761-765

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 761ถึง 765

สุนัขดำรู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อคราวบรรพจารย์ฝูคลี่แผ่ญาณสัมผัสปกคลุมอาณาจักรผืนนี้แล้ว


ทว่ามันไม่ได้ใส่ใจ เพราะไม่ได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ถึงอย่างไรมันก็ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่บรรพจารย์ฝูทำเช่นนี้คืออะไร และมันก็ขี้เกียจเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย


แต่บัดนี้ บรรพจารย์ฝูมาอยู่ที่นี่ ทั้งยังวางค่ายกลจำนวนหนึ่งไว้นอกเมือง เรื่องนี้เห็นทีมันไม่ยุ่งไม่ได้แล้ว


“พวกเราคือเป้าหมายหรือ”


ลั่วสุ่ยผงะ งุนงงนิดหน่อย กระนั้น ยามนางคลี่แผ่ญาณสัมผัสออกไปตรวจสอบสถานการณ์นอกเมือง ก็เข้าใจในบัดดล


นางก้าวสู่ขอบเขตโกลาหลแล้ว พฤติกรรมของบรรพจารย์ฝูเผยออกมาอย่างไม่มีปิดบังด้วยญาณสัมผัสของนาง


“พวกเราคือเป้าหมายจริง ๆ!”


ลั่วสุ่ยพยักหน้า “พวกเราเคยข้องแวะกับคนผู้นี้มานิดหน่อย…”


จากนั้นนางก็เล่าทุกอย่างเกี่ยวกับบรรพจารย์ฝูให้ฟัง


ตอนนี้สุนัขดำได้ติดตามอยู่ข้างกายคุณชายแล้ว ถือเป็นคนกันเองจึงไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง


“ข้าเข้าไปดูหน่อยแล้วกัน”


สุนัขดำกล่าว “ดูว่าเขาต้องการสิ่งใด!”


“พาข้าไปด้วย!”


กิเลนไฟตะโกนบอกอยู่ด้านข้าง “ข้าชังน้ำหน้าตาเฒ่าผู้นี้มานานแล้ว อยากถีบเขาให้หนัก ๆ สักสองทีตั้งแต่คราวก่อน คิดไม่ถึงว่าหนนี้เขามาหาถึงที่!”


มันกล่าวต่อ “เขากางค่ายกลนอกเมืองเพื่อรวบหัวรวบหางเราอย่างนั้นหรือ”


มันผู้ก้าวสู่ขอบเขตโกลาหลขั้นสามแล้วย่อมแกร่งกล้ากว่าอย่างไม่ต้องสงสัย มันรับรู้พฤติกรรมของบรรพจารย์ฝูที่นอกเมืองเช่นกัน


แม้ว่ามันยังไม่เข้าใจในจุดประสงค์การมาของบรรพจารย์ฝู แต่ดูจากท่าทีของบรรพจารย์ฝูก็เห็นชัดแล้วว่าไม่หวังดี มิฉะนั้นไยต้องกางค่ายกลนอกเมืองด้วย


ซ้ำยังเป็นมหาวิชาพิฆาตอีก!


“ได้”


สุนัขดำพยักหน้า พากิเลนไฟไปจากที่นี่


อีกด้าน บรรพจารย์ฝูเพิ่งกางค่ายกลใหญ่เสร็จพอดี พลันเผยรอยยิ้มปลื้มปริ่มบนใบหน้า


“ฮ่า ๆ ค่ายกลใหญ่เตรียมการเรียบร้อย คราวนี้ต่อให้มีปีกเจ้าก็บินไปไหนไม่ได้!”


เขาหัวเราะร่วน สายตาเปี่ยมไปด้วยความปรีดา เขาถูกหลี่จิ่วเต้าหลอกมาสองครั้ง ในที่สุดบัดนี้ก็ได้โอกาส แก้แค้นลบล้างความอัปยศแล้ว!


“ผู้ใดมีปีกก็บินไปไหนไม่ได้”


เวลานั้น กิเลนไฟและสุนัขดำก้าวออกจากประตูเมือง พวกมันได้ยินวาจาของบรรพจารย์ฝูพอดี กิเลนไฟจึงเอ่ยถามไปยังบรรพจารย์ฝู


ว่าอะไร บรรพจารย์ฝูกำลังกล่าวถึงคุณชายอยู่หรือ


หากเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้คงจบมิได้ง่าย ๆ มันไม่มีทางยอมรามือด้วยการถีบบรรพจารย์ฝูเพียงสองทีเท่านั้น ไม่สิ ราเท้าเหมาะยิ่งกว่า!


“เจ้าเองหรือ!”


นัยน์ตาบรรพจารย์ฝูไหวระริก คิดไม่ถึงนิดหน่อย เมื่อครู่มันดื่มดำอยู่กับการกางค่ายกล จึงไม่ทันสังเกตว่ากิเลนไฟและสุนัขดำมาถึงที่นี่แล้วหรืออย่างไร


นอกจากนี้ เหตุใดจู่ ๆ กิเลนไฟและสุนัขดำถึงมาที่นี่


เป็นเพราะหลี่จิ่วเต้ารับรู้แล้วหรือว่าเขากำลังกางค่ายกลอยู่ที่นี่!?


ช่างปะไร!


ค่ายกลใหญ่เสร็จสิ้นแล้ว ไม่ว่าหลี่จิ่วเต้ารู้ตัวแล้วหรือไม่ วันนี้ก็มิมีผู้ใดหนีรอดไปได้!


“หลี่จิ่วเต้าสั่งให้พวกเจ้าออกมาหรือ”


เขาเหลือบมองกิเลนไฟและสุนัขดำด้วยความดูแคลน “หลี่จิ่วเต้าคิดอะไรอยู่ถึงได้สั่งให้ล่อและสุนัขขากะเผลกอย่างพวกเจ้าออกมานี่ น่าขันนัก! รีบเรียกเขาออกมานี่เร็วเข้า!”


ล่อรึ?


ไอ้ระยำ!


เมื่อกิเลนไฟได้ยินคำนี้ก็เดือดดาลขึ้นมาในบัดดล


“ตาเฒ่านี่พูดอะไร!?”


มันพิโรธเหลือแสน ต่อให้มันในตอนนี้มิได้อยู่ในร่างเดิม แต่ก็มิได้ใกล้เคียงกับล่อเลยสักนิด มันจำแลงกายเป็นม้ามังกรสูงใหญ่องอาจต่างหาก!


บรรพจารย์ฝูเอ่ยว่ามันเป็นล่อเพื่อเหยียดหยามมันชัด ๆ!


สุนัขขา…กะเผลกหรือ!?


สีหน้าสุนัขดำเปลี่ยนไปเช่นกัน สายตาเย็นเยียบลง


“ครึ่งปี! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าครึ่งปีที่ผ่านมาข้าอยู่อย่างไร!? แต่ละวันหากข้ามิได้กำลังไปขุดศพ ก็กำลังกอดศพเพื่อดูดกลืนพลัง! พวกเจ้าไฉนเลยจะเข้าใจความปวดร้าวของข้า!”


บรรพจารย์ฝูเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เอ่ยเสียงเคืองแค้น “เพราะอย่างนั้นข้าถึงมานี่ ข้าต้องการแก้แค้น สะสางหนี้แค้นทั้งหมดที่มี!”


“แก้แค้นหรือ?”


กิเลนไฟฟังแล้วเกิดความสับสน “ตาเฒ่า เจ้าต้องแก้แค้นเรื่องใดกัน สิ่งที่คุณชายแลกเปลี่ยนกับเจ้าล้วนเป็นของวิเศษล้ำค่า เจ้าไม่ลอบหัวเราะไม่พอ แต่ยังมาโวยวายว่าจะแก้แค้นอยู่ที่นี่อีก!”


“ของวิเศษล้ำค่า? วิเศษกับย่าแกสิ!”


หลังบรรพจารย์ฝูได้ยินคำกล่าวของกิเลนไฟก็โมโหโทโส


“เจ้าเรียกของพวกนี้ว่าของวิเศษล้ำค่าหรือ!?”


เขาหยิบเศษซากกองหนึ่งออกมา ทั้งยังนำ ‘ศาสตรา’ ที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ออกมาด้วย ก่อนจะบีบ ‘ศาสตรา’ เหล่านี้จนแหลกลาญทั้งหมดต่อหน้ากิเลนไฟ!


“เป็นแบบนี้นี่เอง! ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!”


กิเลนไฟหัวเราะร่วน เข้าใจแล้วทุกอย่าง


มันก็ว่าบรรพจารย์ฝูผู้นั้นวางอุบายลวงคุณชายเห็น ๆ ของวิเศษที่เขานำออกมาล้วนเป็นเศษสวะ ไร้ซึ่งคุณประโยชน์ แต่คุณชายยังยอมแลกเปลี่ยนด้วยทุกชิ้น ทั้งยังแลกด้วยยอดศาสตราจริง ๆ


แม้ว่าในเวลาต่อมา ของวิเศษเหล่านั้นต่างสำแดงอานุภาพเกินหยั่งออกมา กระนั้นพวกเขารู้ดีว่า ของวิเศษเหล่านี้ล้วนดาษดื่น แต่มันน่ากลัวขึ้นได้เพราะอยู่ในมือคุณชาย


พวกเขาได้เห็นกระบวนการวิวัฒนาการของของวิเศษเหล่านี้ ยามคุณชายใช้ของวิเศษเหล่านี้ มีพลังสูงส่งอย่างหามิได้จุติลงบนพวกมัน จากนั้น เหล่าของวิเศษก็เปลี่ยนไปจากเดิม เปี่ยมไปด้วยพลานุภาพสยดสยองเกินหยั่ง


คิดแล้ว ยอดศาสตราที่คุณชายนำไปแลกก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ใช่ว่ายอดศาสตราเหล่านั้นทรงพลังอยู่แล้ว หากแต่เพราะคุณชายช่วยให้ยอดศาสตราเหล่านั้นทรงพลังขึ้นต่างหาก


ในเมื่อคุณชายสามารถมอบพลังสูงส่งอย่างหามิได้ให้ยอดศาสตราเหล่านั้นได้ ก็ย่อมดึงกลับคืนได้เช่นกัน


เมื่อคราวทำการแลกเปลี่ยน คุณชายคงดึงพลังสูงส่งอย่างหามิได้นั้นกลับแล้วแน่ ๆ


บรรพจารย์ฝูทึกทักเอาเองว่าได้ของวิเศษมาไว้ในครอบครอง ผลสุดท้ายพบว่าหาใช่เช่นนั้น ไฉนเลยจะไม่โมโห ที่ว่าต้องการแก้แค้นคงเพราะเหตุนี้กระมัง


“ยังจะหัวเราะอีกหรือ!?”


บรรพจารย์ฝูยิ้มเย็น “ข้าสิต้องหัวเราะ! พวกเจ้าคิดว่าตักตวงผลประโยชน์จากข้าได้โดยใช้ของสวะมาแลกกับของดี หารู้ไม่ พวกเจ้ามิได้เข้าใจอันใดเลย! ใบหญ้านั้นมีเพียงใบเดียวที่ไหน! หญ้าต้องมีเป็นต้นอยู่แล้ว!”


จากนั้น เขาหยิบหญ้าต้นนั้นออกมาจงใจอวดอ้าง เสียงหัวเราะดังลั่นของกิเลนไฟสร้างความไม่สบอารมณ์แก่เขา เขาต้องการใช้หญ้าต้นนี้ยั่วโมโหกิเลนไฟให้หนัก


“พอทีเถิด!”


กิเลนไฟหัวเราะหนักขึ้น “ตาเฒ่า เจ้ารีบไปเสียดีกว่า อย่าได้ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี คุณชายมิได้ถือสาเจ้าทั้งสองครั้งถือว่าเจ้าโชคดีมากแล้ว! เจ้าอย่ารนหาที่ตายเลย!”


มันไม่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งแรก


ทว่ามันเคยได้ยินพวกลั่วสุ่ยเอ่ยถึงเรื่องนี้


ตาเฒ่านี้เป็นสิบแปดมงกุฎตั้งแต่พบกันคราแรก ซ้ำยังเข้าหาถูกคน นั่นคือคุณชาย คุณชายมีจิตใจเมตตา มิได้เปิดโปงเล่ห์เหลี่ยมของตาเฒ่าผู้นี้ แล้วยังซื้อของเหล่านั้นไว้เอง


หลังจากนั้น ตาเฒ่านี่คงรู้มาว่าของเหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นยอดศาสตราแล้วทั้งหมดเมื่ออยู่ในมือคุณชาย พลานุภาพจึงน่าประหวั่นพรั่นพรึง และคิดไปว่าเดิมทีของเหล่านี้อาจเป็นยอดศาสตราอยู่แล้ว เขาต่างหากเป็นฝ่ายถูกต้ม จึงวางอุบายครั้งที่สอง หมายจะหลอกเอาของเหล่านั้นคืน


หนนี้ คุณชายมิได้ปล่อยตาเฒ่านี้ไป หากแต่ดึงพลังสูงส่งอย่างหามิได้คืนจากของเหล่านั้น และทำการแลกเปลี่ยนกับตาเฒ่าเพื่อให้ตาเฒ่าผู้นี้ได้บทเรียน ไม่ให้มีพฤติกรรมต้มตุ๋นเช่นนี้อีกหลังจากนี้


แต่ดูจากท่าทางของตาเฒ่าแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้บทเรียนจากเรื่องนี้เลยสักนิด ยังคงดื้อดึง ซ้ำยังต้องการใช้กำลัง!


นี่มันเป็นการเล่นตลกชัด ๆ!


อย่าว่าแต่คุณชายเลย ลำพังตัวละครเล็ก ๆ อย่างพวกเขาที่คอยติดตามข้างกายคุณชายยังสามารถกำราบตาเฒ่าผู้นี้ได้ง่ายดาย


“เจ้าหัวเราะอะไร!”


บรรพจารย์ฝูพิโรธ เสียงหัวเราะดังลั่นของกิเลนไฟยั่วยุอารมณ์เขาอีกครั้ง เขาเก็บหญ้าต้นนั้นเข้าไป ก่อนจะใช้พลังจากค่ายกลใหญ่ที่เขากางไว้เต็มสูบ โจมตีใส่กิเลนไฟอย่างดุดัน!


“ดื้อด้านนัก หากเจ้ารั้นต้องการเช่นนี้คงมิมีสิ่งใดให้ต้องพูดกันอีก! ตาเฒ่า ข้าอยากถีบหน้าเจ้ามานานแล้ว คราวนี้ข้าขอถีบให้สะใจเลยแล้วกัน!”


กิเลนไฟกระโจนตัวขึ้น ค่ายกลใหญ่ฝีมือบรรพจารย์ฝูถูกข่มพลังลงในพริบตา พลังทั้งหมดที่ปะทุออกมาก็ถอยหนีกลับไปในเสี้ยววินาที!


ขณะเดียวกัน มันปรากฏตัวตรงหน้าบรรพจารย์ฝู บรรพจารย์ฝูไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ กีบเท้าของกิเลนไฟก็จรดลงบนใบหน้าเขา ออกแรงถีบระรัวเร็ว!


“อ๊ากกก!”


ชั่วขณะนั้น บรรพจารย์ฝูร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าชราของเขาเกือบถูกกิเลนไฟถีบจนแหลกเละ!


แต่เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดทางกาย ความเจ็บปวดทางใจของเขาสาหัสกว่า!


เรื่องอะไรกัน?


ล่อสายพันธุ์อะไร?


เหตุใดถึงดุดันเช่นนี้!


พลังจากค่ายกลใหญ่ยังถูกไล่ต้อนจนต้องถอยหนี!


มิหนำซ้ำยังจู่โจมเขาได้รุนแรงจนมิอาจตอบโต้!


เขาปะทุพลังออกไปเต็มที่ก็ยังไม่ไหว ไม่อาจหยุดยั้งกีบเท้ากิเลนไฟได้เลย น่ากลัวไปแล้ว พลังของกิเลนไฟเหนือชั้นกว่าเขามาก!


สุดท้าย เขาถูกกิเลนไฟเตะกระเด็นออกไป


และใบหน้าของเขาดูมิได้อีก แหลกเหลวไปหมด!


“ตาเฒ่า คราวนี้รู้ซึ้งหรือยัง! เลิกวางอุบายเสียที คุณชายไม่ยี่หระจะถือสาอะไรกับตัวละครต่ำต้อยเช่นเจ้า แต่หากเจ้ายังไม่ได้บทเรียนและมาหาเรื่องอีก ข้าจะเตะสมองเจ้าให้ระเบิด แล้วคร่าชีวิตเจ้าไปอย่างสิ้นเชิง!”


กิเลนไฟกล่าวต่อบรรพจารย์ฝู


จากนั้น มันไปจากที่นี่พร้อมสุนัขดำ กลับไปยังเมืองจักรพรรดิไป๋


“อ๊ากกก!”


บรรพจารย์ฝูคำรามเสียงเหี้ยมเกรียม โมโหจนอกแทบระเบิด เขามาเพื่อแก้แค้น แต่ยังไม่ทันได้พบหน้าหลี่จิ่วเต้า ก็ถูกล่อตัวหนึ่งถีบจนหน้าเละ!


“ไม่เป็นไร ข้าจักกลับมาอีกครั้ง!”


เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เอ่ยในใจอย่างแค้นเคือง เขาไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ!


นอกจากนี้ เจ้าล่อตัวนั้นมีตาหามีแววไม่ คิดว่าต้นหญ้าที่เขาหยิบออกมาเป็นของปลอม มิใช่ของจริง จึงมิได้ยึดไปจากเขา!


‘ก่อนหน้านี้เมื่อคราวข้าตรวจจับด้วยญาณสัมผัส ข้ารู้สึกถึงพลังปราณแกร่งกล้าน่าพรั่นพรึง แม้จะเป็นเพียงวูบเดียว กระนั้นข้าก็ยังรับรู้ได้!’


นัยน์ตาของเขาเย็นยะเยือกพร้อมเอ่ยในใจว่า ‘เป็นไปได้สูงว่าเจ้าของพลังปราณมวลนั้นมาจากแดนบรรพโกลาหล เป็นยอดฝีมือในแดนบรรพโกลาหล!’


จากนั้น เขาเอ่ยต่อในใจ ‘ข้ามีต้นหญ้าวิเศษนี้ในมือ หากนำไปให้ยอดฝีมือจากแดนบรรพโกลาหลผู้นั้น ขอร้องให้เขาช่วยรับข้าไว้! ถึงเวลานั้น ข้าจักต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้แน่!’


ครั้นแล้ว เขารีบไปจากที่นั่น ด้วยกลัวว่ากิเลนไฟจะย้อนกลับมาทำร้ายเขาและชิงหญ้าวิเศษต้นนี้


‘ข้ายอมยกหญ้าวิเศษระดับนี้ให้ ยอดฝีมือจากแดนบรรพโกลาหลผู้นั้นต้องยอมรับข้าไว้แน่ รอข้าแข็งแกร่งขึ้นเมื่อใด ข้าขอสาบานว่าจะล้างแค้นทุกคนให้หมด!’


เขาคิดไประหว่างทาง

ท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆสีขาว มหาสมุทรเรียบนิ่งไร้คลื่น ไม่นานนัก บรรพจารย์ฝูก็มาอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง


เขารอบคอบมาก มิได้วางมาดเสมือนผู้สูงส่งแต่อย่างใด หากแต่ตั้งใจทำทีนอบน้อม เมื่อเข้าใกล้เกาะแล้วก็รีบลงมาเดินเท้าเพื่อขึ้นเกาะ เป็นการแสดงถึงความเคารพที่มีต่อยอดฝีมือท่านนั้น


“ไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นยังอยู่ที่นี่หรือไม่…”


เขาคิดในใจ มิสู้จะมั่นใจเท่าใด แม้ว่าพลังปราณนั้นมีจุดกำเนิดจากที่นี่ ทว่าเจ้าของพลังปราณนั้นอาจผ่านมาที่นี่เพียงครู่เดียวแล้วไปจากก็ได้


“ท่านอาวุโสอยู่หรือไม่ ข้าน้อยฝูไห่เดินทางมาเยี่ยมเยียน!”


เขาเอ่ยเสียงนบนอบ รอคอยเสียงตอบรับจากท่านผู้นั้น


แต่รออยู่นานก็มิได้คำตอบจากท่านผู้นั้น นี่ท่านไปเสียแล้วหรือ


“ท่านอาวุโส ข้าน้อยฝูไห่ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนด้วยความสัตย์จริง!”


เขาไม่อยากยอมแพ้ จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง รู้สึกว่าท่านผู้นั้นยังไม่ไปไหน เพียงแต่ไม่อยากพบเขาเท่านั้น


น่าเสียดายที่ไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด


“ท่านอาวุโส ก่อนนี้ท่านเคยจับสัมผัสแสงลำหนึ่งใช่หรือไม่ ในนั้นยังมีใบหญ้าใบหนึ่งแฝงไว้! ข้าน้อยมาคราวนี้โดยนำหญ้าต้นนั้นมาให้! หวังว่าจะได้พบหน้าท่านอาวุโส!”


เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


พริบตาที่หลี่จิ่วเต้าตวัดใบหญ้าออกเป็นกระบี่ พลานุภาพกล้าแกร่งปานนั้น เขาเชื่อว่าท่านผู้นั้นย่อมสัมผัสได้


ตามคาด เขาคิดไม่ผิด ท่านผู้นั้นยังไม่ไปจริง ๆ ยังอยู่ที่นี่และให้การตอบรับเขา


“หืม ก่อนนี้ข้านอนอยู่ ไม่ทันสังเกตว่ามีแขก ฮ่า ๆ อาวุโสอะไรกันเล่า ข้าหาได้แก่ปานนั้นไม่ ในเมื่อมาแล้วย่อมคือแขก เข้ามาเถิดสหาย”


เสียงหนึ่งดังขึ้นบนเกาะ จากนั้น ประตูแสงบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าบรรพจารย์ฝู ภายในเป็นโลกใบเล็กที่มีสิ่งแวดล้อมยอดเยี่ยม


นอนหรือ


หลอกผู้ใดกัน!


บรรพจารย์ฝูบ่นอุบในใจ ตัวตนระดับนี้ต่อให้หลับอยู่จริง ๆ ก็ไม่มีทางไม่รับรู้อันใดหลังเขามาที่นี่


เห็นได้ชัดว่าไม่อยากสนใจเขา


ต่อมาได้ยินว่าเขานำหญ้าต้นนั้นมาด้วย ถึงได้ต้องการพบหน้าเขา


ท่านผู้นั้นก็เคยสัมผัสกระบี่นั้นได้เห็น ๆ รู้ว่าใบหญ้าใบนั้นน่าทึ่งเพียงใด


จากนั้น เขาเดินเข้าไปในประตูแสง เข้าไปถึงโลกใบเล็กด้านใน


ที่นี่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง กฎแห่งโกลาหลไหลเวียนอยู่ทั่วทุกที่ บรรพจารย์ฝูสะท้อนใจ หากเขาได้อยู่ในโลกใบเล็กนี้ ด้วยพลังจากกฎแห่งโกลาหลเหล่านี้ เขาจะบรรลุสู่ขอบเขตโกลาหลได้แน่!


ท่านผู้นั้นเป็นยอดฝีมือจากแดนบรรพโกลาหลจริง ๆ!


มิฉะนั้น ที่นี่คงไม่มีกฎแห่งโกลาหลที่เข้มข้นอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้


แม้ว่าเขาจะไม่เคยสัมผัสกับกฎแห่งโกลาหลมาก่อน แต่ก็รับรู้ได้ว่ากฎระเบียบนี้เหนือกว่ากฎวิถีเซียนของเขามาก


เหนือกฎวิถีเซียนขึ้นไปคือสิ่งใด ย่อมต้องเป็นกฎแห่งโกลาหล


“มาแล้วหรือสหาย? ฮ่า ๆ มาสนทนากันด้านนี้”


เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้น ภาพเหตุการณ์สับเปลี่ยนไปมาในสายตาบรรพจารย์ฝู เขามาถึงศาลาแห่งหนึ่ง


บรรพจารย์ฝูได้พบกับท่านผู้นั้น!


อย่างที่คิด ท่านผู้นั้นดูอายุไม่มากนัก ราว ๆ วัยกลางคน สวมอาภรณ์นักพรต มือถือพัดพับ ท่าทางสง่าสุภาพเป็นที่สุด


“ท่านอาวุโส!”


บรรพจารย์ฝูรีบคำนับท่านผู้นั้น


“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อมาแล้วย่อมคือแขก เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรง เรียกขานกันเป็นสหายก็พอ”


ท่านผู้นั้นคลี่ยิ้ม มิได้วางมาดอันใด เป็นกันเองเหลือแสน


บรรพจารย์ฝูคิดไม่ถึงจริง ๆ นึกในใจว่าผู้ที่มาจากแดนบรรพโกลาหลนั้นระดับจิตใจสูงยิ่งนัก ก่อนนี้เขาคิดว่าท่านผู้นั้นจะเข้าถึงยาก ไม่เห็นตัวละครเล็กเยี่ยงเขาอยู่ในสายตา ทว่าแท้จริงแล้วมิใช่เลย ท่านผู้นั้นปฏิบัติต่อเขาดีมาก


“ข้าไฉนเลยจะกล้าเรียกขานท่านเป็นสหาย! หากท่านไม่รังเกียจ ข้าขอเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ได้หรือไม่!”


บรรพจารย์ฝูกล่าว กล้าเรียกสหายจริง ๆ ที่ไหน เขามิได้โง่เง่าเช่นนั้น


“ได้…พี่ใหญ่ก็ได้”


ชายวัยกลางคนหัวเราะ “เชิญนั่งเถิด ลิ้มรสชาเสียหน่อย นี่คือน้ำค้างหยกปรานี เป็นใบชาที่หาได้ยากยิ่ง ข้าเองก็เหนื่อยแทบแย่กว่าจะได้มาจำนวนหนึ่ง ใช้รับรองแขกอันทรงเกียรติเท่านั้น”


มารยาทงามปานนี้เลยหรือ!?


บรรพจารย์ฝูอึ้งกับไมตรีจิตนี้ คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ!


เขานั่งลงจิบชาอึกหนึ่ง แล้วต้องตะลึงอยู่ตรงนั้น สสารที่เจืออยู่ในชานี้ล้ำเลิศเกินไป หลังเข้าปากไปแล้วคำหนึ่ง เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าไปทั้งร่าง ได้รับประโยชน์เป็นคูณทวีในทุก ๆ ด้าน!


“ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ต้อนรับเป็นอย่างดี!”


บรรพจารย์ฝูกล่าวขอบคุณเสียงรัว เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเป็นเกียรติถึงเพียงนี้ และก็เข้าใจขึ้นมาในเวลาเดียวกันว่า หญ้าต้นนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ มิฉะนั้น ชายวัยกลางคนผู้นี้ไฉนเลยจะรับรองเขาดีเช่นนี้


เป็นไปไม่ได้เลย


‘เจ้าล่อบ้องตื้น เจ้าตัวมีตาหามีแววไม่ เจ้าทำให้เจ้านายของเจ้าพลาดวาสนาครั้งใหญ่เพียงใดไปรู้บ้างหรือไม่!’


เขานึกดูแคลนในใจ เจ้าล่อบ้องตื้นนั่นช่างไร้สมองจริง ๆ ถึงกับคิดว่าหญ้าที่เขานำมาด้วยเป็นของปลอม เขาอยากหัวร่อนัก


แต่ทว่า เขาต้องขอบคุณความโง่เขลาของล่อตัวนี้ หากมิใช่ว่าล่อตัวนี้โง่พอ เขาไฉนเลยจะมีโอกาสได้ข้องแวะกับท่านผู้นี้ แล้วยังได้นั่งดื่มชากับท่านผู้นี้ ซ้ำยังเป็นชาอันล้ำค่า!


เขาไม่รู้สึกว่าการยกหญ้าต้นนี้ให้ท่านผู้นั้นเป็นเรื่องใหญ่อันใด เพราะปล่อยวางได้นานแล้ว ถึงเก็บหญ้าต้นนี้ไว้ในมือก็เปล่าประโยชน์ หากมิได้บรรลุขอบเขตโกลาหล เขาไม่มีทางรู้เท่าถึงการณ์ในปรมัตถ์ของหญ้าต้นนี้


และลำพังตัวเขาเอง เขาแทบไม่มีทางบรรลุขอบเขตโกลาหลได้เลย


แน่นอนว่า เรื่องจะเป็นเช่นนั้นได้คือแดนบรรพโกลาหลยังไม่ปรากฏออกมา


หากแดนบรรพโกลาหลปรากฏออกมาแล้ว และเขาได้เข้าไปในแดนบรรพโกลาหล ก็ย่อมมีโอกาสบรรลุขอบเขตโกลาหลขึ้นมาก

ทว่าสถานการณ์ในแดนบรรพโกลาหลนั้นยังไม่ชัดเจน เขามีหญ้าวิเศษสูงส่งปานนี้ไปก็มิใช่เรื่องดี เป็นไปได้ว่าอาจถูกยอดฝีมือในแดนบรรพโกลาหลจับได้ ถึงคราวนั้น ไม่แน่ว่าเขาจะยังรอดอยู่ได้หรือไม่


มนุษย์นั้นไม่ผิด ผิดที่ครอบครองสมบัติ เขาเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี


อนาคตนั้นไม่แน่นอน ซ้ำยังเต็มไปด้วยอันตราย มิสู้ให้เขานำหญ้าต้นนี้ออกมาเสียตอนนี้เพื่อได้สานสัมพันธ์กับท่านผู้นี้ เช่นนี้จึงจะได้ประโยชน์มากกว่า


รอจนแดนบรรพโกลาหลปรากฏแล้ว เขายังสามารถใช้สายสัมพันธ์นี้หาที่พึ่งพิงในแดนบรรพโกลาหล เช่นนี้จะมีอนาคตที่ดียิ่งขึ้น


และเท่าที่เห็นในตอนนี้ เขาตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว ท่านผู้นี้ดีมาก เป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว


“ไม่ต้องเกรงใจ”


บรรพจารย์ฝูมีท่าทีถ่อมตนกับคำขอบคุณของอีกฝ่าย


“ข้านำหญ้าต้นนี้มาก็เพื่อมอบให้พี่ใหญ่ และหวังว่าจะได้ติดตามอยู่ข้างกายท่านและเป็นกำลังให้ท่าน!”


บรรพจารย์ฝูยิ้มแป้นพะเน้าพะนอ นำหญ้าต้นนั้นออกมา ก้มศีรษะยื่นให้ชายวัยกลางคนด้วยความนอบน้อม


ที่จริง เหตุผลหลักที่เขายอมยกหญ้าต้นนี้ให้เพราะเขาถูกกิเลนไฟเล่นงานจนอเนจอนาถ ไม่อาจกล้ำกลืนความคับแค้นนี้ได้ และอยากแก้แค้นโดยเร็ว


ร่องรอยของแดนบรรพโกลาหลที่กำลังจะปรากฏออกมานั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง กระนั้นท้ายที่สุดก็ยังไม่แน่นอน หากแดนบรรพโกลาหลไม่ปรากฏออกมา หรืออาจปรากฏออกมาหลังผ่านไปแล้วอีกนานแสนนานเล่า


ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้


“หญ้าอะไรเล่า กล่าวเช่นนี้เหมือนว่าข้ายอมพบน้องชายเพราะหญ้าต้นนี้! ข้าขอบอกน้องชายให้ชัดเจน มิใช่เพราะสาเหตุนั้นเลย ข้ารู้สึกว่าข้ากับน้องชายถูกชะตากัน ถึงได้ยอมพบน้องชาย! เมื่อได้พบแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ถูกคอกันเป็นที่สุด!”


ชายวัยกลางคนโบกมือรัว


ทว่าดวงตาทั้งสองของเขาจับจ้องอยู่บนหญ้าในมือบรรพจารย์ฝู


สิ้นประโยค หน้าตาของเขาพลันอึมครึมลงในบัดดล


“ข้ารู้แน่นอนว่าพี่ใหญ่มิได้พบข้าเพียงเพราะหญ้าต้นนี้ แต่เพราะวาสนาระหว่างเราสองพี่น้อง! เรื่องนั้นน้องเข้าใจดี!”


บรรพจารย์ฝูก้มหน้าไว้ตลอดเพื่อแสดงความเคารพต่อชายวัยกลางคน ไม่ทันได้เห็นว่าสีหน้าของชายวัยกลางคนมืดครึ้มจนฝนใกล้ตกลงมาแล้ว


“พี่ใหญ่หรือ คนกักขฬะเช่นเจ้ามีสิทธิ์เรียกที่ไหนกัน!?”


ชายวัยกลางคนด่ากราดด้วยความโกรธเกรี้ยว โมโหจนอกแทบระเบิด


เจ้าบรรพจารย์ฝูนี่เลวทรามนัก นำหญ้าเส็งเคร็งต้นหนึ่งมาต้มตุ๋นเขาหรือ!?


อะ…อะไรกัน!?


บรรพจารย์ฝูหน้าตามึนงง เกิดอันใดขึ้น ท่านเป็นคนบอกให้เรียกพี่ใหญ่มิใช่หรือ


เขานึกชอกช้ำ เหตุใดชายวัยกลางคนผู้นี้ถึงอารมณ์รุนแรงปานนี้ เปลี่ยนอารมณ์ไวเสียยิ่งกว่าสตรี! ก่อนนี้เขาเรียกว่าท่านอาวุโส ชายวัยกลางคนกลับไม่ยอม


บัดนี้เขายอมเรียกพี่ใหญ่แล้วกลับทำท่าทีเช่นนี้ใส่อีก!


“ถ้าอย่างนั้น…เรียกท่านอาวุโสดีหรือไม่”


เขาเอ่ยอย่างระมัดระวัง ลอบชำเลืองชายวัยกลางคน


ไม่มองไม่เท่าไหร่ พอได้มอง ก็เห็นฝ่ามือข้างหนึ่งหวดมาใส่เขา!


เสียงดังตึง ร่างถูกหวดกระเด็น กระดูกหน้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ ฟันหลุดร่วงจากปากตามสายโลหิต!


เขาล้มอยู่ที่พื้น ทรมานใจนักหนา พี่ใหญ่ไม่ได้ ท่านอาวุโสก็ไม่ได้ แล้วต้องเรียกว่าอะไรเล่า!


“ท่านให้ข้าเรียกด้วยคำใดข้าจะเรียกด้วยคำนั้น ขอเพียงท่านไม่ขุ่นเคือง!”


เขาเอ่ยเสียงร่ำไห้


“เรียกกับย่าแกสิ!”


ชายวัยกลางคนใบหน้าเย็นเยียบ ประชิดตัวและหิ้วคอบรรพจารย์ฝูขึ้นมาอัดเสียน่วม ตบหน้าไม่หยุด


ตัวบ้าอะไร ยังมีหน้ามาแสดงละครต่อหน้าเขาอีก


ใช่สาเหตุจากสรรพนามเรียกขานที่ไหน!?


“อย่า…อย่าตีอีกเลย ข้าเรียกก็ได้ กับย่าแกสิ…”


บรรพจารย์ฝูถูกอัดจนสติแตก ถึงกับเรียกขานออกไปว่า ‘กับย่าแกสิ’


“ไอ้%#&...!”


ชายวัยกลางคนบันดาลโทสะ ด่ากราดออกไป อัดแรงยิ่งขึ้น ไอ้บ้านี่ บังอาจด่าเขาเช่นนี้เลยหรือ


สุดท้าย เขาอัดบรรพจารย์ฝูจนชีวิตเกือบหาไม่ แล้วโยนออกไป


เขาเอ่ยเสียงไม่สบอารมณ์ “ไสหัวไป!”


บรรพจารย์ฝูถูกทำร้ายจนเนื้อตัวดูไม่ได้เลยสักที่ คนทั้งคนอยู่ในสภาวะบอบช้ำ เอ่ยเสียงกระซิก “ท่าน…อย่าขุ่นเคืองนักเลย ข้าจะไสหัวไป…จะไสหัวไปเดี๋ยวนี้! แต่ก่อนข้าไป ขอข้านำหญ้าวิเศษสูงส่งต้นนั้นไปด้วยได้หรือไม่”


เมื่อครู่ยามชายวัยกลางคนอัดเขา หญ้าต้นนั้นกระเด็นตกออกไปที่ด้านหนึ่ง


“หญ้าวิเศษสูงส่งหรือ!?”


โทสะของชายวัยกลางคนเพิ่งผ่อนลง ก็พุ่งพรวดอีกครั้งหลังได้ยินคำกล่าวของบรรพจารย์ฝู


“วิเศษกับย่าแกสิ!”


เขาปรี่เขาไปอีกครั้ง ขึ้นคร่อมบรรพจารย์ฝูออกแรงตีอย่างบ้าคลั่ง ตบหน้าหลายฉาดจนดาวเต็มหัวบรรพจารย์ฝู สติเริ่มพร่าเลือน


ใบหน้าของบรรพจารย์ฝูโดนหวดจนเละ ไม่อาจทนมองได้ บรรพจารย์ฝูเอ่ยในใจว่าใบหน้าของเขาไปทำอะไรให้ผู้ใดหรือ เหตุใดใคร ๆ ต่างเล็งมาที่ใบหน้าของเขา!?


ก่อนนี้กิเลนไฟถีบหน้าเขาจนเละ บัดนี้ ชายวัยกลางคนก็หวดหน้าเขาจนเละ ใบหน้าของเขาน่าชิงชังปานนั้นเลยหรือ!?


ชายวัยกลางคนหวดจนพอใจแล้ว ถึงลุกออกจากตัวบรรพจารย์ฝู เดินไปอยู่ตรงต้นหญ้าที่หล่นอยู่บนพื้น


เขาย่ำเท้าลงไป ยีหญ้าต้นนั้นจนแหลก!


“หญ้า…ของข้า!”


หลังบรรพจารย์ฝูเห็นชายวัยกลางคนย่ำหญ้าต้นนั้นจนเละ ก็รู้สึกแย่ยิ่งกว่าถูกฆ่าเสียอีก


ต้นหญ้าสูงส่งเช่นนี้ ถูกย่ำยีจนแหลกลาญ สวรรค์ ผลาญเกินไปแล้ว!


เขาปวดหัวใจราวกับมีมดร้อยล้านตัวเข้ามากัดขั้วหัวใจ!


ถึงไม่เห็นในสายตาก็ไม่เห็นต้องทำเช่นนั้นเลย!


ไม่ชอบก็ให้ข้านำกลับไปสิ!


จำเป็นต้องทำลายทิ้งเช่นนี้เลยหรือ!


เขาร้องไห้จนน้ำตาแทบเหือดแห้ง กระนั้นก็มิกล้าเอ่ยคำใด กลัวจะถูกชายวัยกลางคนสังหาร เขาคลานขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก หมายจะไปจากที่นี่


“รอก่อน! บ้วนชาของข้าที่ดื่มไปเมื่อครู่ออกมา!”


ชายวัยกลางคนมาอยู่เบื้องหน้าบรรพจารย์ฝูอีกครั้ง นึกได้ว่าบรรพจารย์ฝูดื่มชาของเขาไปหนึ่งถ้วย


“หา?”

บรรพจารย์ฝูนิ่งอึ้งตะลึงงัน จากนั้น เขาถูกชายวัยกลางคนหิ้วคอขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งกำเป็นหมัด ต่อยท้องเขาอย่างแรง


เขาสำนึกเสียใจแทบบ้า รู้อย่างนี้เขาไม่น่าดื่มชาถ้วยนั้นเลย!


ชาถ้วยเดียวยังจะคิดเอาคืนจากเขา ยอดฝีมือจากแดนบรรพโกลาหลอะไรกัน จิตใจคับแคบดั่งรูเข็ม!


...


แสงดาวพร่างพราวอยู่บนฟากฟ้า แสงจันทร์ตกกระทบผืนน้ำ สตรีโฉมสะคราญนางหนึ่งนั่งอยู่บนพระจันทร์เสี้ยวด้วยท่าทางเกียจคร้าน เด็ดดาวดวงหนึ่งลงมาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเชยชมมันบนฝ่ามือ


ภาพนี้งดงามยิ่งนัก สตรีโฉมสะคราญผู้ไร้มลทิน แม้กระทั่งดวงดาวดารดาษบนท้องฟ้ายังหม่นหมองลงเมื่ออยู่เบื้องหน้านาง


ทันใดนั้น คิ้วเรียวของนางกระตุก


“ใครบางคน…ยุ่งกับของของข้า?”


นางพึมพำกับตัวเอง คล้ายว่าสนอกสนใจเป็นอย่างมาก

“เมื่อครั้งข้ายังเยาว์ตอนออกทัศนาจร ได้ทิ้งของบางอย่างไว้ในบางอาณาจักร ตอนนี้กลับมีสิ่งมีชีวิตแตะต้องของของข้า มีผู้ได้รับสิ่งที่ข้าทิ้งเอาไว้แล้วหรือ?”


ดวงตาของสตรีโฉมสะคราญเผยแววรำลึกความหลัง แม้ว่าพลังที่หลงเหลือในสิ่งเหล่านั้นจะเป็นเพียงพลังเมื่อครั้งนางยังเยาว์วัย แต่ก็หาใช่สิ่งที่ไม่ว่าใครจะสามารถรับไปได้อย่างง่ายดายไม่


หลังจากสิ่งของเหล่านั้นถูกหยิบไปแล้ว นางก็จะสามารถสัมผัสได้


“น่าสนใจ น่าสนใจยิ่งนัก...”


ขนตายาวของนางขยับไหว เล่นกับดวงดาราภายในมือด้วยความสนใจที่มีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


ดวงดารานั้นมีขนาดใหญ่มโหฬาร ทว่าเมื่ออยู่ในมือของนางก็มีขนาดไม่ต่างอันใดจากเมล็ดถั่วคลึงเล่นไปมาระหว่างนิ้ว


เดิมทีนางคิดว่าของที่ทิ้งเอาไว้จะถูกสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลโกลาหลใหญ่ ๆ นำไป ทว่าเมื่อนางเพ่งสัมผัสมัน กลับพบว่าความคิดของนางนั้นผิด


จักรวาลโกลาหลแห่งนั้นไม่ได้ใหญ่โตแต่อย่างใด สสารโกลาหลก็ต่ำยิ่งนัก ไม่สามารถขึ้นมายังหน้าฉากได้


สิ่งนี้เองที่ดึงดูดความสนใจใคร่รู้ของนาง ภายใต้สถานการณ์ปกติ ในจักรวาลโกลาหลที่มีแต่สสารโกลาหลระดับต่ำ ย่อมไม่อาจให้กำเนิดผู้ที่สามารถได้รับสิ่งที่นางทิ้งเอาไว้ได้


แม้เมื่อยามนั้นนางจะยังเยาว์วัย ทว่าขอบเขตที่นางบรรลุถึงก็อยู่ในระดับน่าเหลือเชื่อแล้ว ไกลเกินกว่าขอบเขตโกลาหล


“ศิษย์น้องหญิง เจ้าอยู่ที่นี่เอง!”


ตอนนั้นเอง ร่างในชุดสีดำทะยานเข้ามา คิ้วของเขาคมราวกระบี่ ดวงตาพร่างพราวราวกับดารกะ รูปร่างสูงเพรียว หล่อเหลาสง่างาม


“ศิษย์พี่หลวนมาแล้ว”


สตรีโฉมสะคราญแย้มยิ้มเผาบาง งดงามเสียยิ่งกว่าดอกไม้ที่บานสะพรั่ง มองชายในชุดสีดำด้วยดวงตาเปล่งประกาย


ศิษย์พี่หลวนที่นางกล่าวลอบถอนหายใจ เขากับศิษย์น้องหญิงฝึกฝนด้วยกันมายาวนานจนไม่อาจนับปี ทว่าก็ยังคงไม่อาจทนมองความงดงามของศิษย์น้องหญิงได้เช่นเคย ทุกครั้งที่เห็นศิษย์น้องหญิง เขาล้วนเป็นต้องตื่นตะลึงกับความงาม


“อืม ข้าเพิ่งตระหนักได้ถึงวิชากระบี่มาชุดหนึ่ง จึงต้องการมาทดลองดูกับศิษย์น้องหญิง เพื่อหาข้อบกพร่องของวิชากระบี่”


เขาวกล่าวออกมา


“ศิษย์พี่หลวนช่างเก่งกาจยิ่งนัก สร้างวิชากระบี่ขึ้นออกมาได้อีกหนึ่งชุดแล้วหรือ? นี่นับว่าศิษย์พี่หลวนสร้างวิชาขึ้นมาแปดชุดแล้ว!”


สตรีโฉมสะคราญเอ่ยยกย่อง ศิษย์พี่หลวนเก่งกาจอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่สามารถสร้างวิชาของตนเองขึ้นมาได้ แต่ละวิชายังล้วนน่าตื่นตะลึงไม่ธรรมดา แม้กระทั่งบิดาของนางที่เป็นผู้สั่งสอน ยังเอ่ยชื่นชมวิชาเหล่านี้ เอ่ยเรียกว่ามหาวิชา มีศักยภาพไร้ที่สิ้นสุดในอนาคต


“ไม่ ข้ารู้ว่าศิษย์น้องหญิงนั้นเก่งกาจยิ่งกว่า ทว่าศิษย์น้องหญิงเพียงเกียจคร้านเกินกว่าจะทำ ไม่เช่นนั้นจะต้องสร้างวิชาที่ทรงพลังกว่าข้าออกมาได้อย่างแน่นอน”


ศิษย์พี่หลวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เช่นนั้นข้าจะมาตามหาน้องหญิงให้ช่วยทดสอบวิชาที่สร้างขึ้นใหม่ทุกครั้งอย่างนั้นหรือ หลังจากได้ลองประมือกับศิษย์น้องหญิงแล้ว ข้าล้วนสามารถค้นพบข้อบกพร่องจำนวนมากของวิชาได้เสมอ”


เขากล่าวต่อ “เช่นนั้นแล้ว? มาเถิดศิษย์น้องหญิง พวกเรามาประมือเพื่อหาข้อบกพร่องของวิชากระบี่ของข้ากัน”


สตรีโฉมสะคราญกล่าวออกมา “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ไม่ต้องรีบร้อน! ศิษย์พี่หลวน ข้าพบเรื่องที่น่าสนใจบางอย่างเข้า”


“โอ้? มีเรื่องอันใดน่าสนใจอย่างนั้นหรือ?”


ศิษย์พี่หลวนเกิดความสนใจขึ้นมา


“ศิษย์พี่หลวนเองก็รู้ว่าเมื่อครั้งข้ายังเยาว์เคยออกเดินทางทัศนาจรไปยังภายนอก อีกทั้งได้ทิ้งสิ่งของจำนวนหนึ่งไว้ในบางอาณาจักร ตอนนี้มีผู้ที่สามารถหยิบเอาของสิ่งนั้นไปได้แล้ว”


สตรีโฉมสะคราญเอ่ย


หลังจากที่ศิษย์พี่หลวนฟังจบแล้ว ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมาทันที “เรื่องนี้เองหรือ?”


เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับสตรีโฉมสะคราญ รู้ดีว่าเมื่อครั้งยังเด็กนางแข็งแกร่งมากเพียงใด แข็งแกร่งจนสามารถบดขยี้ทั้งจักรวาลโกลาหลได้อย่างไม่มีปัญหา


ดังนั้น อาจารย์ของเขาผู้เป็นบิดาของสตรีโฉมสะคราญ จึงวางใจพอจะปล่อยให้นางออกไปทัศนาจรภายนอก


“อีกทั้งที่แห่งนั้นยังเป็นเพียงจักรวาลโกลาหลระดับต่ำเท่านั้น...”


สตรีโฉมสะคราญเอ่ยต่อ ทำให้ศิษย์พี่หลวนสนใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


สำหรับจักรวาลโกลาหลระดับต่ำ ขีดจำกัดที่ก้าวขึ้นไปได้นั้นต่ำยิ่งนัก ทำให้ยากยิ่งขึ้นในการทลายขีดกำจัดและกระโจนออกมา


ทว่าในจักรวาลโกลาหลระดับต่ำ กลับปรากฏผู้ที่สามารถนำของที่ศิษย์น้องหญิงของเขาทิ้งไว้ไปได้ เรื่องนี้นับว่าแปลกประหลาด ชวนให้สนใจเป็นอย่างยิ่ง


“ศิษย์พี่หลวน ท่านสนใจจะลองไปดูที่นั่นกับศิษย์น้องหรือไม่?” สตรีโฉมสะคราญถาม


“ไปสิ” ศิษย์พี่หลวนเอ่ยตอบทันทีอย่างไม่ต้องคิด


ความจริงแล้ว แม้เขาจะมีความรู้สึกสนใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากมายเกินไปนัก คนผู้นั้นแข็งแกร่งแล้วอย่างไร? ต่อหน้าตัวตนเช่นพวกเขา คนผู้นั้นยังคงเป็นคนตัวจ้อยอันไม่มีความสลักสำคัญใด


เขาต้องการจะเดินทางไปกับศิษย์น้องหญิงเสียมากกว่า


“ไปเถิด”


มีประกายแสงปรากฏขึ้นหว่างคิ้วของหญิงงาม เพียงแค่หนึ่งความคิด ร่างของนางก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปจากที่นี่


แม้ว่าคนผู้นั้นจะกระตุ้นความสนใจของนางได้ แต่ก็ไม่คุ้มค่าที่จะให้นางไปด้วยตนเอง นางเพียงแค่อยากไปเพื่อรำลึกอดีต


ศิษย์พี่หลวนทะยานตามนางไปยังสถานที่แห่งนั้นทันที


...


ณ เมืองจักรพรรดิไป๋


ตำหนักจักรพรรดิไป๋


กิเลนไฟและสุนัขดำตรงกลับมา ก่อนจะเข้าไปยังด้านในตำหนัก


หลังจากสุนัขสีดำเข้าไปในตำหนักแล้ว มันก็ต้องตกตะลึง


ของที่ไม่มีผู้ใดสามารถขยับได้ กลับถูกคุณชายหยิบมาเล่นในมืออย่างง่ายดาย


‘คุณชายย่อมทำได้อยู่แล้ว! แม้ว่าจักรพรรดิไป๋จะไม่ธรรมดา มีภูมิหลังความเป็นมาลึกล้ำอย่างมาก แต่กับคุณชายแล้วจะนับเป็นสิ่งใดได้?’


สุนัขสีดำเอ่ยกับตนเองภายในใจ


คุณชายได้สำแดงปฎิหาริย์ออกมาให้มันประจักษ์ ไม่เพียงแต่สามารถกำจัดพลังพิศวงบนร่างของมันได้อย่างง่ายดาย ยังสามารถฟื้นคืนสติสัมปชัญญะของมันที่สูญหายไปโดยสิ้นเชิงให้กลับมาได้ คุณชายจะต้องทรงพลังมากอย่างไม่ต้องสงสัย ดูแล้วไม่อ่อนแอกว่าจักรพรรดิไป๋!


ขณะเดียวกันนั้น ในมือของหลี่จิ่วเต้าก็กำลังถือพัดด้ามจิ๋วอยู่


พัดด้ามจิ๋วตั้งอยู่ที่นี่มานานเสียจนไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถหยิบมันขึ้นมาได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการกางมันออกมาเลย


กระทั่งต้องการจะเข้าไปใกล้พัดด้ามจิ๋วก็ยังทำไม่ได้ เพียงแค่เอื้อมมือออกไปก็ถูกขวางเอาไว้ด้วยพลังอันเหนือชั้นถึงขีดสุด และหากยังดื้อดึงจะเอามา ก็จะถูกโจมตีโดยพลังนี้จนต้องทิ้งชีวิตเอาไว้!


เรื่องนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เล่ากันว่าเคยมีเทียนตี้ผู้หนึ่งที่เข้าใกล้กับคำว่าเซียนเป็นอย่างยิ่ง จนสามารถเรียกได้ว่าครึ่งก้าวเซียนมายังสถานที่แห่งนี้ ต้องการจะนำพัดด้ามจิ๋วไป ผลลัพธ์คือถูกพลังที่ระเบิดออกมาจากพัดด้ามจิ๋วโจมตีจนเลือดสาดกระจาย ถูกลบล้างไปจนสิ้น ไม่อาจทำได้แม้กระทั่งจะต่อต้าน!


ทว่าเมื่อเป็นหลี่จิ่วเต้าแล้ว กลับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น


ชายหนุ่มสามารถหยิบพัดด้ามจิ๋วขึ้นมาได้ง่ายดาย ราวกับว่าเป็นเพียงแค่พัดธรรมดา ๆ ด้ามหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้แรงก็สามารถคลี่พัดออกได้อย่างง่ายดาย


แต่ในสายตาของพวกลั่วสุ่ยแล้ว ทุกสิ่งล้วนไม่เรียบง่ายหรือธรรมดา


พวกเขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อมือของคุณชายเอื้อมออกไป ก็มีพลังระเบิดออกมาจากพัดด้ามจิ๋วทันที ทว่ายังไม่ทันจะได้สำแดงฤทธิ์ ก็ราวกับมันได้เห็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างสุดขีด ทำให้ตื่นตระหนกจนรีบกลับเข้าไปด้านในพัดทันที!


‘จะไม่กลัวได้อย่างไร? นั่นคือคุณชายเชียวนะ!’


ลั่วสุ่ยหัวเราะขึ้นมาในใจ นี่เป็นเรื่องปกติยิ่งนัก หากพลังนั่นสามารถโจมตีคุณชายได้ ก็นับว่าผิดปกติแล้ว


เมื่อคลี่พัดออก ก็เผยให้เห็นภาพวาดที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์


มันเป็นภาพทิวเขาที่วาดเอาไว้เพียงแค่ครึ่งเดียว ราวกับว่าผู้วาดทิ้งมันไปไม่วาดต่อ


‘จักรพรรดิไป๋ผู้นี้มีที่มาเช่นใดกันแน่!’


เมื่อสุนัขสีดำได้เห็นภาพบนพัดด้ามจิ๋ว ภายในใจของมันก็จริงจังอย่างถึงที่สุด


แม้จะเป็นภาพวาดเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่ก็สามารถทำให้มันสั่นสะเทือนได้อย่างถึงที่สุด สิ่งที่แผ่ออกมาจากพัดด้ามจิ๋วเปี่ยมด้วยเต๋าและพลัง มันไม่สงสัยแม้แต่น้อย หากคุณชายไม่อยู่ที่นี่ เพียงแค่พัดด้ามจิ๋วคลี่ออก มันก็จะต้องถูกทำให้มลายหายไปสิ้นแน่นอน!


เป็นเพียงแค่บรรพจารย์เต๋าโกลาหลจริงหรือ!?


ความคิดดังกล่าวทำให้หัวใจของมันสั่นสะท้าน


เมื่อมองจากด้านนอกตำหนักแล้ว มันคิดว่าจักรพรรดิน่าจะเป็นบรรพจารย์เต๋าโกลาหล ทว่าบัดนี้มันได้มาเห็นภายในตำหนักแห่งนี้แล้ว มันรู้ได้ทันทีว่าตนเองประเมินจักรพรรดิไป๋ต่ำเกินไป!


มีโอกาสอย่างมากที่จักรพรรดิไป๋จะสามารถก้าวข้ามขอบเขตโกลาหล อยู่เหนือยิ่งกว่าบรรพจารย์เต๋าโกลาหล!


ขณะนั้นเอง ก็มีลำแสงสองเส้นพุ่งเข้ามาก่อนควบแน่นกลายเป็นสองร่าง


นั่นคือสตรีโฉมสะคราญและศิษย์พี่หลวน


สถานที่พวกเขาอยู่ไม่รู้ว่าไกลจากที่นี่มากเพียงใด แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ระยะทางเท่านี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึง


“เหตุใดศิษย์น้องหญิงจึงวาดภาพเพียงแค่ครึ่งเดียว?”


ศิษย์พี่หลวนเองก็เห็นภาพบนพัดด้ามจิ๋ว จึงเอ่ยถามสตรีโฉมสะคราญด้วยรอยยิ้ม


พวกเขาแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ปรากฏร่างออกมาชัดเจน ทั้งยังส่งเสียงออกมา ทว่าพวกลั่วสุ่ยกลับไม่เห็นหรือได้ยิน ไม่รับรู้ถึงตัวตนของพวกเขาแม้แต่น้อย


อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงแค่ความคิดของพวกเขา ร่างกายไม่ได้มาด้วยแต่อย่างใด


“ยามนั้นข้ามัวแต่ห่วงเล่น วาดภาพไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียว ก็มีวิหคเจ็ดสีบินผ่าน จึงได้ไล่ตามมันไป ภายหลังก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท”


สตรีโฉมสะคราญเอ่ยด้วยรอยยิ้ม


สิ่งที่ทิ้งเอาไว้เป็นฝีมือของนางในยามนั้น สำหรับนางแล้วไม่ได้มีค่าแต่อย่างใด


อีกทั้งยามนั้นสิ่งที่นางคิดก็คือ นางเองก็อยู่ในสถานที่แห่งนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ต้องการจากไปโดยเปล่า จึงทิ้งสิ่งของเหล่านี้เอาไว้


หาได้มีเพียงแค่ในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ แต่จักรวาลโกลาหลอื่น ๆ ที่นางเคยไปก็ล้วนทิ้งสิ่งของเอาไว้


แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ ยกเว้นของที่นางทิ้งเอาไว้ที่นี่ ของในจักรวาลโกลาหลอื่น ไม่ว่าจะเป็นจักรวาลโกลาหลใหญ่หรือระดับต้น ๆ ไม่มีสิ่งอื่นใดถูกแตะต้อง


“ทักษะการวาดภาพไม่เลวเลย...”


หลี่จิ่วเต้ามองภาพวาดบนพัดด้ามจิ๋วแล้วเอ่ยออกมา


“คนผู้นี้ยังนับว่ามีสายตาดีอยู่บ้าง”


ศิษย์พี่หลวนเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ทว่าสิ่งที่หลี่จิ่วเต้าเอ่ยออกมาหลังจากนั้น ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแข็งค้างไปทันที


“ทักษะการวาดภาพไม่เลว แต่ดูแล้วไม่น่าจะเคยได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ เรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้มีความยุ่งเหยิงอยู่บ้าง หากสามารถรับคำชี้แนะจากข้าได้ จะต้องสามารถพัฒนาได้หลายขั้นอย่างแน่นอน สามารถกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้หนึ่ง”


หลี่จิ่วเต้าเอ่ยขึ้นมา


“เขาคิดที่จะชี้แนะศิษย์น้องหญิงอย่างนั้นหรือ?!”


ใบหน้าของศิษย์พี่หลวนมืดมนลง มดตัวจ้อยนี่มาจากที่แห่งใดกัน บังอาจเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร!


สตรีโฉมสะคราญเองก็มีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย


คนผู้นี้โอ้อวดตนเกินไปแล้ว...


ไม่ผิด เป็นนางที่เรียนรู้ด้วยตัวเองจริง แต่นั่นเป็นเพราะไม่มีผู้ใดสามารถสั่งสอนนางได้!


นอกจากการฝึกฝนแล้ว นางยังชื่นชอบการเล่นดนตรี เล่นหมาก ภาพวาดและเขียนหนังสือ อีกทั้งในด้านของงานอดิเรกเหล่านี้ก็ได้บรรลุมาถึงจุดสุดแล้ว ไม่มีผู้ใดเหนือกว่านางอีก


นี่ไม่ใช่การคุยโว แต่เป็นความจริง


สถานที่ที่นางอยู่ และจักรวาลโกลาหลทุกแห่งที่นางเคยผ่านไป ล้วนไม่มีผู้ใดแข็งแกร่งกว่านาง


“นี่เป็นพัดที่ดี เพียงแต่การเห็นภาพวาดแค่ครึ่งเดียวนั้นชวนให้อึดอัดใจ เช่นนั้นข้าจะเติมอีกครึ่งให้สมบูรณ์”


หลี่จิ่วเต้ากล่าว เขาชื่นชอบพัดนี่เป็นอย่างมาก ต้องการนำมันไปด้วย


“เขายังต้องการจะวาดภาพของเจ้าต่อ!?”


สีหน้าของศิษย์พี่หลวนแปรเปลี่ยนทันที


มดตัวจ้อยนี่ช่างโง่ง่มไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริง!


ภาพวาดของศิษย์น้องหญิง ใช่สิ่งที่มดตัวจ้อยเช่นเจ้าจะวาดต่อได้หรือ?!


ไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน!


เขาไม่อาจปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้!
หลี่จิ่วเต้าวางพัดด้ามจิ๋วลงบนโต๊ะ เตรียมพร้อมจะวาดภาพต่อ



วัสดุที่ใช้ทำพัดไม่เลวเลย โครงและตัวพัดล้วนหาพบได้ยาก เขาไม่ต้องการปล่อยมันทิ้งไป



ใบหน้าของศิษย์พี่หลวนเขียวคล้ำ ในความคิดของเขา การที่คนผู้นี้วาดภาพของศิษย์น้องต่อ นับเป็นการดูหมิ่นต่อศิษย์น้องอย่างมาก เขาจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น



หากจะมีคนวาดภาพนั้นต่อ คนผู้นั้น...จะต้องเป็นเพียงเขาเท่านั้น!



หลีเยว่เองก็รู้สึกไม่พอใจ ความกรุ่นโกรธเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงาม คนผู้นี้คุยโวเกินไปแล้ว อันใดคือกล่าวว่าเพียงแค่ได้คำชี้แนะจากเขา จะต้องสามารถพัฒนาได้หลายขั้น?



ซ้ำยังต้องการวาดภาพนางต่ออีก...



เจ้าสามารถวาดได้หรือ?



ภาพที่นางวาดลงบนพัดไม่ได้มีอยู่จริง เป็นเพียงแค่ภาพฉากที่คิดขึ้นมาในใจของนางเมื่อยามนั้น ไม่ต้องพูดถึงหลี่จิ่วเต้าเลย กระทั่งเป็นตัวนางในยามนี้ยังยากที่จะวาดภาพต่อให้เสร็จสมบูรณ์



เห็นได้ชัดว่า บุรุษผู้นี้ไม่เห็นสิ่งที่นางทิ้งเอาไว้อยู่ในสายตา เพียงแค่นึกสนุก ต้องการจะแสดงฝีมือหาความสนุกสนาน



นางรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ความเคารพ



คุยโว ไม่เคารพคน นางเริ่มรู้สึกชังหลี่จิ่วเต้าขึ้นมาเล็กน้อย



“ข้าจะทำให้เขาไม่อาจลงพู่กันได้!”



สีหน้าของศิษย์พี่หลวนไม่เป็นมิตร เขาชี้นิ้วไปทางพัดด้ามจิ๋ว โถมพลังอันยิ่งใหญ่เข้าไป ต้องการให้หลี่จิ่วเต้าไม่อาจลงพู่กันได้



ขอบเขตของเขาสูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง ในสถานที่ที่เขาอยู่ก็ยังนับว่าโดดเด่น คนตัวเล็ก ๆ เช่นหลี่จิ่วเต้านั้น เขาไม่เห็นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย คิดว่าแม้จะเป็นเพียงแค่ความคิดของเขา ก็ไม่ใช่สิ่งที่หลี่จิ่วเต้าจะสามารถเทียบเคียงได้



ขณะนั้นเอง หลี่จิ่วเต้าก็นำพู่กัน หมึก และจานฝนหมึกมาวางบนโต๊ะ



“คุณชาย ให้ข้าช่วยท่านฝนหมึกเถิด”



ลั่วสุ่ยเดินเข้าไปอย่างแช่มช้า แต่ดูงามสง่า หลีเยว่ที่เฝ้าดูถึงกับเบะปาก หลี่จิ่วเต้าผู้นี้ต้องการจะอวดความสามารถต่อหน้าลั่วสุ่ยใช่หรือไม่?



ดูเหมือนนางจะพบสาเหตุที่หลี่จิ่วเต้าต้องการจะวาดภาพต่อแล้ว



ศิษย์พี่หลวนเดิมทีนั้นมุ่งความสนใจไปที่หลี่จิ่วเต้า จึงไม่ได้สังเกตดูพวกลั่วสุ่ย เมื่อลั่วสุ่ยก้าวออกมาด้านหน้า เขาจึงเพิ่งได้เห็น



งดงามเป็นอย่างยิ่ง!



งดงามจนเขาเหม่อลอยไปชั่วครู่ ถูกลั่วสุ่ยทำให้ตกตะลึง



ในใจพลันเกิดความริษยาขึ้นมา เหตุใดข้างกายหลี่จิ่วเต้าจึงมีสาวงามหาพบได้ยากอยู่กัน?



‘ต้องการจะอวดโอ้เพื่อให้คนงามชื่นชมเลื่อมใส? คิดอันใดอยู่! ข้าจะทำให้พู่กันของเจ้าหักทันทีที่แตะลงไป!’



เขาเอ่ยในใจด้วยความบึ้งตึง เสริมพลังเข้าไปมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ต้องการทำให้หลี่จิ่วเต้าไม่อาจลงพู่กันได้ เขาต้องการจะทำให้หลี่จิ่วเต้าเสียหน้า เพียงแค่ลงพู่กันไปก็หักลง!



“ศิษย์พี่หลวน พู่กัน หมึก และจานฝนหมึกของคนผู้นี้ดูไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง...”



คิ้วเรียวงามของหลีเยว่ขมวดลง นางไม่เหมือนศิษย์พี่หลวน ความสนใจของนางนั้นอยู่ที่พู่กัน หมึก และจานฝนหมึกที่หลี่จิ่วเต้านำออกมา



เมื่อได้ยินที่หลีเยว่พูด ศิษย์พี่หลวนจึงหันความสนใจไปที่พู่กัน หมึก และจานฝนหมึก



“ใช่...ไม่ธรรมดา!”



เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาด้วยความคาดไม่ถึง เพราะไม่อาจมองเห็นระดับของพู่กัน หมึก และจานฝนหมึกได้ เต๋าที่ไหลเวียนอยู่ด้านบนพวกมันสูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง นับว่าเป็นสมบัติในหมู่สมบัติอย่างแน่นอน



“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาสามารถหยิบพัดด้ามจิ๋วมาคลี่ออกได้อย่างง่ายดาย ผู้ที่ถือครองพู่กัน หมึก และจานฝนหมึกเช่นนี้ได้ จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไรกัน?!”



หลีเยว่กล่าวต่อ “เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขามาปรากฏตัวที่จักรวาลโกลาหลแห่งนี้ด้วยเหตุใด หรือว่าเขาเองก็เหมือนข้า ออกเดินทางเที่ยวเล่นไปทั่ว?”



หลังจากเห็นพู่กัน หมึก และจานฝนหมึก นางก็แน่ใจทันทีว่าหลี่จิ่วเต้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ ของเช่นพู่กัน หมึก และจานฝนหมึกไม่มีทางปรากฏขึ้นมาในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้แน่



นางรู้สึกว่าหลี่จิ่วเต้าอาจมาจากสถานที่เดียวกันกับนาง



“มีความเป็นไปได้มาก! ดูเหมือนเขาจะเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่มาเที่ยวเล่นที่นี่!”



ศิษย์พี่หลวนพยักหน้า คิดเช่นเดียวกับหลีเยว่



“ดูแล้วข้างกายของเขามีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากติดตาม เมื่ออยู่ในจักรวาลโกลาหลระดับต่ำเช่นนี้ เขานับว่ามีอำนาจเด็ดขาดจริง ๆ สามารถเพลิดเพลินไปกับความเคารพยำเกรงที่สิ่งมีชีวิตในจักรวาลแห่งนี้มอบให้ เขาช่างเป็นเด็กน้อยเสียจริง!”



ศิษย์พี่หลวนเยาะเย้ยถากถาง ทัศนคติที่มีต่อหลี่จิ่วเต้านั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

ไม่มีเหตุผลอื่นใด เขาถือว่าหลีเยว่เป็นของหวงแหนของเขา ไม่อนุญาตให้มีชายอื่นใดแตะต้องหลีเยว่ กระทั่งวาดภาพต่อก็ไม่ได้!



วาดภาพต่อ สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร? นี่เป็นการร้อยไข่มุกต่อหยก*[1]ไม่ใช่หรือ?!



เขาจะยินยอมได้อย่างไร!



หลีเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกว่าคำพูดของศิษย์พี่หลวนไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก ถ้อยคำเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถาง ทำให้นางแอบคิดว่าเกิดอันใดขึ้นกับศิษย์พี่หลวน? เหตุใดท่าทางจึงดูชิงชังต่ออีกฝ่ายนัก...



อีกด้านหนึ่ง ลั่วสุ่ยฝนหมึกด้วยความจริงจังอย่างระมัดระวัง ทั้งยังดูชำนาญ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางฝนหมึกให้คุณชาย ก่อนหน้านี้นางก็มักจะช่วยคุณชายฝนหมึกบ่อย ๆ



“ได้คุณชายมาวาดภาพต่อให้ พัดนี่จะต้องยอดเยี่ยมขึ้นมาก”



นางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “หากคนวาดยังมีชีวิตอยู่ จะต้องตื่นเต้นดีใจมากอย่างแน่นอน! คุณชายกำลังจะทำให้ภาพวาดและพัดนี้กลายเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างถึงที่สุด!”



นางไม่ได้มีเจตนาจะยกยอคุณชาย สิ่งที่นางพูดล้วนมาจากใจจริงของนาง



นี่เป็นเพราะพู่กัน หมึก และจานฝนหมึกชุดนี้ไม่ธรรมดามากเกินไป เป็นของสำคัญที่คุณชายแทบนำออกมาใช้เพียงน้อยครั้ง นางสามารถสัมผัสความต่างชั้นเหนือธรรมดาที่มีมากกว่าพู่กัน หมึก และจานฝนหมึกชุดอื่น ๆ อย่างชัดเจน



คุณชายเหนือธรรมดาสามัญเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังใช้พู่กัน หมึก และจานฝนหมึกที่ไม่อาจจินตนาการคุณค่าได้ออกมา ไม่จำเป็นต้องจินตนาการเลยว่าของชิ้นนี้จะทรงพลังมากขึ้นเพียงใด



หลังจากได้ยินคำพูดของลั่วสุ่ยแล้ว สีหน้าของหลีเยว่และศิษย์พี่หลวนพลันมืดครึ้มลง



ลั่วสุ่ยหมายความว่าอย่างไร?



ดูเหมือนจะกล่าวว่าการได้หลี่จิ่วเต้ามาวาดภาพต่อ นับเป็นเกียรติอย่างถึงที่สุด!



“ไม่รู้ความ!”



ศิษย์พี่หลวนตะคอก “กบในก้นบ่ออย่างไรเสียก็เป็นเพียงแค่กบในก้นบ่อ ไม่เคยเห็นท้องฟ้ากว้างใหญ่ คิดว่าสิ่งที่ตนเองเห็นคือผืนนภาทั้งหมด!”



“อย่าพูดยกยอมากเกินไปเลย”



หลี่จิ่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรเสียภาพวาดครึ่งหนึ่งบนนี้ยังเต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากมาย คิดจะเปลี่ยนให้กลายเป็นภาพวาดที่สมบูรณ์ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก”



นี่กำลังพูดจาไร้สาระอันใดกัน!



ศิษย์พี่หลวนโกรธจนไม่สามารถข่มกลั้นเอาไว้ได้ เดิมทีได้ยินประโยคแรกของหลี่จิ่วเต้า เขายังคิดจะเอ่ยว่าอย่างน้อยหลี่จิ่วเต้าก็มีความประมาณตน แต่คำพูดครึ่งหลังของหลี่จิ่วเต้าทำให้เขาระเบิดโทสะออกมา



“ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน!”



ศิษย์พี่หลวนขบฟันแน่ ส่งพลังไปยังพัดด้ามจิ๋วอีกครั้ง คราวนี้เขาต้องการทำให้หลี่จิ่วเต้าอับอายขายหน้าจนไม่กล้าผยองอีกต่อไป!



“ยโสเกินไปแล้ว!”



กระทั่งหลีเยว่ก็ยังอดส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้ คำพูดเหล่านี้คุยโวเกินไป เพื่อโอ้อวดต่อหน้าลั่วสุ่ยแล้ว ช่างเสแสร้งวางมาดใหญ่โต!



เมื่อหมึกถูกฝนออกมาแล้ว หลี่จิ่วเต้าก็หยิบพู่กันขึ้นมา เตรียมจะเริ่มวาดภาพต่อ



เขายังไม่ได้ลงพู่กันในทันที ทว่าคิดพินิจก่อนจะร่างภาพอันสมบูรณ์ขึ้นมาในใจเสียก่อน



อีกครึ่งของภาพวาด เขาต้องการจะวาดต่อให้สมบูรณ์ หากมีภาพเต็มให้อ้างอิงคงไม่ยาก แต่เมื่อมีเพียงแค่ภาพครึ่งแรกให้ดูอย่างเดียว ก็นับว่าไม่ได้ง่ายดายแต่อย่างใด เป็นการทดสอบทักษะการวาดภาพและจินตนาการของเขาอย่างมาก



“รีบลงพู่กันเสียสิ มัวรีรออันใดอยู่!”



ศิษย์พี่หลวนยิ้มเย้ย เขาแทบอดทนรอให้หลี่จิ่วเต้าจรดพู่กันลงมาไม่ไหวแล้ว ต้องการจะดูฉากที่หลี่จิ่วเต้าโดนตบหน้า



ทำลายพู่กันอันใดนั่น เขาไม่คิดเรื่องนั้นอีกต่อไป พู่กันนั่นพิเศษเหนือชั้นเป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่าต่อให้เป็นร่างของเขามาเมื่อมาอยู่ที่นี่ แม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถ ก็ไม่อาจทำลายพู่กันด้ามนี้ได้



แต่เขามั่นใจว่าหลี่จิ่วเต้าจะต้องไม่สามารถวาดภาพลงพู่กันด้ามจิ๋วได้



เขารู้จักบุตรแห่งสวรรค์ผู้โดดเด่นทั้งหมดในสถานที่ที่เขาอยู่ ทว่าเขาไม่มีความประทับใจใดเกี่ยวกับหลี่จิ่วเต้า แสดงให้เห็นว่าหลี่จิ่วเต้าไม่ใช่บุตรแห่งสวรรค์ผู้โดดเด่นแต่อย่างใด



ตัวเขาเองแม้อยู่ในกลุ่มบุตรแห่งสวรรค์ผู้โดดเด่นก็ยังเปล่งประกาย สามารถยืนอยู่บนยอดด้านบนได้ หลี่จิ่วเต้าจะนับเป็นสิ่งใดได้กัน แม้จะมีพู่กันอันไม่ธรรมดาด้ามนี้ ก็ไม่มีทางเทียบเคียงเขาได้อย่างแน่นอน



ทว่าเขาก็ไม่ได้ประมาทแต่อย่างใด ใช้พลังทั้งหมดเท่าที่มีเสริมพลังให้กับพัดด้ามจิ๋ว



“คงประมาณนี้”



รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของหลี่จิ่วเต้า ภาพวาดอันสมบูรณ์ถูกเขาร่างขึ้นมาในใจเรียบร้อยแล้ว



เขาจุ่มหมึก เตรียมตัวลงพู่กัน



“เอาเลย!”



ศิษย์พี่หลวนราวกับได้เห็นฉากที่หลี่จิ่วเต้าถูกทำให้อับอายจากการลงพู่กันไม่ได้ไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มร่าขึ้นมา



“ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดว่าเพียงแค่มีสมบัติบางอย่างติดตัวมาจากตระกูลก็สามารถทำตัวกำเริบเสิบสานได้ เด็กหนอ ยังเป็นเด็กเสียจริง...”



เขาเอ่ยราวกับตนเป็นผู้อาวุโส เยาะเย้ยถากถางหลี่จิ่วเต้าอย่างไม่ได้มีการปิดบังแม้สักนิด



“ข้าเคยเห็นคนประเภทนี้มามากนัก ตนเองไม่มีความสามารถแต่อย่างใด ทำได้เพียงพึ่งบารมีและสมบัติที่สะสมกันมาในตระกูลเท่านั้น ไม่ต่างอันใดไปจากปรสิต มอด และแมลง ในอนาคตก็ไม่อาจประสบความสำเร็จอันใด” เขาพูดต่อ



ทว่าเพียงพริบตาต่อมา ใบหน้าของเขาก็พลันซีดเผือดลง ก่อนจะกลายเป็นสีแดงก่ำ!



เหตุการณ์ที่เขาคาดเอาไว้ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด!



หลี่จิ่วเต้าสามารถจรดพู่กันลงไปได้อย่างง่ายดาย คลื่นแสงที่ไม่อาจมองเห็นและอธิบายได้เปล่งออกมาจากพู่กัน ทำให้พลังทั้งหมดบนพัดด้ามจิ๋วถูกระงับลง ไม่สามารถใช้พลังออกมาได้แม้แต่น้อย!



สิ่งนี้ทำให้เขาคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เขาเอ่ยเยาะเย้ยหลี่จิ่วเต้าตั้งมากมาย ทว่าหลี่จิ่วเต้านั้นไม่ได้ถูกตบหน้า แต่เป็นเขาที่ถูกตบหน้าอย่างแรง!



โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าหลีเยว่!



เขารู้สึกอับอายขายหน้าอย่างถึงที่สุด!



“ข้าประเมินเขาต่ำไป! ไม่สิ ไม่ได้ประเมินเขาต่ำไป ข้าประเมินพู่กันในมือเขาต่ำไปต่างหาก!”



เขาพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิดใจ “ข้าคาดไม่ถึงว่าพู่กันในมือของเขาจะทรงพลังถึงเพียงนี้ กระทั่งเมื่ออยู่ในมือมดตัวจ้อยเช่นเขาก็ยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!”



เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?



หลีเยว่ไม่เอ่ยอันใด นางรู้สึกว่าตัวของหลี่จิ่วเต้าเองนั้นก็ไม่ได้ธรรมดา...



นางไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังใด ๆ บนร่างของหลี่จิ่วเต้า ราวกับว่าหลี่จิ่วเต้านั้นไม่ได้ใช้พลังออกมา ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงพลังจากพู่กันในมือของเขา



สามารถสำแดงฤทธิ์อันทรงพลังเพียงนี้โดยไม่จำเป็นต้องใช้พลังได้จริงหรือ?



นางรู้สึกจริง ๆ ว่าหลี่จิ่วเต้านั้นไม่ได้ธรรมดาสามัญ!



“รอก่อนเถิด!”



ในตอนนั้นเอง ศิษย์พี่หลวนก็พูดขึ้นมา



จากนั้นเพียงไม่นานก็มีแสงหนึ่งเส้นทะยานมา ร่างของเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง พร้อมกับความคิดที่กลับเข้าไปในร่าง



จนกระทั่งหลังจากร่างของเขามาถึง พวกลั่วสุ่ยก็ยังไม่สังเกตเห็นสิ่งใดเลย



ศิษย์พี่หลวนไม่ได้เปิดเผยตัวตนออกมา

เขาไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน นี่นับเป็นการแข่งขันอย่างลับ ๆ ระหว่างเขากับหลี่จิ่วเต้า เช่นนั้นแล้วเขาจะเปิดเผยตัวตนเพื่อสิ่งใดกัน?



นี่นับเป็นการลดศักดิ์ศรีของเขา!



“หยุดมันเสีย!”



เขาส่งเสียงเย็นชา พลังทั้งหมดในร่างระเบิดออก ส่งพลังไปยังพัดด้ามจิ๋ว



“เป็นไปได้อย่างไร!”



ทว่าเขาก็ต้องนิ่งค้างไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าก็พลันดำคล้ำลง ราวกับจะสามารถเค้นหมึกออกมาได้



พ่ายแพ้อีกแล้ว!



เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้!



หลี่จิ่วเต้ายังคงวาดพู่กันต่อไป มีแสงที่มองไม่เห็นและไม่อาจอธิบายได้กระเพื่อมบนพู่กัน พลังของเขาที่ถ่ายทอดให้พัดไม่อาจทำสิ่งใดได้ ทั้งหมดล้วนถูกระงับเอาไว้!



ไม่ธรรมดาจริง ๆ ด้วย...



ดวงตาของหลีเยว่เป็นประกาย เพียงแค่พึ่งพาพลังจากพู่กัน จะสามารถหยุดยั้งการระเบิดพลังจากร่างของศิษย์พี่หลวนได้อย่างไร?



ไม่มีทางเป็นไปได้!



ตัวของหลี่จิ่วเต้าเองก็ต้องทรงพลังเป็นอย่างมาก เมื่อรวมกับพลังของพู่กันแล้ว จึงสามารถยับยั้งพลังของศิษย์พี่หลวนที่ระเบิดออกมาได้



‘ข้ายังคงไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังบนร่างของเลย...นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?’



หลีเยว่คิดขึ้นมาในใจ ‘ไม่มีพลังแผ่ออกมาเลยได้อย่างไร แน่นอนว่าเขาจะต้องมีวิธีการบางอย่างเพื่อปิดซ่อนมันเอาไว้…’



จัดการ!



จำเป็นต้องจัดการ!



เมื่อศิษย์พี่หลวนห็นดวงตาเปล่งประกายของหลีเยว่ ภายในใจก็พลันรู้สึกอัดอั้นเป็นอย่างมาก หลีเยว่ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อชายผู้นี้ นับว่าไม่ใช่สัญญาณที่ดีแต่อย่างใด!



เขาจำเป็นต้องกำจัดสัญญาณเหล่านี้ทิ้งทั้งหมด!



“พึ่งพาเพียงสมบัติเท่านั้น นับว่ามีความสามารถที่ใดกัน ยกเว้นสมบัติ เขาจะมีสิ่งใดอีก!”



ศิษย์พี่หลวนกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน “ข้าจะต้องทำให้เขาเข้าใจความจริงข้อนี้!”



ทันใดนั้น ร่างของเขาก็พลันสลายหายออกไปจากสถานที่แห่งนี้



ต้องการแข่งภูมิหลังอย่างนั้นหรือ?



น่าขันนัก นิกายของเขานั้นเป็นหนึ่งในนิกายสูงสุด ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใด!



เขากลับไปยังนิกายเพื่อต้องการยืมสมบัติมาจัดการกับหลี่จิ่วเต้า!

[1] ร้อยไข่มุกต่อหยก (珠联璧合) หมายถึง ผูกสัมพันธ์กัน หรือเข้ากันได้ดี

“จุดประสงค์ของคนผู้นี้ไม่บริสุทธิ์!”


ศิษย์พี่หลวนที่กลับมาถึงภายในนิกายแล้วกัดฟันแน่น


เขาไม่ได้โง่ มาถึงตอนนี้แล้วจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า หลี่จิ่วเต้าไม่ได้ไร้ความสามารถพึ่งพาเพียงพู่กันเท่านั้น


หากไม่มีความสามารถจริง ๆ แม้พู่กันในมือจะยอดเยี่ยมเพียงใดก็ไม่อาจสำแดงพลังเช่นนี้ออกมาได้!


อีกทั้งเขายังคิดว่าหลี่จิ่วเต้านั้นมุ่งเป้าไปที่หลีเยว่!


อย่างไรเสีย สิ่งเหล่านั้นก็เป็นหลีเยว่ที่ทิ้งเอาไว้ ย่อมมีลมหายใจของหลีเยว่หลงเหลืออยู่ หลักจากที่หลี่จิ่วเต้าสัมผัสสิ่งของแล้ว จึงสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจของหลีเยว่


ดังนั้นมันจึงทำเช่นนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อดึงดูดความสนใจของลหลีเยว่!


หลีเยว่น่าตื่นตะลึงเกินไป มีคนจำนวนมากต้องการจะตามเกี้ยวพาหลีเยว่


และวิธีนี้ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่เขาจะจากไป สายตาของหลีเยว่ที่มองหลี่จิ่วเต้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด


สิ่งนี้ทำให้เขาไม่อาจทนได้!


“ขัดขวาง จำเป็นต้องขัดขวาง!”


เขาเร่งร้อนกลับไปยังนิกาย เข้าพบกับเจ้านิกายเพื่อขอยืมสมบัติ


“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”


เจ้านิกายถาม “ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเราก็จะเป็นที่พึ่งพิงให้เจ้าอย่างถึงที่สุด ไม่มีผู้ใดสามารถรังแกเจ้าได้!”


“ใช่แล้ว!”


“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด ไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายจะมีภูมิหลังเช่นไร! พวกเราจะสนับสนุนเจ้าจนถึงที่สุด!”


ที่แห่งนี้ยังมีผู้อาวุโสจำนวนมากอยู่ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าหลวนเหยามายืมสมบัติ ก็ต่างรู้ได้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องอันใดขึ้น ไม่เช่นนั้นจะมายืมสมบัติเพื่อสิ่งใด?


หลวนเหยานับเป็นศิษย์คนสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา เปี่ยมพรสวรรค์ชวนตื่นตะลึง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใด พวกเขาก็จะต้องสนับสนุนหลวนเหยาอย่างถึงที่สุดตามที่พูดอย่างแน่นอน!


ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ใดก็ตาม!


หลวนเหยานั้นคือนามของศิษย์พี่หลวนนั่นเอง


กระทั่งเจ้านิกายเองก็ให้ความสำคัญกับหลวนเหยาเป็นอย่างมาก ตัวเขานั้นชื่นชอบหลวนเหยา ถึงขั้นถืออีกฝ่ายว่าเป็นลูกเขยแล้วเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังเป็นว่าที่ผู้นำนิกายคนต่อไป!


เขาจะไม่ปล่อยให้หลวนเหยาต้องทนโดนคนภายนอกดูถูกเหยียดหยาม


“เรื่องเป็นเช่นนี้...”


หลวนเหยารีบเล่าทุกอย่างออกมาโดยไม่มีปิดบัง


ขอบเขตของเหล่าผู้อาวุโสและเจ้านิกายนั้นล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งถึง เขาไม่มีทางปิดซ่อนสิ่งใดจากตัวตนเหล่านี้ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องปิดซ่อนเรื่องใด


อีกทั้งเขายังเป็นที่รักเอ็นดูของเจ้านิกายและเหล่าผู้อาวุโส ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่กล้ามาเอ่ยปากขอยืมสมบัติ


“เป็นเช่นนี้เอง”


ผู้อาวุโสแย้มยิ้ม เดิมทีคิดว่าหลวนเหยาถูกคนนอกรังแกเสียอีก


ที่แท้ก็เป็นการแข่งขันของชนรุ่นหลัง


พวกเขาต่างรู้ว่าหลวนเหยามีความรู้สึกเช่นใดต่อหลีเยว่ ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว หลวนเหยาต้องไม่ยอมถอยอย่างแน่นอน


อีกทั้งพวกเขายังรู้สึกเห็นด้วยอยู่บ้างว่าจุดประสงค์ของหลี่จิ่วเต้านั้นมุ่งไปที่หลีเยว่


“วางใจได้ จะไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น มีข้าคอยหนุนหลังอยู่ เจ้ายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”


เจ้านิกายยิ้มพลางเดินไปทางหลวนเหยา ก่อนจะตบไหล่ของเขาพร้อมเอ่ยออกมา “ข้าชื่นชอบเจ้ามาก สิ่งนี้ผู้อื่นไม่สามารถเปรียบเทียบได้ หากคนอื่นต้องการจะเป็นลูกเขยของข้า ก็ไม่สามารถทำได้หากข้าไม่เห็นด้วย”


“ขอบคุณ ท่านอาจารย์!”


หลวนเหยาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก คำพูดของเจ้านิกายทำให้เขามั่นใจขึ้นมา


“ในการต่อสู้ครั้งนี้เจ้าจะไม่มีทางพ่ายแพ้! อาศัยแค่สมบัติชิ้นนั้นจะล่อลวงบุตรีของข้าได้อย่างไร! ไม่มีทาง! นิกายของพวกเราไม่ขาดแคลนสมบัติ! ไปแสดงให้คนผู้นั้นเห็นเสีย ทำให้ตระหนักได้ว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ จำต้องล้มเลิกความคิดนั้นแต่โดยเร็ว!”


เจ้านิกายกล่าว


เขาเองก็คิดว่าหลี่จิ่วเต้านั้นมีเป้าหมายที่หลีเยว่


สมบัติชิ้นนั้น ไม่สามารถมาจากสถานที่แห่งอื่นได้ นอกจากสถานที่แห่งนี้เท่านั้นจึงจะสามารถให้กำเนิดมันขึ้นมาได้ หลี่จิ่วเต้าจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตจากสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจของหลีเยว่บนพัดด้ามจิ๋วแล้ว จึงเกิดความคิดต่อหลีเยว่ขึ้นมา


หลี่จิ่วเต้าอาจมีภูมิหลังที่ดีหรือมาจากกองกำลังสูงสุดอื่น ๆ หากไม่เช่นนั้นแล้วคงจะไม่กล้าเล่นลูกไม้อันใดกับหลีเยว่


แต่คิดว่าจะสามารถมายุ่งกับนิกายของพวกเขาได้หรือ?


เขาอยากหัวเราะออกมา เห็นได้ชัดว่าเบื้องหลังของหลี่จิ่วเต้านั้นขาดการอบรมสั่งสอน ทำให้อีกฝ่ายเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา


ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของหลวนเหยาเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันถึงความภาคภูมิของนิกายพวกเขาอีกด้วย


หากหลี่จิ่วเต้าสามารถแตะนิกายของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นแล้วนิกายของพวกเขาจะเอาความภาคภูมิไปไว้ที่ใด? มันจะต้องกลายเป็นเรื่องตลกขบขันของกองกำลังสูดสุดอื่น ๆ อย่างแน่นอน


“เปิดคลังสมบัติ เลือกออกมาหนึ่งชิ้นให้หลวนเหยานำไป”


เขาออกคำสั่ง ในไม่ช้าก็มีผู้อาวุโสคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับสมบัติที่หยิบออกมาจากคลัง


ธงผืนใหญ่แผ่อำนาจน่าหวาดหวั่นออกมา มันสามารถติดหนึ่งในร้อยอันดับของสมบัติระดับสูงได้!


“ไปเถิด คราวนี้เจ้าจะต้องสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย”


เขาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม เต็มไปด้วยความมั่นใจ


ในแง่ของความสามารถส่วนตัวแล้ว เขาไม่เชื่อว่าหลี่จิ่วเต้าจะสามารถเอาชนะหลวนเหยาได้ ที่อีกฝ่ายสามารถเอาชนะได้ก็เพราะพู่กันด้ามนั้น ครั้งนี้หลวนเหยานำสมบัติไปด้วย ย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้อย่างแน่นอน


“ขอบคุณ ท่านอาจารย์!”


หลวนเหยากล่าวลาอาจารย์ ก่อนกลับไปอย่างรวดเร็วพร้อมธงผืนใหญ่


“หนุ่มสาวช่างดีเสียจริง...มีใจแข่งขันกันในเรื่องความรัก ต่างจากคนชราอย่างพวกเราที่ผ่านพ้นเรื่องเหล่านั้นมานานมากแล้ว!”


ผู้อาวุโสคนหนึ่งทอดถอนหายใจ


“ผู้อาวุโสไช่อย่าได้เอ่ยเช่นนี้เลย! เมื่อไม่กี่วันก่อนเพื่อให้ได้เต้นรำกับหญิงชราจากตระกูลชางแล้ว ถึงกับต่อสู้กับผู้อาวุโสเจ็ดตระกูลชุน นี่นับว่าคนชราอย่างพวกเราผ่านพ้นเรื่องเหล่านั้นมานานมากแล้วหรือ?”


มีผู้อาวุโสคนอื่นขัดขึ้นมา


ใบหน้าของผู้อาวุโสชางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที ก่อนเอ่ยออกมาอย่างมีชนักติดหลัง “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”


“ผู้ใดกันจะไม่รู้! ผู้อาวุโสเจ็ดตระกูลชุนถูกเจ้าทุบตีเสียจนหัวเหมือนหมู!”


“นั่นคือสิ่งที่เขาสมควรได้รับแล้ว!”


ผู้อาวุโสไช่กล่าวออกมาด้วยความชิงชัง “หญิงชราตระกูลชางเลือกให้ข้าเป็นคู่เต้นรำ เช่นนั้นแล้วแต่ผู้อาวุโสเจ็ดตระกูลชุนยังเสนอหน้า คิดยื่นขาเข้ามาเอาคู่เต้นรำของข้าไป หากข้าไม่ทุบตีเขาแล้วจะให้ทุบตีผู้ใด!”


เหล่าผู้อายุโสระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา


ไม่ใช่เพียงแค่หนุ่มสาวเท่านั้นที่ต่อสู้เพื่อความรัก แต่คนชราเองก็เช่นเดียวกัน


...


ภายในตำหนักจักรพรรดิไป๋


ภาพวาดของหลี่จิ่วเต้าเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว ดวงตาของหลีเยว่ที่มองชายหนุ่มพลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง


ดังคำกล่าวว่าเมื่อผู้เชี่ยวชาญลงมือแล้ว ย่อมรู้ว่ามีความสามารถจริงหรือไม่ ทักษะการวาดภาพของหลี่จิ่วเต้าทำให้นางตกตะลึงเป็นอย่างมาก ทุกเส้นพู่กันทุกการเคลื่อนไหวล้วนสมบูรณ์แบบ ทำให้นางรู้สึกละอายใจยิ่ง!


เดิมที นางหลงคิดว่าทักษะการวาดภาพของนางมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ไม่มีผู้ใดเหนือกว่านาง ทว่าตอนนี้หลังจากได้เห็นอีกฝ่ายวาดภาพแล้ว นางก็ตระหนักได้ว่าจุดสูงสุดของนาง เป็นเพียงเนินเขาเล็ก ๆ เพียงเท่านั้น...


ส่วนหลี่จิ่วเต้านะหรือ?


เขาอยู่บนยอดคีรีสูงตระหง่านเป็นที่เรียบร้อย แตกต่างกับนางโดยสิ้นเชิง ช่องว่างนั้นมากเกินไป ไม่รู้ว่าเหนือขึ้นไปกว่านางกี่ขั้น!


ใบหน้าขาวนวลงดงามของนางแดงระเรื่อ ภายในใจรู้สึกละอายเป็นอย่างยิ่ง


ก่อนหน้านี้นางคิดว่าหลี่จิ่วเต้าเป็นคนคุยโวโอ้อวด ผยองจนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ทว่าตอนนี้นางรู้แล้วว่าเรื่องเล่านั้นไม่ใช่การคุยโวโอ้อวด อีกทั้งเขาก็ไม่ได้หยิ่งผยองแต่อย่างใด


สิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นความจริง!


เขาทรงพลังมากจริง ๆ!


เมื่อเทียบกับภาพที่เขาวาดแล้ว ภาพของนางไม่อาจนับว่าเป็นสิ่งใดได้เลยจริง ๆ เต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากมาย แม้อีกฝ่ายจะยังวาดภาพไม่เสร็จก็ตาม...


“นี่คือผู้ใดกัน? เหตุใดจึงทรงพลังถึงเพียงนี้? ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องของเขามาก่อนเลย”


นางอดกล่าวออกมาด้วยความตื่นตะลึงไม่ได้


ตอนนั้นเองหลวนเหยาก็กลับมาพร้อมกับธงผืนใหญ่


“ศิษย์พี่หลวน อย่า!”


หลีเยว่ตะโกน ต้องการจะหยุดหลวนเหยาเอาไว้


ไม่ได้การ!


ศิษย์น้องหญิงถึงกับเอ่ยปากแทนคนผู้นี้แล้วหรือ!?


หลวนเหยาเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก ราวกับมีมีดนับหมื่นทิ่มแทงหัวใจ รู้สึกอึดอัดคับข้องจนแทบจะหายใจไม่ออก!


“ศิษย์น้องหญิงอย่าได้แทรกแซงเรื่องนี้เลย นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ๆ อีกต่อไป! เจ้าเห็นธงหมื่นพินิตในมือข้าหรือไม่? อาจารย์เป็นคนให้ข้านำมันมาที่นี่ เพื่อจัดการเรื่องราวต่าง ๆ! รอหลังจากจบเรื่องนี้ข้าค่อยคุยทุกสิ่งกับศิษย์น้องหญิง!”


เขาเอ่ยกับหลีเยว่


จากนั้นเขาก็ไม่รอให้หลีเยว่ได้พูดสิ่งใดอีก โบกธงหมื่นพินิตในมือทันที ปลดปล่อยพลังของธงหมื่นพินิตออกมาอย่างเต็มที่ ส่งเข้าไปยังพัดด้ามจิ้ว!


เกิดอันใดขึ้น!?


พวกลั่วสุ่ยต่างเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในใจ พวกนางราวกับได้ยินเสียงของอสูรร้ายอันน่าสะพรึงกลัวจำนวนนับไม่ถ้วนกู่ร้อง สามารถรับรู้ได้ถึงพลังอันหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด!


ทว่าความรู้สึกเหล่านี้ก็สลายหายไปสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว


หลี่จิ่วเต้าวาดพู่กัน พลันปรากฏระลอกคลื่นแสงที่มองไม่เห็นปะทุออกมาพุ่งใส่หลวนเหยาทันที ธงหมื่นพินิตในมือของเขาพินาศย่อยยับทันที!


“เป็นไปไม่ได้!”


หลวนเหยาตกตะลึง ปากกระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง ได้รับบาดเจ็บหนัก


ทว่าเทียบกับเรื่องอาการบาดเจ็บแล้ว เขาสนใจเรื่องธงหมื่นพินิตที่พ่ายแพ้ย่อยยับมากกว่า!


นี่สามารถนับได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของนิกายพวกเขา นับทั่วดินแดนแล้วถือได้ว่าติดหนึ่งในร้อย เช่นนั้นแล้วจะถูกทำลายลงไปเช่นนี้ได้อย่างไร?


“นี่...”


หลีเยว่อ้าปากค้าง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น


“รอข้าก่อนเถิด!”


หลวนเหยาเอ่ยอย่างคับแค้น วางเศษธงหมื่นพินิตในมือลงไปกับพื้น จากนั้นก็ทะยานออกไปจากที่นี่อีกครั้ง


...


ภายในนิกาย ผู้อาวุโสทุกคนยังคงหัวเราะไม่หยุด สนทนากันว่าครั้งนี้หลวนเหยาจะต้องสามารถจัดการหลี่จิ่วเต้าผู้นั้นลงได้ จากนั้นก็ทำลายความภาคภูมิของอีกฝ่ายทิ้งเสีย


ทว่าเมื่อหลวนเหยากลับมา รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาก็พลันแข็งทื่อ


“แพ้แล้ว?”


สีหน้าของเจ้านิกายมืดครึ้มเมื่อเห็นหลวนเหยาได้รับบาดเจ็บหนัก อีกทั้งเมื่อรวมกันสีหน้าไม่น่าดูของหลวนเหยาแล้ว เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าครั้งนี้ลงเอยด้วยการพ่ายแพ้


เหล่าผู้อาวุโสเองก็คาดไม่ถึง กระทั่งธงหมื่นพินิตก็ยังพ่ายแพ้?


“ให้ข้าลองดูหน่อยว่าสมบัติในมือของเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใดกัน”


ผู้อาวุโสไช่กล่าวขึ้นมา


“การต่อสู้ของอนุชน ผู้อาวุโสเช่นข้ากับเจ้ายื่นมือเข้าไปจะนับเป็นสิ่งใด?”


เจ้านิกายหยุดผู้อาวุโสไช่เอาไว้ หากทำเช่นนั้นนับว่าเป็นการลดค่าฝ่ายตนเองลง


“เปิดคลังสมบัติอีกครั้ง นำระฆังสะเทือนฟ้าออกมา!”


ครั้งนี้เขาออกคำสั่งด้วยความจริงจังเป็นอย่างยิ่ง


“ระฆังสะเทือนฟ้า! นี่ไม่ใช่ว่าประเมินเขาสูงเกินไปหรือ?”


ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “นั่นมันศาสตราลำดับแปดเชียวนะ!”


ระฆังสะเทือนฟ้า เมื่อศาสตราชิ้นนี้ถูกนำออกมา ทั้งฟ้าดินล้วนถึงกับสะเทือน!


“สิ่งที่จำเป็นคือการกำราบอย่างราบคาบ!”


เจ้านิกายกล่าว “พวกเราไม่รู้ว่าบนตัวของเขายังมีสมบัติชิ้นอื่นอยู่หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องนำระฆังสะเทือนฟ้าออกมา แสดงให้เห็นถึงช่องว่าง!”


เขาสั่งให้ผู้อาวุโสคนหนึ่งไปนำระฆังสะท้านฟ้าออกมาจากคลังเก็บสมบัติ


ใช้เวลาเพียงไม่นาน ผู้อาวุโสคนนั้นก็กลับมาพร้อมกับระฆังสะท้านฟ้า แล้วส่งให้กับหลวนเหยา


“เขากล้าทำลายธงหมื่นพินิตของพวกเรา เช่นนั้นเจ้าก็ทำลายพู่กัน หมึก และจานฝนหมึกของเขาเสีย รวมกระทั่งสมบัติชิ้นอื่น ๆ ที่เขานำออกมาด้วย!”


เจ้านิกายเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา


ธงหมื่นพินิตถูกทำลายลง ภายในใจของเขามีความโกรธพลุ่งพล่าน


แม้จะเป็นเพียงการแข่งขันของคนรุ่นเยาว์ แต่กล้ามาทำลายสมบัติเช่นนี้ นับว่าสมควรได้รับบทเรียน!


“รับทราบ! ศิษย์จะไม่มีทางปล่อยให้บนร่างของเขาเหลือสมบัติใดในสภาพสมบูรณ์!”


หลวนเหยาตอบกลับด้วยความเคารพ ก่อนกล่าวลาเจ้านิกาย กลับไปพร้อมกับระฆังสะท้านฟ้า!


“มีระฆังสะท้านฟ้าอยู่ในมือเช่นนี้ ให้ข้าดูเสียว่าเจ้าจะสามารถหยุดยั้งได้อย่างไร! ข้าจะต้องทำให้เจ้าหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเสียใจ! ศิษย์น้องหญิงไม่ใช่ผู้ที่เจ้าจะสามารถมีความคิดอันใดด้วยได้!”


หลวนเหยายิ้มเหยียดหยัน เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ

756-760

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 756ถึง 760

พญางูปาถูกโค่นลง ทำให้สถานการณ์ในที่แห่งนี้แปรเปลี่ยนไปในทันที


เผ่าอื่น ๆ ที่ก่อนหน้าเคยขี่เผ่ามนุษย์มาก่อน ตอนนี้ต่างมีเผ่ามนุษย์อยู่บนหลังของตนเอง เริ่มทำหน้าที่เป็นสัตว์ขี่ให้เผ่ามนุษย์!


น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว


หนึ่งกระบี่... ทั้งยังใช้เพียงใบหญ้า ภายในใจของพวกมันล้วนถูกข่มขวัญด้วยความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นเต็มหัวใจ หลี่จิ่วเต้าผู้นี้คือใครกันแน่!?


พวกเขาล้วนประจักษ์ในความแข็งแกร่งของพญางูปาที่ทรงพลังเกินขอบเขตความรู้ความเข้าใจของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง ทว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าคนผู้นี้ กลับดูเหมือนเปราะบางเป็นอย่างยิ่ง สวรรค์! คนผู้นี้จะต้องแข็งแกร่งถึงเพียงใดกัน!?


ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ต่างพากันดีใจจนกระโดดโลดเต้น ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับกอบกู้แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีสุนัขสีดำย่างกรายมายังเมืองจักรพรรดิไป๋แห่งนี้ และกำราบผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ทุกคนลง ก่อนจะตั้งกฎขึ้นมาให้เผ่าอื่นเป็นนาย ส่วนเผ่ามนุษย์เป็นทาส!


สุนัขสีดำ!


นี่น่าจะเป็นราชันสุนัขผู้นั้นจากแดนบรรพโกลาหลใช่หรือไม่!


กิเลนไฟได้ยินเสียงโห่ร้องดีใจของผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ มันก็สะกิดใจเรื่องสุนัขสีดำที่ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์เอ่ยถึง


เดิมทีมันคิดว่าพญางูปาเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงจนเป็นเช่นนี้


แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของผู้ฝึกตนเหล่านี้แล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น มีผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยเอ่ยถึงสุนัขสีดำ!


แม้พญางูปาจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงอยู่เบื้องล่างสุนัขสีดำ สุนัขสีดำตัวนั้นนับว่าแข็งแกร่งที่สุดในสถานที่แห่งนี้ เป็นผู้ที่กำหนดกฎขึ้นมา!


มันนึกถึงราชันสุนัขที่ดุร้ายและทรงพลังเป็นอย่างมากในแดนบรรพโกลาหลทันที!


ราชันสุนัขผู้นี้มีนิสัยแปลกประหลาดยิ่ง ความแข็งแกร่งนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจ้าวดินแดนต่าง ๆ ทั้งยังแข็งแกร่งกว่าอยู่เล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ ครั้งนี้เคยเกิดการต่อสู้ระหว่างจ้าวดินแดนผู้หนึ่งกับราชันสุนัข ผลออกมาคือราชันสุนัขเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ


นอกเหนือจากนี้ ประสบการณ์ชีวิตของราชันสุนัขก็กลายเป็นตำนานเล่าขาน เดิมทีแล้วมันเป็นเพียงแค่สุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง สายเลือดไม่ได้แข็งแกร่งแต่อย่างใด ท่ามกลางแดนบรรพโกลาหลที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมาย สายเลือดของราชันสุนัขอ่อนแอยิ่งนัก


ด้วยอิทธิพลของสายเลือด ความสำเร็จที่ราชันสุนัขสามารถบรรลุได้นั้นถูกจำกัดเอาไว้ ขอบเขตสูงสุดที่ก้าวไปถึงถูกข้อจำกัดของสายเลือดกำหนดเอาไว้


แต่ทว่าก็เกิดสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด ราชันสุนัขทลายข้อกำจัดทางสายเลือด ก้าวสูงขึ้นไปทีละขั้น ทิ้งห่างเหล่าสิ่งมีชีวิตที่มีสายเลือดแข็งแกร่งกว่ามันออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นอสูรผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเทียบเคียงกับจ้าวดินแดนได้!


นี่เป็นตำนานอย่างแท้จริง มีสิ่งมีชีวิตน้อยนักที่จะสามารถเทียบเท่าได้!


การทลายข้อจำกัดของสายเลือดตนเองเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง กล่าวตามตรงแล้ว การที่จ้าวดินแดนประสบความสำเร็จก้าวขึ้นมายังขอบเขตสูงเช่นนี้ได้ สายเลือดภายในร่างนับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก


หากสายเลือดของจ้าวดินแดนไม่ได้แข็งแกร่งเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วจะสามารถเดินมาได้ถึงขั้นนี้หรือเปล่าก็ไม่อาจแน่ใจได้


‘น่าจะเป็นราชันสุนัข!’


กิเลนไฟเอ่ยขึ้นมาในใจ


ราชันสุนัขมีความชิงชังต่อเผ่านมนุษย์เป็นอย่างมากตั้งแต่ครั้งอยู่ในแดนบรรพโกลาหล ถึงกับมีสัตว์เลี้ยงมนุษย์จำนวนมาก ร่ำลือกันว่าเมื่อยังเยาว์วัย ราชันสุนัขเคยถูกมนุษย์รับเลี้ยง ทว่าถูกปฏิบัติด้วยความโหดร้าย เป็นเหตุให้ราชันสุนัขชิงชังเผ่ามนุษย์มาก


ข่าวนี้ก็ฟังดูแล้วน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งกิเลนไฟก็ยังคิดว่าความจริงน่าจะเป็นเช่นนั้น


ขอบเขตของราชันสุนัขสูงเป็นอย่างยิ่ง บนร่างกายไม่ควรจะมีตำหนิใด ขอเพียงแค่ราชันสุนัขคิด ร่างกายก็สามารถกลับมาสมบูรณ์แบบได้อย่างง่ายดาย


ทว่าร่างกายของราชันสุนัขกลับเต็มไปด้วยบาดแผล เต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทารุณ


แม้ว่าราชันสุนัขจะกลายมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ สามารถเทียบเคียงกับจ้าวดินแดนได้ แต่รูปลักษณ์ของราชันสุนัขที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าสิ่งมีชีวิตแดนบรรพโกลาหลนั้นยังคงเดิม


ราชันสุนัขมีหางเพียงแค่ครึ่งเดียว หูเองก็แหว่ง สภาพดูราวกับถูกไฟคลอกอย่างแรง ในสี่ขามีอยู่ข้างหนึ่งที่เป๋ทำให้เดินกะเผลก


ดังนั้น สิ่งมีขีวิตจำนวนมากในแดนบรรพโกลาหล รวมถึงตัวกิเลนไฟจึงเชื่อข่าวลือดังกล่าว วัยเด็กของราชันสุนัขไม่ได้งดงาม ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง


‘นี่เป็นตัวปัญหาอย่างแท้จริง!’


กิเลนไฟเอ่ยในใจด้วยความจริงจัง


ราชันสุนัขนั้นไม่ธรรมดา ซ้ำยังเกลียดชังเผ่ามนุษย์ มองกองกำลังมนุษย์แทบทั้งหมดในแดนบรรพโกลาหลเป็นศัตรู อีกทั้งภายใต้สถานการณ์ย่ำแย่ ราชันสุนัขยังสามารถเติบโตขึ้นทีละก้าวทีละก้าวจนแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถทำได้!


‘แต่หากเป็นราชันสุนัขจริง เหตุใดราชันสุนัขจึงปล่อยปละให้ท้ายพญางูปาถึงเพียงนี้?’


มันเกิดความไม่เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย


แม้ว่าราชันสุนัขจะเกลียดชังเผ่ามนุษย์ ทั้งยังมีสัตว์เลี้ยงมนุษย์จำนวนมาก แต่ราชันสุนัขก็ไม่ได้กระทำการเหี้ยมโหดแต่อย่างใด เพียงแค่กำราบผู้ฝึกตนมนุษย์ให้กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยง จากนั้นก็เพียงสั่งแค่ให้มารับใช้ตน ไม่ได้มีการทำร้ายหรือทรมานแต่อย่างใด


มีอสูรจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเอาใจ เพื่อจะได้ติดตามข้างกายราชันสุนัข จึงก่อเหตุฆ่าล้างผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ ทว่าสุดท้ายอสูรเหล่านั้นก็ถูกราชันสุนัขสังหารทิ้งทีละตัว!


ราชันสุนัขมีวิถีของตนเอง กำราบก็เพียงแค่กำราบ ไม่กลายเป็นตัวตนอันชั่วร้าย


ทว่าพญางูปานั้นเลวทรามเป็นอย่างยิ่ง กระทำความชั่วทุกหนแห่ง!


กล่าวกันตามเหตุผลแล้ว ราชันสุนัขจะต้องไม่มีทางปล่อยพญางูปาไว้แน่!


“ขอบคุณ!”


“ท่านคือผู้มีพระคุณของพวกเรา!”


เด็กสาวเหล่านั้นต่างคุกเข่าคำนับหลี่จิ่วเต้า


“อย่าได้ทำเช่นนั้น!”


หลี่จิ่วเต้ารีบขี่กิเลนไฟตรงเข้าไปเพื่อพยุงร่างของเด็กสาวทั้งหมดขึ้นมา


เขากล่าว “พานพบความอยุติธรรม จำต้องชักดาบออกมาช่วยเหลือ นี่คือสิ่งที่ผู้มีคุณธรรมสมควรกระทำ!”


พญางูปาทำเกินไปแล้ว บนร่างของเด็กสาวทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยรอยแผลน่าสยดสยอง บางแผลยังไม่หายดีมีเลือดไหลออกมาเสียด้วยซ้ำ สิ่งนี้ทำให้ผู้มองเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา


ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดอันใดมากมาย ก็สามารถมองออกได้ว่าเด็กสาวเหล่านี้ต้องผ่านความทุกข์ทรมานมากมายเพียงใดมาก่อน!


“พวกเจ้ารับสมุนไพรเหล่านี้ไปเถิด มันสามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเจ้าได้!”


หลี่จิ่วเต้าหยิบสมุนไพรออกมาแล้วยื่นให้


สมุนไพรนี้มีสีเขียวพร่างพราว เมื่อถูกนำออกมา ขุมปราณชีวิตจำนวนมหาศาลก็แผ่กระจายทันที


สิ่งมีชีวิตทั้งหมดตกตะลึง ยังไม่ทันได้กินพลังทั้งหมดในร่างก็เดือดพล่านขึ้นมาแล้ว ราวกับกำลังพัฒนาขึ้น!


นี่มันสมุนไพรอันใดกัน!


แค่นำออกมา แก่นแท้ชีวิตที่แผ่ออกมาก็น่าหวาดหวั่นและสามารถมอบประโยชน์ให้พวกเขาได้ถึงเพียงนี้ ภายในใจของพวกเขาต่างตกตะลึงอย่างถึงที่สุด!


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่จะต้องเป็นสมุนไพรอันเหนือชั้นยิ่ง ประสิทธิภาพถึงขั้นสะท้านฟ้า!


“นี่..นี่มันล้ำค่าเกินไป!”


“พวกเราไม่สามารถรับเอาไว้ได้!”


เหล่าเด็กสาวรีบพากันปฏิเสธออกมาทันที พวกนางอยู่ใกล้เป็นอย่างมาก ทำให้สามารถสัมผัสได้ถึงความพิเศษไม่ธรรมดาของสมุนไพรเสียยิ่งกว่า


ไม่ต้องพูดถึงการทานเข้าไปเพื่อใช้ฝึกฝน เพียงแค่อยู่ใกล้ชิดสมุนไพร อาการบาดเจ็บของพวกนางก็สามารถฟื้นฟูให้หายดีได้ภายในระยะเวลาอันสั้น!


กระทั่งขุมปราณชีวิตของพวกนางเองก็จะพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก!


“ล้ำค่าหรือ? สิ่งนี้ไม่นับว่าล้ำค่าแต่อย่างใด พวกเจ้ารับไว้เถิด” หลี่จิ่วเต้าเอ่ย


นี่เป็นสมุนไพรที่ปลูกขึ้นมาจากดินโกลาหลที่เขาทำการแลกเปลี่ยนมา สำหรับเขาแล้ว สิ่งนี้ไม่ได้นับว่าล้ำค่าอันใดจริง ๆ บนตัวเขายังมีสมุนไพรเหลืออีกจำนวนมาก อีกทั้งยังสามารถปลูกขึ้นมาใหม่ได้ทุกเมื่อ


สิ่งนี้ไม่นับว่าล้ำค่า!?


สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบด้านพลันเกิดคลื่นลมโหมกระหน่ำในใจ


สวรรค์! สมุนไพรนี้จะต้องเป็นโอสถระดับสะท้านฟ้าอย่างแน่นอน เกรงว่าโอสถเซียนก็ยังไม่อาจเทียบเคียงได้ แต่คนผู้นี้กลับพูดออกมาอย่างสบาย ๆ ว่าสิ่งนี้ไม่นับว่าล้ำค่าแต่อย่างใด คนผู้นี้คือใครกัน? มีภูมิหลังความเป็นมาเช่นไร?


จะยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว!


“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน! ทว่าพวกเราไม่อาจรับเอาไว้ได้จริง ๆ”


“สมุนไพรทั้งต้นมีค่ามากเกินไปสำหรับพวกเรา หากท่านต้องการจะช่วยพวกเราจริง ๆ เพียงแค่มอบใบไม้ให้พวกเรา! เพียงแค่นั้นก็พอที่จะรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเราได้!”


เหล่าเด็กสาวพากันกล่าวออกมา


พวกนางไม่ได้ถูกความโลภต่อโอสถระดับสะท้านฟ้ากลืนกินตัวตนไป ล้วนรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจในตัวหลี่จิ่วเต้าเป็นอย่างมาก จึงไม่ต้องการให้เขาสิ้นเปลืองเพื่อพวกนาง


แม้หลี่จิ่วเต้าจะเอ่ยออกมาว่าสิ่งนี้ไม่นับว่าล้ำค่าก็ตาม...


“ตกลง”


เหล่าเด็กสาวยืนกรานปฏิเสธ หลี่จิ่วเต้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเด็ดใบไม้แล้วส่งมอบให้กับเหล่าเด็กสาว


“ขอบคุณ ขอบคุณ!”


พวกนางเอ่ยขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า


“ท่านต้องการจะไปเมืองจักรพรรดิไป๋อย่างนั้นหรือ?”


เด็กสาวผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา “ทางที่ดีท่านอย่าไปเลยจะดีกว่า เมืองจักรพรรดิไป๋เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้มีสุนัขสีดำตนหนึ่งยึดครองเมืองจักรพรรดิไป๋ ซ้ำยังไม่เป็นมิตรอย่างมากกับผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์!”


พวกนางเล่าว่า เดิมทีคนส่วนใหญ่ในหมู่พวกนางเคยอาศัยอยู่ในเมืองจักรพรรดิไป๋มาก่อน จากนั้นก็ถูกพญางูปาบังคับให้ติดตามข้างกาย


อีกส่วนหนึ่งเป็นเด็กสาวที่ถูกพญางูปาจับมาจากภายนอก


“ไม่เป็นไร ข้างจะเข้าไปดูสุนัขสีดำด้านในเสียหน่อย” หลี่จิ่วเต้าเอ่ย


หลังจากนั้น เขาก็ขี่กิเลนไฟตรงไปทางรถม้า แล้วบอกกับพวกลั่วสุ่ย “ไปเถิด พวกเราลองไปดูด้านในเมืองจักรพรรดิไป๋กัน”


เขาขี่กิเลนไฟออกนำหน้า


อสูรทั้งเก้าลากรถม้าตามหลังเขาไปทันที มุ่งตรงสู่เมืองจักรพรรดิไป๋

เมืองจักรพรรดิไป๋นั้นงดงามตระการตา ทั่วทั้งกำแพงเมืองเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่ผันผ่านมาอย่างยาวนาน ประตูเมืองสูงลิบหลายสิบจั้ง สมควรแก่การเป็นมหานครแห่งนี้


ระหว่างทาง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างพากันมองไปที่หลี่จิ่วเต้าด้วยความยำเกรงอย่างถึงที่สุด


พวกมันล้วนได้เห็นการต่อสู้เมื่อครู่ อีกทั้งยังกลายเป็นเงาขนาดใหญ่ที่ถูกทิ้งเอาไว้ภายในใจของพวกมัน!


พวกหลี่จิ่วเต้าเข้าสู่เมืองจักรพรรดิไป๋


ทว่าสถานการณ์ภายในเมืองจักรพรรดิไป๋นั้นแตกต่างออกไป สิ่งมีชีวิตภายในเมืองไป๋มองไปที่หลี่จิ่วเต้าอย่างปราศจากความเกรงกลัว ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างหลี่จิ่วเต้าและพญางูปา สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความประหลาดใจเท่านั้น!


กล่าวตามหลักเหตุผลแล้วก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้


แม้การต่อสู้ระหว่างหลี่จิ่วเต้าและพญางูปาจะอยู่ห่างออกไปจากเมืองจักรพรรดิไป๋พอสมควร แต่ระยะห่างเพียงแค่นั้นก็ไม่ไกลเกินที่สิ่งมีชีวิตในเมืองจะสามารถสัมผัสหรือสังเกตเห็นการต่อสู้ได้


ทว่าเมื่อดูจากสายตาที่มองมาของสิ่งมีชีวิตภายในเมืองแล้ว ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตภายในเมืองจะไม่เห็นการต่อสู้นั้นจริง ๆ


ในเมืองแห่งนี้ สามารถเห็นการกดขี่เผ่ามนุษย์ได้ทุกแห่ง ส่วนเผ่าอื่นนั้นเป็นใหญ่ เมื่อหลี่จิ่วเต้าขี่กิเลนไฟเข้าไปในเมืองเช่นนี้ ย่อมกระตุ้นสายตาแปลกประหลาดให้มองมา


“สุนัขดำตัวนี้มีความเป็นมาเช่นใดกันแน่!?”


ลั่วสุ่ยอยู่ด้านหน้ารถม้า คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน


นางเข้าใจว่าเหตุใดสิ่งมีชีวิตในเมืองถึงมองมาที่คุณชายด้วยแววตาแปลกประหลาด


ด้านในเมืองแห่งนี้ มีระลอกคลื่นพลังบางอย่างแผ่ปกคลุมไปทั่วเมือง เป็นเพราะพลังนี้ ทำให้สิ่งมีชีวิตในเมืองไม่เห็นการต่อสู้ระหว่างคุณชายกับพญางูปา กระทั่งไม่อาจสัมผัสได้เลยแม้แต่น้อย


ไม่ต้องพูดถึงสิ่งมีชีวิตในเมืองนี้ ต่อให้เป็นนางเอง เมื่อเข้ามาด้านในเมืองแห่งนี้แล้ว สัมผัสการรับรู้ที่มีต่อโลกภายนอกก็ยังเลือนหาย ไม่อาจรับรู้สถานการณ์ภายนอกได้


เห็นได้ชัดว่าพลังนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับสุนัขสีดำตัวนั้น


สุนัขสีดำตัวนี้ไม่ธรรมดา ความแข็งแกร่งจะต้องน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก!


แน่นอนว่า คำว่าน่าสะพรึงกลัวนี้ก็เพียงแค่ต่อหน้าพวกนางเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชายแล้ว สุนัขสีดำตัวนี้ย่อมไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้


‘นี่คือผู้ใดกัน!’


‘เฮ้อ จะต้องเผชิญเคราะห์ร้ายเสียแล้ว!’


ผู้ฝึกตนมนุษย์รำพึงให้กับหลี่จิ่วเต้าภายในใจ


ในเมืองจักรพรรดิไป๋ เผ่ามนุษย์ถูกลดลำดับลงให้ต่ำกว่าเผ่าอื่น ๆ นับได้ว่าต่ำต้อยเป็นอย่างมาก ทว่าหลี่จิ่วเต้ากลับขี่อสูรเข้ามาในเมืองเช่นนี้ จะต้องเผชิญกับจุดจบไม่ดีอย่างแน่นอน


ผลก็ออกมาเช่นนั้น ยังไม่ทันที่พวกหลี่จิ่วเต้าจะเดินไปได้ไกล ก็มีอสูรจำนวนมากตรงเข้าใส่


“บังอาจ!”


“ยังไม่รีบลงมาอีก!”


อสูรเหล่านั้นคำรามออกมาอย่างดุร้าย แววตาไม่เป็นมิตร


“ปล่อยให้เจ้าจัดการ จะมีปัญหาอันใดหรือไม่?”


หลี่จิ่วเต้าไม่ได้ใส่ใจอสูรเหล่านี้ เขาลูบหัวกิเลนไฟแล้วเอ่ยออกมา


“ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด!”


กิเลนไฟตอบกลับ จะมีปัญหาได้อย่างไร ในหมู่อสูรเหล่านี้ไม่มีตนใดบรรลุระดับเซียนเลย


มันแหงนหัวกู่ร้องคำราม ความกดดันแผ่กระจาย เหล่าอสูรไม่สามารถทนรับแรงกดดันนี้ได้ ทรุดลงไปบนพื้นทีละตัวทีละตัว ร่างกายสั่นเทิ้ม สะท้านถึงวิญญาณ!


ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เหล่าอสูรตัวอื่น ๆ ภายในเมืองก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงไปกับพื้นทีละตัว หวาดกลัวจนไม่อาจคุมตัวเองได้!


นี่คือพลังกดดันจากสายเลือด กิเลนไฟไม่ได้ปลดปล่อยพลังอื่นออกมาแต่อย่างใด


“โฮ่ง!”


ในตอนนั้นเอง พลันมีเสียงร้องของสุนัขดังขึ้น กลบเสียงของกิเลนไฟทิ้งในทันที ปัดเป่าความกดดันทั้งหมดที่แผ่ออกมาจากมัน


กิเลนไฟสัมผัสได้ถึงความน่าหวาดกลัวที่อยู่ภายในเสียงสุนัขเห่า หากไม่ใช่เพราะคุณชายนั่งอยู่บนตัวมัน มันคงจะต้องได้รับผลกระทบจากเสียงนี้แน่!


เส้นแสงสีดำพุ่งออกมา ฟ้าดินมืดมนลง สุนัขสีดำตัวหนึ่งทะยานตรงออกมาจากส่วนลึกของเมืองจักรพรรดิไป๋ ยืนอยู่กลางอากาศ


ขนบนร่างของมันเรียบรื่นประหนึ่งไม่ใช่ขน แต่เป็นผ้าแพรชั้นยอดผืนหนึ่ง ยืนตระหง่านกลางฟ้าสูงเปี่ยมสง่า ลมหายใจรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วฟ้า สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งมหาศาลได้อย่างง่ายดาย!


“นี่คือราชันสุนัขผู้นั้นหรือ!?”


กิเลนไฟมองไปยังสุนัขสีดำด้วยความไม่แน่ใจ


เหตุผลเป็นเพราะร่างกายของสุนัขสีดำตัวนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ว่าหู หาง หรือขาทั้งสี่ข้างก็ไม่มีจุดตำหนิหรือความพิการแต่อย่างใด


ทว่ารูปลักษณ์ของสุนัขสีดำตัวนี้เหมือนกับราชันสุนัข


เกิดอันใดขึ้น?


หรือว่าสุนัขสีดำตัวนี้จะเป็นราชันสุนัขจริง ๆ เพียงแต่นิสัยเกิดการเปลี่ยงแปลง ทั้งยังฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสมบูรณ์?


ทว่านิสัยสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดายปานนั้นเลยหรือ?


ราชันสุนัขเมื่ออยู่ในแดนบรรพโกลาหลไม่เคยปิดบังอำพรางสิ่งใด ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในแดนบรรพโกลาหลก็ยังแสดงรูปร่างที่ไม่สมบูรณ์!


นอกจากนี้ ยังมีการปล่อยปละให้พญางูปาทำเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ ทำให้มันยิ่งไม่แน่ใจมากไปกว่าเดิม


ราชันสุนัขนั้นได้รับความเคารพเลื่อมใสจากสิ่งมีชีวิตจำนวนมากในแดนบรรพโกลาหล ไม่เคยทำเรื่องไร้มโนธรรม ทั้งยังไม่เคยให้ท้ายสิ่งมีชีวิตอื่นในการก่อกรรมทำชั่ว


เมื่อใดก็ตามที่ราชันสุนัขทราบว่ามีสิ่งมีชีวิตใดก่อกรรมทำชั่ว มันจะไม่มีวันปล่อยไปโดยง่าย ล้วนสังหารทิ้งเสียหมด


ครั้งหนึ่งเคยมีสมาชิกเฝยอี๋ตนหนึ่งก่อการสังหารไม่เลือกหน้าในแดนบรรพโกลาหล กระทั่งจ้าวดินแดนต่าง ๆ ก็ยังไม่กล้าจะไปจัดการมันโดยไม่คิดสิ่งใด ทว่าหลังจากราชันสุนัขรู้เรื่องนี้เข้า ก็ตรงไปสังหารเฝยอี๋ตัวนี้ทันทีโดยไม่เอ่ยวาจาใดสักคำ


นี่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งในแดนบรรพโกลาหล เผ่าเฝยอี๋นั้นเป็นมหาตระกูล บรรพจารย์ของเผ่านั้นบรรลุขั้นที่เก้าขอบเขตโกลาหลเป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งสายเลือดยังมีความแข็งแกร่งสะท้านฟ้า ทำให้การกำเนิดทายาทเป็นเรื่องยากยิ่ง สมาชิกในเผ่ามีอยู่น้อยนิด


เป็นผลให้เมื่อบรรพจารย์เผ่าเฝยอี๋รู้เรื่องนี้เข้า ก็ถอนตัวออกจากเมืองบรรพกาลอันเป็นสมรภูมิรบกับความพิศวง และเปิดฉากไล่สังหารราชันสุนัขทันที!


นับเป็นช่วงเวลาเลวร้ายสำหรับราชันสุนัข มันต้องหลบซ่อนตัวแทบทุกวัน หลีกเลี่ยงการตามล่าสังหารจากบรรพจารย์เผ่าเฝยอี๋


ทุกคนไม่ได้มองสถานการณ์ของราชันสุนัขในแง่ดีเท่าใดนัก อย่างไรเสียบรรพจารย์ตระกูลเฝยอี๋ก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนต่างคิดว่าราชันสุนัขจะต้องสิ้นชีพลงในมือบรรพจารย์เฝยอี๋อย่างแน่นอน


ทว่าผลที่ออกมาทำให้ทุกคนต้องคาดไม่ถึง ราชันสุนัขไม่ได้ถูกสังหาร สามารถหนีรอดจากเงื้อมมือของบรรพจารย์เฝยอี๋ได้หลายครั้ง


ต่อมาทางด้านสมรภูมิกับความพิศวงเกิดความตึงเครียดขึ้น ทำให้บรรพจารย์เฝยอี๋ถูกเรียกตัวกลับไป เรื่องนี้จึงถูกยุติลงเอาไว้ชั่วคราว


และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่า ราชันสุนัขเป็นผู้ที่เกลียดชังความชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพญางูปาเองก็ไม่ควรไม่ทราบ ทั้งยังต้องตระหนักได้เป็นอย่างดี


แต่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าราชันสุนัขเกลียดชังความชั่วร้าย พญางูปายังกล้าทำเรื่องเลวร้ายเหล่านี้ อีกทั้งยังกระทำภายใต้จมูกของราชันสุนัข พญางูปากลัวว่าตนเองจะมีชีวิตยืนยาวเกินไปอย่างนั้นหรือ!?


ไม่มีทางเป็นไปได้!


พญางูปาจะต้องได้รับคำยินยอมจากราชันสุนัขแน่นอน ไม่เช่นนั้นต่อให้มีความหาญกล้าเพียงใด มันก็ไม่กล้ากระทำเช่นนี้!


นอกจากนี้ ทุกหนแห่งในเมืองยังสามารถเห็นภาพเผ่าอื่นหยามหมิ่นเผ่ามนุษย์ สุนัขสีดำตัวนี้ใช่ราชันสุนัขจริงหรือ?


มันเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก!


หากนี่เป็นราชันสุนัขจริง ภายในเมืองคงไม่ปรากฏภาพเช่นนี้!


แม้จะมีการสยบ แต่ไม่มีทางที่การปฏิบัติอย่างโหดร้ายจะปรากฏอยู่ทุกที่


‘หากไม่ใช่ราชันสุนัขแล้ว สุนัขสีดำตนนี้คือผู้ใด? มีที่มาเช่นไรกันแน่!?’


กิเลนไฟคิดขึ้นมาในใจ


รูปร่างหน้าตาเหมือนราชันสุนัข ทว่านิสัยกลับแตกต่างกันเป็นอย่างมาก น่าแปลกใจ ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก!


“มนุษย์จากที่ใดกัน ถึงกล้ามากำเริบเสิบสานต่อหน้าข้าเช่นนี้!”


สุนัขสีดำขนาดยักษ์จับจ้องไปทางหลี่จิ่วเต้าด้วยความดุร้าย มันเอ่ยออกมาเสียงเย็นชา “ข้าดูแล้วเจ้าไม่เลวเลย สามารถเก็บมาเป็นสัตว์เลี้ยงได้ หวังว่าเจ้าจะรู้ความไม่ปฏิเสธเกียรตินี้!”


“!!!”


สุนัขนี่นับเป็นสิ่งใดได้กัน ถึงกับกล้าเอ่ยปากให้คุณชายไปเป็นสัตว์เลี้ยง!


สุนัขสีดำตนนี้เสียสติไปแล้วหรือ!?


บนร่างของพวกลั่วสุ่ยเปี่ยมไปด้วยโทสะล้นฟ้า ต้องการจะลงมือเสียแล้ว!

“เจ้านับเป็นสิ่งใดกัน เชื่อหรือไม่เพียงแค่ข้าเตะครั้งเดียวก็สามารถฆ่าเจ้าได้แล้ว?”


อสูรตนหนึ่งในบรรดาอสูรทั้งเก้าทนไม่ไหว ตะโกนออกมาใส่สุนัขสีดำ


“ก่อนหน้านี้พวกเราเพิ่งจะทานหม้อไฟเนื้อสุนัขไปอย่างเอร็ดอร่อย วันนี้กลับมีสุนัขสีดำกระโดดออกมาหาถึงที่ อันใดกัน เจ้าอยากจะกระโดดลงหม้อด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ!”


มันตะโกนต่อ


“เจ้าพูดอันใดออกมากัน!?”


สุนัขสีดำมองอสูรตนนั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ ทำให้อสูรที่ตกเป็นเป้าสายตาขนลุกขนชันขึ้นมาทันที!


กลัวอันใดกัน?


คุณชายก็อยู่ตรงนี้!


อสูรตนนั้นคิดขึ้นมา ก่อนจะไม่หวาดกลัวอีกต่อไป


มันยืดหลังตรง เชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโส ดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่งมองไปทางสุนัขสีดำ แววตาสามส่วนคือเยาะเย้ย อีกสามส่วนเย็นชา และอีกสี่ส่วนไม่แยแส


“หูสุนัขทั้งสองข้างของเจ้ามีประดับอย่างนั้นหรือ? จึงฟังสิ่งที่ข้าพูดไม่ออก?”


มันเอ่ยต่อ “ข้าจะพูดอีกครั้ง สำหรับสุนัขอย่างเจ้า เพียงแค่ข้าเตะครั้งเดียวก็สามารถฆ่าเจ้าได้แล้ว!”


หลี่จิ่วเต้าได้ยินเช่นนั้นแล้ว ภายในใจพลันอดหัวเราะไม่ได้


ฟังแล้วอสูรตนนี้ช่างดูห้าวหาญ...


“เช่นนั้นเจ้าก็ออกมาเสีย แสดงให้ข้าดูว่าเจ้าจะสังหารข้าด้วยการเตะครั้งเดียวได้อย่างไร”


สุนัขสีดำมองไปยังอสูรตนนั้นแล้วเอ่ยออกมา


“ไปเสีย แสดงให้สุนัขสีดำได้ดูว่าเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด”


หลี่จิ่วเต้าพูดกับอสูรตนนั้นด้วยรอยยิ้ม


“เอ๋?”


อสูรตนนั้นตกตะลึงจนโง่งมไปโดยพลัน คุณชายจะปล่อยให้มันไปสู้จริง ๆ หรือ?


ไม่นะ!


มันอยากจะร้องไห้ออกมา มันจะเอาความกล้าจากที่ใดไปสู้กับสุนัขสีดำ สุนัขสีดำน่ากลัวเกินไป เกรงว่าเพียงแค่สุนัขสีดำจามออกมาก็สามารถสังหารมันได้อย่างง่ายดายแล้ว


แม้ว่ามันจะบรรลุขอบเขตเซียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่นั่นก็ยิ่งทำให้มันสามารถสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของสุนัขสีดำมากกว่าเดิม สุนัขสีดำไม่ใช่ตัวตนที่มันสามารถต่อกรได้ด้วยแต่อย่างใด


ไม่ไกลกัน ต้าเต๋อและพวกอ้ายฉานเห็นแล้วอดปิดปากหัวเราะไม่ได้


เห็นได้ชัดว่าอสูรตนนี้เพียงแค่กำลังข่มขวัญ มันจะแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ทันทีที่คุณชายบอกให้อสูรตนนี้ลงมือจัดการจริง ๆ มันก็พลันตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที


“เอาล่ะ ข้าจะไปเอง”


หลี่จิ่วเต้าหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา เขาเองก็มองออกว่าอสูรตนนี้เพียงแค่ข่มขวัญ การที่เขาบอกให้มันออกไปสู้ ก็เป็นเพียงแค่การล้อเล่น เขาไม่คิดจะให้อสูรตนนี้ออกไปสู้จริงแต่อย่างใด


เขาก้าวออกไปด้านหน้า มองไปทางสุนัขสีดำแล้วเอ่ยออกมา “ข้าเองก็เห็นว่าเจ้าไม่เลวเช่นกัน เจ้าสามารถอยู่กับข้าเพื่อช่วยเฝ้าบ้านได้ สุนัขพื้นเมืองดูแล้วน่าจะช่วยเฝ้าบ้านได้ดีที่สุด หวังว่าเจ้าจะไม่ปฏิเสธเกียรตินี้!”


การมีสุนัขมาคอยเฝ้าบ้านให้เป็นเรื่องที่ดี ตัวเขานั้นได้วางแผนที่จะเลี้ยงสุนัขมานานแล้ว


สุนัขขาวรอบที่แล้วใช้การไม่ได้ มันดูดุร้ายจนเกินไป หากเขานำมันกลับไปยังลานเล็กจริง ก็เกรงว่าจะทำให้เพื่อนบ้านตื่นตกใจได้


ทว่าสุนัขสีดำตัวนี้ไม่เลวเลย มันเป็นสุนัขพื้นเมือง แม้ว่าท่าทางที่แสดงออกมาในตอนนี้จะดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อมองภาพลักษณ์โดยรวมแล้วก็ไม่ได้ดูดุร้ายแต่อย่างใด อีกทั้งยังดูมีการศึกษาได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี หากเขานำมันกลับไปด้วย ก็รู้สึกได้ว่าไม่เพียงแต่จะทำให้เพื่อนบ้านไม่ตื่นตกใจ ทว่ายังดึงดูดความสนใจของเหล่าเพื่อนบ้านได้เสียด้วยซ้ำ


“โฮ่ง!”


สุนัขสีดำเห่าออกมา ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก พุ่งกระโจนเข้าใส่หลี่จิ่วเต้าโดยพลัน!


เฝ้าบ้าน!


คำนี้กระตุ้นมันอย่างรุนแรง ทำให้ประสบการณ์ครั้งเยาว์วัยปรากฏขึ้นมาในหัวของมัน!


ข่าวลือเกี่ยวกับมันในแดนบรรพโกลาหลนั้นเป็นเรื่องจริง


ครั้งยังเยาว์มันถูกเผ่านมนุษย์รับเลี้ยงไว้ ทว่าน่าเสียดายที่ครอบครัวมนุษย์นั้นไม่ใช่ครอบครัวที่ดีแต่อย่างใด ทุกคนล้วนชั่วร้ายอำมหิตเป็นอย่างยิ่ง


โดยเฉพาะบุตรชายคนเล็กของบ้านที่มีจิตใจเหี้ยมโหดกว่าผู้ใด


ครอบครัวมนุษย์ส่งมันไปให้บุตรชายคนเล็กเล่น


บุตรชายคนเล็กผู้นั้นใช้ไฟเผามัน ใช้ไม้ตีมัน นอกจากนี้ยังถึงกับตัดหางมันออกครึ่งหนึ่งเพื่อดูว่ามันจะสามารถงอกหางกลับขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่


ไม่ง่ายเลยกว่าที่มันจะสามารถหนีรอดออกมาได้


หากช้ากว่านี้อีกสักนิด มันคงจะถูกบุตรชายคนเล็กผู้นั้นทรมานจนตายเสียแล้ว!


และนี่ก็เป็นเหตุผลที่มันชิงชังเผ่ามนุษย์!


ใช่แล้ว มันคือราชันสุนัข ราชันสุนัขผู้เลื่องชื่อระบือนามในแดนบรรพโกลาหล!


แม้ว่าประสบการณ์ในครั้งเยาว์วัยจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างมาก แต่ก็ทำให้มันเติบโตขึ้นจนแข็งแกร่งได้


หลังจากที่มันก้าวเดินบนเส้นทางแห่งการฝึกฝนแล้ว มันก็มีความสามารถมากพอจะฟื้นฟูความเสียหายบนร่างของมันให้กลับมาสมบูรณ์เช่นเดิม ทว่ามันก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น


มันเก็บรอยแผลเป็นเหล่านี้เอาไว้ เพื่อคอยใช้เตือนใจตนเอง ไม่ให้หลงลืมประสบการณ์อันเจ็บปวด และจะต้องก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ


วิธีการนี้ได้ผลเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่มันเผชิญอุปสรรคที่พยายามครั้งเล่าครั้งเล่าก็ไม่อาจผ่านไปได้ มันจะหันมามองร่องรอยแผลบนตัวเพื่อตักเตือนตนเอง หากยังไม่สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ มันก็จะเป็นแค่เพียงสุนัขตัวน้อย ๆ เหมือนเมื่อวันวาน พร้อมจะถูกทรมานและดูแคลน!


ด้วยแรงกระตุ้นเช่นนี้ ในที่สุดมันก็สามารถทลายขีดจำกัดขึ้นไปได้ทีละขั้นทีละขั้น ก้าวขึ้นไปยังขอบเขตที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเทียบเคียงกับจ้าวดินแดนได้ในที่สุด


“โง่เขลาเบาปัญหายิ่งนัก ฝึกฝนจนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว แต่กลับไม่ได้ลงมือสังหารคนในครอบครัวนั้นให้สิ้น ทำเพียงแค่สั่งสอนบทเรียน!”


สุนัขสีดำเอ่ยออกมาด้วยความรังเกียจ ดูแคลนตนเองในอดีต หากเป็นตอนนี้ มันจะทำเพียงแค่ลงมือสั่งสอนบทเรียนได้อย่างไร?


ไม่มีทาง!


มันจะต้องทำให้คนในครอบครัวนี้เผชิญหน้ากับการอยู่ไม่สู้ตาย ต้องมีชีวิตอย่างเจ็บปวดไปตลอดกาล!


ทว่าตอนนี้ กลับมีมนุษย์ผู้หนึ่งกล้าเอ่ยว่า ‘เฝ้าบ้าน’ ต่อหน้ามัน ทำให้มันทนไม่ได้ ต้องการจะมอบบทเรียนให้มนุษย์ผู้นี้ได้รับ สิ่งที่ไม่ได้ทำกับมนุษย์ครอบครัวนั้นในครั้งอดีต มันจะเอามาทำกับมนุษย์ผู้นี้แทน!


สุนัขสีดำไม่ได้ดูแคลนมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้า กลับกันมันจริงจังเป็นอย่างมาก มันไม่อาจมองสิ่งใดจากมนุษย์ผู้นี้ออก ทำให้รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง มนุษย์ผู้นี้ไม่ได้สามัญธรรมดาแต่อย่างใด!


แสงดีดำปกคลุมทั่วฟ้าดิน ลมหายใจอันน่าสยดสยองแผ่กระจาย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเมืองพากันตัวสั่นเทา นี่มันพลังขั้นใดกัน? พวกเขาต่างไม่รู้!


รู้เพียงแค่ว่า หากพลังนี้ตกใส่ร่างของพวกเขา แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียว วิญาณของพวกเขาก็จะแตกสลาย ตายตกลงอย่างสมบูรณ์!


อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของหลี่จิ่วเต้ายังคงสงบนิ่ง


เขาหยิบเอาหินก้อนเล็กออกมา ก่อนรำพึงกับตนเองว่า “หินห้าประภา โยนใส่หน้าคน อย่างไรเสียก็โดน ไม่รู้ว่าหากเป็นหน้าสุนัขจะได้ผลหรือไม่?”


นี่คือถ้อยคำแนะนำหินห้าสีของบรรพจารย์ฝู


เขารู้สึกว่ามันควรจะโยนใส่หน้าสุนัขได้ ไม่จำกัดเพียงหน้าของมนุษย์เท่านั้น จึงขว้างหินก้อนเล็กนั้นออกไป


เพียงแต่ว่าวิถีที่ขว้างออกไปดูจะ...ห่างไกลเกินไปเสียหน่อย


“เจ้า...ตาบอดหรืออย่างไร!”


สุนัขสีดำส่งเสียง ‘พรืด’ อดส่งเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาไม่ได้


อันใดกัน มนุษย์ผู้นี้หวาดกลัวความแข็งแกร่งที่มันสำแดงออกมาจนโง่งมแล้วหรือ หากไม่ใช่เพราะขาดกลัวจนมือสั่น เช่นนั้นแล้วจะพลาดเป้าไปได้มากขนาดนี้ได้เช่นไร?


มันพุ่งเข้าใส่ด้วยร่างกายใหญ่โตอย่างถึงที่สุด ทว่าทิศทางที่ก้อนหินถูกขว้างนั้นห่างออกไปไกลลิบ จนสามารถกล่าวได้ว่าคนละทิศกันเลยทีเดียว!


นี่จะต้องเป็นเพราะหวาดกลัวมันอย่างแน่นอน ภายในหัวใจเกิดความขลาดเขลาขึ้นมา หมดความคิดที่จะต่อกร!


คิดดูแล้วก็น่าจะใช่


ยอดฝีมือเช่นนั้นจะปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้อย่างไร?


ก่อนหน้านี้มันอาจจะคิดมากไปเอง มนุษย์ผู้นี้ไม่ได้แข็งแกร่งดั่งที่มันคิด


ทว่าในตอนนั้นเอง พลันมีเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ก่อนที่มันจะร่วงลงไปบนพื้น เพราะถูกบางสิ่งกระแทกเข้าที่หน้า!


‘เหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้เลย’


หลี่จิ่วเต้ายิ้มจาง ๆ พร้อมกับคิดขึ้นมาในใจ


เขาขว้างหินเช่นนี้ด้วยความตั้งใจ เพียงแค่ต้องการจะดูว่าหินห้าประภาจะแม่นยำไม่พลาดเป้าจริง ๆ


แม่นยำไม่พลาดเป้า หมายความว่าไม่ว่าเขาจะขว้างออกไปเช่นไรก็ล้วนเข้าเป้า


ชายหนุ่มพึงพอใจกับผลการทดสอบเป็นอย่างมาก แม่นยำไม่พลาดเป้าอย่างแท้จริง แม้ว่าเขาจะขว้างไปอีกทาง แต่ขอเพียงแค่กำหนดเป้าหมายเอาไว้ในใจ หินห้าประภาก็สามารถขว้างโดนได้


“ยอดเยี่ยม”


เขาโบกมือ หินห้าประภาก็ลอยกลับไปในมือของเขาทันที ความคิดที่จะเรียกใบหญ้าออกมาสลายหายไปทันที


ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยใช้หินห้าประภามาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้ถึงพลังที่แท้จริงของหินห้าประภา และเกิดความไม่มั่นใจว่า หินห้าประภาจะสามารถขว้างใส่หน้าสุนัขสีดำได้หรือไม่


ดังนั้น เขาจึงได้ลอบเตรียมตัว หากหินห้าประภาไม่ได้ผล เขาก็จะใช้ใบหญ้า


“โฮ่ง!”


สุนัขสีดำส่งเสียงร้องออกมาอย่างกราดเกรี้ยว ใบหน้าเป็นรอยบุ๋มลงไปด้วยหินห้าประภา มันถูกต้อนจนอยู่ในสภาพจนมุมเช่นนี้ได้อย่างไร? มันไม่อยากจะเชื่อแม้แต่น้อย!


เมื่อหินห้าประภาปะทะเข้ากับใบหน้าของมัน มันไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ถึงขั้นไม่อาจสัมผัสได้เสียด้วยซ้ำ เรื่องนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้กับมันที่เดินมาถึงขอบเขตสูงล้ำเช่นนี้


เรื่องเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น!


มันตระหนักขึ้นมาได้โดยพลันว่ามนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้า แข็งแกร่งกว่าที่มันคิดเอาไว้มาก


ไม่เช่นนั้นคงจะทำเช่นนี้ไม่ได้!


“เจ้าจะต้องตาย! ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเจ้าได้!”


ดวงตาของมันกลายเป็นสีแดงก่ำ เสียงที่เปล่งออกมาผิดเพี้ยนเป็นอย่างมาก บนร่างของมันมีขนพิศวงงอกออกมาอย่างรวดเร็ว ปกคลุมขนสุนัขสีดำดั้งเดิมของมัน


ลมหายใจอันน่าสยดสยองแผ่กระจายออกไป ราวกับว่าวันโลกาวินาศได้มาถึง ม่านหมอกแห่งความตายปกคลุมจิตใจของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเมือง อารมณ์ด้านลบทุกอย่างระเบิดออกมา มีทั้งเศร้า เจ็บปวด หม่นหมอง และโทสะเป็นต้น


‘พลังพิศวง!’


ดวงตาของกิเลนไฟเบิกกว้างจนแถบจะถลนออกมา มันตะโกนเสียงดังภายในใจ


ถึงตอนนี้มันไม่สงสัยอีกต่อไป มั่นใจแล้วว่าสุนัขสีดำที่อยู่เบื้องหน้าคือราชันสุนัขจากแดนบรรพโกลาหล!


ส่วนสาเหตุที่ราชันสุนัขมีนิสัยเปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนนี้มันเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว!


ที่แท้ราชันสุนัขก็ติดเชื้อจากพลังพิศวง!


ไม่น่าแปลกใจเลยที่นิสัยของราชันสุนัขจะแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก ถึงกับให้ท้ายส่งเสริมพญางูปา ไม่สนใจการกดขี่ข่มเหงที่สามารถพบได้ทุกหนแห่งในเมือง!


หลังจากติดเชื้อพลังพิศวงแล้ว ความดำมืดภายในจิตใจจะถูกดึงดูดออกมา จากนั้นก็จะค่อย ๆ ถูกกัดกินจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตพิศวง ไม่ใช่ตัวตนเดิมอย่างสิ้นเชิง


‘ราชันสุนัขต้องไปสมรภูมิมาอย่างแน่นอน!’


มันคิดขึ้นในใจ ไม่เชื่อสักนิดว่าราชันสุนัขจะแปรพักตร์ไปอยู่ฝั่งความพิศวง จะต้องเป็นราชันสุนัขที่เข้าสู่สมรภูมิและทำการต่อสู้กับความพิศวงจนติดเชื้ออย่างแน่นอน!


ความจริงแล้ว สิ่งที่มันคิดไม่ได้ผิด ในช่วงที่ผ่านมา สิ่งมีชีวิตพิศวงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทำให้การสู้รบดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด ยอดฝีมือจำนวนมากในแดนบรรพโกลาหลถูกเรียกตัวเข้าไปยังสมรภูมิ


ราชันสุนัขเองก็ไปที่นั่น ทั้งยังยืนหยัดต่อสู้ในแนวหน้า มุ่งสังหารสิ่งมีชีวิตพิศวง


มันดุดันเป็นอย่างยิ่ง สังหารยอดฝีมือฝั่งความพิศวงไปมากมาย จนดึงดูดความสนใจจากฝั่งความพิศวงเข้า


ด้วยเหตุนี้ บรรพจารย์ความพิศวงจึงได้ลงมือกับราชันสุนัขเป็นการส่วนตัว ทำให้ราชันสุนัขถูกความพิศวงแพร่เข้าใส่


เดิมทีจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับราชันสุนัข


เมื่อบรรพจารย์พิศวงผู้นั้นพุ่งตรงเข้ามาหามัน มันก็เลือกที่จะล่าถอย อย่างไรเสียความแตกต่างของพลังก็มีมากเกินไป มันไม่สามารถต่อกรกับบรรพจารย์พิศวงได้


ทว่าขณะที่มันกำลังล่าถอย กลับถูกลอบแว้งกัด!


บรรพจารย์เฝยอี๋ลงมือบังคับส่งมันไปหาบรรพจารย์พิศวง!


มันเกือบจะตาย แต่ยังดีที่บรรพจารย์ก่วงหลิงลงมือช่วยเหลือเอาไว้ได้ทันเวลา ทำให้มันไม่ต้องตายตกลงในน้ำมือของบรรพจารย์พิศวง


ทว่ามันก็ยังติดเชื้อพลังพิศวงจำนวนไม่น้อยมาจากอาการบาดเจ็บ


มันถึงถอนตัวออกจากสมรภูมิ กลับไปยังแดนบรรพโกลาหล เดิมทีมันต้องการจะหาสถานที่เพื่อกำจัดพลังพิศวงในร่างกายทิ้งเสีย


แต่ผู้ใดจะคาดคิดกันว่า มันจะบังเอิญพบเข้ากับรอยแยก ก่อนตกลงมายังอาณาจักรแห่งนี้


อีกทั้งมันยังประเมินพลังพิศวงต่ำเกินไป มันไม่สามารถกำจัดพลังพิศวงเหล่านี้ออกไปได้ นิสัยจึงแปรเปลี่ยนไปอย่างมากเพราะพลังพิศวงเหล่านี้


ยามนี้มันถูกหลี่จิ่วเต้าทำให้โกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด ภายในใจเต็มไปด้วยจิตสังหาร มันได้ละทิ้งจิตใจที่ต่อต้านไปอย่างสิ้นเชิง เปิดรับพลังพิศวงเข้ามาอย่างเต็มที่!


“ฆ่า!”


ราชันสุนัขกู่ร้องออกมา ตัวมันในตอนนี้ไม่ใช่มันอีกต่อไป ความคิดเดียวที่มีอยู่คือการฆ่าเท่านั้น!

พลังพิศวงลางร้ายในตัวสุนัขดำปะทุเต็มที่ พลังปราณของมันเปลี่ยนไปฉับพลัน ดุดันขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าตัว!


นี่มิใช่พลังพิศวงลางร้ายธรรมดา มิฉะนั้นด้วยพลังของมัน ไม่มีทางที่จะไม่สามารถขับไล่ออกไปได้ หลังจากมันยอมรับพลังพิศวงลางร้ายในตัวเต็มที่แล้ว พลังที่มันมีในตอนนี้ก็เพิ่มพูนทวีคูณ!


มันบุกไปหาหลี่จิ่วเต้าอีกครั้ง ไม่เหลือสติในแววตา ราวกับมันกลายเป็นอาวุธสังหารอย่างสิ้นเชิง เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต คล้ายว่าจะสังหารสิ่งมีชีวิตในใต้หล้านี้ให้สิ้นซาก


“เจ้าทำเช่นนี้ดูไม่ดีเท่าใด…”


หลี่จิ่วเต้าขมวดคิ้วเบา ๆ จู่ ๆ ตัวสุนัขดำก็เต็มไปด้วยอารมณ์มุ่งร้ายด้านมืด ไม่เหลือแม้แต่สติสัมปชัญญะ นี่มันเรื่องอะไรกัน สุนัขดำถูกพลังชั่วร้ายบางอย่างเข้าสิงหรือ


เขาเก็บหินห้าประภา ไม่ได้ใช้มันจัดการสุนัขดำอีกต่อไป หากแต่หยิบกิ่งไม้ออกมาท่อนหนึ่ง


บรรพจารย์ฝูเคยบอกว่ากิ่งไม้ท่อนนี้คือต้นวิเศษสัตตะ สะบัดแสงเจ็ดสีออกมาได้ ไม่มีสิ่งใดที่มันลบล้างมิได้ และไม่ว่าพลังอันใดก็สามารถลบล้างได้หมด


เขาโบกกิ่งไม้ ก็มีแสงเจ็ดสีปรากฏออกมาจริง ๆ แสงนั้นสาดกระทบบนตัวสุนัขดำ


ชั่วขณะนั้น สุนัขดำสูญเสียพลังทั้งหมด ล้มตึงลงกับพื้นจนเกิดหลุมใหญ่ เศษหินดินทรายปลิวว่อน!


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


ท่านผู้นี้เป็นใครกันแน่!?


สิ่งมีชีวิตทุกตนในดินแดนนี้ต่างตะลึงกับฝีมือของหลี่จิ่วเต้า


สุนัขดำสยดสยองขึ้นถึงปานนั้นในเวลาต่อมา พวกเขามิได้กังขาเลยว่า หากสุนัขดำต้องการ ย่อมทำลายทั้งอาณาจักรนี้ได้ในพริบตา ให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงในอาณาจักรนี้ต้องดับสูญตามไปด้วย!


ทว่าหลี่จิ่วเต้าผู้นี้เล่า หยิบกิ่งไม้ออกมาเพียงท่อนเดียวเท่านั้นก็ลบล้างพลังทั้งหมดของสุนัขดำได้ จะมิให้พวกเขาตะลึงได้อย่างไร!


พวกเขาสะท้านใจเป็นหนักหนา สงสัยจากใจจริงว่าตาฝาดไปหรือไม่ ในใต้หล้านี้ยังมีตัวตนน่าประหวั่นพรั่นพรึงปานนี้อยู่อีกหรือ!?


“โฮ่ง!”


สุนัขดำแยกเขี้ยว ต่อให้ไม่มีพลังแล้วก็ยังตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้นด้วยดวงตาแดงก่ำ ปรี่เข้าไปหมายจะกัดหลี่จิ่วเต้า


มันถูกพลังพิศวงลางร้ายเปลี่ยนจิตใจไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นร้ายแรงมาก มันแทบไม่มีทางกลับเป็นเช่นเดิมอีกเลย


และนี่ก็คือจุดที่น่ากลัวของความพิศวงลางร้าย!


สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหลต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายอยู่เนือง ๆ จึงมิอาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่สิ่งมีชีวิตบางตนจะถูกพลังพิศวงลางร้ายแทรกแซง หากกำจัดพลังพิศวงลางร้ายได้ก่อนจะส่งผลกระทบถึงจิตใจก็ยังดี


แต่หากจิตใจถูกพลังพิศวงลางร้ายกระทบแล้ว ต่อให้กำจัดพลังพิศวงลางร้ายออกไปได้จนไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวก็ไม่อาจหวนคืนกลับไปได้ดังเดิมอีกแล้ว ไม่มีทางมีสติสัมปชัญญะหลงเหลืออยู่อีก


“สะกด!”


เห็นสุนัขดำบุกมากัดเขาเช่นนี้ หลี่จิ่วเต้าหยิบลูกแก้ววาววามผ่องใสออกมาลูกหนึ่งพลางร้องตะโกน สุนัขดำถูกสะกดนิ่งในบัดดล


นี่คือลูกแก้วสะกดกาย บรรพจารย์ฝูเก็บหินผลึกขึ้นมาก้อนหนึ่ง ทั้งขัดทั้งฝนจนเป็นลูกแก้ว และกล่าวว่านี่คือสมบัติล้ำค่าตั้งแต่เมื่อครั้งเบิกนภา สะกดสรรพสิ่งได้ทั้งปวง


‘ช่างเป็นสุนัขที่น่าสงสารเหลือเกิน…’


หลี่จิ่วเต้าถอนหายใจเบา ๆ ขณะเอ่ยในใจ


เขาดูออกแล้วว่าสุนัขดำตัวนี้ถูกพลังด้านมืดบางอย่างเข้าสิงถึงได้กลายเป็นแบบนี้ สุนัขดำก็เป็นเหยื่อเหมือน ๆ กัน…


“ลองใช้ก้านหลิวชะล้างดูแล้วกัน!”


เขาหยิบก้านหลิวออกมาท่อนหนึ่ง บรรพจารย์ฝูเคยเอ่ยว่าก้านหลิวก้านนี้สามารถชะล้างพลังมืดมิดทั้งหมดในใต้หล้า เมื่อมีมันในมือ ก็ไม่ต้องเกรงกลัวพลังมืดมิดอันใดอีก


จากนั้น เขาก้าวออกไป ตวัดก้านหลิวผ่านร่างสุนัขดำเบา ๆ


ชั่วพริบตาเดียว ความแดงก่ำในแววตาสุนัขดำเริ่มถอยกลับไป สติสัมปชัญญะกลับมาอีกครั้ง


ร่างสุนัขของมันก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน เดิมเพราะผลกระทบที่พลังพิศวงลางร้ายมีต่อจิตใจ มันเคียดแค้นร่างพิการของตน จึงใช้พลังซ่อมแซมร่างกายให้สมบูรณ์ดังเดิม


บัดนี้ พลังพิศวงลางร้ายหายไปหมดแล้ว มันจึงกลับมาอยู่ในร่างสุนัขพิการอีกครั้ง


“เก่งกาจยิ่งนัก!”


กิเลนไฟเห็นแล้วสะท้อนใจอย่างยิ่งยวด ไม่มีเรื่องใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคุณชาย!


กรณีอย่างราชันสุนัขผู้ถูกพลังพิศวงลางร้ายเปลี่ยนแปลงจิตใจไปอย่างสิ้นเชิง แต่เดิมไม่มีทางฟื้นคืนกลับมาได้ ทว่าเมื่อคุณชายลงมือ ราชันสุนัขก็คืนสภาพเหมือนปกติ!


ไม่ใช่แค่พลังพิศวงลางร้ายที่ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น แต่สติสัมปชัญญะทั้งหมดของราชันสุนัขก็หวนคืนมาจนหมด!


น่าทึ่งเกินไปแล้ว!


ฝีมือคุณชายเกินความคาดหมายจริง ๆ ทรงพลังสุดยอด!


หลี่จิ่วเต้าเห็นสายตาสุนัขดำกลับมาปกติแล้ว จึงรู้ว่าก้านหลิวชะล้างได้ผล พลังด้านมืดอันชั่วร้ายในตัวสุนัขดำถูกชะล้างออกไปแล้ว


เขาคลายพลังที่สะกดสุนัขดำอยู่


“นี่คือรูปโฉมเดิมของเจ้าหรือ”


เขาแปลกใจนิดหน่อย เนื้อตัวสุนัขดำเต็มไปด้วยบาดแผลบุบแหว่ง ตามหลักแล้วไม่ควรเป็นเช่นนั้น สุนัขดำที่ก้าวสู่เส้นทางฝึกตนแล้วไฉนเลยจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ การจะมีร่างกายอันสมบูรณ์ไม่น่าเป็นปัญหา


“อืม”


สุนัขดำพยักหน้า หลากหลายอารมณ์ประเดประดัง


มันคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะยังกลับมาเป็นปกติได้!


มันคิดว่า หลังมันยอมรับพลังพิศวงลางร้ายเต็มรูปแบบแล้ว ก็จะไม่มีทางให้ย้อนกลับอีก ภายหน้าต้องกลายเป็นสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายอย่างสมบูรณ์


แต่ผลสุดท้ายกลับเหนือความคาดหมาย


หลังมันยอมรับพลังพิศวงลางร้ายเต็มรูปแบบแล้ว จิตสำนึกของมันถูกลบล้าง ไม่มีความทรงจำในช่วงเวลานี้ ถึงแม้มันไม่รู้ว่าหลี่จิ่วเต้าทำได้อย่างไร กระนั้นอีกฝ่ายได้กำจัดพลังพิศวงลางร้ายในตัวมันออกไปแล้วจริง ๆ ซ้ำยังช่วยให้มันได้สติสัมปชัญญะทั้งหมดคืนมา!


ต้องเป็นพลังฝีมือระดับใดกัน เกินขอบเขตความเข้าใจของมันไปแล้ว!


ต้องรู้ว่า ต่อให้อยู่ในขอบเขตโกลาหลขั้นเก้า ขอบเขตระดับเดียวกับบรรพจารย์แห่งแต่ละดินแดนก็ไม่มีทางทำได้ขนาดนี้!


หรือว่ามันได้พบกับขอบเขตในตำนาน บรรพจารย์เต๋าโกลาหลท่านหนึ่ง!!!


มีเพียงบรรพจารย์เต๋าโกลาหลเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้!


‘ซ้ำยังเป็นรูปโฉมดั้งเดิม…’

หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ นึกไม่ถึงจริง ๆ


ดูท่าจะเป็นสุนัขดำที่มีเรื่องเล่ามากมาย มิฉะนั้น เหตุใดสุนัขดำถึงยังอยู่ในร่างพิการเช่นนี้ คงคืนร่างสมบูรณ์ไปนานแล้ว


“ช่วยเล่าเรื่องราวของบาดแผลตามตัวพวกเจ้าให้ข้าฟังทีได้หรือไม่”


หลี่จิ่วเต้ามองสุนัขดำพลางถาม


วาสนา!


นี่คือวาสนาสูงสุด!


กิเลนไฟคิดในใจ ตื้นตันเป็นที่สุด และดีใจแทนราชันสุนัขมาก


มันเคารพนับถือราชันสุนัข และอยากให้ราชันสุนัขได้ติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย


บัดนี้ คุณชายกำลังมอบโอกาสนี้ให้ราชันสุนัขอย่างเห็นได้ชัด!


ยังมีเรื่องอันใดที่ปิดบังคุณชายได้อีกหรือ


จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!


คุณชายรับรู้ถึงอดีตของราชันสุนัขได้ในจิตเดียว กระนั้นคุณชายยังให้ราชันสุนัขเป็นฝ่ายเล่าเอง เห็นได้ชัดว่าคุณชายกำลังให้โอกาสราชันสุนัขได้ติดตาม


หากมิใช่เช่นนั้น ไยคุณชายต้องเอ่ยถามแบบนั้นด้วย เมินราชันสุนัขไปก็จบ


คุณชายคิดจะรับราชันสุนัขไว้ใต้บัญชา


“ได้”


ถึงอย่างไรราชันสุนัขก็ไม่ธรรมดา สมกับเป็นตำนานที่ทลายขีดจำกัดต่าง ๆ ลงได้ ไม่นานนักมันก็สงบใจลงจากความตะลึง กลับมาอยู่ในอารมณ์ราบเรียบ


มันอธิบายสาเหตุความพิการของตัวเองให้ฟังโดยปราศจากอารมณ์โกรธแค้น ประสบการณ์ทุกข์ทรมานที่ครอบครัวนั้นนำมาได้ผ่านไปนานแล้ว


และที่มันรักษาความพิการนี้ไว้ก็เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจตัวเองว่า หากไม่แข็งแกร่งขึ้นก็ต้องถูกโบย มันต้องพัฒนาต่อไปไม่หยุดหย่อนจึงจะถูก


มิใช่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเพราะความเคียดแค้น


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…”


หลังหลี่จิ่วเต้าฟังจบก็เข้าใจอย่างสมบูรณ์


สุนัขตัวนี้น่าสงสารจริง ๆ เคยถูกทรมานในวัยเยาว์ จึงมิใคร่จะชอบเผ่ามนุษย์เท่าไหร่ ต่อมาประสบกับการรุกรานจากพลังด้านมืดอันชั่วร้าย ถูกขยายความไม่ชอบนั้นออกมา สุนัขดำถึงได้เปลี่ยนเมืองนี้เป็นสภาพอย่างวันนี้กระมัง


“ตามข้าไปเถิด”


เขามองสุนัขดำ นึกอยากรับสุนัขดำตัวนี้มาเลี้ยง


อดีตอันน่าสังเวชของสุนัขดำชวนให้เขาเจ็บปวดใจ นอกจากนี้ เขาก็อยากให้สุนัขดำได้อยู่ข้างกายเขาด้วย ใช่ว่าเขาต้องการให้สุนัขดำเฝ้าบ้านเขา เพียงแต่กลัวว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก


ถึงแม้พลังด้านมืดอันชั่วร้ายจะถูกชะล้างไปแล้ว กระนั้นเขาก็ยังกังวลว่าผลกระทบจากพลังด้านมืดอันชั่วร้ายยังไม่ถูกลบออกจากตัวสุนัขดำอย่างสิ้นเชิง


หากเป็นเช่นนี้ จะเกิดเรื่องกับสุนัขดำได้ง่าย เป็นไปได้ว่าจิตใจอาจเริ่มเบี่ยงไปทางด้านลบ ค่อย ๆ ก้าวสู่ด้านมืด ถึงครานั้น ความเจ็บปวดเมื่อครั้งเยาว์วัยที่เคยถูกทรมานคงถูกนำมาขยายความอีกครั้ง และก่อการฆ่าฟันครั้งใหญ่


เขาอยากเลี้ยงสุนัขดำไว้ข้างกาย อย่างน้อยก็เลี้ยงไว้สักระยะหนึ่งให้สุนัขดำได้สงบจิตใจ ลบล้างประสบการณ์ที่ถูกพลังด้านมืดอันชั่วร้ายแทรกแซงออกไปได้จริง ๆ


ส่วนประสบการณ์เจ็บปวดที่เคยถูกทรมานเมื่อครั้งเยาว์วัยนั้น เขามิได้เป็นห่วงเท่าใด ระหว่างที่สุนัขดำเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง เขาดูออกว่าสุนัขดำมิได้ฝังใจกับประสบการณ์เมื่อคราวนั้น


สิ่งที่เขากังวลจริง ๆ คือประสบการณ์ที่ถูกพลังด้านมืดอันชั่วร้ายแทรกแซง ประสบการณ์เช่นนี้ต่างหากที่ร้ายแรง ไม่ทันระวัง สุนัขดำอาจก้าวสู่ด้านมืดจริง ๆ


นี่มิใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น


“ได้!”


สุนัขดำมิได้ลังเล ตอบตกลงทันที


มันปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาตลอด ไฉนเลยจะไม่เต็มใจ ไฉนเลยจะลังเล


ไม่มีทางเลย


“ดี”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม “ต่อจากนี้ไป ข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเฮย”


เขามิได้ไปจากเมืองโบราณแห่งนี้ทันที หากแต่เดินชมเมืองโบราณแห่งนี้ต่อ เขาสนอกสนใจในวัตถุโบราณมาก ก่อนนี้ยังมิได้ตั้งใจเชยชมเลยสักครั้ง


...


“แหวะ…”


อีกด้าน ในช่วงเวลาครึ่งปีกว่าที่ผ่านมา บรรพจารย์ฝูดูดกลืนพลังจากศพไปแล้วตั้งไม่รู้กี่ร่าง เขาคลื่นไส้จนทนแทบไม่ไหว เดินไม่กี่ก้าวก็นึกอยากอาเจียน


ทว่าการดูดพลังเช่นนี้ได้ผลชัดเจนอย่างยิ่งสำหรับเขา พลังของเขาเพิ่มเป็นทวีคูณ!


ก่อนช่วงเวลาอันยาวนานเริ่มต้นขึ้น อาณาจักรผืนนี้เจิดจรัสเหลือแสน กำลังรบเหนือขอบเขตเซียนมีอยู่คณานับ เอ่ยอย่างไม่เกินจริงเลยว่า สิ่งมีชีวิตกำลังรบระดับเซียนยุคปัจจุบันในภพเซียนเทียบไม่ได้เลยกับยุคสมัยนั้น!


เมื่อครั้งความพิศวงลางร้ายปะทุ กำลังรบระดับเซียนขึ้นไปในอาณาจักรนี้ตายไปมหาศาล และศพของกำลังรบระดับเซียนขึ้นไปเหล่านี้ถูกเขาขุดออกมาจนหมด และดูดกลืนพลังไป!


“ใช้ได้แล้ว!”


นัยน์ตาของเขาเย็นเยียบ จิตสังหารพลุ่งพล่านอยู่ในตัว เขาจ่ายด้วยราคาอันแพง ครึ่งปีที่ผ่านมาต้องขุดศพดูดกลืนพลังไม่หยุด จุดมุ่งหมายเดียวคือไปล้างแค้นหลี่จิ่วเต้า ชิงสิ่งที่ควรเป็นของเขากลับมา!


“คราวนี้จะไม่มีลูกไม้ใด ๆ ข้าจะบุกไปหาเจ้าโดยตรง ให้เจ้าต้องยอมคายทุกอย่างออกมา!”


เขาเอ่ยเสียงเย็น มั่นใจในความสามารถของตนในตอนนี้มาก หลังเขาไปถึงที่นั่น ย่อมกำราบหลี่จิ่วเต้าลงได้แน่!

บรรพจารย์ฝูมีความมั่นใจอย่างมาก จะมิให้เขามั่นใจได้อย่างไร เขาได้ดูดกลืนพลังจากศพมหาศาล จนตัวแทบระเบิดอยู่แล้ว!


เขาบรรลุขีดจำกัดของตัวเองอย่างแท้จริง หากดูดกลืนพลังจากศพเพิ่มอีกแม้เพียงศพเดียว น่ากลัวว่าเขาคงได้ตัวระเบิด และรับไว้ไม่ไหวแน่


อนิจจา ต่อให้พลังในตัวเขามากมายปานนี้ ก็ยังมิอาจบรรลุขึ้นไปจากขั้นบรรพจารย์เซียนได้


บรรพจารย์โกลาหลถือเป็นมหาขอบเขตที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ก่อนนี้เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ผู้คนในอดีตก็มิเคยบันทึกเรื่องราวด้านนี้ไว้ เขาคิดจะบรรลุขึ้นจากขั้นบรรพจารย์เซียนและก้าวสู่ขอบเขตโกลาหลถือเป็นเรื่องแสนลำบาก จำต้องบุกเบิกเส้นทางใหม่ด้วยตัวเองจึงจะบรรลุขอบเขตโกลาหลได้


ทว่าเขาในยามนี้ไม่มีเบาะแสเลยสักนิด มิได้รู้แจ้งถึงขอบเขตโกลาหล หากเขาคิดจะก้าวสู่ขอบเขตโกลาหล ไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องรอถึงเมื่อไรจึงจะสำเร็จ


“การรู้แจ้งนี้ยากเกินไป หากมิได้เข้าไปในแดนบรรพโกลาหล เกรงว่าชีวิตนี้ข้าก็คงไม่อาจรู้แจ้งถึงมันได้”


บรรพจารย์ฝูส่ายหน้า รู้ตัวเป็นอย่างดี


มหาขอบเขตที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงถึงแก่น ไฉนเลยจะบรรลุได้ง่าย ๆ เป็นไปไม่ได้เลย!


เขาหยิบต้นหญ้าต้นหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง จ้องมองอยู่นานด้วยสีหน้าสะท้อนใจ


“หากมิได้ก้าวสู่ขอบเขตโกลาหล ข้าก็ไม่อาจมองปรมัตถ์ของหญ้าต้นนี้ออกหรือ!?”


เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ การเปรียบเทียบรังแต่จะสร้างความโมโห ทำให้เกิดการคัดทิ้ง!


เขาในยามนี้แข็งแกร่งขึ้นตั้งไม่รู้กี่เท่า กระนั้นก็ยังไม่รู้ถึงปรมัตถ์ของหญ้าต้นนี้ ไม่ว่าเขาจะศึกษาหญ้าต้นนี้เพียงใด ก็ได้กลับมาแค่ข้อสรุปเดียว นั่นคือหญ้าต้นนี้เป็นหญ้าธรรมดา


แต่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!


เขาเห็นกับตาว่าใบหญ้าใบหนึ่งจากต้นนี้สำแดงพลานุภาพสะท้านโลกาออกมาในมือหลี่จิ่วเต้า นี่ต้องเป็นหญ้าที่ผ่านการชะล้างจากพลังโกลาหลเป็นแน่!


หรือแม้กระทั่งว่าหญ้าต้นนี้อาจร่วงหล่นออกจากแดนบรรพโกลาหลก็เป็นได้!


หญ้าต้นนี้ไม่มีทางเป็นเพียงหญ้าธรรมดา!


ในความคิดของเขา นี่คงเกี่ยวข้องกับขอบเขตของเขา หากเขายังมิได้บรรลุขอบเขตโกลาหล ก็ไม่อาจเข้าใจในพลังโกลาหล และไม่อาจมองปรมัตถ์ของหญ้าต้นนี้ออก


“เหตุใดหลี่จิ่วเต้าผู้นั้นถึงโชคดีขนาดนี้!”


เขาเจ็บใจเป็นที่สุด อิจฉาริษยาชายผู้นั้นเหลือแสน


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อีกฝ่ายก็คงได้รับการชะล้างจากพลังโกลาหลมาแล้ว ถึงได้บรรลุขอบเขตบรรพจารย์เซียนขึ้นไปได้ และมองเห็นถึงความไม่ธรรมดาของใบหญ้าใบนั้น!


เขารู้สึกเดือดดาล เหตุใดหลี่จิ่วเต้าได้รับการชะล้างจากพลังโกลาหลแต่เขาไม่ได้


บรรพจารย์เซียนแต่กำเนิดเชียวนะ นั่นบ่งบอกว่าเขาโชคดีมากพอ ยามพลังโกลาหลวิวัฒนาการสรรพสิ่งออกมา เขาได้รับพลังมากที่สุด


“หรือเพราะก่อนหน้านี้ข้าโชคดีเกินไป จนความโชคดีเหล่านั้นถูกผลาญไปหมดแล้ว”


เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เจ็บใจเป็นที่สุด หากเลือกได้ เขาไม่ต้องการเป็นบรรพจารย์เซียนแต่กำเนิด ทว่าต้องการการชะล้างจากพลังโกลาหลและก้าวสู่ขั้นบรรพจารย์เซียนในภายหลังมากกว่า


“ไม่เป็นไร ทุกสิ่งที่ข้าควรได้ ข้าจะช่วงชิงมาด้วยตนเอง!”


นัยน์ตาของเขาวาวโรจน์ สงบจิตใจลง หลี่จิ่วเต้าโชคดีพอแล้วอย่างไร เขามีความอุตสาหะมากพอ ซ้ำยังยอมวางทิฐิลง ขุดศพดูดกลืนพลัง เขาเชื่อว่าเขาทำได้ และมีสิทธิ์อันชอบธรรมแย่งชิงวาสนาการเปลี่ยนแปลงของตัวหลี่จิ่วเต้าด้วย!


หลี่จิ่วเต้าได้รับการชะล้างจากพลังโกลาหล หากเขาได้รับพลังโกลาหลจากตัวอีกฝ่าย ย่อมเป็นผลดีต่อเขามหาศาล!


เขาจะใช้พลังนั้นตรัสรู้ถึงปรมัตถ์ในหญ้าต้นนี้ แล้วลองบรรลุขอบเขตโกลาหลด้วยหญ้าต้นนี้ดู!


ส่วนหลี่จิ่วเต้าฝึกฝนจนอยู่เหนือขอบเขตโกลาหลไปแล้วหรือไม่นั้น เขาไม่เคยคิด


เพราะเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้!


ขอบเขตโกลาหลสูงส่งปานใด ลำพังได้รับการชะล้างจากพลังโกลาหลแล้วจะบรรลุได้เชียวหรือ?


คิดอะไรอยู่!


นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ


หากหลี่จิ่วเต้าอยู่เหนือขอบเขตโกลาหลจริง ๆ เขาไฉนเลยจะมีสิทธิ์ได้รับหญ้าต้นนี้


น่ากลัวว่าหลี่จิ่วเต้าคงเด็ดต้นหญ้าต้นนี้ไปนานแล้ว!


อีกฝ่ายได้รับการชะล้างจากพลังโกลาหล แต่คิดแล้วคงมิใช่การชะล้างที่ทรงพลังเท่าใด เป็นไปได้ว่าอาจเป็นการชะล้างจากพลังโกลาหลอันน้อยนิด


ด้วยเหตุนี้ หลี่จิ่วเต้ามีแต่ต้องเข้าใกล้วัตถุโกลาหล หรือสิ่งที่ถูกพลังโกลาหลชะล้างแล้วในระยะอันใกล้เท่านั้น จึงจะสัมผัสถึงพลังโกลาหลในวัตถุเหล่านี้


หากห่างกันไกล เขาคงสัมผัสมิได้


และเพราะหญ้าต้นนี้ห่างจากหลี่จิ่วเต้าไกล เขาถึงไม่อาจสัมผัสถึงการมีอยู่ของหญ้าต้นนี้ และมิได้เด็ดไป


“ไปหาเขาดีกว่า!”


บรรพจารย์ฝูเก็บต้นหญ้าในมืออย่างบรรจง แล้วเริ่มปฏิบัติการ


เขาหลับตาลง พลันนั้น ญาณสัมผัสคลี่แผ่ปกคลุมทั้งอาณาจักร ค้นหาร่องรอยและตำแหน่งของหลี่จิ่วเต้า


การค้นหาด้วยญาณสัมผัสเช่นนี้อาจเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น และทำให้หลี่จิ่วเต้าระแคะระคายได้


แต่เขาหาได้สนใจไม่ เพราะมั่นใจในพลังของตนมาก คิดว่าการค้นหาด้วยญาณสัมผัสเช่นนี้ย่อมไม่ถูกหลี่จิ่วเต้าจับได้แน่


ต่อให้หลี่จิ่วเต้าจับได้ก็ไม่เป็นไร เขาดีใจเสียอีก เช่นนี้เขาจะได้ไล่ล่าอีกฝ่ายเหมือนแมวไล่จับหนู สำราญไปกับความสะใจของการไล่ล่า


“เมืองจักรพรรดิไป๋!”


ไม่นานนักเขาก็ได้รู้ตำแหน่งของหลี่จิ่วเต้า แต่มิได้เจอด้วยญาณสัมผัส หากแต่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสิ่งมีชีวิตในเมืองจักรพรรดิไป๋


ภายในเมืองจักรพรรดิไป๋กำลังเล่าขานกันอย่างออกรสว่าในเมืองพวกเขามีผู้ยิ่งใหญ่มาปรากฏกาย ดูแล้วอายุไม่มากเท่าใด ทว่ามีพลังน่าสะพรึง เกินกว่าขอบเขตการรับรู้ของพวกเขาไปไกล!


ยามนี้ยังอยู่ที่เมืองจักรพรรดิไป๋!


“หลี่จิ่วเต้า!”


จากเสียงถกกันอย่างดุเดือดในเมืองจักรพรรดิไป๋ เขาแน่ใจได้ทันทีว่านั่นคือหลี่จิ่วเต้า


ถ้อยคำที่ใช้พรรณนาเหมาะเจาะเกินไป ไม่มีทางเป็นผู้อื่น


“ดูท่าคงเป็นเพราะใบหญ้าใบนั้น…”


เขาพึมพำกับตัวเองเสียงเบา รู้สึกว่าที่เขาจับสัมผัสตำแหน่งของชายผู้นั้นมิได้คงเกี่ยวข้องกับใบหญ้าในตัวเขา


ใบหญ้านั้นถูกกระตุ้นพลังออกมาแล้ว จะขวางกั้นญาณสัมผัสของเขาได้ก็มิใช่เรื่องแปลก


“ไป!”


บรรพจารย์ฝูหัวเราะเย็น ๆ ก่อนจะไปจากที่นี่


เมื่อเขาเผยกายอีกครั้ง ก็มาอยู่นอกเมืองจักรพรรดิไป๋แล้ว


“ยังอยู่ในเมือง ดูท่าคงยังไม่รู้สึกตัว”


เขาหรี่ตาลงกึ่งหนึ่ง สีหน้าเย็นชา


หากอีกฝ่ายรู้ตัว ไม่น่ายังอยู่ในเมืองโบราณแห่งนี้ จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสิ่งมีชีวิตในเมืองที่เขาได้ยิน หลี่จิ่วเต้ากำลังเชยชมตำหนักโบราณบางแห่งในเมือง


เห็นได้ชัดว่าหลี่จิ่วเต้ายังไม่รับรู้อันใด


“ข้ามาโดยสำรวมพลังปราณ ใช่ว่าเขาสามารถจับสัมผัสได้ง่าย ๆ ที่ไหน ก่อนนี้ เขาก็คงไม่รับรู้เรื่องที่ข้าตามหาเขาด้วยญาณสัมผัส!”


เขาหัวเราะเสียงเย็น มั่นใจอย่างยิ่งยวด ใบหญ้าใบนั้นช่วยกีดขวางญาณสัมผัสของเขาได้ กระนั้นใช่ว่าจะช่วยให้หลี่จิ่วเต้ารับรู้ญาณสัมผัสของเขาได้


ทว่าเพื่อมิให้ผิดพลาด เขารู้สึกว่ารัดกุมหน่อยดีกว่า


เขามิได้บุกเข้าไปทันที หากแต่ตั้งมหาค่ายกลอยู่รอบ ๆ เมืองจักรพรรดิไป๋


ทำเช่นนี้ปลอดภัยกว่า และป้องกันมิให้หลี่จิ่วเต้าหนีได้ด้วย


และในขั้นตอนนี้ บรรพจารย์ฝูลงมืออย่างแนบเนียน มิได้เผลอเผยพลังปราณออกไปแม้สักเศษเสี้ยว จึงมิได้วิตกว่าจะถูกอีกฝ่ายจับได้


...


ภายในเมืองจักรพรรดิไป๋


หลี่จิ่วเต้ากำลังเดินชมตำหนักโบราณแห่งหนึ่งอย่างเพลิดเพลินและหลงใหล วัตถุทุกชิ้นในตำหนักล้วนเก่าแก่พิถีพิถัน เผยให้เห็นถึงร่องรอยแห่งกาลเวลาอันโชกโชน สร้างความสะท้านต่อจิตใจเขาอย่างมาก


เขาเดินเข้าไปถึงโถงในโดยไม่รู้ตัว


ที่นี่คือตำหนักจักรพรรดิไป๋ สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ที่สุดในเมืองจักรพรรดิไป๋ ลือกันว่าในอดีตที่นี่มิใช่เมือง เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตรุ่นหลังโดยสร้างให้อยู่รอบ ๆ ตำหนักจักรพรรดิไป๋


ส่วนจักรพรรดิไป๋คือผู้ใดนั้น ไม่พบเบาะแสอันใดอีก ยุคสมัยของจักรพรรดิไป๋เก่าแก่เกินไป


ทว่าเรื่องที่ไม่ต้องเคลือบแคลงเลยคือความแข็งแกร่งของจักรพรรดิไป๋ ภายในตำหนักจักรพรรดิไป๋มีวัตถุโบราณอยู่มาก และในนั้นมีอักขระกฎระเบียบทรงพลังหลงเหลืออยู่ เคยมียอดฝีมือมากมายหมายใจจะนำของในตำหนักจักรพรรดิไป๋ออกไป แต่ก็ทำไม่ได้


และเรื่องนี้เป็นผลให้ตำหนักจักรพรรดิไป๋แซ่ซ้องออกไปเรื่อย ๆ เมืองจักรพรรดิไป๋ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งมีชีวิตมากมายดำรงชีพอยู่ในเมืองจักรพรรดิไป๋ หวังจะรู้แจ้งถึงบางอย่างจากวัตถุโบราณในตำหนักจักรพรรดิไป๋


แต่ผ่านไปแล้วเนิ่นนานก็ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดสำเร็จ สิ่งของในตำหนักจักรพรรดิไป๋สูงส่งเกินไป อักขระและจังหวะแห่งเต๋าเหล่านั้นเหนือจินตนาการของพวกเขาไปมาก!


แม้กระทั่งสุนัขดำยังตะลึงกับที่แห่งนี้อย่างยิ่งยวด


กระทั่งมันยังมองวัตถุในนี้ไม่ออก ไม่อาจทำความเข้าใจ!


เป็นไปได้อย่างไรกัน!


ครานั้น แม้แต่มันยังสะท้านใจ และเพราะเหตุนี้ มันถึงตัดสินใจอยู่ในเมืองนี้ต่อ


ที่นี่เป็นเพียงอาณาจักรนอกแดนบรรพโกลาหล ต่อให้ก่อนกาลเวลาอันยาวนานเริ่มขึ้น ที่นี่เคยรุ่งเรืองเจิดจรัสไร้ใดเปรียบ กระนั้นก็มิอาจทัดเทียมแดนบรรพโกลาหล


ถึงอย่างไรก็วิวัฒนาออกจากแดนบรรพโกลาหล


ตัวมันเล่า?


ในแดนบรรพโกลาหล มันมีสถานะเทียบเทียมจ้าวแห่งดินแดนทั้งหลาย อยู่ในขอบเขตโกลาหลขั้นแปด เหตุใดนอกแดนบรรพโกลาหลถึงมีสิ่งที่มันมองไม่ออกอยู่ด้วย!?


ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย!


ทว่าความจริงคือ แม้แต่มันก็มองไม่ออก พินิจอยู่นานก็จับต้นชนปลายมิได้


จักรพรรดิไป๋ผู้นี้มิใช่พวกดาษดื่นแน่นอน!


ในความรู้สึกมัน จักรพรรดิไป๋ผู้นี้อาจแข็งแกร่งว่าบรรพจารย์แห่งดินแดนทั้งหลายที่อยู่ในขอบเขตโกลาหลขั้นเก้าเสียอีก!


มันรู้สึกทึ่ง อาณาจักรนอกแดนบรรพโกลาหลให้กำเนิดตัวตนระดับนี้ออกมาได้ด้วยหรือ เหนือความคาดหมายของมันยิ่งนัก!


เป็นไปได้ว่าจักรพรรดิไป๋ผู้นี้เป็นบรรพจารย์เต๋าโกลาหลตนหนึ่ง!


อีกด้าน พวกลั่วสุ่ยกำลังเดินชมอยู่ด้านนอก เดิมพวกเขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ก่อนก้าวเข้ามาในตำหนักจักรพรรดิไป๋ พวกเขารู้สึกเพียงว่านี่คือการเดินชมแสนธรรมดา


แต่หลังได้เข้ามา พวกเขาก็ตะลึงกันหมด


ผ่านมาแล้วครึ่งปี ขอบเขตของพวกเขายกระดับขึ้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ลั่วสุ่ย หลิงอิน และเซี่ยเหยียนก้าวสู่ขอบเขตโกลาหลได้แล้วด้วยซ้ำ!


ก่อนเข้ามา พวกเขาไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าตำหนักโบราณแห่งนี้มีความชอบกลอยู่ ที่นี่เป็นเพียงตำหนักโบราณธรรมดาเท่านั้น ลั่วสุ่ย หลิงอิน และเซี่ยเหยียนสามคนต่างเคยได้ยินชื่อเสียงของตำหนักจักรพรรดิไป๋มาก่อน และรู้ว่าตำหนักจักรพรรดิไป๋นี้ไม่ธรรมดา


ทว่าความไม่ธรรมดาที่ว่าเป็นเพียงสำหรับพวกนางในอดีตเท่านั้น


ในสายตาพวกนาง บางทีจักรพรรดิไป๋อาจเป็นเพียงเทียนตี้มหากาฬตนหนึ่ง อย่างมากก็แค่ทลายกฎพื้นฐาน บรรลุถึงขอบเขตเซียน


เทียบกับขอบเขตพลังของพวกนางในยามนี้ จักรพรรดิไป๋มิได้ยิ่งใหญ่อันใด


แต่หลังเข้ามาที่นี่ พวกนางถึงตระหนักได้ว่าคิดผิดถนัด!


จักรพรรดิไป๋ผู้นี้ทรงพลังกว่าที่พวกนางจินตนาการไว้มากโข!


ไม่ว่าวัตถุชิ้นใดในโถงในแห่งนี้ล้วนเกินกว่าที่พวกนางคาดการณ์ไว้ พวกนางต่างก็มองไม่ออกเช่นกัน อยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจของพวกนางไปแล้ว!


และขณะที่พวกเขากำลังตะลึง จู่ ๆ สุนัขดำก็ปริปากออกมา “มีใครบางคนกำลังกระทำการบางอย่างที่ข้างนอกนั่น พวกเจ้าเป็นเป้าหมายของมันใช่หรือไม่”


มันแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด ทุกสิ่งที่บรรพจารย์ฝูทำถูกมันตรวจจับได้หมด

ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ