
ทว่าเนื่องด้วยเป็นรถลากในยุคโบราณ อยู่มานานนม ราคาจึงสูงยิ่ง
ไม่มีผู้ใดเต็มใจซื้อรถลากที่ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยจะได้เยี่ยงนี้ด้วยราคาสูง เพราะอย่างนั้นครานั้นจึงหลุดประมูล ไม่มีคนเสนอราคาสักคน
เวิงอู๋โยวมาถึง สอบถามไปว่ารถลากโบราณคันนั้นยังอยู่หรือไม่
รถลากคันนั้นแทบจะเปิดประมูลทุกครั้งที่มีงาน ทว่าไม่เคยมีผู้ใดเสนอราคา
หนนี้ก็เช่นกัน
เมื่อรถลากโบราณถูกยกขึ้นมาบนแท่นประมูล ไม่มีผู้ใดในที่นี้เสนอราคา เวิงอู๋โยวจึงประมูลรถลากคันนี้ได้สบาย
หลังจากนั้น เขาออกจากร้านประมูล นำรถลากกลับไปที่สำนักไท่หัว รอคอยการกลับมาของเซี่ยเหยียน
รถคันนี้เตรียมไว้ให้ท่านเซียนนั่ง นั่งสบายก็พอ ประโยชน์ใช้สอยอื่นมีหรือไม่ก็ไม่ต่าง
อีกด้าน เซี่ยเหยียนมาอยู่บนเขาอสูรแห่งหนึ่ง
ผู้ฝึกตนในปฐพีนี้มีอยู่ถมเถ จำนวนสัตว์อสูรก็ไม่น้อยเช่นกัน
หรือหากย้อนกลับไปถึงยุคสมัยอันเก่าแก่ที่สุด ครานั้นยังเป็นอาณานิคมของอสูรเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ มนุษย์ยังมิใช่เจ้านายของที่แห่งนี้
เทียบกันแล้ว อสูรมีกายเนื้อแข็งแรง สายเลือดทรงพลัง มนุษย์นั้นเทียบไม่ได้เลย ทั้งกายเนื้ออ่อนแอ สายเลือดก็เทียบไม่ได้
ทว่ามนุษย์ใฝ่เรียน ซ้ำยังมีพรสวรรค์สูงส่ง คล้อยตามการพัฒนาเมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นเจ้านายของอาณาจักรแห่งนี้
อย่างเขาอสูรที่เซี่ยเหยียนมานี้ มีอยู่มากมายในแดนบูรพาทิศ มีสัตว์อสูรมากมายอาศัยอยู่ภายใน
เวลาเพียงสองเดือนกว่า ระดับพลังของเซี่ยเหยียนก้าวกระโดดอีกครั้ง นางจุดประกายเพลิงเทวาในกาย บรรลุขอบเขตเทวาสำเร็จ
เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งปี นางบรรลุจากขอบเขตประสานวิญญาณจนถึงขอบเขตเทวา กลายเป็นเทพเจ้าตนหนึ่ง ความเร็วนี้เรียกได้ว่าผิดปกติ หากผู้อื่นรู้เข้า ย่อมต้องตกตะลึงจนกรามค้าง!
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นางได้ขลุกอยู่กับท่านเซียนบ่อย ๆ เล่า
ประโยชน์ที่นางได้รับนั้นมหาศาล!
นี่ขนาดนางมิได้ตั้งใจฝึกฝนเท่าใด หากนางเก็บตัวบำเพ็ญโดยไม่สนสิ่งอื่น ขอบเขตของนางย่อมสูงส่งกว่านี้ กลายเป็นนักบุญยังมิใช่ปัญหา
“หาเจอแล้ว”
นางเปิดประสาทสัมผัสเทวา พริบตาเดียวจิตก็ครอบคลุมทั้งเขาอสูร หยั่งรู้สถานการณ์ทั้งหมดในเขาอสูร
เสียงดัง ‘ฟึ่บ!’ นางมาอยู่ตรงหน้าสัตว์อสูรตนหนึ่ง
มันคือราชสีห์ตัวสีเหลืองทอง ทั้งเนื้อทั้งตัวราวกับหล่อด้วยทองคำ เจิดจ้าแยงตา ขนาดตัวเท่าภูเขาลูกเล็ก ไอเลือดชั่วร้ายดุดันน่าหวาดหวั่น
“โฮก!”
ราชสีห์ตัวสีเหลืองทองคำราม ดวงตาสิงโตของมันจ้องมองเซี่ยเหยียนด้วยความระแวง พลางส่งเสียงถาม “เจ้าเป็นใคร!?”
ขนทั้งตัวของมันตั้งชัน สีหน้าเคร่งเครียดกังวล มันสัมผัสได้ถึงอันตรายใหญ่หลวงจากตัวเซี่ยเหยียน
เด็กสาวที่ดูอายุไม่มากผู้นี้ มีพลังพอจะปลิดชีพมันได้สบาย!
“ไปกับข้าเถิด ข้าจักมอบวาสนาการเปลี่ยนแปลงให้เจ้า ให้เจ้าได้ลากรถให้ผู้อาวุโสท่านหนึ่ง”
เซี่ยเหยียนกล่าว
หา?
ลากรถ?
เป็นสัตว์พาหนะรึ?
ทันทีที่ราชสีห์ตัวสีเหลืองทองได้ยินก็บันดาลโทสะในบัดดล
มันเป็นถึงจ้าวอสูรในถิ่นนี้ มีศักดิ์ศรีของตน ต่อให้มันมีพลังไม่สู้เด็กสาวตรงหน้า กระนั้นมันไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีไปเป็นสัตว์พาหนะให้ผู้อื่นเด็ดขาด!
“เจ้าฆ่าข้าเถิด!”
มันจ้องเซี่ยเหยียนด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยว “เผ่ามนุษย์ของเจ้ามีวาจาหนึ่ง ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้ ข้าเองก็เป็นเช่นนั้น ยอมตายเสียดีกว่าเป็นสัตว์พาหนะ!”
“อย่างนั้นหรือ”
เซี่ยเหยียนคลี่ยิ้ม มิได้โมโหแต่อย่างใด
นางหยิบแตงกวาเขียวชอุ่มออกมาลูกหนึ่ง หักท่อนหนึ่งแล้ววางบนก้อนหิน ส่งสัญญาณให้ราชสีห์สีเหลืองทองไปกิน
นี่คือแตงกวาที่ท่านเซียนมอบให้นาง
ท่านเซียนไม่เพียงแต่มอบแตงกวาให้นางจำนวนหนึ่ง แล้วยังมีมะเขือเทศอีกจำนวน ท่านเซียนบอกว่าแตงกวากับมะเขือเทศกินดิบ ๆ ก็อร่อย
“โฮก!”
ราชสีห์สีเหลืองทองคำรามกราดเกรี้ยว ดวงตาสิงโตมองเซี่ยเหยียนด้วยความชิงชัง “ลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้ เมื่อครู่เจ้ามิได้ฟังที่ข้าบอกหรือ หยามเหยียดข้าถึงเพียงนี้!?”
มันโกรธจนแทบระงับโทสะไม่ไหว อวัยวะภายในเกือบจะระเบิดออกมา
หักแตงกวาท่อนเล็ก ๆ ให้มันกิน เซี่ยเหยียนเห็นมันเป็นตัวอะไร?
มันเป็นถึงราชสีห์!
กินเนื้อ!
มิได้กินเจ!
เซี่ยเหยียนรังแกสิงโตเกินไปแล้ว!
บัดซบ หากมิใช่ว่ามันสู้เซี่ยเหยียนไม่ได้ มันต้องกลืนกินเซี่ยเหยียนลงไปทั้งเป็นแน่!
“เจ้าจงดูให้ดี นี่คือวาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ทั้งชีวิตนี้ของเจ้าก็ไม่อาจได้มา”
เซี่ยเหยียนกล่าว
แม้นเป็นแตงกวาท่อนเล็ก ขนาดใหญ่สู้เล็บยังไม่ได้ ทว่านี่คือแตงกวาที่ท่านเซียนปลูกด้วยตนเอง ล้ำค่าหายากยิ่งกว่าโอสถจักรพรรดิเสียอีก ระดับมหาจักรพรรดิยังใช่ว่าจะมีโอกาสได้รับ
นางกล่าวว่านี่คือวาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ชั่วชีวิตของราชสีห์สีเหลืองทองมิอาจได้รับ หาได้เป็นการเหยียดหยามราชสีห์สีเหลืองทองไม่ แต่เป็นการพูดถึงข้อเท็จจริงเท่านั้น
“เจ้าหลอกข้าเหมือนข้าโง่หรือ!”
ราชสีห์สีเหลืองทองคำราม โกรธจนควันออกจมูก
ไปตายซะ ให้แตงกวาขนาดเล็กกว่าเล็บมาแล้วบอกว่าเป็นวาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ชั่วชีวิตของมันก็ไม่อาจได้รับหรือ ย่ำยีกันเกินไปแล้ว!
มันกินเนื้อไม่กินเจ หากมันกินเจแล้วอยากกินแตงกวาขึ้นมา สามารถหาแตงกวามาเองได้เป็นตัน!
เจ้ากำลังสบประมาทผู้ใดอยู่!
ทว่าตอนนั้นเอง สายลมบางเบาพัดโชย กลิ่นหอมสดชื่นของแตงกวาแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูหัวใจ
จากนั้น มันสูดจมูกอย่างแรง สูดดมกลิ่นหอมสดชื่นนี้อย่างละโมบ
หอมเหลือเกิน!
เพียงแวบเดียวมันก็ดื่มด่ำติดอยู่ในภวังค์ มันไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อน หอมกว่าทุกกลิ่นที่มันเคยได้สูดดม!
“อายุขัยของข้า…เพิ่มพูนขึ้น!?”
เพียงครู่เดียว มันก็เบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
หลังจากได้กลิ่นหอมสดชื่นของแตงกวา มันกลับรู้สึกได้ว่าแก่นกำเนิดชีวิตในตัวมันกำลังทวีคูณอย่างรวดเร็ว!
เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
แก่นกำเนิดชีวิตทวีคูณ บ่งบอกว่ามันสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น!
เสียงดัง ‘ฟิ้ว!’ มันพุ่งไปอยู่ตรงก้อนหินอย่างรวดเร็ว กลืนแตงกวาที่มีขนาดเท่าเล็บเข้าไป กลัวเหลือเกินว่าเซี่ยเหยียนจะเปลี่ยนใจดึงกลับ!
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!
แทบจะพริบตาที่มันกลืนกินลงไป ร่างกายของมันก็ส่องแสงเจิดจ้า มีเสียงครืนครานดังออกมาจากตัว อายุขัยและขอบเขตพลังล้วนเพิ่มพูนเป็นเท่าตัว!
ทรงพลังยิ่ง!
นี่…นี่คือโอสถจักรพรรดิหรือ!?
ร่างราชสีห์สีเหลืองทองสั่นสะท้านรุนแรง วิญญาณสะเทือน สะท้านอย่างยิ่งยวด!
“ลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้ ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจถึงเพียงนี้ ข้าเองก็ไม่อาจฝืน”
เซี่ยเหยียนสั่นศีรษะเบา ๆ หมุนกายทำท่าจะไป
“อย่า ๆๆ! นางเซียน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเคยกล่าวว่าลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้ตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า เปล่าเลย!”
ราชสีห์สีเหลืองทองรีบวิ่งเข้าไปหาเซี่ยเหยียนท่าทางประดุจสุนัข ส่ายหัวกระดิกหางใส่เซี่ยเหยียน เอ่ยอย่างพะเน้าพะนอ “สิ่งที่ข้ากล่าวคือ จะฆ่าจะหยามแล้วแต่ท่าน อย่างไรข้าต้องเป็นสัตว์พาหนะให้ได้! ต่อให้ท่านฆ่าข้า หยามข้า ข้าก็จะเป็น!”
ให้ตายสิ ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
เซี่ยเหยียนได้ยินแล้วได้แต่อุทานว่าสุดยอด ราชสีห์สีเหลืองทองช่างกล้าลั่นวาจาจริง ๆ!
บทที่ 270
เซี่ยเหยียนพาราชสีห์สีเหลืองทองไปด้วย เป็นผลให้มันหน้าชื่นตาบาน ลืมวาจาที่เขาลั่นว่ายอมตายเสียดีกว่าเป็นสัตว์พาหนะไปจนสิ้น
น่าขัน เป็นสัตว์พาหนะดีขนาดนี้ ไยมันต้องไม่ยอมด้วย!
ส่วนศักดิ์ศรีที่ว่า อืม เป็นสัตว์พาหนะแล้วค่อยตามศักดิ์ศรีกลับมายังได้
นางขึ้นเขาอสูรอีกหลายลูก และพาสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในเขาอสูรแต่ละลูกไป
เริ่มแรก สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนไม่เต็มใจเฉกเช่นราชสีห์สีเหลืองทอง แต่หลังจากนางหยิบแตงกวาออกมา สัตว์อสูรเหล่านี้ก็กระตือรือร้นกันเหลือแสน ไม่ว่าอย่างไรก็ขอติดตามนางไปเป็นสัตว์พาหนะให้ได้
นับราชสีห์สีเหลืองทองด้วย บัดนี้มีสัตว์อสูรทั้งหมดเก้าตน
มีอสูรลากรถเก้าตน จักได้ช่วยกันแบ่งเบาภาระ เดินทางต่อไปได้เรื่อย ๆ อย่างไร้ปัญหา
“จำไว้ สิ่งที่ไม่ควรถามอย่าถาม ไม่ควรพูดอย่าพูด! ผู้อาวุโสท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน อย่าสร้างปัญหาให้ตัวพวกเจ้าเอง!”
เซี่ยเหยียนเตือนสัตว์อสูรเหล่านี้เสียงขึงขัง ป้องกันมิให้อสูรเหล่านี้ฝ่าฝืนข้อห้ามของท่านเซียน
“พวกเราเข้าใจ!”
“ไม่มีทางพูดมากถามมาก!”
ราชสีห์สีเหลืองทองและอสูรตนอื่นตอบอย่างรวดเร็ว
พวกมันได้ลิ้มรสประโยชน์ที่ได้แล้ว ซ้ำยังล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของเซี่ยเหยียน จึงมิกล้าบุ่มบ่ามแม้แต่น้อย
“ดี”
เซี่ยเหยียนพยักหน้า ก่อนจะพาอสูรเหล่านี้กลับสำนักไท่หัว
เวิงอู๋โยวเห็นว่าเซี่ยเหยียนกลับมาแล้ว จึงนำรถลากออกมา อสูรทั้งเก้าตนคล้องสายเชือกอย่างรู้หน้าที่ ยอมเป็นสัตว์พาหนะด้วยความดีอกดีใจ
“ข้าไปก่อน”
เซี่ยเหยียนบอกลาเวิงอู๋โยว ขึ้นนั่งรถลาก ควบอสูรทั้งเก้าตนมาอยู่นอกเมืองชิงซาน
นางสั่งให้อสูรทั้งเก้าตนลากรถไปซ่อนตัวไว้ก่อน ประเดี๋ยวปุถุชนในเมืองชิงซานจะแตกตื่นเอา
หลังจากกำชับทุกอย่างเรียบร้อย นางเดินเท้าเข้าไปในเมืองชิงซาน
“ท่านเซียนยังต้องเรียกขานว่าผู้อาวุโส ผู้อาวุโสท่านนี้มีภูมิหลังเช่นไรกันแน่”
“หรือว่าจะเป็นนักบุญ?”
อสูรทั้งเก้าตนสนทนากันเสียงเบา คาดหวังต่อผู้อาวุโสที่เซี่ยเหยียนกล่าวถึงอย่างเต็มเปี่ยม
เซี่ยเหยียนเดินเข้าไปในเมืองชิงซาน มาอยู่ที่ร้านของท่านเซียน
“คุณชาย ข้ามาแล้ว!”
นางได้พบท่านเซียน บอกท่านเซียนว่านางเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้สามารถเดินทางไปยังภาคกลางได้
“ได้”
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า คาดหวังในการไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่ภาคกลางอย่างมาก
ถึงอย่างไร นับแต่เขาพำนักอยู่ในเมืองชิงซานก็ไม่เคยเดินทางไปที่อื่นอีก อยู่แต่ในเมืองชิงซานมาโดยตลอด
เขาอยากรู้อยากเห็นโลกภายนอกมาก
เพียงแต่ในอดีต เขามีความกังวลในใจ มิกล้าเที่ยวเพ่นพ่านที่อื่น
ในโลกแห่งการฝึกตน เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนและสัตว์อสูร ปุถุชนคนหนึ่งทะเล่อทะล่าออกเพ่นพ่านเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง
เมื่อครั้งเขาเลือกพำนักในเมืองชิงซานก็เพราะเมืองชิงซานอยู่ติดกับสำนักไท่หัว ได้รับความคุ้มครองจากสำนักไท่หัว ไม่มีผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรเข้ามาก่อความวุ่นวาย ปลอดภัยเหลือคณา
บัดนี้เขาสิ้นข้อกังวลเหล่านั้น
เขาได้ประจักษ์ถึงความเก่งกาจของพวกอ้ายฉาน มิหนำซ้ำการเดินทางครั้งนี้ยังมีเซี่ยเหยียนมาด้วย เขาจะต้องกังวลถึงสิ่งใดอีก
เมื่อครั้งพายเรือชมทัศนียภาพที่ทะเลสาบชิงสุ่ย เซี่ยเหยียนเคยลงมือสังหารสิ่งมีชีวิตประหลาดแสนแข็งแกร่งตนหนึ่ง เขายอมรับในฝีมือของเซี่ยเหยียนมาก
นอกจากนี้ เซี่ยเหยียนยังมีฐานะเป็นศิษย์สายตรงของสำนักไท่หัว
สำนักไท่หัวทรงพลังถึงเพียงนั้น เป็นถึงกลุ่มอำนาจยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ ผู้ใดหาญกล้าแตะต้องเซี่ยเหยียน
และเพราะเหตุผลนี้ เขาถึงอยากไปภาคกลาง ไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่นี้ หากมีเพียงเขาคนเดียว หรือมีเพียงพวกอ้ายฉาน เขาคงไม่อยากไป
ความปลอดภัยสำคัญที่สุด
แต่มีเซี่ยเหยียนอยู่ เท่ากับมีความปลอดภัยอยู่
“ข้าไปบอกพวกอ้ายฉาน”
อันหลานเสวี่ยเอ่ยยิ้ม ๆ พลางเดินออกจากลานเล็ก เดินทางไปแจ้งข่าวพวกอ้ายฉาน
พวกอ้ายฉานต่างอยู่ที่บ้านของตน
เมื่อคืนนางมิได้กลับ ค้างในลานเล็กของท่านเซียนหนึ่งคืน
แน่นอนว่ามิใช่นางที่ปริปากขอค้างหนึ่งคืน ท่านเซียนไม่เอ่ยปาก นางไฉนเลยจะกล้าบอกว่าขอค้างหนึ่งคืน
แต่เพราะท่านเซียนเป็นฝ่ายรั้งนางไว้
นางจึงได้พักในสถานที่ประทับของท่านเซียนหนึ่งคืน สร้างความดีใจให้นางอย่างมหาศาล นางตื่นเต้นจนมิได้หลับทั้งคืน
อาหารเช้าที่ท่านเซียนตื่นเช้ามาทำให้ก็ช่วยให้นางได้รับผลประโยชน์อย่างเหนือจินตนาการ
นางอยากพักอยู่กับท่านเซียนไปตลอด…
ทว่านางรู้ดี นี่เป็นเพียงฝันเกินจริงของตนเท่านั้น
นางจะพักอยู่กับท่านเซียนไปตลอดได้อย่างไร!
ได้พักเพียงหนึ่งคืนนับเป็นวาสนาสูงสุดของนางแล้ว!
เมื่อคืนท่านเซียนเห็นว่านางไม่มีที่อยู่ ถึงยอมให้นางอยู่ค้างหนึ่งคืน
นางรู้ตำแหน่งบ้านของพวกอ้ายฉาน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็พาพวกอ้ายฉานมายังบ้านท่านเซียน
อ้ายฉานมิได้บอกผู้ใหญ่ในบ้านถึงตัวตนที่แท้จริงของท่านเซียน พวกเขากลัวว่าผู้ใหญ่ในบ้านจะเผลอหลุดปาก แล้วรบกวนแผนการท่องโลกในฐานะปุถุชนของท่านเซียน
“ไปเถิด”
หลี่จิ่วเต้าปิดประตูลาน อุ้มแมวน้อยสีขาวขึ้นแล้วออกเดินทางพร้อมพวกเซี่ยเหยียน
ไปภาคกลางคราวนี้ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด ทิ้งแมวน้อยสีขาวไว้ที่บ้านเขามิใคร่จะสบายใจนัก จึงพาไปด้วย
ครั้นมาถึงบ้านหลิงอิน หลี่จิ่วเต้าก็มิได้เข้าไป แต่เขาให้อ้ายฉานเข้าไปเรียกหลิงอิน
เขามิกล้าเข้าไป ความทรงจำเยือนบ้านหลิงอินครั้งก่อนยังสดใหม่ราวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
หนก่อนที่มาบ้านหลิงอิน ชวนหลิงอินไปคืนสุกี้หม้อไฟที่บ้าน ปรากฏว่ามารดาของหลิงอินเข้ามาถึงก็ถามเขาว่าจะเกี่ยวดองกับหลิงอินเมื่อใด ซ้ำยังบอกอีกว่ายิ่งเกี่ยวดองไวยิ่งดี จะได้รีบมีลูก!
ความสัมพันธ์ยังไปไม่ถึงไหน จะให้มีลูกแล้วหรือ?
หลี่จิ่วเต้านึกกลัวจากใจจริง!
เขายัง…อายุน้อย!
เขามิได้ให้อันหลานเสวี่ยกับเซี่ยเหยียนเข้าไปเช่นกัน เพราะกลัวว่ามารดาของหลิงอินจะเข้าใจผิดอีก ถึงเวลานั้นคงยิ่งวุ่นวายไปใหญ่
เขาจึงให้อ้ายฉานเข้าไป
อ้ายฉานเป็นเด็ก เข้าไปคงไม่มีปัญหา
ผ่านไปไม่นาน หลิงอินกับอ้ายฉานเดินออกมา
“ไปเถิด ไปดูทิวทัศน์ที่ภาคกลางบ้าง”
คนครบแล้ว พวกหลี่จิ่วเต้าจึงเดินทางออกไปที่นอกเมืองชิงซาน
“ข้ากลัวว่าคนในเมืองจะแตกตื่น จึงทิ้งรถลากไว้นอกเมือง”
เซี่ยเหยียนนำทางอยู่ด้านหน้า เมื่อมาถึงนอกเมือง สัตว์อสูรทั้งเก้าจึงลากรถออกมากลางอากาศ
ก่อนหน้านี้ อสูรทั้งเก้าตัวล้วนซ่อนตัวอยู่ในมิติอากาศ
“คุณชายเชิญขึ้นรถ!”
เซี่ยเหยียนกล่าวกับท่านเซียนอย่างนอบน้อม
นี่หรือผู้อาวุโสท่านนั้น?
อสูรทั้งเก้าตนเห็นท่าทีนบนอบเยี่ยงนี้ของเซี่ยเหยียน จึงเดาว่าหลี่จิ่วเต้าก็คือผู้อาวุโสที่เซี่ยเหยียนพูดถึง
‘ผู้อาวุโสเก่งกาจยิ่ง อยู่ในขั้นกลับสู่พื้นฐานอย่างสมบูรณ์ ไม่มีเค้ากระเพื่อมของพลังปราณแม้แต่น้อย เหมือนปุถุชนเปี๊ยบ!’
พวกมันคิดในใจ
ก่อนหน้านี้เซี่ยเหยียนเคยเตือนพวกมันแล้วว่า ผู้อาวุโสท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน พวกมันอย่าได้พูดหรือถามอะไรเหลวไหลเด็ดขาด
“ได้”
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า ขึ้นไปบนรถลาก
สำนักใหญ่ก็คือสำนักใหญ่
อสูรที่ใช้ลากรถล้วนไม่ธรรมดา ดุดันเหลือแสน
หากว่าไม่มีเซี่ยเหยียน เขาคงไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้
และเมื่อเข้ามานั่งด้านใน เขายิ่งสะท้อนใจ
ผู้ฝึกตนนี่สุดยอด ภายนอกรถลากคันนี้ดูไม่เท่าไร ทว่าภายในกลับวิเศษถึงเพียงนี้ ใหญ่โตหรูหรายิ่งกว่าวังเสียอีก!
จากนั้นพวกหลิงอินและอันหลานเสวี่ยก็ขึ้นรถลากมาเช่นกัน