681-685

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 681ถึง 685



ตัวยังไม่ออก โผล่มาเพียงแค่เสียงตะคอกก็สามารถโจมตีเหล่าสมบัติจนถอยร่นได้ ไม่ต้องสงสัยเลย สิ่งที่อยู่ด้านในกระจกทองแดงจะต้องทรงพลังไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


ใบหน้าของมัจฉาสัตมายาเคร่งขรึม เมื่อครู่เหล่าสมบัติเพิ่งปกป้องมันเอาไว้ ไม่เช่นนั้นกระทั่งวิญญาณของเขาจะต้องดับสลายหายไปอย่างแน่นอน!


สิ่งที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในพลังพิศวงกำลังจะออกมาอย่างนั้นหรือ?


มันคิดขึ้นมาในใจ


“คนผู้นี้...คนผู้นี้เผชิญหน้าด้วยไม่ง่ายเลย!”


ชามกระเบืองเคลือบเปิดปากเอ่ยออกมา ด้านในน้ำเสียงมีความหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย มันไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ภายในใจจึงเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา


ชามกระเบื้องเคลือบที่เหลืออีกเจ็ดใบเองก็สั่นสะท้านเล็กน้อยเช่นเดียวกัน พวกมันล้วนมีวิญญาณเป็นสตรีเพศ ทำให้ค่อนข้างจะขี้อายอยู่บ้าง อีกทั้งยังไม่เคยพบพานอันตรายใหญ่หลวงอันใดมาก่อน เพิ่งได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ในกระจกทองแดงซึ่งสามารถคุกคามพวกมันได้เป็นครั้งแรก จะแสดงท่าทางเช่นนี้ออกมาก็นับเป็นเรื่องปกติ


สำหรับสมบัติชิ้นอื่น ๆ แม้จะไม่ได้หวาดกลัว แต่ก็อดเกิดความสับสนตื่นตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


พวกมันมีประสบการณ์น้อยเกิดไป แม้ว่าจะเคยต่อสู้มาก่อน แต่การต่อสู้ครั้งนั้นก็เป็นศึกที่เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง ไม่มีอันตรายหรือความกดดันอันใดให้พูดถึงทั้งสิ้น แตกต่างกับตอนนี้โดยสิ้นเชิง สิ่งที่อยู่ในกระจกทองแดนอันตรายเป็นอย่างมากและสามารถคุกคามพวกเขาอย่างหนัก!


ให้กล่าวแล้วผู้ที่สงบที่สุดก็คือ จอบเซียน


มันมีเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ ไม่เหมือนกับสมบัติชิ้นอื่น ๆ แม้มันจะประหลาดใจกับความทรงพลังของสิ่งที่อยู่ในกระจกทองแดง แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนก ไม่ได้หวาดเกรง ทั้งยังใจเย็นเป็นอย่างมาก


“ค่อนข้างจะน่าสนใจ!”


เสียงที่ออกมาจากกระจกทองแดงเองก็มีความประหลาดใจอยู่ มันคิดว่าเสียงที่เพิ่งตะโกนไปเมื่อครู่จะทำลายสมบัติทั้งหมดทิ้งได้ทันที ไม่คาดว่าเหล่าสมบัติทำเพียงแค่กระเด็นถอยออกไป


ตัวตนของมันเป็นสิ่งใด?


เป็นถึงจ้าวผู้หนึ่งในแดนกำเนิดพิศวง!


แม้ว่าเมื่อครู่มันจะไม่ได้ใช้พลังมากมายอันใด แต่ก็เพียงพอที่จะลบสมบัติทั่วไปในอาณาจักรอันแสนต่ำต้อยออกไปได้ ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาที่การใช้พลังของมันแต่อย่างใด


ผลออกมาคือนอกจากมันจะไม่สามารถกำจัดสมบัติเหล่านี้ได้ ยังไม่อาจสร้างความเสียหายให้พวกมันแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วจะให้มันไม่แปลกใจได้อย่างไร?


ดูเหมือนว่าอาณาจักรเบื้องนอกแสนต่ำต้อยจะไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่มันคิดจินตนาการ!


“ให้ข้าดูเสียว่าพวกเจ้าเป็นสิ่งใดกันแน่”


มีเสียงดังออกมาจากกระจกทองแดงอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงของมันมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่เล็กน้อย


ตามปกติแล้ว อาณาจักรเบื้องนอกอันแสนต่ำต้อย ไม่ควรจะมีสมบัติเหล่านี้ปรากฏออกมา...


เพียงชั่วพริบตา ลมหายใจอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิมก็กระเพื่อมออกมาจากกระจกทองแดง ทำให้เหล่าสมบัติสัมผัสได้ถึงอันตรายและแรงกดดันที่มากขึ้น


ชามกระเบื้องเคลือบทั้งแปดสั่นสะท้านหนักกว่าเดิม พวกมันไม่มีประสบการณ์การต่อสู้เช่นนี้ ทั้งยังไม่เคยต้องมาสัมผัสกับภัยอันตรายใด ๆ มาก่อน


“ไม่ต้องกลัว! พี่ชายอยู่ที่นี่แล้ว!”


จอบเซียนตะโกน ก่อนพุ่งมาอยู่ด้านหน้าพี่น้องชามกระเบื้องเคลือบทั้งแปด ช่วยต้านทานลดทอนแรงกดดันที่ชามกระเบื้องเคลือบได้รับ


“ของคุณพี่จอบ!”


“พี่จอบยอดเยี่ยมที่สุด!”


ด้วยความช่วยเหลือจากจอบเซียน ทำให้พี่น้องชามกระเบื้องเคลือบทั้งแปดได้รับแรงกดดันน้อยลง พวกมันจึงรีบเอ่ยขอบคุณจอบเซียนอย่างรวดเร็ว


“ไม่เป็นไร สำหรับข้าแล้วนับเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย”


จอบเซียนเอ่ยออกมาอย่างไม่ยี่หระ เมื่อถูกพี่สาวน้องสาวชามกระเบื้องเคลือบเรียกว่า พี่จอบก็พลันอิ่มเอมใจขึ้นมา


“พี่จอบ ท่านช่วยข้าด้วยได้หรือไม่? ข้ารู้สึกกดดันเป็นอย่างมากจนเริ่มหายใจลำบากบ้างแล้ว!”


มัจฉาสัตมายาอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ มันเองก็ต้องการให้จอบเซียนช่วยเหลือ เพราะเริ่มจะทนไม่ได้บ้างแล้วจริง ๆ


“ไปให้พ้น! ไปหาพี่ชายคนอื่นของเจ้าเสีย!”


จอบเซียนตอบกลับด้วยความขุ่นเคือง ยังคิดจะให้เขาแบ่งแรงกดดันไปอีกงั้นหรือ?!


แรงกดดันที่อยู่บนตัวมันนับว่าไม่น้อย การช่วยเหลือพี่สาวน้องสาวทั้งแปดทำให้มันรับภาระหนัก อาจสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ


หากมันช่วยเหลือมัจฉาสัจมายาอีก มันคงต้องพังทลายลงภายในพริบตา


สิ่งที่อยู่ด้านในกระจกทองแดงนั้นน่ากลัวจริง ๆ!


“นอกจากนี้ ต่อไปก็อย่าได้เรียกข้าว่าพี่จอบอีก! เจ้าเรียกแล้วทำให้ข้ารู้สึกแขยงใจ เอาถังขยะมาราดใส่ข้ายังรังเกียจน้อยเสียยิ่งกว่า!”


มันพูดต่อ เมื่อนึกถึงเสียงของมัจฉาสัตมายาที่เรียกมันว่าพี่จอบ ก็พลันรู้สึกเกินจะทน คิดอยากจะอาเจียน!


“!!!”


มัจฉาสัตมายาอับจนคำพูด จอบเซียนช่างสองมาตราฐานเสียเหลือเกิน พี่สาวน้องสาวชามกระเบื้องเคลือบทั้งแปดเรียกได้ แต่มันเรียกไม่ได้หรือ?


นี่ก็แค่เห็นหญิงดีกว่ามิตรภาพ!


“???”


ถังขยะฉงน เหตุใดจึงดึงมันไปเกี่ยวข้องด้วยเล่า!


“เจ้าช่วยมีมารยาทหน่อยได้หรือไม่?” มันอดเอ่ยกับจอบเซียนไม่ได้


จอบเซียนนั้นไม่มีมารยาทแม้สักนิดเดียว!


วิ้งงงง!


แสงเจ็ดสีสาดทอออกมาจากกระจกทองแดง ทั่วทั้งอาณาจักรอวี้ซวีสั่นสะเทือน กระทั่งดาราดวงอื่นรอบบริเวณยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!


หลังจากนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตปรากฏออกมาจากกระจกทองแดง


มันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มหึมาที่มองไม่ออกว่าเป็นเผ่าพันธุ์ใด หลังจากมันออกมาจากกระจกทองแดง ท้องฟ้าทั้งหมดก็คล้ายพังทลาย อาณาจักรอวี้ซวีไม่อาจทนรองรับมันได้!


ร่างกายส่วนบนของมันอยู่เหนือสูงขึ้นไปจนถึงด้านนอกอาณาจักอวี้ซวี ขนยาวปลิวสยายไปทั่ว แต่ละเส้นประหนึ่งมังกรยักษ์โผล่บิน ทั้งยังมีสีสันเปลี่ยนไปตลอดเวลา ดูแล้วชวนสะท้านขวัญจนไม่อาจบรรยายออกมาได้!


“ให้ข้าดูเสียว่าพวกเจ้าเป็นสิ่งใดกันแน่...”


มันมองลงมายังโลกอวี้ซวี ดวงตาทั้งสองข้างประหนึ่งดวงดาราจับจ้องมาทางเหล่าสมบัติ


“นี่มัน...ของเล่นอันใดกัน!”


หลังจากได้เห็นสมบัติมันก็ตกตะลึงไปชั่วขณะอย่างเห็นได้ชัด มันคาดไม่ถึงเลยว่าสมบัติเหล่านี้จะกลายเป็นเพียงเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของปุถุชนทั่วไป!


มีทั้งหม้อ ชาม กระบวย เกาอี้โยก ไม้เขี่ยฟืน แล้วก็ถังขยะ???


ทั้งหมดนี่มันอันใดกัน!


มันมึนงงอยู่บ้าง หรือว่ามันไม่ได้มายังที่แห่งนี้นานเกินไป จึงไม่รู้ว่าอาณาจักรที่แสนต่ำต้อยเหล่านี้จะพัฒนาขึ้นมาถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว?


กระทั่งปุถุชนก็สามารถครอบครองสมบัติระดับสูงเช่นนี้ได้?


ไม่มีทาง!


มันไม่อยากจะเชื่อ


แต่ว่าหากไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว เช่นนั้นผู้ใดจะสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเล่น ๆ?


อีกทั้งผู้แข็งแกร่งที่ไหนกันยังจำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้!


ผู้ที่ยังต้องใช้สิ่งเหล่านี้ย่อมต้องเป็นปุถุชนทั่วไป!


ไม่ต้องพูดถึงผู้แข็งแกร่งเสียด้วยซ้ำ กระทั่งผู้ฝึกตนธรรมดา ๆ ก็ยังไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งของเหล่านี้!


หากไม่ใช้ก็แสดงว่าต้องหมกมุ่น!


ผู้สร้างต้องหมกมุ่นกับสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก!


“พูดจาอันใดไร้สาระ!? อย่าคิดว่าตัวใหญ่แล้วพวกเราจะกลัวเจ้า!”


ถังขยะตะโกนออกมา มันเรียกใครว่าของเล่นกัน?


มันได้ยินคำเยาะเย้ยและเหยียดหยามเต็มน้ำเสียงของสิ่งมีชีวิตตนนั้น


มันโกรธเป็นอย่างมาก!


พวกมันทั้งหมดล้วนถูกคุณชายสร้างขึ้นมาเอง การที่เยาะเย้ยเหยียดหยามพวกมันเช่นนี้ ก็เหมือนกับการเยาะเย้ยเหยียดหยามคุณชาย!


“เอะอะเสียงดัง!”


สิ่งมีชีวิตตนนั้นเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาพร้อมท่าทางที่ดุร้ายขึ้น “เป็นเพียงของผุพังกองหนึ่ง กล้าดีอย่างไรมาพูดเช่นนี้กับข้า หากอยากตายก็ไม่ควรหาหนทางตายเช่นนี้!”


จากนั้นมันก็ชี้นิ้วไปทางจ้าวหลานที่กลายสภาพเป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ พลันเกิดความผันผวนจากพลังพิศวงขึ้น


พริบตาต่อมา ร่างของจ้าวหลานก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


ก่อนหน้านี้มันได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าจะหลงเหลือเศษวิญญาณอยู่บ้าง แต่หากมันต้องการจะฟื้นฟูตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายทั้งยังจำเป็นต้องเผชิญกับความยุ่งยากอีกด้วย


อย่างไรเสีย ฝ่ามือของสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้ก็มีพลังอันไม่สามารถจินตนาการได้ถึง ยังคงหลงเหลือพลังตกค้างในร่างของมัน หากมันต้องการจะฟื้นฟูตนเอง แม้จะเป็นเพียงแค่การฟื้นฟูบางส่วนก็จะต้องลำบากและใช้เวลานานเป็นอย่างยิ่ง


“ขอบพระคุณท่านผู้ยิ่งใหญ่!”


จ้าวหลานรีบเอ่ยขอบคุณสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้


ครั้งนี้มันไม่เพียงแต่ฟื้นตัวกลับมาอย่างสมบูรณ์ แต่ยังแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ขนยาวบนร่างกายของมันก็เกิดการแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีทองบริสุทธิ์ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าสีน้ำเงินก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก!


มันในตอนนี้ เพียงแค่ยกมือก็สามารถสยบจักรพรรดิเซียนลงได้อย่างไม่มีปัญหา!


มันคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตพิศวงเช่นนี้ออกมาจากกระจกทองแดง แข็งแกร่งและน่ากลัวเสียยิ่งกว่า ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ที่มันเคยพบเจอมาหลายเท่า!


คนผู้นี้จะต้องมาจากแดนกำเนิดพิศวงอย่างแน่นอน อีกทั้งตำแหน่งฐานะในแดนกำเนิดพิศวงจะต้องสูงเป็นอย่างมาก มีบทบาทไม่ธรรมดา!


มันคิดขึ้นมาภายในใจ


ทว่าความจริงแล้ว แม้สิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้จะมาจากแดนกำเนิดพิศวงจริง แต่นั่นก็ไม่ใช่แดนกำเนิดพิศวงตามที่จ้าวหลานคิด


ภายในใจของจ้าวหลานคิดว่าสถานที่แห่งนั้นที่อยู่อีกด้านหนึ่งถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยแดนบรรพโกลาหล


ในความคิดของจ้าวหลานและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในจักรวาลโกลาหล สถานที่ถัดออกไปที่ถูกแดนบรรพโกลาหลปิดกั้นเอาไว้คือ แดนกำเนิดพิศวง


แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น


แหล่งที่มาแท้จริงของความพิศวงนั้นมาจากด้านนอกจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ และสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้ก็มาจากที่นั่น!


นี่นับเป็นข้อแตกต่างที่สำคัญ ที่มีช่องว่างความแตกต่างมากเกินไป


หากสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้มาจากสถานที่ที่ถูกแดนบรรพโกลาหลปิดกั้นเอาไว้ มันจะไม่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ ไม่อาจคุกคามและนำพาความรู้สึกอันตรายให้กับเหล่าสมบัติได้หนักหนาขนาดนี้


มีเพียงแต่แดนกำเนิดพิศวงที่ก้าวข้ามจักรวาลโกลาหลได้จึงจะสามารถนำพาอันตรายและแรงคุกคามขนาดหนักมาสู่เหล่าสมบัติได้!


“คราวนี้เจ้าทำได้ดีมาก ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะหัวเราะเสียงดังน่าเกลียดมากจนทำให้ข้าแขยงก็ตาม แต่ก็มีผลงานน่ายกย่อง ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าแล้วกัน”


สิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้นอ้าปากพูดต่อ “ไป ไปจำกัดพวกมันให้สิ้นซากเสีย!”


หากไม่ใช่เพราะจ้าวหลานส่งพลังเข้าไปยังกระจกทองแดงอย่างสุดแรงด้วยความสิ้นหวัง ทำให้มันที่อยู่ในอีกด้านสัมผัสตอบรับได้ มันคงไม่อาจจะมายังสถานที่แห่งนี้ได้


นี่เป็นเหตุผลที่ก่อนหน้านี้มันจึงไม่สังหารจ้าวหลานทิ้ง


มันเคยมอบกระจกทองแดงให้กับสิ่งมีชีวิตพิศวงที่อยู่ในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ ทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงเกิดการต่อสู้แย่งชิงกระจกทองแดงบานนี้ ทว่าตัวมันเองนั้นลืมเรื่องของกระจกทองแดงในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ไปนานแล้ว


ด้วยลักษณะของกระจกทองแดงช่างไม่ดึงดูดสายตาของมันเลย อีกทั้งในมือของมันยังมีกระจกทองแดงอยู่อีกจำนวนมาก มันไม่ได้มอบกระจกทองแดงให้กับสิ่งมีชีวิติพิศวงในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้เท่านั้น มันยังได้มอบให้กับสิ่งมีชีวิตพิศวงในจักรวาลโกลาหลแห่งอื่นอีกด้วย


ไม่คาดคิดเลยว่า กระจกทองแดงที่มันเคยไม่เห็นค่าในสายตา กลับสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่!


พวกมันต้องการเข้ามายังจักรวาลโกลาหลแห่งนี้มาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่สบโอกาส ทั้งยังไม่กล้าเคลื่อนไหวมากเกินไป


การที่มันสามารถเข้ามาในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ได้ นับว่าเป็นการช่วยเหลือพวกมันครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย


‘ข้ามาพร้อมกับภารกิจที่แบกรับเอาไว้ คราวนี้จำเป็นต้องตรวจสอบทุกอย่างให้กระจ่างชัด!’


มันคิดขึ้นมาในใจพร้อมรอยยิ้มที่ยกขึ้นมุมปาก


ครั้งนี้มันไม่ได้มาเพื่อช่วยเหลือจ้าวหลานอะไรนี่


จ้าวหลานไม่คู่ควรกับความช่วยเหลือจากจ้าวแห่งความพิศวงอย่างมัน


หลี่จิ่วเต้า!


สิ่งมีชีวิตพิศวงตัวนี้มายังจักรวาลโกลาหลผืนนี้ก็เพื่อสืบค้นข้อมูลของหลี่จิ่วเต้า


ครั้งซีก้าวขึ้นบันไดสวรรค์ในแดนบรรพกาลได้ถึงร้อยขึ้นครานั้น หรือก็คือจุดสูงสุด มันได้เผยให้เห็นถึงพรสวรรค์เลิศล้ำเกินหยั่ง จนเป็นที่สนใจของกองกำลังย่อยของพวกมันในจักรวาลโกลาหลผืนนี้


พรสวรรค์เลิศล้ำเกินหยั่งระดับนี้ เมื่อใดที่ได้เติบโต ย่อมต้องน่าครั่นคร้ามเป็นที่สุด กองกำลังย่อยของพวกมันในด้านนี้จึงคิดหาวิธีกำจัดซีไปก่อน


ฝ่ายพิศวงลางร้ายมีกองกำลังย่อยมากมายคณานับ จุดกำเนิดที่แท้จริงมิได้เจือจุนกองกำลังย่อยเหล่านี้เท่าใด เพียงแต่ให้กองกำลังย่อยต่าง ๆ แยกย้ายกันไปสั่งสมอำนาจในจักรวาลโกลาหลแต่ละผืน แล้วยึดครองจักวาลโกลาหลแต่ละผืนนั้นด้วยกำลังของตน


เช่นนี้ก็เพื่อให้สมาชิกกองกำลังย่อยเหล่านี้ได้รับการขัดเกลาจนเติบโตขึ้น


แท้จริงแล้ว กองกำลังย่อยของพวกมันไม่มีอำนาจพลังพอจะบุกเข้าไปในแดนบรรพโกลาหล มิฉะนั้น ก็คงไม่ถูกพลังในแดนบรรพโกลาหลสกัดกั้น ยึดครองจักรวาลโกลาหลผืนนี้ได้นานแล้ว


แต่เพื่อกำจัดสิ่งที่ประเมินมิได้อย่างซี ไม่ให้ซีมีโอกาสเจริญก้าวหน้า กองกำลังย่อยเลือกที่จะยกทัพทั้งหมดเข้าจู่โจม และหาหนทางส่งบรรพจารย์โบราณท่านหนึ่งเข้าไป


ส่งบรรพจารย์โบราณระดับนี้เข้าไป ย่อมต้องฆ่าล้างแดนบรรพโกลาหล และกำจัดซีออกไปได้ ทว่าเรื่องที่มิมีผู้ใดคาดคิดคือ เบื้องหลังของซีมีผู้ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการคอยคุ้มครองอยู่!


พวกมันไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นเป็นใคร บรรพจารย์โบราณที่ส่งเข้าไปไม่ทันได้ประกอบกิจอันใด ก็ถูกร่างแย่งวิถีของผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นกำราบ


ต่อมา แดนกำเนิดพิศวงลางร้ายอย่างแท้จริงยังต้องแตกตื่น ส่งพลังไปเจือจุนบรรพจารย์ท่านนั้น กระนั้นยังมิไหว


แดนกำเนิดพิศวงลางร้ายที่แท้จริงให้ความสำคัญต่อสถานการณ์นี้มาก ซ้ำต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนยังจุติลงมาด้วยตนเอง


ทว่าหารู้ไม่ ท่านผู้นั้นอัศจรรย์ถึงขีดสุด ทั้งที่มิใช่ร่างจริง เป็นเพียงร่างแยกวิถี ก็บดขยี้ต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนจนแหลกลาญลงไปได้!


พวกมันต่างตะลึงงัน สะท้านในอก


แต่พวกมันมิได้เกรงกลัว


เบื้องหลังพวกมันมีพลังเทวโลกคอยค้ำจุน ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายพวกมันได้


เพราะอย่างนั้น หลังจากสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้รับรู้ถึงการมีอยู่ของกระจกสัมฤทธิ์ ก็รีบไปหาเหล่าต้นบรรพจารย์ ถามว่าสามารถเข้าไปสืบข้อมูลที่จักรวาลโกลาหลแห่งนี้ก่อนได้หรือไม่


ดูว่าท่านผู้นั้นมีภูมิหลังความเป็นมาอย่างไร


เหล่าบรรพจารย์อนุญาตให้มันไป มันถึงมายังจักรวาลโกลาหลผืนนี้โดยอ้างกระจกสัมฤทธิ์


ยามมา มันระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะกังวลว่าจะถูกท่านผู้นั้นจับได้ แต่หลังจากมันมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย จึงคิดว่าท่านผู้นั้นหาได้เก่งกล้าสามารถไปเสียทุกอย่าง มิได้จับตาดูสถานการณ์ในจักรวาลโกลาหลผืนนี้อยู่ตลอด


นี่คือโอกาสอันดีสำหรับมันอย่างไม่ต้องสงสัย


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


ห้วงมิติระเบิดแหลกลาญ จ้าวหลานบุกออกไปข้างหน้าตามคำบัญชา มันไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว พลังทวีไม่รู้กี่เท่าตัว แผ่นหินเขียวปูพื้นเข้าถล่มมัน ถูกมันป้องกันไว้ได้ด้วยพลังกล้าแกร่ง


มันรู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้สามารถกำราบจักรพรรดิเซียน กระหน่ำบรรพจารย์เซียนได้ง่ายดาย พลังที่มีอาจเหนือชั้นกว่าบรรพจารย์เซียนด้วยซ้ำ ก้าวสู่ขอบเขตที่เหนือกว่านั้นไปแล้ว


“ยังกล้าโอหังต่อหน้าข้าอยู่อีกรึ?! ข้า…”


จ้าวหลานเริ่มลืมตัว ตะคอกโหวกเหวกไม่หยุด ทว่ามันไม่ทันกล่าวจบ ก็รู้สึกถึงสายตาน่าประหวั่นพรั่นพรึงมองมาหามันจากทางด้านหลัง มันกลัวจนรีบหุบปาก วาจาที่กำลังจะพ่นออกไปต้องฝืนกลืนกลับเข้าไป


มันเกือบทำให้จ้าวแห่งความพิศวงผู้นี้ไม่พอใจอีกแล้ว!


มันก่อนนี้ลำพองอวดดีเกินไป จนสร้างความไม่พอใจให้กับจ้าวแห่งความพิศวงผู้นี้ จึงถูกจ้าวแห่งความพิศวงผู้นี้ตบเป็นหมอกเลือด…


หลังจากมันหุบปาก ก็รู้สึกได้ว่าสายตาที่จ้องมันจากทางด้านหลังหายลับไป


เหงื่อเย็นไหลโซมลงมาตามตัว นึกโชคดีอยู่เต็มประดา ยังดีที่มันมีไหวพริบ หุบปากทัน มิฉะนั้น มันได้โดนตบอีกแน่!


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


มันมิกล้าเอื้อนเอ่ยวาจาใดอีก หลอมหอกยาวเล่มหนึ่งขึ้นมาด้วยพลังพิศวงลางร้าย บุกไปหาเหล่าของวิเศษ คลื่นพลังอันน่ากลัวซัดสาดใส่ปฐพีจนเสียงดังครืนคราน!


หมายจะกำจัดเหล่าของวิเศษไปให้หมด!


นี่คือคำสั่งจากจ้าวแห่งความพิศวงซึ่งอยู่เบื้องหลังของมัน แม้มันจะปวดใจอย่างมาก นึกเสียดายอยู่หน่อย ๆ ถึงอย่างไร วัสดุของวิเศษเหล่านี้ต่างอัศจรรย์เหลือแสน เลอค่าสูงส่ง ถูกทำลายไปทั้งอย่างนี้นับว่าน่าเสียดายยิ่ง


ทว่ามันก็มิกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของจ้าวแห่งความพิศวง


มันลงมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มี มิได้กักเก็บแม้แต่น้อย เป้าหมายคือทำลายเหล่าของวิเศษให้สิ้นซาก!


หอกยาวทิ่มแทงออกไป พลังน่าพรั่นพรึงปะทุออกมา โต๊ะเก้าอี้หินออกหน้ารับศึก แต่ก็ต้องถอยด้วยแรงกระเทือนไปทันที ซ้ำยังเกิดรอยร้าวตามตัวอีกด้วย!


แม้ว่ารอยร้าวนั้นกระจิริด บางยิ่งกว่าเส้นผม กระนั้นก็เกิดรอยร้าวขึ้นมาแล้วจริง ๆ พลังของจ้าวหลานในยามนี้ ทำอันตรายเหล่าของวิเศษได้จริง ๆ!


จ้าวหลานตาเป็นประกาย อยากจะระเบิดเสียงหัวเราะ ทว่าเพียงพริบตาเดียว มันก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ ทำเช่นนั้นเท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ!


มันระเบิดพลังอีกครั้ง บุกเข้าไปในดงของวิเศษ พลังที่ระเบิดออกมาจากหอกยาวสะเทือนเลือนลั่น บรรดาของวิเศษเริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


มัจฉาสัตมายาถอยกลับไปนานแล้ว การต่อสู้เช่นนี้มิใช่การต่อสู้ที่มันสามารถเข้าร่วมได้ หากฝืนเข้าร่วม น่ากลัวว่ามันคงถูกปลิดชีพในชั่วพริบตา


“พี่หลิวเล่า”


หัวใจของมันหนักอึ้ง หากพี่หลิวไม่ออกโรง ด้วยพลังของเหล่าของวิเศษเพียงอย่างเดียวคงยากจะพ้นภัย!


บัดนี้ ลำพังเพียงต่อกรกับจ้าวหลานยังลำบากยากเข็ญสำหรับเหล่าของวิเศษ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจัดการกับจ้าวแห่งความพิศวง หากคิดจะผ่านภัยพิบัติครั้งนี้ ยังต้องหวังพึ่งพี่หลิว!


แต่จนบัดนี้พี่หลิวยังไม่หือไม่อือเลยสักนิด…


หรือว่าพี่หลิวกลับไปแล้ว มิได้อยู่ในอาณาจักรอวี้ซวี?


จ้าวหลานยิ่งได้ต่อสู้ก็ยิ่งดุดัน เหล่าของวิเศษถูกกำราบจนยิ่งทุลักทุเล กลายเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างสิ้นเชิง


อันที่จริง เป็นเพราะประสบการณ์ต่อสู้ของเหล่าของวิเศษน้อยเกินไป จึงมิอาจระเบิดพลังในตัวออกมาได้เต็มที่


หากว่าเหล่าของวิเศษสามารถเปล่งอำนาจที่แท้จริงออกมาได้ พวกมันไม่มีทางถูกถล่มจนอยู่ในสภาพยับเยินปานนี้ ต่อให้จ้าวหลานในเวลานี้ดุดันเพียงใด ก็ไม่มีทางเป็นเช่นนี้ได้!


อีกด้าน จ้าวแห่งความพิศวงมองดูทุกอย่างเงียบเชียบ มันไม่ยี่หระที่จะลงมือกับเหล่าของวิเศษ ในสายตาของมัน เหล่าของวิเศษเป็นเพียงของดาษดื่น


หากมันลงมือ เพียงโจมตีง่าย ๆ ก็สามารถสยบเหล่าของวิเศษได้แล้ว


ของวิเศษเหล่านี้ยังไม่ควรค่าให้มันต้องลงมือ


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


จ้าวหลานสายตาเหี้ยมเกรียม จู่โจมรุนแรง ไม่ให้โอกาสเหล่าของวิเศษแม้แต่น้อย หมายจะกำจัดให้สิ้นซากในคราเดียว


เหล่าของวิเศษกดดันขึ้นเป็นเท่าตัว เริ่มสึกหรอบ้างแล้วไม่มากก็น้อย เปลวเพลิงบนกระบองเขี่ยไฟเริ่มเบาบางลง ถังขยะพ่น ‘ของเสีย’ ออกมา


ถ้วยกระเบื้องพิถีพิถันแปดถ้วยก็เต็มไปด้วยรอยร้าว พวกมันต่างรู้สึกถึงภยันตรายอันใหญ่หลวง ซึ่งอาจถูกกำจัด!


“ฆ่า!”


เมื่อได้เห็นภาพนี้ จ้าวหลานก็ลงมือรุนแรงยิ่งขึ้น มันต้องเร่งพลังอีกหน่อย เท่านี้มันก็จะกำจัดเหล่าของวิเศษได้หมด!


แต่นั่นเป็นเพียงความทึกทักเอาเองของมันเท่านั้น


มันคิดว่ามันเร่งกำลังอีกนิดก็จะกำราบเหล่าของวิเศษลงได้ หากเป็นของวิเศษชิ้นอื่นอาจเป็นเช่นนั้นจริง


แต่ของวิเศษเหล่านี้ไม่ธรรมดา


มันประเมินเหล่าของวิเศษต่ำเกินไป!


ในนาทีความเป็นความตาย เป็นช่วงเวลาที่กระตุ้นพลังแฝงได้ดีที่สุด สถานการณ์ของเหล่าของวิเศษในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น พวกมันสัมผัสถึงอันตรายที่อาจถูกกำจัด ส่งผลให้พวกมันเอาชนะความกลัว เปล่งพลังอันรุนแรงยิ่งขึ้นออกมาได้!


ถึงอย่างไร พวกมันก็ไม่ธรรมดา หลังจากถูกบีบคั้นจนวิกฤต พลังของพวกมันที่ไม่เคยระเบิดออกมาก็ปะทุในบัดนี้!


เสียงดัง ‘ตู้ม!’ แผ่นหินเขียวปูพื้นถล่มอีกครั้ง กฎวิถีอันน่ากลัวเคลื่อนทะยาน หอกยาวซึ่งหลอมด้วยพลังพิศวงลางร้ายของจ้าวหลานถูกทำลายจนป่นปี้ในบัดดล ต้านทานมิได้เลย!


ถ้วยกระเบื้องพิถีพิถันแปดถ้วยเปล่งประกายเจิดจ้า รอยร้าวตามตัวหายสาบสูญ คืนสภาพดังเก่า พวกมันส่ายตัวถ้วยเบา ๆ คลื่นแสงสีขาวพิเศษซัดสาดออกไป จ้าวหลานกอดหัวร้องลั่นอย่างเจ็บปวด ดวงวิญญาณถูกโจมตีอย่างรุนแรง!


กระบองเขี่ยไฟลุกโชนอีกครั้ง แผดเผามาถึงจ้าวหลานในชั่วพริบตา ทันใดนั้น ตัวจ้าวหลานลุกเป็นไฟ ควันดำโขมง จ้าวหลานถูกไฟลวกจนต้องคำรามออกมาอย่างเจ็บปวดเหลือแสน


เปลวเพลิงสลาย ขนพิศวงบนตัวจ้าวหลานหลุดไปจนหมดแล้ว เนื้อตัวไหม้เกรียม อนาถจนไม่อาจทนมองได้ไหว


“เมื่อครู่กระบองบอกว่าเจ้าตาบอด มองไม่เห็นผิดชอบชั่วดี ข้าว่ามิใช่ ข้ารู้สึกว่าสมองเจ้าไม่ดีเท่าใด ข้ามาช่วยเรียกสติ”


ถังขยะบุกเข้ามา คว่ำลงบนหัวจ้าวหลาน มันไม่สงวนกลิ่นอายอีกต่อไป แผลงฤทธิ์เต็มที่ ชั่วพริบตานั้น จ้าวหลานสัมผัสถึงรสชาติที่ทรมานยิ่งกว่าตาย มันเกือบเสียสติเพราะกลิ่นเหม็นของถังขยะ!


เหล่าของวิเศษลงมืออย่างพร้อมเพรียง พลังที่ระเบิดออกมานั้นเหนือกว่าเก่ามากนัก บัดนี้ ไม่ว่าของวิเศษชิ้นไหนต่างสามารถเอาชนะจ้าวหลานได้ง่ายดาย มิเหมือนอย่างเก่า


“พอได้แล้ว!”


จ้าวแห่งความพิศวงทนดูไม่ไหว มันแค่นเสียงเย็น คลื่นพลังน่ากลัวถาโถม เหล่าของวิเศษกระเด็นกระดอน จ้าวหลานถูกช่วยไว้ได้


มันตกตะลึงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเหล่าของวิเศษจะวิวัฒนาการ เปล่งพลังยิ่งใหญ่ได้เพียงนี้


แต่เพียงไม่นานมันก็สงบความตะลึงนั้นได้


ต่อให้เหล่าของวิเศษสำแดงฤทธิ์เดชได้มหัศจรรย์เพียงใด ก็หาได้มีค่าในสายตาของมัน


“ข้ามอบพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ให้มันได้ อย่างเช่นแบบนี้…”


จ้าวแห่งความพิศวงปริปากเบา ๆ จิ้มนิ้วหนึ่งไปทางจ้าวหลาน ชั่วพริบตานั้น บาดแผลบนตัวจ้าวหลานหายไปทั้งหมด พลังปราณในตัวพุ่งพรวดไม่หยุด ไม่นานนักก็อยู่ในระดับสยดสยองอย่างยิ่งยวด!


ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น จ้าวแห่งความพิศวงก็มิได้หยุดยั้ง เพิ่มพูนพลังของจ้าวหลานไปเรื่อย ๆ มันไม่ต้องการให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดอันใดอีก


พลังปราณของจ้าวหลานยกระดับอย่างบ้าคลั่ง พลังในกายยิ่งคูณทวี ระดับขอบเขตของจ้าวแห่งความพิศวงสูงเกินไป มันช่วยให้จ้าวหลานมีพลังไร้เทียมทานได้อย่างง่ายดาย


“ประมาณนี้คงพอแล้ว”


จ้าวแห่งความพิศวงหยุดมือ มิได้เพิ่มพลังของจ้าวหลานต่อ พลังที่จ้าวหลานมีในตอนนี้พอแน่นอน มันรู้สึกว่า ต่อให้ส่งจ้าวหลานเข้าไปในแดนบรรพโกลาหลก็คงมิมีผู้ใดทัดเทียม กวาดล้างได้ทั้งแดนบรรพโกลาหล


“พวกเจ้าเล่า ผู้ใดจะมอบพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ให้พวกเจ้ากัน”


จ้าวแห่งความพิศวงทอดมองเหล่าของวิเศษ เอ่ยเสียงราบเรียบ “มองเห็นนภาเท่าเพียงปากบ่อ พวกเจ้าต้อยต่ำเกินไป พลังและสิ่งที่เหนือกว่าจินตนาการของพวกเจ้ามีอยู่ถมเถ”


เหล่าของวิเศษหนักอึ้งในใจ จ้าวแห่งความพิศวงผู้นี้จัดการได้ยากจริง!


เสียงดังฟึ่บ ก้านหลิวก้านหนึ่งทะลุมิติมาอยู่ที่นี่


“ถูกต้อง มิมีผู้ใดมอบพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ให้พวกมันได้ เพราะพวกมันไม่ต้องการ พลังในตัวพวกมันกล้าแกร่งพออยู่แล้ว!”


ต้นหลิวมาถึง


“มองเห็นนภาเท่าเพียงปากบ่อ พวกเจ้าต้อยต่ำเกินไป พลังและสิ่งที่เหนือกว่าจินตนาการของพวกเจ้ามีอยู่ถมเถ ประโยคนี้เจ้าเอ่ยให้ตัวเองฟังหรือ”


ต้นหลิวเอ่ยเสียงเรียบ


“เจ้ายังไม่มีสิทธิ์เอ่ยวาจาเช่นนี้กับพวกมัน!”


ต้นหลิวกล่าวต่อ แข็งกร้าวไร้ผู้ใดทัดเทียม!


ต้นหลิวมาแล้ว!


หัวใจที่เต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ของเหล่าของวิเศษเบาลงอย่างสิ้นเชิง พวกมันเชื่อใจในตัวต้นหลิวมาก ต่างประจักษ์กันก่อนหน้านี้แล้วว่าต้นหลิวน่ากลัวปานใด


“พี่หลิวไร้เทียมทาน!”


มัจฉาสัตมายาตะโกนลั่น สีหน้าเต็มตื้น ในใจของเขา ต้นหลิวเป็นรองเพียงคุณชาย กวาดล้างศัตรูได้ทุกหมู่เหล่า!


“ตัวบ้าบออะไรอีกล่ะ!”


จ้าวแห่งความพิศวงแค่นเสียงเย็น คิ้วขมวดน้อย ๆ ตวาดออกมา “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงกล้าวางมาดใหญ่โตต่อหน้าข้าถึงเพียงนี้ มาแค่…ก้านหลิวก้านเดียวเท่านั้น”


พลังชั่วร้ายน่าครั่นคร้ามหลั่งไหลออกจากตัวมัน อวกาศนอกอาณาจักรระเบิดรุนแรง ดวงดาวทั้งหมดแตกออก ไม่เหลืออยู่สักดวง


“ตัวบ้าบออะไรอีกฮึ? ตาไม่ดีเอาเสียเลย ยังไม่รีบถอนรากถอนโคนมันมาอีก เจ้ามัวรออะไรอยู่?!”


จ้าวแห่งความพิศวงถีบเข้าที่ตัวจ้าวหลาน จนจ้าวหลานล้มหัวคะมำ ดินเต็มปาก


มันยั้งพลังอยู่ มิฉะนั้นที่ถีบไปพอจะเอาชีวิตจ้าวหลานแล้ว


จ้าวหลานอัดอั้นตันใจเป็นหนักหนา!


มันน่ะหรือตาไม่ดี?


มันกล้าตาดีที่ไหน?


มันแค่หัวเราะก่อนหน้านี้ยังมิได้ ไฉนเลยจะกล้าทึกทักอันใดเอาเองอีก!


หากมิใช่เช่นนี้ ด้วยนิสัยของมัน หลังจากได้ยินวาจาเหิมเกริมของต้นหลิว มีหรือจะอยู่เฉยได้ไหว?


ไม่มีทางอยู่แล้ว!


คงต่อว่าหรือลงมือกำราบต้นหลิวไปนานแล้ว!


ทว่ามันกล้าแค่คิดในใจเท่านั้น มิกล้าเอ่ยออกมาเลยสักนิด


มันคลานขึ้นจากพื้นทันที ก่อนจะบุกไปหาต้นหลิว


ระหว่างนี้ มันมิกล้าเปล่งแม้แต่ถ้อยคำเดียว กลัวจะพูดอันใดผิดแล้วแสลงหูจ้าวแห่งความพิศวงท่านนี้อีก


“เจ้าเพิ่มพลังให้มันได้ตลอดมิใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าทำต่อสิ พลังแค่นี้ของมันไม่คณนามือข้าหรอก…” ต้นหลิวเอ่ยเสียงเบา


จากนั้นก้านหลิวไหวเบา ๆ หนึ่งที ก็มีลำแสงเจิดจ้าพุ่งไปหาจ้าวหลาน


จ้าวหลานผวาทันที ดวงวิญญาณสั่นสะท้านไม่หยุด มันสัมผัสได้ว่าภายในลำแสงนี้มีพลังสยดสยองน่ากลัวเพียงใดแฝงเอาไว้ เกินกว่าที่มันจะรับมือไหว!


ต่อให้พลังที่มันมีในครอบครองตอนนี้จะแข็งแกร่งมหันต์ก็มิไหว!


อย่างที่คิด มันเปล่งพลังเต็มกำลังก็ต้านมิได้ ห่างชั้นกันเกินไป!


เสียงดังตู้ม มันถูกลำแสงนั้นยิงใส่ กระเด็นออกไปทันใด ล้มแทบเท้าจ้าวแห่งความพิศวง ปากกระอักเลือดออกมาไม่หยุด ร่างหายไปกว่าครึ่งค่อนตัว


จ้าวแห่งความพิศวงสายตาเย็นเยียบทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้นหลิวกำลังท้าทายมันอยู่!


มันไฉนเลยจะทนไหว?!


เป็นไปได้เช่นไร!


“ลุกขึ้นสู้ต่อ!”


มันตวาดเสียงเย็น กระทืบเท้ากับพื้น จ้าวหลานที่นอนแนบเท้ามันกระเด้งตัวขึ้นมาในบัดดล


จากนั้นฝ่ามือข้างหนึ่งของมันก็ซัดลงมา กดลงบนหัวจ้าวหลาน ถ่ายเทพลังสู่ตัวจ้าวหลาน


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


ลำแสงพิศวงพวยพุ่งออกจากตัวจ้าวหลานเรื่อย ๆ ร่างทั้งร่างขยายจนมหึมา เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้จ้าวแห่งความพิศวงมิได้ ‘อ่อนโยน’ อย่างครั้งก่อน ถ่ายพลังออกไปอย่างบ้าคลั่งจนเพิ่มขึ้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า!


อย่าให้เอ่ยเลยว่าจ้าวหลานทรมานขนาดไหน พลังดุดันมากมายหลั่งไหลสู่ร่างของมันอย่างบ้าคลั่ง มันรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้ระเบิดเต็มที ความเจ็บปวดแผ่ซ่านสู่ทุกอณูในตัว มันได้ลิ้มรสความทุกข์ที่หนักหนายิ่งกว่าตายอีกครั้ง


“พอได้แล้ว พอได้แล้ว!”


มันร่ำไห้ น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไร้เสียง ร่ำร้องในใจไม่หยุด


จ้าวแห่งความพิศวงไม่สนใจความรู้สึกของมันเลยสักนิด มันใกล้จะระเบิดแล้วจริง ๆ ทว่าจ้าวแห่งความพิศวงก็ยังไม่มีทีท่าหยุดยั้ง


มันไม่เคยคิดเลยว่า ยามตัวเองได้รับพลังสยดสยองน่ากลัวปานนี้จะไม่รู้สึกสุขใจเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังตรอมตรมอย่างแสนสาหัสอีกด้วย!


ท้ายที่สุด จ้าวแห่งความพิศวงก็รามือ


“พอแล้ว”


มันเอ่ยเสียงราบเรียบ “ไปเถิด ถอนรากถอนโคนมันออกมาผ่าทำฟืน!”


พลังที่มันถ่ายเทให้แก่จ้าวหลานในครานี้แข็งแกร่งพอแน่นอน ต่อให้พาตัวจ้าวหลานไปยังอาณาจักรโกลาหลระดับกลาง จ้าวหลานก็สร้างชื่อเสียงได้แน่นอน กวาดล้างศัตรูได้มากมาย


“ได้!”


จ้าวหลานตอบรับทันที รีบบุกเข้าไปหาต้นหลิว


พลังในกายตอนนี้มหาศาลเกินไป มันจึงต้องรีบ ‘ระบาย’ ออกมา!


“พอแล้วรึ?”


ต้นหลิวหัวเราะเบา ๆ “นี่หรือคือสายตาการมองเห็นของเจ้า พลังแค่นี้หาได้พอไม่…”


ก้านหลิวของมันสะบัดอีกครั้ง ลำแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา ทิ่มแทงไปหาจ้าวหลาน!


เสียงดังปัง จ้าวหลานกระเด็นไปอยู่แทบเท้าจ้าวแห่งความพิศวงอีกครั้ง


หนนี้มันบาดเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม ทันทีที่ไปอยู่แทบเท้าจ้าวแห่งความพิศวง ร่างของมันก็ระเบิดแหลก กลายเป็นหมอกเลือด


เมื่อได้เห็นภาพนี้ นัยน์ตาจ้าวแห่งความพิศวงพลันหรี่ลง ประกายประหลาดวูบวาบอยู่ในนั้น


นี่มันเรื่องอันใดกัน? จักรวาลโกลาหลชั้นต่ำเยี่ยงนี้มีกำลังรบระดับต้นหลิวอยู่ด้วยรึ?


มันคิดไม่ถึงจริง ๆ!


ตามหลักแล้วไม่ควรเป็นเช่นนั้น ความโกลาหลเป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง ไม่ว่าญาณใดล้วนอยู่ใต้ขีดจำกัดของความโกลาหล ภายในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ พลังความโกลาหลแข็งแกร่งเพียงใด ระดับของสิ่งมีชีวิตในนั้นก็สูงได้เท่านั้น


พลังโกลาหลเป็นเหมือนเพดาน


แต่เห็นได้ชัดว่าต้นหลิวตรงหน้าทลายเพดานของจักรวาลโกลาหลผืนนี้ไปแล้ว พลังที่มีนั้นเกินกว่าพลังโกลาหลในจักรวาลโกลาหลผืนนี้!


ทำได้อย่างไรกัน?


มันเชื่อไม่ลง!


เพดานนั้นทลายได้ง่ายที่ไหนกัน?


ต่อให้เป็นความพิศวงลางร้ายอย่างพวกมัน ก็ต้องได้รับพลังเทวโลกมาช่วยจุนเจือก่อน จึงจะทลายเพดานในจักรวาลโกลาหล แล้วกระโดดข้ามขีดจำกัดออกมาได้


เท่าที่พวกมันรู้มา ภายในจักรวาลโกลาหลมากมายเหล่านี้ มีสิ่งมีชีวิตไม่กี่ตนที่สามารถทลายเพดานของจักรวาลโกลาหลที่ตนอยู่ จนสามารถกระโดดข้ามขีดจำกัดออกมาได้


เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากมาก จนแทบเป็นไปไม่ได้เลย ถึงอย่างไรพลังที่ใช้บำเพ็ญตน ทั้งวิถีและวิชาอาคมล้วนมาจากจักรวาลโกลาหล ไฉนเลยจะทลายได้?


ต้นหลิวกลับทลายได้ จะมิให้มันตะลึงได้อย่างไร?


“มิน่าถึงหยิ่งผยองปานนี้! กระนั้นก็ไม่มีประโยชน์! เพดานของจักรวาลโกลาหลชั้นต่ำเช่นนี้ ทลายได้แล้วอย่างไร เดิมทีก็มิได้สูงอยู่แล้ว!”


จ้าวแห่งความพิศวงแค่นเสียงเย็น ชี้นิ้วไปยังจ้าวหลานผู้กลายเป็นหมอกเลือด เสี้ยวอึดใจนั้น หมอกเลือดที่สลายออกหลอมรวมเข้าด้วยกันอีกครั้ง กายเนื้อของจ้าวหลานหลอมรวมเข้ามา


ทันทีที่กายเนื้อของจ้าวหลานหลอมรวมขึ้นมา ก็มีแรงดูดมหาศาลดึงมันขึ้น มือใหญ่ของจ้าวแห่งความพิศวงกดลงบนหัวของจ้าวหลานอีกครั้ง ถ่ายพลังเข้าไปในตัวจ้าวหลานต่อ


ไม่เอาน่า!


พวกท่านสองคนสู้กันเองเลยมิได้หรือ?


ไยต้องให้ข้าเป็นตัวกลางด้วย!


ชั่วพริบตานั้น น้ำตาของจ้าวหลานหลั่งรินลงมาดุจสายฝน เจ็บปวดชอกช้ำ เหตุใดมันถึงอนาถาเช่นนี้ เสมือนลูกบอลให้จ้าวแห่งความพิศวงกับต้นหลิวเตะไปเตะมา!


ศึกต่อสู้ระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ ใช่เรื่องให้ตัวละครต่ำต้อยเช่นมันคอยเป็นตัวกลางที่ไหน ดวลกันไป ดวลกันมา มันต้องลำบากแทบแย่ มิสู้ฆ่ามันเสียเลยยังจะดีกว่า!


แต่ทั้งหมดนี้มิอาจเป็นไปตามที่ใจมันนึก ร่างของมันบวมเป่งขยายตัวประหนึ่งลูกบอลยักษ์กลมกลึง ความรู้สึกเจ็บปวดเหลือล้น คล้ายจะระเบิดอยู่รอมร่อกลับมาอีกครั้ง มันร้องไห้จนน้ำมูกไหล


หนนี้ จ้าวแห่งความพิศวงลงมือรุนแรงยิ่งขึ้น พลังที่ถ่ายเทลงไปนั้นกล้าแกร่งยิ่งขึ้น นี่คือพลังที่ฝืนถ่ายเข้าไป อย่าให้เอ่ยเลยว่ามันทรมานปานใด ทุกข์ทนยิ่งกว่าตายอย่างแท้จริง


“ไม่ต้องรีบ ค่อยเป็นค่อยไป ข้าให้เวลาเจ้าจนพอ คราวนี้อย่าให้ข้าต้องผิดหวังอีก…”


ต้นหลิวเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง มิได้ลงมือยับยั้งแต่อย่างใด


เหิมเกริมยิ่งนัก!


สีหน้าของจ้าวแห่งความพิศวงขุ่นหมอง เขาเคยถูกหมิ่นเกียรติถึงเพียงนี้ที่ไหน?


มันเร่งความเร็วในการถ่ายเทพลังทันที พลังมากมายถูกมันส่งเข้าไปในตัวจ้าวหลาน


“อ๊ากกกกก!”


จ้าวหลานทนไม่ไหวอีกต่อไป ตะโกนด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกถูกฝืนถ่ายเทพลังเช่นนี้ทรมานเกินไป มันควบคุมตัวเองไม่ไหวแล้ว!


“หือ? จะหยุดแล้วหรือ อย่าหยุดจะดีกว่า พลังเท่านี้ยังไม่พอ…”


ต้นหลิวเอ่ยเสียงเรื่อยเปื่อย


พี่ชาย!


พี่ชายบังเกิดเกล้า!


พี่ชายบังเกิดเกล้าที่เคารพ!


เลิกพูดเสียทีได้หรือไม่?!


หลังจากจ้าวหลานได้ยินคำกล่าวของต้นหลิว ก็ร้องไห้หนักยิ่งขึ้น


จะทำร้ายกันก็ไม่น่าถึงขั้นทำเหมือนมันมิใช่มนุษย์นี่!


เอ่อ… แม้ว่ามันจะมิใช่มนุษย์จริง ๆ กระนั้นก็ไม่ควรทำร้ายมันถึงเพียงนี้!


“ได้ สมดังที่เจ้าหวัง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”


เดิมจ้าวแห่งความพิศวงคิดรามือแล้ว แต่เมื่อได้ยินวาจาเหล่านั้นของต้นหลิว มันกลับเร่งความเร็วในการถ่ายพลังอีกครั้ง


“อ๊ากกกก!”


จ้าวหลานโหยหวน ชักกระตุกไปทั้งร่าง สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนราง ไม่รู้สึกตัวอีกต่อไป


ในที่สุด จ้าวแห่งความพิศวงก็ยอมรามือ พลังที่มันถ่ายไปคราวนี้มากพอและแข็งแกร่งพอจะทำลายล้างจักรวาลโกลาหลผืนหนึ่ง มันไม่เชื่อว่าจะกำราบต้นหลิวมิได้


“เจ้าตัวไร้ประโยชน์!”


มันปรายตามองจ้าวหลาน พบว่าตัวจ้าวหลานยังชักอยู่ ไม่เหลือสติ


“มอบพลังให้เจ้า เจ้ายังรับไม่ไหว เศษสวะจริง ๆ!”


มันแค่นเสียงเย็น ชี้นิ้วออกไป ทันใดนั้น มีลำแสงแทรกซึมเข้าไปยังส่วนวิญญาณของจ้าวหลาน ช่วยประคองวิญญาณจ้าวหลาน คืนสติให้มัน


ไม่นานนัก สติจ้าวหลานก็กลับมา


“ฉีกมันเป็นชิ้น ๆ!”


มันออกคำสั่งใส่จ้าวหลานเสียงเย็น


จ้าวหลานคำรามเสียงต่ำ ประหนึ่งอสุรกายคลุ้มคลั่ง ต้องการเร่งปลดปล่อยพลังในตัวที่ ‘เกินเกณฑ์’ ไปอย่างมาก


มันกระโจนตัวขึ้น เหาะไปทางต้นหลิว


“นี่หรือคือขอบเขตโลกทัศน์ของเจ้า ก็จริง ปลาซิวปลาสร้อยอย่างเจ้า ไหนเลยจะมีโลกทัศน์กว้างไกลได้…”


ต้นหลิวปริปาก ลำแสงเจิดจ้าพวยพุ่งออกไปอีกครั้ง จ้าวหลานถูกหวดกลับมาประดุจพ่อที่ตีลูก ร่างกายระเบิดเป็นหมอกเลือด ห่างชั้นกันมากจริง ๆ


ดุดันปานนี้เชียวหรือ?!


นัยน์ตาของจ้าวแห่งความพิศวงหรี่ตาอย่างแรง สะท้านใจอย่างยิ่งยวด มันคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าต้นหลิวจะมาถึงขั้นนี้ ทรงพลังแกร่งกล้าได้ถึงเพียงนี้!


แบบนี้ใช่การทลายเพดานของจักรวาลโกลาหลชั้นต่ำที่ไหน แบบนี้เหมือนทลายเพดานจักรวาลโกลาหลระดับสูงออกมาชัด ๆ!


มันมีสีหน้าเคร่งเครียด เผชิญกับศัตรูตัวฉกาจเข้าแล้วจริง ๆ หนนี้ มันมิได้ถ่ายพลังให้แก่จ้าวหลานอีก เพียงบุกเข้าไปหาต้นหลิวด้วยตนเอง


เสียงดัง ‘ฟึ่บ!’ มันเรียกดาบใหญ่สีดำออกมา ก่อนจะควงดาบใหญ่สีดำนั้นฟาดฟันใส่ต้นหลิว


“ข้าบอกแล้วว่า ในตัวพวกมันมีพลังเบ็ดเสร็จอย่างที่เจ้าจินตนาการไม่ออก บัดนี้ ข้าจะให้เจ้าได้เห็น ให้เจ้าเป็นตัวช่วยกระตุ้นพลังของพวกมันออกมา”


ต้นหลิวคำรามออกมา พลังประหลาดบางอย่างซัดสาดออกมา พันธนาการจ้าวแห่งความพิศวงไว้กลางอากาศ


“อะ…อะไรกัน!”


จ้าวแห่งความพิศวงอุทานเสียงหลง กลัวจนสติแทบกระเจิง


ต้องมีพลังฝีมือระดับใดกัน ถึงสะกดมันได้ด้วยวาจาเดียว?!


มันขนลุกเกลียว เหงื่อเย็นไหลโซมกาย พลังที่พันธนาการมันอยู่นี้เหนือชั้นกว่ามันมาก มันมิอาจสลัดหลุดไปได้เลย ไม่ถือว่าอยู่บนบรรทัดฐานเดียวกัน!


“ปล่อยเฮือกสุดท้ายของเจ้าออกมาเสีย กระตุ้นพลังของพวกมันออกมา”


ต้นหลิวเอ่ยเสียงเบา


หมายความว่าอย่างไร?


จ้าวแห่งความพิศวงทำหน้าฉงน ไม่เข้าใจความหมายในวาจาของต้นหลิว


ทว่ามันก็ได้เข้าใจในเวลาต่อมา


ก้านหลิวเปล่งแสงมาอยู่ข้างกายของมันในชั่วพริบตา พร้อมหวดก้านกระแทกมัน


มันรู้สึกได้ทันทีว่า มีกฎระเบียบบางอย่างแทรกซึมเข้าสู่ร่างของมัน จนพลังส่วนใหญ่ในตัวถูกสะกดไว้


จากนั้นก้านหลิวก็เหินออกห่าง พลังที่พันธนาการมันไว้หายลับไป มันกลับมาเคลื่อนไหวตัวได้อีกครั้ง ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมอีก


“ไปเถิด ฆ่าพวกมันให้เกลี้ยง แล้วเจ้าจะได้ไปจากที่แห่งนี้แบบเป็น ๆ”


ต้นหลิวเอ่ยเสียงเบา “วางใจได้ ข้าไม่ลงมือช่วยเหลือแต่อย่างใด และจะรักษาคำพูดให้”


จ้าวแห่งความพิศวงมิได้โง่ หลังจากได้ยินคำกล่าวของต้นหลิว ก็ถึงคราวกระจ่างแจ้งในบัดดล


ต้นหลิวคิดจะใช้เขาขัดเกลาเหล่าของวิเศษ!


ในใจพลันรู้สึกอัปยศอย่างถึงที่สุด มันเป็นตัวตนระดับไหน เป็นถึงจ้าวแห่งความพิศวงที่ก้าวกระโดดออกจากจักรวาลโกลาหลมาได้ กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือขัดเกลา…เครื่องใช้ชีวิตประจำวัน!


มันรู้สึกแย่มากจริง ๆ อีกทั้งยังรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก


ทว่ามันไม่มีสิทธิ์เลือกอันใด ได้แต่ทำตามที่สั่ง


ต้นหลิวสะกดจ้าวแห่งความพิศวงไว้กลางอากาศได้ในวาจาเดียว หวดคราเดียวก็ผนึกพลังในตัวมันไว้ได้ นี่มิใช่ผู้ที่มันสามารถต่อกรไหว ห่างชั้นกันเกินไป!


อีกฝ่ายมีความเป็นมาอย่างไรกัน?!


มันคิดในใจอย่างอดมิได้ รู้สึกอยู่เสมอว่าต้นหลิวดูมิใช่สิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้


พลังโกลาหลในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ต่ำต้อยเกินไป สิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดจากพลังโกลาหลต่ำต้อยเช่นนี้ ย่อมมีศักยภาพจำกัด


ต้นหลิวกลับแข็งแกร่งน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ เทียบกับสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลโกลาหลระดับสูงกว่าแล้วก็ยังแกร่งกล้าน่ากลัวยิ่งกว่า มันสงสัยจริง ๆ ว่าต้นหลิวเป็นสิ่งมีชีวิตภายนอก มิใช่สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้


เดี๋ยวก่อน…!


สิ่งมีชีวิตภายนอกมิใช่สิ่งมีชีวิตดั้งเดิมในอาณาจักรแห่งนี้รึ!?


มันนึกถึงผู้ที่บดขยี้ต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนจนแหลกลาญขึ้นมาในบัดดล!


เป้าหมายที่มันต้องการสืบเสาะ!


พวกมันคิดว่า ท่านผู้นั้นก็มิใช่สิ่งมีชีวิตดั้งเดิมในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้เช่นกัน น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตจากภายนอก!


ต้นหลิวก็เป็นสิ่งมีชีวิตจากภายนอก…


อีกทั้งต้นหลิวยังแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ!


มันรู้สึกว่าต้นหลิวน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับท่านผู้นั้น!


‘มิน่า ข้าถึงมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่น ที่แท้ต้นหลิวมันก็รอข้าอยู่แล้ว!’


จ้าวแห่งความพิศวงตรึกตรองดู ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าต้นหลิวมีความเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น ที่คนผู้นั้นมิได้ลงมือจัดการมัน คงเพียงเพราะต้นหลิวรออยู่ที่นี่


‘อ๊ากกก เดิมคิดว่าท่านผู้นั้นมิได้สนใจจักรวาลโกลาหลผืนนี้มาก บัดนี้ดูแล้วมิใช่เลย! ท่านผู้นั้นดูเหมือนจะใส่ใจจักรวาลโกลาหลผืนนี้เป็นพิเศษ!’


มันร่ำร้องคำรามในใจ ทีแรกคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดี ที่ไหนได้ หาใช่เช่นนั้นไม่ นี่คือเส้นทางที่ลิขิตไว้แล้วว่านำไปสู่ความตาย!


“พี่หลิว ท่านหมายความว่า?”


“พวกเราต้องสู้กับมันต่อหรือ”


เหล่าของวิเศษหันมองต้นหลิว ถามอย่างไม่เข้าใจ


“อืม”


ต้นหลิวกล่าว “พลังของพวกเจ้านั้นไร้ขอบเขต เพียงแต่ยังไม่ถูกกระตุ้นออกมาเท่านั้น ก่อนนี้พวกเจ้าอาศัยอยู่แต่ในลาน ไม่รู้ว่าพลังในตัวนั้นแข็งแกร่งปานใด วันนี้ข้าจะกระตุ้นพลังพวกเจ้าออกมาให้หมด!”


มันเหลือบมองจ้าวแห่งความพิศวง ก่อนจะกล่าวต่อ “แน่นอนว่า กระตุ้นพลังทั้งหมดของพวกเจ้าออกมามิได้หรอก มันกระจอกเกินไป”


การต่อสู้ชี้ชะตาความเป็นความตายเท่านั้นที่กระตุ้นพลังแฝงออกมาได้ง่าย เหล่าของวิเศษก่อนหน้านี้คือตัวอย่างที่ดีที่สุด


และที่มันไม่ยอมปรากฏตัวออกมาเสียทีก็เพราะเหตุผลนี้


มันต้องการกระตุ้นพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ของเหล่าของวิเศษออกมา


เรื่องบ้าอะไรกัน!?


พอจ้าวแห่งความพิศวงได้ยินถ้อยคำของต้นหลิว ก็โมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยว ต้นหลิวจะบอกว่าตัวมัน…เทียบชั้นเครื่องใช้ประจำวันจำพวกนี้มิได้หรือ?


บัดซบ!


หยามเกียรติมันมากเกินไปแล้ว!


“เริ่มเลย จำไว้ว่าข้าจะไม่ลงมือช่วยพวกเจ้า”


ต้นหลิวบอกกับเหล่าของวิเศษ


“เข้าใจแล้ว!”


“ได้เลยพี่หลิว!”


เหล่าของวิเศษรู้ดีว่าต้นหลิวไม่มีทางทำร้ายพวกมัน และพวกมันล้วนต้องการแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ การต่อสู้ก่อนหน้านี้ระคายใจเกินไป พวกมันสู้ไม่ชนะจ้าวหลานผู้นั้นด้วยซ้ำ แล้วยังเกือบมีอันเป็นไปอีก พวกมันทำให้คุณชายขายหน้าเกินไปแล้ว


พวกมันเป็นผลงานของคุณชาย เปรียบเสมือนศักดิ์ศรีของคุณชายในระดับหนึ่ง พวกมันควรจะแข็งแกร่งกว่านี้จริง ๆ มิฉะนั้น ภายหน้าคงทำให้คุณชายขายหน้ากว่านี้แน่


หลังจากนั้นพวกมันก็กรูกันเข้าไป จู่โจมใส่จ้าวแห่งความพิศวง


“ฆ่า!”


จ้าวแห่งความพิศวงกลั้นน้ำโหอยู่เต็มอก เมื่อเห็นเหล่าของวิเศษบุกมาหามัน มันก็เข้าห้ำหั่นเต็มกำลัง


อนิจจา…พลังของมันที่ถูกสะกดนั้นมหาศาลเกินไป มิฉะนั้น มันกระดิกนิ้วไม่กี่ทีก็กำราบเหล่าของวิเศษได้แล้ว!


และนี่ก็เป็นความตั้งใจของต้นหลิว


หากพลังของจ้าวแห่งความพิศวงรุนแรงเกินไป เหล่าของวิเศษคงไม่ทันได้สู้ เพราะอย่างนั้น ต้นหลิวจึงจงใจสะกดพลังของจ้าวแห่งความพิศวงจนถึงระดับที่เหล่าของวิเศษรับมือไหว เช่นนี้เหล่าของวิเศษจึงจะสู้ได้ และกระตุ้นพลังแฝงออกมา


การต่อสู้เปิดฉาก จ้าวแห่งความพิศวงดุดันอย่างแท้จริง เหล่าของวิเศษถูกข่มจนสะบักสะบอม


“เท่านี้เองหรือ?!”


จ้าวแห่งความพิศวงยิ้มเย็น สำแดงวิชาพิฆาต บัดนี้มันไม่คิดมากอีกต่อไป ฆ่าได้สักตัวก็คุ้มสำหรับมันแล้ว!


มันเผยวิชาลับบางอย่าง พลังพิศวงซัดสาด ม่านหมอกประหลาดบางอย่างกระจายออกไป ปกคลุมเหล่าของวิเศษไว้ทั้งหมด


ชั่วพริบตานั้น เหล่าของวิเศษยิ่งเสียเปรียบมากขึ้น ไม่ว่าถังขยะจะส่งกลิ่นเหม็นเน่าเท่าไหร่ก็มิไหว ล้วนถูกม่านหมอกประหลาดนี้ระงับเอาไว้!


พลังแต่ละด้านของพวกมันก็ถูกกำราบ ท่ามกลางม่านหมอกพิเศษเช่นนี้ พวกมันเสมือนว่าตาบอด มองไม่เห็นสิ่งใด ประสาทสัมผัสวิญญาณถูกปิดกั้นทั้งหมด!


จ้าวแห่งความพิศวงกระโจนเข้าไปในม่านหมอกพิเศษนั้น หลอมดาบยาวสีดำเล่มหนึ่งขึ้นด้วยพลังพิศวง ภายในม่านหมอกพิเศษนี้ มันคือผู้ชี้ชะตา ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลกระทบอันใด กลับมีพลังเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย!


มันเป็นเหมือนวิญญาณที่จับตัวมิได้ ในสถานการณ์ที่ประสาทสัมผัสญาณของเหล่าของวิเศษถูกปิดกั้นทั้งหมด จะไม่อาจจับร่องรอยมันได้


มันลงมืออย่างโหดเหี้ยม ตวัดดาบคราเดียวฟันผ้าเช็ดโต๊ะผืนหนึ่งออกเป็นริ้ว ๆ แล้วเตะออกไปจนแผ่นหินเขียวปูพื้นแหลกลาญ เศษหินปลิวว่อน


“พี่หลิว จะไม่เป็นไรแน่หรือ!?”


มัจฉาสัตมายามาอยู่ข้างกายต้นหลิวถามอย่างกังวล


“ไม่เป็นไร”


ต้นหลิวตอบเสียงเบา “เหล่าของวิเศษเป็นผลงานคุณชาย ไหนเลยจะเกิดเรื่องได้ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นข้า หากคิดกำจัดเหล่าของวิเศษให้สิ้นซากจริง ๆ ก็ไม่มีทางทำได้”


วาจาของมันผ่านกรรมวิธีบางอย่าง จึงมีเพียงมัจฉาสัตมายาเท่านั้นที่ได้ยิน


หากเหล่าของวิเศษได้ยินด้วย มันเกรงว่าการขัดเกลาจะไม่ได้ผล


ผลงานคุณชาย ผู้ใดจะกำจัดได้?


ขนาดมันก็ยังทำไม่ได้


“ก็จริง!”


หลังจากได้ยินคำกล่าวของต้นหลิว มัจฉาสัตมายาก็สบายใจได้เสียที มันไม่กังวลอีกต่อไป


คิดแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง นี่คือสิ่งที่คุณชายใช้เป็นประจำ ไยจะถูกกำจัดได้ง่าย ๆ


เป็นไปไม่ได้!


‘แปลกจริง เหตุใดถึงไม่เห็นชางเหยา’


หลังจากหายกังวลในเรื่องเหล่าของวิเศษ มัจฉาสัตมายาก็นึกถึงชางเหยาขึ้นมา


ตามหลักแล้วไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ


เขามาปรากฏตัวตั้งนานแล้ว ด้วยนิสัยของชางเหยา คงมาหาแล้วถึงจะถูก


ทว่าจวบจนบัดนี้ เขาก็ยังไม่เห็นเงาของชางเหยา


‘ยอมแพ้แล้วหรือ’


เขาคิดในใจ ‘ยอมแพ้แล้วก็ดี! ข้าจะได้อยู่อย่างสงบเสียที’


ชางเหยาเจอเขาทีไรเป็นต้องตัวติดกับเขาอยู่ตลอด น่าปวดหัวเป็นที่สุด เขาคิดอยู่ตลอดว่าถ้าชางเหยาเลิกทำตัวติดเขาแจเสียทีก็คงดี


ทว่าบัดนี้ ชางเหยาเลิกติดเขาแล้วจริง ๆ เขากลับรู้สึกโหวงเหวงและไม่สบายใจอย่างมาก


‘คงมิใช่ว่าข้ามีใจให้นางกระมัง!’


หัวใจของมัจฉาสัตมายากระตุกวูบ นึกในใจว่าคงมิใช่ว่าเขาชอบชางเหยาเข้าแล้วกระมัง?


‘เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้! ข้าไฉนเลยจะชอบนาง ข้าอยากให้นางอยู่ห่างจากเขาแทบแย่!’


เขารีบสลัดความคิดนั้นทิ้ง อนิจจา แม้เขาจะพูดเช่นนั้น ในใจก็ยังผิดหวังมากอยู่ดี ผิดหวังเพราะไม่ได้พบชางเหยา


‘ข้าฝักใฝ่ในวิถีแห่งเต๋า จะไขว้เขวเพราะความรักฉันหนุ่มสาวเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่ได้ ๆ! รีบหยุดความคิดฟุ้งซ่านของเจ้าเสียที!’


ยิ่งเขาอยากสลัดความคิดนั้นทิ้ง กลับยิ่งคิดถึงชางเหยา อยากให้ชางเหยาปรากฏตัวต่อหน้าเขา เรียกเขาว่า ‘ท่านพี่ชวน’


หัวใจของเขาว้าวุ่นเหลือแสน


อีกด้าน การต่อสู้ของเหล่าของวิเศษเริ่มเปลี่ยนไป


เดิมทีเหล่าของวิเศษมีพลังไร้ขีดจำกัดอยู่แล้ว เพียงแต่เหล่าของวิเศษยังสำแดงได้ไม่เต็มที่เท่านั้น ภายใต้แรงกดดันถึงนาทีชีวิตจากจ้าวแห่งความพิศวง พลังแฝงของเหล่าของวิเศษถูกรีดเร้นออกมา เผยพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!


ผ้าเช็ดโต๊ะที่ถูกตัดเป็นริ้วเปล่งแสงพร้อมกับสมานกลับมาเป็นผืนเดียว พุ่งไปหาจ้าวแห่งความพิศวง นี่หาใช่ผ้าเช็ดโต๊ะแต่อย่างใด เสมือนมีดคมไร้เทียมทานเสียมากกว่า จ้าวแห่งความพิศวงชูดาบใหญ่ตั้งรับ ผ้าเช็ดโต๊ะตัดดาบสะบั้นในบัดดล ซ้ำยังผ่าร่างจ้าวแห่งความพิศวงเป็นสองส่วน!


แผ่นหินเขียวปูพื้นก็หลอมรวมเข้าด้วยกันใหม่ ถล่มใส่จ้าวแห่งความพิศวง ด้วยความรุนแรงราวกับทั้งจักรวาลโกลาหลได้ถาโถมเข้าหาจ้าวแห่งความพิศวงอย่างไรอย่างนั้น จ้าวแห่งความพิศวงถูกกดทับจนแหลกละเอียด สภาพน่าสังเวชจนแทบทนดูมิได้


“ไอ้เวรตะไลนี่ รังแกน้องถ้วยหรือ ข้าจะเล่นงานเจ้าให้ตายเลย!”


จอบเซียนปะทุพลัง กดจ้าวแห่งความพิศวงไว้ที่พื้นแล้วกระหน่ำทุบ จ้าวแห่งความพิศวงกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย


ของวิเศษชิ้นอื่นปะทุพลังออกมาเช่นเดียวกัน จ้าวแห่งความพิศวงอนาถจนถึงที่สุด!


“แน่จริงก็คลายผนึกพลังของข้าสิ!”


จ้าวแห่งความพิศวงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว โมโหจนอกจะระเบิด


มันเป็นตัวตนระดับใดกัน กลับถูกเครื่องใช้ประจำวันของปุถุชนเล่นงานจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ ขายหน้าเกินไปแล้ว!


“ตามที่เจ้าปรารถนา”


ต้นหลิวปริปาก ส่งลำแสงออกไปคลายผนึกพลังบางส่วนของจ้าวแห่งความพิศวง


พลังปราณของจ้าวแห่งความพิศวงทวีคูณในพริบตา ข่มเหล่าของวิเศษลงได้อีกครั้ง คิดกำจัดเหล่าของวิเศษให้ได้เร็วที่สุดอย่างโหดเหี้ยม


อนิจจา เหล่าของวิเศษมิได้ธรรมดาอย่างที่มันคิด


เมื่อเหล่าของวิเศษถูกบีบคั้นจนพบเจอวิกฤตอีกครั้ง เหล่าของวิเศษสามารถรีดเร้นพลังแฝงออกมาได้ ก็ปะทุพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จับจ้าวแห่งความพิศวงห้อยตัวแล้วกระหน่ำทุบ


ด้วยเหตุนี้ หลังจากปลดผนึกครั้งแล้วครั้งเล่า พลังที่เหล่าของวิเศษระเบิดออกมาก็ยกระดับขึ้นไม่หยุด


ท้ายที่สุด จ้าวแห่งความพิศวงก็ไม่เหลือผนึกในตัวอีกต่อไป แต่ไม่ว่าจะปะทุพลังออกมารุนแรงปานใดก็ไม่ไหว ไม่อาจกำราบเหล่าของวิเศษลงได้ ต้องถูกเหล่าของวิเศษสังหาร


ก่อนตาย อย่าให้เอ่ยเลยว่าจ้าวแห่งความพิศวงอดสูเพียงใด


มันคิดไม่ถึงเลยว่า จะตายด้วยน้ำมือพวกเครื่องใช้ประจำวัน!


นี่นับเป็นการตายที่อนาถาที่สุด!


จ้าวหลานก็ถูกเหล่าของวิเศษฆ่าไปด้วย


“ไปเถิด กลับกันได้แล้ว”


ต้นหลิวบอกเบา ๆ “คราวหน้าหากมีโอกาสแบบนี้อีก เราค่อยลุยกันต่อ”


“ได้เลย!”


“ได้สิ!”


เหล่าของวิเศษตอบเสียงตื่นเต้นดีใจ


“ยังไม่มาอีกหรือ”


มัจฉาสัตมายาหันมองไปทางที่ตั้งของจักรวรรดิชางเยว่ หวังว่าชางเหยาจะมาหาเขา


แต่น่าเสียดาย ที่นั่นมิได้มีร่างของผู้ใดเหินเข้ามา


ชางเหยายังไม่ปรากฏตัว!


‘นางจะยอมแพ้ง่าย ๆ ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้! ต้องกำลังเล่นลูกไม้จงใจปล่อยให้โหยหาแน่นอน หวังให้ข้าเป็นฝ่ายไปหานางเองรึ! ข้าไม่ติดกับหรอก!’


มัจฉาสัตมายาคิดในใจ


ชางเหยาไม่มา มัจฉาสัตมายาพะวักพะวน เขารู้สึกว่าตัวเองอาจชอบชางเหยาเข้าแล้วจริง ๆ ความผิดหวังในใจจะรุนแรงเกินไปแล้ว


“คิดถึงนางก็ไปหานางสิ เอาแต่มัวสับสนที่นี่อยู่เพื่ออะไร”


จอบเซียนเดินไปอยู่ข้างกายมัจฉาสัตมายาพร้อมกล่าว “กล้า ๆ หน่อย จะหดหัวอยู่เช่นนี้มิได้!”


พวกมันต่างรู้เรื่องราวระหว่างมัจฉาสัตมายาและชางเหยา คราวก่อนก็เห็นกันหมดแล้ว


“อย่างเช่นข้า”


จอบเซียนกล่าวต่อ “ข้าชอบน้องถ้วย ข้าไม่เคยซ่อนความรู้สึก แสดงความรักอย่างอาจหาญ จีบอย่างกล้าหาญ!”


“ท่านชอบน้องถ้วยคนใดหรือ”


มัจฉาสัตมายาถามเสียงเบา


“ข้าชอบ…”


จอบเซียนทอดมองถ้วยกระเบื้องทั้งแปด พลันไม่แน่ใจขึ้นมา


บ้าเอ๊ย!


ถ้วยกระเบื้องทั้งแปดใบเหมือนกันทุกประการ ญาณศัสตราภายในก็เป็นดวงเดียวกัน เขายังไม่รู้เลยว่าเขาชอบถ้วยไหน


“ข้าชอบทั้งหมด!”


สุดท้าย มันบอกออกไปแบบนี้


ชอบทั้งหมด?


มัจฉาสัตมายาหัวเราะในใจไม่หยุด จอบเซียนแยกไม่ได้เห็น ๆ ต่างหากเล่า!


ยังจะกล้าบอกว่าชอบทั้งหมดอีก!


ปากแข็งเท่านั้นแหละ!


“จะไปหรือไม่”


ต้นหลิวมองมัจฉาสัตมายาพลางถาม “ถ้าเจ้าไป พวกเราจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”


ไปหรือไม่ไป?


มัจฉาสัตมายาสับสน เขาอยากไป แต่ไปแล้วจะให้เอื้อนเอ่ยคำใดเล่า


ความรู้สึกที่เขามีต่อชางเหยาเป็นเช่นไรก็ยังไม่แน่ใจ…


ช่างเถิด


เขาเอ่ย “ไม่ไป”


รอให้เขาแน่ใจเมื่อไหร่ ค่อยไปหาชางเหยาก็ยังไม่สาย


ถึงอย่างไรก็มีพี่หลิวอยู่ เขากลับมาได้ทุกเมื่อ หาได้เสียเวลาไม่


“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถิด”


ต้นหลิวเอ่ยบอก สร้างเส้นทางขึ้นมา และกลับไปพร้อมกับเหล่าของวิเศษ


...


เวลานั้น เจ้าหลวงกลับไปถึงนครพิศวงของจ้าวหลานแล้ว


“เฮ้อ พี่ใหญ่คงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว!”


มันถอนหายใจหนักหน่วง เอ่ยด้วยความเสียใจเหลือแสน “พี่ใหญ่ของข้า เป็นเพราะข้าพาท่านไปเจอเรื่องร้าย ๆ ทว่าพี่ใหญ่โปรดวางใจ ข้าจะดูแลคนของท่านเป็นอย่างดี!”


ส่วนเรื่องแก้แค้นแทนพี่ใหญ่นั้น มันไม่นึกถึงเลยแม้แต่น้อย


มันสลัดความคิดเช่นนี้ตั้งแต่ครานั้นแล้ว เหล่าของวิเศษน่ากลัวเกินไป ลึกล้ำเกินหยั่ง หากยังคิดแก้แค้นอยู่ รังแต่จะพาตัวเองไปตาย


“ช่างเถิด ข้าหนีเอาตัวรอดดีกว่า!”


เจ้าหลวงขบคิดไปมา รู้สึกว่าอยู่ที่นี่ต่อไม่ปลอดภัย


เหล่าของวิเศษอาจบุกมาหาเพื่อถอนรากถอนโคนของมัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้ว เกรงว่าเหล่าของวิเศษคงโมโหกันแย่


มันล้มเลิกความคิดซ่องสุมกำลังในนครของจ้าวหลาน หากแต่ปล้นสะดมสมบัติในนครของจ้าวหลานจนเกลี้ยง แล้วพาสิ่งมีชีวิตพิศวงที่เหลืออยู่ในนครของจ้าวหลานไปจากที่นี่


“จ้าวแห่งรัตติกาล!”


ระหว่างที่มันได้สนทนากับสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายในนครของจ้าวหลาน มันก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของจ้าวแห่งรัตติกาล


นครรัตติกาลที่จ้าวแห่งรัตติกาลสถาปนาขึ้นนั้นยิ่งใหญ่กว่านี้ เหนือชั้นกว่านครของจ้าวหลานไปมาก มันตัดสินใจไปฝากตัวเป็นพรรคพวกของจ้าวแห่งรัตติกาล


ต้นไม้ใหญ่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ได้ ถึงอย่างไรศัตรูของมันก็เป็นถึงเหล่าของวิเศษ น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก มันมิกล้าอยู่ตามลำพัง


หลังจากได้เข้าเป็นพรรคพวกของจ้าวแห่งรัตติกาล อย่างน้อยยามเหล่าของวิเศษบุกมาหา ก็ยังมีจ้าวแห่งรัตติกาลคอยออกหน้าแทนมัน


สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือ การฝากตัวเป็นพรรคพวกเช่นนี้ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ


อย่างเช่นจ้าวหลาน ก่อนหน้านี้ มันกับจ้าวหลานเคยคบค้าสมาคมกันมาบ้าง กระนั้น หากมิใช่ว่ามันยกของที่ได้จากจ้าวตะเข้ให้หมด ใช่ว่าจ้าวหลานจะยอมรับมันไว้


จ้าวแห่งรัตติกาลยิ่งทรงพลังเข้าไปใหญ่ ย่อมไม่มีทางเห็นหัวคนต่ำต้อยเช่นมัน มันต้องยกทุกสิ่งที่ได้จากจ้าวหลานให้จึงจะพอ


มิฉะนั้น จ้าวแห่งรัตติกาลก็ไม่มีทางยอมรับเขาเป็นพรรคพวก


‘ไม่เป็นไร อย่างน้อยข้าก็ดูดกลืนสสารพิศวงทั้งหมดในนครของพี่ใหญ่แล้ว ไม่ขาดทุน ๆ!’


เจ้าหลวงเอ่ยในใจ


ก่อนไป มันต้องดูดกลืนสสารพิศวงทั้งหมดในนครของจ้าวหลานจนเกลี้ยงแน่นอน ไม่ทิ้งขว้างแม้แต่น้อย


“เวลา! สิ่งที่ข้าต้องการคือเวลา!”


ก่อนนี้มันดูดกลืนสสารพิศวงจากนครของจ้าวตะเข้ไปไม่น้อย บัดนี้ได้ดูดกลืนสสารพิศวงในนครของจ้าวหลานอีก สิ่งที่มันขาดแคลนที่สุดในตอนนี้คือเวลา ทันทีที่มันหลอมสสารพิศวงทั้งหมดที่มันดูดกลืนเข้าไปได้แล้ว พลังของมันจะต้องยกระดับอย่างทวีคูณแน่นอน


มันตัดสินใจแล้ว หลังจากไปถึงดินแดนของจ้าวแห่งรัตติกาลจะสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่กระทำเรื่องอื่น จะตั้งใจหลอมสารพิศวงที่ได้ดูดกลืนเข้าไป


“รีบเดินทางดีกว่า!”


มันเร่งฝีเท้าไม่หยุด รุดหน้าสุดชีวิต ตราบใดที่ยังไปไม่ถึงดินแดนของจ้าวแห่งรัตติกาล มันก็มิอาจสบายใจ


ด้วยการเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ พวกมันไปถึงดินแดนของจ้าวแห่งรัตติกาลอย่างรวดเร็ว


สสารพิศวงเข้มข้นโลดแล่น ที่นี่น่าครั่นคร้ามเกินบรรยาย ทอดสายตามองไป พวกมันเต็มไปด้วยดวงดาราอันมีขนพิศวงงอกอยู่


‘สมเป็นจ้าวแห่งรัตติกาล!’


เจ้าหลวงเอ่ยในใจอย่างอดมิได้


ดวงดาราเหล่านั้นมีแต่จะมีขนาดใหญ่กว่านครพิศวงที่จ้าวหลานประทับอยู่ จ้าวแห่งรัตติกาลรวมดวงดารามหึมามากมายขนาดนี้เข้าด้วยกันได้ อีกทั้งยังมีพลังพิศวงลางร้ายเพียงพอที่จะกัดกร่อนดวงดารามหึมาเหล่านี้ ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ


เทียบกับที่นี่แล้ว นครพิศวงที่สร้างโดยจ้าวหลานเหมือนเป็นของเด็กเล่น ห่างชั้นกันมากนัก


มันอดระส่ำระส่ายขึ้นมามิได้ จ้าวแห่งรัตติกาลจะยอมรับมันเข้าพวกหรือ?


มันรู้สึกว่าจ้าวแห่งรัตติกาลอาจไม่ชอบสิ่งที่มันนำมาด้วยก็ได้…


“ต้องลองดูสักตั้ง!”


มาถึงนี่แล้ว มันไม่มีทางยอมไปง่าย ๆ จึงมุ่งไปยังชายแดน ตะโกนเข้าไปด้วยเสียงนอบน้อมว่า “ท่านจ้าวแห่งรัตติกาลผู้ยิ่งใหญ่ ข้าน้อยมาที่นี่เพราะได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน หวังว่าจ้าวแห่งรัตติกาลจะยอมให้ข้าน้อยได้เข้าพบสักครา!”


ครืนคราน!


อวกาศด้านนี้ปั่นป่วนอยู่พักหนึ่ง ร่าง ๆ หนึ่งพลันจุติลงมา


มันมีรูปร่างสูงใหญ่ ขนยาวพิศวงสีส้มงอกอยู่เต็มกาย แข็งแกร่งกว่าจ้าวหลานตั้งไม่รู้กี่เท่า หลังจากเจ้าหลวงได้พบ ก็คุกเข่ากับพื้นทันที


“สวัสดี ข้ามาขอสมัครเป็นพรรคพวกของจ้าวแห่งรัตติกาล!”


มันรีบบอก พร้อมนำทุกอย่างที่ได้มาจากนครของจ้าวหลานออกมา “กิตติศัพท์ของจ้าวแห่งรัตติกาลแซ่ซ้องไปไกล ข้าอยากเป็นหนึ่งในผู้ใต้บัญชาของจ้าวแห่งรัตติกาล วันหน้าจะได้ร่วมเป็นเกียรติกับจ้าวแห่งรัตติกาล หวังว่าจะยอมรับข้าไว้!”


“ไม่เลวนี่ ลุกขึ้นเถิด”


ใบหน้าของสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้นเผยรอยยิ้มพึงใจ วาจาของเจ้าหลวงถูกคอมันมาก มันกล่าวต่อ “ทางเลือกของเจ้าถูกต้องแล้ว ในบรรดานครพิศวงอันยิ่งใหญ่ นครอันมีจ้าวแห่งรัตติกาลเป็นผู้นำแข็งแกร่งที่สุด! เจ้าเลือกเข้าพวกเรานับว่าฉลาดมาก วันหน้าย่อมไม่ลำบาก”


มันสะบัดมือ เก็บทุกอย่างที่เจ้าหลวงนำมาให้


หลังจากเห็นสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้เก็บของไปแล้ว เจ้าหลวงก็โล่งอก


ของเหล่านี้อาจไม่เข้าตาจ้าวแห่งรัตติกาล กระนั้นก็มิได้หมายความว่าไม่เข้าตาสิ่งมีชีวิตพิศวงตนอื่น นี่อย่างไร เข้าตาสิ่งมีชีวิตพิศวงตรงหน้าผู้นี้แล้ว


มันรู้ดีว่า ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องมีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนจึงจะสำเร็จ มิฉะนั้นไม่มีทางบรรลุได้เลย


หากมิใช่ว่ามันยอมยกของเหล่านี้ออกมาก่อน ไม่แน่ว่าสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้จะยอมพูดจากับมันหรือไม่ หรืออาจฆ่ามันด้วยฝ่ามือเดียวก็เป็นได้


“ไปเถิด ข้าจะพาเจ้าไปพบจ้าวแห่งรัตติกาล”


สิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้นำทางอยู่ข้างหน้า จนมาอยู่ในดวงดาราที่ลึกที่สุด


“เจ้ารออยู่ที่นี่พอ”


มันพาเจ้าหลวงมาอยู่หน้าวิหารโบราณแห่งหนึ่ง และสั่งให้เจ้าหลวงรออยู่ที่นี่ ส่วนตัวมันเดินเข้าไปในวิหารโบราณ


“ท่านจ้าว มีคนจากด้านนอกมาขอเข้าพวกกับเรา”


มันเข้าพบและรายงานต่อจ้าวแห่งรัตติกาล


อย่างที่คิด มันริบของที่เจ้าหลวงนำออกมาไปเอง มิได้ส่งมอบขึ้นไป


จ้าวแห่งรัตติกาลมีม่านแสงพิศวงปกคลุมอยู่ทั่วกาย มองไม่เห็นว่ามีรูปลักษณ์อย่างไร


มันมิได้ตัวมโหฬารดังเช่นสิ่งมีชีวิตพิศวงตนอื่น หากแต่มีขนาดตัวไม่ต่างหากมนุษย์ปกติมากนัก


“พาเข้ามาสิ”


จ้าวแห่งรัตติกาลเอ่ยเสียงเย็นชา


จากนั้นสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้นก็ออกจากวิหารโบราณ และพาเจ้าหลวงเข้ามา


“ออกไปได้”


จ้าวแห่งรัตติกาลสั่งให้สิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้นถอยออกไป


“สวัสดีท่านจ้าวแห่งรัตติกาล!”


เจ้าหลวงหวาดวิตก หลังจากเข้ามาถึงมันก็คุกเข่าอยู่ภายในวิหาร หมอบศีรษะกับพื้น มิกล้าจ้องมองจ้าวแห่งรัตติกาล


“ไม่ต้องเกร็ง”


จ้าวแห่งรัตติกาลกล่าว “ลุกขึ้นมาพูดจาเถอะ”


“ขอรับ!”


เจ้าหลวงรีบยืนขึ้น กระนั้นก็ยังมิกล้ามองจ้าวแห่งรัตติกาล กลัวจะเป็นการจาบจ้วงจ้าวแห่งรัตติกาล


หารู้ไม่ จ้าวแห่งรัตติกาลเดินเข้าไป ตบบ่าเจ้าหลวงอย่างสนิทสนม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เห็นเจ้าแล้วชวนให้ข้านึกถึงบุตรของข้าที่ตายไป เจ้าเหมือนกับบุตรชายของข้าที่ตายไปแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าเจ้าจะเต็มใจเป็นบุตรบุญธรรมของข้าหรือไม่?”


อะไรนะ!?


มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้ด้วยรึ!


เจ้าหลวงเต็มตื้นจนแทบอยากกระโดดลิงโลด เดิมมันคิดว่าจ้าวแห่งรัตติกาลยอมรับมันเป็นพวกก็ดีมากแล้ว สุดท้ายมันยังได้เป็นบุตรบุญธรรมของจ้าวแห่งรัตติกาลอีกหรือ?


ประเสริฐเกินไปแล้ว!


“คารวะท่านพ่อบุญธรรม!”


มันรีบคุกเข่าต่อจ้าวแห่งรัตติกาล และเรียกท่านพ่อบุญธรรมทันที


“ดี ๆๆ นับแต่นี้ไป เจ้าคือบุตรชายแสนดีของข้า!”


จ้าวแห่งรัตติกาลหัวเราะร่วน “นี่สินะคือวาสนา ให้ข้าได้พบเจ้า! เจ้าเหมือนบุตรชายของข้าที่ตายไปแล้วมากจริง ๆ”


“นับเป็นเกียรติของข้า!”


อย่าให้เอ่ยเลยว่าในใจเจ้าหลวงปีติปานใด ได้เป็นบุตรชายของจ้าวแห่งรัตติกาล วันหน้ามันมีหรือจะไม่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร?


“ข้าสัมผัสได้ว่าในตัวเจ้ามีสสารพิศวงรวนเรอยู่มาก”


จ้าวแห่งรัตติกาลตบบ่าเจ้าหลวง พร้อมกล่าว “ข้าจะช่วยเจ้าหลอมรวมผสาน ให้เจ้าได้แข็งแกร่งขึ้นเอง”


สิ้นเสียงของมัน เจ้าหลวงรู้สึกถึงพลังมวลหนึ่งที่เข้าสู่ร่างมันในพริบตา จากนั้นมันก็สัมผัสได้ว่าสสารพิศวงที่มันดูดกลืนจากจ้าวตะเข้และจ้าวหลานกำลังหลอมรวมผสานกันอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังของมันอย่างรวดเร็ว


ผ่านไปไม่นาน สสารพิศวงเหล่านี้ก็กลายเป็นพลังของมันทั้งหมด กำลังรบของมันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในชั่วพริบตา


มันในตอนนี้เทียบกับจ้าวหลานแล้วไม่ถือว่าห่างชั้นกันมากนัก


“ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง”


จ้าวแห่งรัตติกาลตบเจ้าหลวงอีกครั้ง จากนั้นเจ้าหลวงรู้สึกได้ว่ามีสสารพิศวงที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าหลั่งไหลเข้ามาในตัวมัน กำลังรบของมันคูณทวีอีกครั้ง!


จ้าวหลานมีกำลังรบระดับราชันแห่งเซียน ตัวมันนั้นข้ามหน้าจ้าวหลานไปแล้ว เป็นถึงยอดเซียนซึ่งเหนือกว่าราชันแห่งเซียน!


“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรม!”


มันตื้นตันจนโขกศีรษะให้จ้าวแห่งรัตติกาลอีกครั้ง


“ไม่ต้องขอบคุณ ในเมื่อบัดนี้ข้าคือบิดาบุญธรรมของเจ้า ย่อมต้องอบรมสั่งสอนเจ้าเป็นอย่างดี นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไป ข้าจะช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้”


จ้าวแห่งรัตติกาลบอกยิ้ม ๆ


“สสารพิศวงในตัวเจ้ารวนเรเช่นนี้ ดูท่าเจ้าคงผ่านอะไรมามาก เจ้าเล่าให้พ่อฟังที พ่ออยากฟังเรื่องราวของเจ้า”


จ้าวแห่งรัตติกาลกล่าวต่อ


676-680

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่นิยายระบบ ก่อนที่จะรับฟังช่วยกดไลค์และกด subscribe เป็นกำลังใจด้วยนะครับ
นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 676ถึง 680


สิ่งมีชีวิตอันทรงพลังในซากปริภูมิเวลามากันหมด จำนวนไม่น้อยราว ๆ สามสิบกว่าคน พวกเขารวมตัวเข้าด้วยกัน ความรู้สึกของจักรวาลโกลาหลที่แตกต่างยิ่งชัดเจน


วิถี วิชาอาคม แก่นกำเนิดพลัง ล้วนแตกต่างกันชัดเจน ไม่คล้ายคลึงกันสักนิด จักรพรรดินีตกตะลึง นี่เท่ากับมีจักรวาลโกลาหลกว่าสามสิบแห่งแล้ว ตกลงว่ามีจักรวาลโกลาหลกี่แห่งกันแน่


พวกนางในอดีตช่างด้อยความรู้นัก แย่เสียยิ่งกว่ากบก้นบ่อ ชมผืนฟ้าจากก้นบ่อ ทึกทักไปว่ามีจักรวาลโกลาหลอยู่เพียงจักรวาลเดียว บัดนี้คิดแล้วน่าขำยิ่งนัก


“มาเถิดทุกท่าน ไม่ต้องกักเก็บพลัง ลงมือด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ทลายเกราะป้องกันของเส้นทางโบราณนี้!”


หนานฉงคำรามเสียงทุ้ม ฝีมือการแสดงมิมีผู้ใดทัดเทียม หากมิใช่ว่าจ้าวกิเลนดำล่วงรู้ความจริง มันคงเชื่อไปแล้ว


“ได้”


สิ่งมีชีวิตกว่าสามสิบตนตอบ ความดุดันแผ่ออกไปจนมืดฟ้ามัวดิน พลังในกายรีดเร้นอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาตกลงกันก่อนหน้านี้แล้วว่า ผู้ไม่ลงมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มีจะถูกสิ่งมีชีวิตตนอื่นรุมโจมตี พวกเขาไม่อยากเป็นเช่นนั้น ต่างเตรียมลงมือเต็มกำลัง


“ลุย!”


หนานฉงบุกอยู่ด้านหน้าสุด สองมือประสานอิน คล้ายกำลังสำแดงวิชาลับน่าพรั่นพรึงบางอย่าง


จ้าวกิเลนดำแหงนหน้าคำราม ร่างมหึมาปราดออกไป


บรรดาสิ่งมีชีวิตตนอื่นมิได้เคลือบแคลง สำแดงฤทธิ์เดชรุนแรงที่สุดของตนกันทั้งสิ้น คลื่นพลังอันน่ากลัวโถมทับฟ้าดิน วิชาลับต่าง ๆ พร้อมทั้งยอดศาสตราเปล่งอานุภาพเกินหยั่ง!


หนานฉงกับจ้าวกิเลนดำเด็ดขาดยิ่งนัก ขณะที่บุกไปได้ครึ่งทาง พวกเขาหักหัวกะทันหัน แหวกมิติหนีออกไปไกล


พวกเขารู้ดีว่าการโจมตีอันน่ากลัวเช่นนี้ต้องพบกับแรงสะท้อนระดับใด ขืนยังอยู่ที่เดิม มีแต่ต้องตายเท่านั้น


สิ่งมีชีวิตบางตนได้เห็นหนานฉงกับจ้าวกิเลนดำหนีก็รู้ตัวอย่างรวดเร็ว ตระหนักได้ว่าพวกเขาอาจถูกลวงเสียแล้ว เบื้องหน้าคงมีภยันตรายบางอย่างรอพวกเขาอยู่!


ทว่าวิชาที่พวกเขาใช้ต่างเป็นระดับพลังสูงสุดของตน ไฉนเลยจะดึงกลับมาได้ง่าย ๆ ไม่มีทางทำได้เลย


พวกเขาได้แต่มองดูการโจมตีของตัวเองกระแทกกับเส้นทางโบราณโดยไร้หนทางแก้ไข


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


ลมหายใจต่อมา การโจมตีกระแทกเส้นทางโบราณ คล้ายอสนีบาตจากธรณี คล้ายการระเบิดครั้งใหญ่จนอุบัติเป็นปฐพีผืนนี้ ประกายเจิดจ้าท่วมท้นทุกสรรพสิ่ง


ภายในเส้นทางโบราณ พวกจักรพรรดินีมิได้พะวงแม้แต่น้อย พวกนางมีสีหน้าราบเรียบ เพราะคิดตกอยู่นานแล้วว่าไม่มีทางมีอันเป็นไป


อย่างที่คิด เมื่อการโจมตีสยดสยองท่วมฟ้านั้นกระหน่ำลงมา พลังอันน่าสะพรึงระเบิดออก เส้นทางโบราณไร้ซึ่งรอยขีดข่วน ไม่แม้แต่จะสั่นไหว ยับยั้งการโจมตีทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ


พรวด! พรวด! พรวด!


กลับเป็นเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ลงมือต้องถูกแรงสะท้อนอย่างไม่มีข้อยกเว้น เลือดเนื้อสาดกระจาย สภาพน่าสังเวชไม่แพ้กัน!


พวกเขาถูกแรงกระเทือนจนนอนหมดสภาพกับพื้นกันทั้งหมด พลังมิได้อยู่ในระดับเดียวกัน พลังของเส้นทางโบราณเหนือชั้นว่าพวกเขามากนัก!


พวกเขาไม่อาจเชื่อเรื่องนี้ได้ลง สะท้านเหลือแสน คนระดับไหนกันถึงเขียนอักษรเช่นนั้นออกมาได้ เกินขอบเขตความเข้าใจของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง!


พวกเขาต่างสัมผัสได้ว่าพลังของเส้นทางโบราณมาจากอักษรภาพนั้น


“เจ้าหนานฉงเดนตาย ชั่วช้านัก อย่าให้ข้าได้พบเจ้าอีก มิฉะนั้นข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่!”


สิ่งมีชีวิตบางตนคำรามกราดเกรี้ยว ดวงตาคล้ายจะมีไฟพุ่งออกมาเพราะได้สติจากความตกตะลึง รู้ได้อย่างแจ่มชัดว่าหนานฉงปิดบังข้อมูลสำคัญจากพวกเขา จงใจล่อพวกเขาให้ตกหลุมพราง


มิฉะนั้น เหตุใดหนานฉงกับจ้าวกิเลนดำถึงหนีไปโดยไม่ลังเล


เพราะพวกเขารู้แต่แรกแล้วว่าต้องเกิดเรื่องเช่นนี้!


“พวกเราถูกหลอกกันหมด พวกเขาสองคนก็คงมิได้ดีไปกว่ากันนัก!”


“พวกเขาลงมือนำไปแล้ว ย่อมประสบกับแรงสะท้อนแล้วเช่นกัน คงได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ภายนอกดูไม่เป็นอันใดเพราะพวกเขาอำพรางไว้และกัดฟันฝืนทน!”


สิ่งมีชีวิตตนอื่นรู้ตัวตาม ๆ กัน โทสะลุกโชน หากพวกเขามองทุกอย่างได้ขาดเร็วกว่านี้ ไฉนเลยจะกลายเป็นแบบนี้


หนานฉงกับจ้าวกิเลนดำจะต้องตาย!


อนิจจา การแสดงละครก่อนหน้านี้ของหนานฉงไร้พิรุธ ไม่มีพวกเขาคนใดตงิดใจ ไม่แม้แต่จะกังขาสักนิด


“หนานฉง จ้าวกิเลนดำ พวกเจ้าตายแน่!”


“ไม่ว่าผู้ใดก็ช่วยพวกเจ้าไม่ได้!”


พวกเขาคำรามเสียงเหี้ยม ถูกหลอกจนอยู่ในสภาพอนาถา แต่ละตนล้วนบาดเจ็บไปถึงแก่น


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมาก พายุปริภูมิเวลาอุบัติได้ทุกเมื่อ บาดแผลถึงแก่นเช่นนี้ยากจะรักษาให้หาย ไม่แน่พวกเขาอาจต้านพายุปริภูมิครั้งต่อไปมิไหว


พวกเขาเคียดแค้นในตัวหนานฉงกับจ้าวกิเลนดำอย่างยิ่งยวด สาบานตนว่าจะแก้แค้น และไม่มีทางรามือง่าย ๆ!


“พวกเจ้าคิดถึงข้าขนาดนี้เชียวหรือ ได้ ๆ ข้ามาแล้ว!”


ทันใดนั้น หนานฉงก็บุกเข้าไป กล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก ที่เขาลวงหลอกสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก่อนหน้านี้ไม่เพียงเพื่อเอาตัวรอด หากแต่เพื่อการฉวยโอกาสชิงพลังในพริบตานี้ด้วย!


เขาลงมืออย่างเด็ดเดี่ยว มิได้ยืดเยื้อแม้แต่น้อย กระบี่ยาวสัมฤทธิ์เปล่งประกายเย็นยะเยือก ผ่าสิ่งมีชีวิตตนหนึ่งเป็นสองท่อนในชั่วพริบตา ปล้นทุกอย่างในตัวสิ่งมีชีวิตตนนี้ไป อีกทั้งยังดูดกลืนปราณเลือดแก่นพลังของสิ่งมีชีวิตตนนี้ไปทั้งหมด


เทียบกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ เขาได้รักษาบาดแผลฟื้นฟูพลังตัวเองไปแล้วก่อนหน้านี้ แม้นยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ กระนั้นก็ทรงพลังกว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้


มิหนำซ้ำสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ยังผนึกกำลังโจมตี พลังที่สะท้อนกลับมาจึงน่ากลัวกว่าครั้งที่เขากับจ้าวกิเลนดำทำตั้งไม่รู้เท่าไร สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้รับบาดเจ็บหนักเสียจนเรียกได้ว่าสูญเสียพลังที่จะต่อสู้ได้อีก


มิฉะนั้น เขาไม่มีทางผ่าสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกับเขาเป็นสองท่อนได้ในกระบี่เดียว


จ้าวกิเลนดำนั้นเห็นได้ชัดว่าใจกล้ามิเท่าเขา ครั้งนี้มิได้ตามหนานฉงกลับมาด้วย


หนานฉงลงมือได้โหดเหี้ยมว่องไว ไม่มัวชักช้าลีลา เขาสังหารสิ่งมีชีวิตไปอีกหลายตน ดูดกลืนปราณเลือดแก่นพลัง ชิงทุกสิ่งในตัวพวกมัน แล้วไปจากที่นี่โดยไม่หันกลับมามอง


ต้องยอมรับว่า เขาเป็นบุคคลที่น่าจดจำผู้หนึ่งจริง ๆ ลงมือกับสิ่งมีชีวิตที่เหลือในสถานที่แห่งนี้ได้ ทว่าเขามิได้ทำ จากไปอย่างรวดเร็ว เด็ดขาด ไม่อาลัยอาวรณ์ ไม่ถูกความละโมบครอบงำสติปัญญา


หนานฉงกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด กลัวว่าสิ่งมีชีวิตที่เหลือจะร่วมมือเข้าห้ำหั่นกับเขาสุดชีวิต และที่กลัวยิ่งกว่านั้นคือ พวกจักรพรรดินีจะบุกออกจากเส้นทางโบราณ เขาเข้าใจหลักการสละเพื่อให้ได้มาดี


อันที่จริง การตัดสินใจของเขาถูกต้องเป็นที่สุด


เขาได้ลงมืออย่างฉับพลันก่อนหน้านี้ สิ่งมีชีวิตตนอื่นไม่ทันตั้งตัว เขาจึงสังหารไปได้หลายตน ดูดกลืนปราณเลือดแก่นพลังและปล้นสมบัติติดตัวไปได้


ทว่าหากเขาไม่ไป เลือกอยู่ที่นี่ต่อ ย่อมต้องพบกับหายนะ


สิ่งมีชีวิตตนอื่นตั้งตัวได้แล้ว และกำลังรวมตัวเข้าด้วยกัน เตรียมเผาผลาญแก่นกำเนิดชีวิตเพื่อต่อสู้กับหนานฉง


หากเป็นเช่นนั้นจริง หนานฉงย่อมมิใช่ฝ่ายได้เปรียบ เป็นไปได้ว่าจะไปไหนไม่ได้อีก


หลังไปจากที่นั่นแล้ว หนานฉงหาสถานที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง รีดเร้นพลังหลอมละลายปราณเลือดแก่นพลังที่ตนดูดกลืนมาได้


ปราณเลือดแก่นพลังเหล่านี้ล้วนเป็นแก่นกำเนิดพลังของสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกับเขา มีประโยชน์ต่อเขามหาศาล ช่วยให้เขาฟื้นตัวถึงสภาพสมบูรณ์ที่สุดได้โดยไว


หากเขาละลายปราณเลือดแก่นพลังเหล่านี้ได้หมดเมื่อใด เขาจะก้าวสู่ขอบเขตที่สูงยิ่งขึ้นไป!


“หนานฉงเป็นคนบ้าดีเดือดจริง ๆ!”


อีกด้าน จ้าวกิเลนดำหดหัว ตกใจกับความใจกล้าของหนานฉง


มันไม่คิดเลยว่าหนานฉงจะกล้ากลับไปอีก ที่นั่นอันตรายเพียงใด สถานการณ์ไม่แน่ชัด คลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยมีหวังได้จบชีวิตแน่


ถึงอย่างไรมันก็มิกล้ากลับไป


“อย่างข้าสิดี ปลอดภัยไร้อันตราย!”


มันคลี่ยิ้มกว้าง รู้สึกว่าสถานการณ์ของมันต่างหากที่ดีที่สุด


จากนั้นมันก็ทำเวลารักษาบาดแผล


ขณะเดียวกัน บนเส้นทางโบราณ พวกจักรพรรดินีต่างตะลึงกับความอำมหิตและความใจกล้าของหนานฉง


นิสัยเช่นหนานฉง หากเป็นศัตรูย่อมต้องถอนรากถอนโคน ไม่อาจเหลือโอกาสให้สักเสี้ยว มิฉะนั้น ย่อมกลายเป็นภัยมหันต์ในภายหลัง!


ยังดี หนานฉงติดอยู่ในซากปริภูมิเวลาออกไปมิได้ พวกนางจึงไม่ต้องกังวลเรื่องของอีกฝ่ายมากนัก


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


เวลานั้น จู่ ๆ เส้นทางโบราณก็สั่นไหวรุนแรง ประกายเจิดจ้ามหาศาลพวยพุ่ง เส้นทางโบราณที่เคยถูกตัดขาดบัดนี้เริ่มยืดยาวออกไป คล้ายว่าจะทะลวงออกจากซากปริภูมิเวลา


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเราต้องไม่เป็นอันใด เส้นทางโบราณเพียงถูกระงับไว้ชั่วคราวเท่านั้น บัดนี้กำลังจะทลายแรงกดทับของซากปริภูมิเวลาแล้ว!”


หยวนอีเอ่ยพลางยิ้ม ดูยินดีปรีดาอย่างมาก ทุกอย่างเป็นตามที่พวกนางคิดจริง ๆ พวกนางจะไม่ถูกกักขังอยู่ในซากปริภูมิเวลา ออกจากซากปริภูมิเวลาไปได้!


“ตราประทับ!”


หยวนอีเห็นพลังบางอย่างโลดแล่นอยู่ที่ตราประทับ เป็นพลังในตราประทับที่กำลังปะทุอยู่ นางครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “คุณชายประทับตราเพิ่มในตอนท้ายสุด เป็นการเตรียมการสำหรับเรื่องนี้หรือ?”


ก่อนหน้านี้ พลังตราประทับยังมิได้ปะทุ พลังที่ปรากฏออกมานั้นล้วนมาจากภาพอักษรของคุณชาย บัดนี้ พลังตราประทับแผ่ขยาย พลังของซากปริภูมิเวลาค่อย ๆ ถูกทลาย เส้นทางโบราณขยายกลับสู่ยุคปัจจุบัน


นางรู้สึกว่าที่คุณชายประทับตราเพิ่มก็เพื่อใช้ในสถานการณ์ที่พวกนางเผชิญในตอนนี้!


“เห็นทีคงใช่!”


จักรพรรดินีพยักหน้า คิดเหมือนกันว่าเป็นการจัดแจงของคุณชาย นางเอ่ยออกมาด้วยความสะท้อนใจอย่างอดมิได้ “คุณชายเก่งกาจอย่างแท้จริง ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุม และทุกประโยค ทุกการกระทำของคุณชายล้วนแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง!”


อักษรเป็นทาง สมบัติทั้งสี่แห่งห้องอักษรเพื่อคืนชีพท่านอาจารย์ ตราประทับเพื่อทลายซากปริภูมิเวลา คุณชายแข็งแกร่งมากจริง ๆ เตรียมการทุกอย่างไว้แต่แรกแล้ว


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


เส้นทางโบราณสว่างเจิดจ้า คลื่นพลังที่เปล่งออกมานั้นยิ่งทวีความสยดสยองขึ้น จังหวะแห่งเต๋าสูงส่งพวยพุ่งออกจากตราประทับ มหัศจรรย์ถึงขีดสุด!


พลังของปริภูมิเวลาถูกกระเทือนออก ข่มเส้นทางโบราณไว้ไม่ได้อีกต่อไป เส้นทางโบราณยาวเหยียดออกไปเรื่อย ๆ จนใกล้ทะลวงออกจากซากปริภูมิเวลาเต็มที


“บังอาจนัก!”


เวลานั้น เสียงตวาดเย็นเยียบดังขึ้น วังวนมโหฬารปรากฏเหนือซากปริภูมิเวลา คลื่นพลังยิ่งใหญ่น่ากลัวดุจมหาสมุทรซัดสาด สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในซากปริภูมิเวลาต่างตื่นตกใจกับพลังนี้ ล้วนหมอบราบกับพื้น ดวงวิญญาณสั่นสะท้าน!


ขณะเดียวกัน หนานฉงเบิกตาขึ้นในบัดดล บำเพ็ญเสร็จสิ้น ความอึ้งงันพาดผ่านแววตา


“ผู้คุมนักโทษปรากฏตัวแล้วหรือ?!”


สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ผู้คุมนักโทษที่คอยเฝ้ายามซากปริภูมิเวลาแห่งนี้ยังโผล่มาด้วย


พลังของผู้คุมนักโทษลึกล้ำเกินหยั่ง บงการพวกเขาได้ตามใจชอบ เคยมีสิ่งมีชีวิตหลายตนร่วมมือหมายจะทลายผนึกของซากปริภูมิเวลา เป็นผลให้ผู้คุมนักโทษปรากฏตัว สุดท้าย ผู้คุมนักโทษคร่าชีวิตสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้ง่ายเพียงพลิกมือ


ขอบเขตพลังของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสูงกว่าเขาตั้งไม่รู้กี่ระดับ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คุมนักโทษ กลับไม่มีค่าอันใด ไร้น้ำยาสิ้นดี ถูกฆ่าได้ง่าย ๆ!


เขานั้นยังดี มีของวิเศษติดตัวมาก กอปรกับคลื่นลมปราณที่ผู้คุมนักโทษแผ่ออกมานั้นมิได้พุ่งเป้ามาที่เขา ด้วยของวิเศษพวกนี้ เขามิได้ย่ำแย่เท่าใด จึงฝืนทนไว้ได้


สมองเขาแล่นอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดว่าหลังจากนี้ควรทำอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์ต่อเขากว่า


อีกด้าน ผู้คุมนักโทษเดินออกจากวังวนปริภูมิเวลา


“มิมีผู้ใดไปจากที่นี่ได้!”


เขาตวาดเสียงเย็น ประกายไฟฟ้าแลบแปลบอยู่ในตา ชวนให้หวาดผวา!


ผู้คุมนักโทษยืนตระหง่านอยู่บนนภา วังวนอันน่าพรั่นพรึงเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลัง มันมีสีหน้าเย็นชา มิใช่เผ่ามนุษย์ และมิใช่สัตว์อสูร แต่เป็นต่างเผ่าที่แตกต่าง


ตัวมันสูงหลายสิบจั้ง เนื้อกายเป็นสีเงินยวง เปล่งประกายระยิบระยับคล้ายเป็นโลหะ บนหลังมีแปดปีก นัยน์ตาปราศจากอารมณ์ความรู้สึก จนชวนให้หวั่นใจโดยไม่รู้ตัว


เสียงดัง ‘ฟึ่บ!’ เมื่อมันยกมือเรียกคทาด้ามหนึ่งซึ่งมีหินผลึกสีฟ้าเม็ดหนึ่งฝังไว้ออกมา แล้วลงมือกำราบ


หน้าที่ของมันคือพิทักษ์ดินแดนนี้ มันไม่มีทางปล่อยให้เส้นทางโบราณทะลวงหายไปง่าย ๆ


หินผลึกสีฟ้าบนคทาด้ามนั้นเปล่งแสง กฎระเบียบพิเศษบางอย่างโลดแล่น สร้างการเชื่อมต่อกับดินแดนนี้ พลังทั้งหมดในซากปริภูมิเวลาเดือดพล่านขึ้นมา!


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


พลังมหาศาลถล่มลงมาราวกับทำนบบนนภาแตก พลังที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายผนึกกำลังโจมตีเส้นทางโบราณดูเล็กน้อยดั่งน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรเมื่อเทียบกับพลังเหล่านี้ มันจึงไม่ควรค่าแก่การพูดถึงสักนิด


ตราประทับปะทุ พลังหลั่งไหลออกมากลายเป็นลำแสง น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก ลำแสงทะลวงผ่านพลังมหาศาลนั้นแล้วปราดไปหาผู้คุมนักโทษ


ผู้คุมนักโทษหาใช่พวกดาษดื่น ปฏิภาณไหวพริบดีเยี่ยม เคลื่อนร่างอย่างรวดเร็วเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีจากลำแสงนี้


ทว่ามันก็ยังได้รับแรงกระเทือน ถูกสะบั้นไปครึ่งร่าง ของเหลวคล้ายโลหะสีเงินหลั่งไหลออกมา


สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในซากปริภูมิเวลาต่างสูดปาก ขนลุกขนชัน หัวใจสะท้าน อักษรภาพนั้นน่ากลัวเกินไปแล้วกระมัง?


หากมิใช่ว่าไหวพริบดี หลบหลีกได้ทันท่วงที น่ากลัวว่าผู้คุมนักโทษซึ่งเปรียบเสมือนผู้บงการในซากปริภูมิเวลานี้คงถูกลำแสงสายนั้นสังหารไปแล้วในชั่วอึดใจ!


ผู้คุมนักโทษเองก็ตกตะลึง หน้าตาหวาดผวา คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอกับสถานการณ์ตึงมือเช่นนี้ มันยังสามารถกำราบไหวอยู่หรือ?


มันไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อย!


บาดแผลบนร่างกายของมันมีกฎระเบียบสยดสยองว่ายเวียน มันไม่สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ เพราะพลังกฎระเบียบนี้ขวางกั้นพลังของมันทั้งหมด


สถานการณ์ย่ำแย่มาก เส้นทางโบราณมิใช่สิ่งที่มันกำราบไหว


แต่มันไม่มีทางยอมแพ้เท่านี้ เส้นทางโบราณจะจากไปง่าย ๆ เช่นนี้มิได้!


ปริภูมิเวลาเป็นสมบัติจำเพาะของพวกมัน มีเพียงพวกมันเท่านั้นที่สามารถทะลุทะลวงฝ่าปริภูมิเวลาได้ตามใจชอบ สิ่งมีชีวิตตนอื่นไม่มีสิทธิ์นั้น หากมีสิ่งมีชีวิตตนอื่นหาญกล้าผ่านทะลวงในปริภูมิเวลา ย่อมต้องถูกพวกมันลงทัณฑ์!


สิ่งมีชีวิตในซากแห่งนี้ล้วนถูกพวกมันจับมาที่นี่เพราะเดินทางข้ามปริภูมิเวลา จึงถูกขังเอาไว้


พวกมันไม่มีทางอนุญาตให้สิ่งมีชีวิตตนอื่นก้าวก่ายปริภูมิเวลา ปริภูมิเวลาเป็นของพวกมันเพียงฝ่ายเดียว!


“จงตื่น!”


มันคำรามลั่น โยนไม้คทาขึ้นฟ้า จากนั้นพลันมีพลังหลั่งไหลออกมาจากหินผลึกสีฟ้าบนไม้คทา คลื่นพลังพิเศษบางอย่างซัดสาดออกไปอย่างรวดเร็ว แทรกซึมเข้าไปในปริภูมิเวลาต่าง ๆ เพื่อส่งข้อมูล


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


ลมหายใจต่อมา เสียงระเบิดสยดสยองดังอยู่ทั่วทั้งซากปริภูมิ สมาชิกที่นิทราอยู่ในที่แห่งนี้ตื่นขึ้นทั้งหมด ที่นี่มิได้มีผู้คุมนักโทษดูแลอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น


ที่นี่มีสมาชิกนับร้อย บัดนี้ก้าวออกมากันถ้วนหน้า จ้าวแห่งเรือนจำก็ตื่นขึ้นในทันใด และมายังที่นี่


ทว่ายังไม่จบเพียงเท่านี้ บนนภาเหนือซากปริภูมิเวลา มีสายธารแห่งปริภูมิเวลาไหลหลากปรากฏขึ้นสายแล้วสายเล่า สิ่งมีชีวิตต่างเผ่านับพันนับหมื่นกระโจนออกจากสายธารแห่งปริภูมิเวลา


พลังปราณของพวกมันทุกตนล้วนสยดสยองน่ากลัว แข็งแกร่งกว่าผู้คุมนักโทษกันทั้งสิ้น พวกมันสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่ระเบิดออกมาจากไม้คทา จึงฝ่าเข้ามาจากปริภูมิเวลาต่าง ๆ เพื่อเป็นกองหนุน


และท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทุกตน ภาพร่างมโหฬารภาพหนึ่งลอยออกมา เป็นราชันแห่งปริภูมิเวลาจุติลงมาเป็นกองหนุนที่นี่ด้วยตนเอง


ลำแสงนับล้านเปล่งจากตัวมัน ขอบเขตพลังสูงถึงขั้นเกินหยั่ง สถานะของมันสูงส่ง กำลังรบไร้ขีดจำกัด!


การที่คทาปะทุบ่งบอกว่าเกิดเรื่องใหญ่ สิ่งมีชีวิตทุกตนที่สัมผัสได้ล้วนต้องเดินทางมาช่วยเหลือ นี่คือกฎของพวกมัน


ราชันตนหนึ่งมาด้วยตนเอง!


รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของผู้คุมนักโทษ คราวนี้ไม่มีอันใดต้องเป็นห่วงแล้ว ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดคิดอื่นใดอีก เส้นทางโบราณต้องถูกกำราบลง


“ราชันเย่!”


บรรดาสมาชิกอย่างผู้คุมนักโทษคุกเข่าคำนับราชันผู้นี้ทันที ฐานะราชันสูงส่งกว่าพวกมันมากนัก


ราชันเย่พยักหน้าเบาเป็นการตอบรับ


มันน่าสะพรึงมากจริง ๆ ขณะที่กะพริบตา ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่แวบพาดผ่านดวงตาของมันไปอย่างรวดเร็ว


เพียงครู่เดียว มันก็รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นในที่แห่งนี้


เสียงดังตู้ม มือใหญ่ของมันกดทับลงบนเส้นทางโบราณ กฎแห่งปริภูมิเวลาเคลื่อนทะยาน พลังน่ากลัวมากมายกระหน่ำออกมา หยุดยั้งเส้นทางโบราณที่แผ่ขยายอยู่


แสงสว่างทะลักออกจากเส้นทางโบราณ ทว่าไม่นานก็ถูกกำราบ


“ฆ่า!”


จ้าวแห่งเรือนจำตะโกนลั่น บุกเข้าไปทันที สมาชิกนับพันนับหมื่นตามหลังมันไป ยกทัพบุกเข้าไปถ้วนหน้า!


สถานการณ์นี้ทำเอาสิ่งมีชีวิตในซากปริภูมิเวลาตกตะลึงกันหมด พวกมันเคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ที่ไหน?


ต่อให้พวกมันมาจากจักรวาลอันอัศจรรย์ ก็มิเคยพบเห็นภาพการณ์น่าประหวั่นพรั่นพรึงเช่นนี้มาก่อน ในบรรดาสมาชิกที่บุกสังหารไปยังเส้นทางโบราณ แม้แต่สมาชิกระดับต่ำที่สุดยังพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินในจักรวาลโกลาหลที่พวกเขาอาศัยอยู่ได้ ยากจะมีสิ่งมีชีวิตตนใดสกัดไว้


จ้าวแห่งเรือนจำยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ เป็นตัวตนระดับผู้บงการได้แน่นอน หากได้เดินทางไปยังจักรวาลโกลาหลที่พวกเขาอยู่ ย่อมกำราบได้ทุกสิ่ง


ส่วนราชันเย่ผู้นั้นเกินจะจินตนาการได้ เขาอยู่ในขอบเขตไหนกัน พวกเขาจับสัมผัสไม่ได้เลย บางทีคงเหนือกว่าระดับความเข้าใจของพวกเขาไปไกลแล้วกระมัง


ยามนี้ พวกเขาต่างหวาดผวา เบื้องหลังพวกราชันเย่ต้องเป็นกองกำลังเช่นไรกัน พวกเขารู้สึกว่าราชันเย่มิใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุด เบื้องหลังของเขาต้องมีกำลังรบน่ากลัวยิ่งกว่านี้อยู่เป็นแน่


บนเส้นทางโบราณ อาจารย์ของจักรพรรดินีร่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แม้ว่าในเส้นทางโบราณจะมีม่านพลังขวางกั้นคลื่นพลังปราณที่หลั่งไหลอยู่ด้านนอก พวกนางที่อยู่ภายในไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ แต่ยามนางได้เห็นภาพเช่นนี้ ก็ยังอดกลัวมิได้ นี่คือความกลัวซึ่งถือกำเนิดจากส่วนลึกของดวงวิญญาณ มิได้เกี่ยวข้องกับแรงกดดันอันใด


“ท่านอาจารย์ ไม่ต้องกลัว เราจะไม่เป็นไร”


จักรพรรดินีเดินเข้าไปอยู่ข้างกายอาจารย์ของนาง จับมืออาจารย์ของนางไว้ พร้อมเอ่ยเสียงจริงจัง “เราต้องรอดกลับไปได้แน่!”


หลังจากจักรพรรดินีจับมือของนางไว้ ร่างที่สั่นเทิ้มของอาจารย์จักรพรรดินีก็หยุดลง


นางมองจักรพรรดินี เอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม “ข้าไม่กลัวแล้ว!”


จ้าวแห่งเรือนจำนำทัพสมาชิกนับพันนับหมื่นบุกเข้ามา ต้องเป็นภาพการณ์น่าพรั่นพรึงระดับใดกัน การโจมตีอันน่ากลัวท่วมท้นนภา ทว่าในแววตาจักรพรรดินีกับหยวนอีต่างปราศจากความกลัว


ไม่มีอันใดต้องกลัว พวกนางต่างมั่นใจในตัวคุณชาย คุณชายไม่มีต้องให้ร้ายพวกนางแน่!


และอาจารย์ของจักรพรรดินีก็มิได้กลัวอีกต่อไป นางจับมือจักรพรรดินี มองการโจมตีท่วมท้นนภาที่กระหน่ำลงมาใส่พวกนางด้วยสีหน้าราบเรียบ


ฟึ่บ!


เวลานั้นเอง แสงสว่างแยงตายิ่งกว่าพวยพุ่งออกจากตราประทับ ข้ามผ่านเส้นทางโบราณ ทะยานขึ้นนภา


จากนั้นกฎระเบียบสูงส่งเคลื่อนไปตามแสงสว่าง กฎระเบียบระดับนี้แม้กระทั่งราชันเย่ยังต้องตาค้าง!


ท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้า ภาพร่างหนึ่งค่อย ๆ หลอมรวมขึ้น เป็นภาพร่างวัยเยาว์ รูปร่างพร่าเลือน พอจะมองเห็นได้อยู่บ้างว่ามีรูปโฉมอย่างไร


“คุณชาย!”


จักรพรรดินีกับหยวนอีตาลุกวาวกันในบัดดล แม้ว่าภาพร่างนี้ดูวัยเยาว์ กระนั้นพวกนางยังจำได้ในพริบตาว่านั่นคือร่างของคุณชาย!


ภาพร่างคุณชายปรากฏ ณ ที่แห่งนี้ พวกนางยิ่งไม่เหลือสิ่งใดให้กังวล วางใจได้สนิท


ช่วยไม่ได้ พวกนางมั่นใจในตัวคุณชายเต็มร้อย!


“แกล้งหลอกผีอยู่ได้ ข้าขอดูทีเถิดว่าเจ้าเป็นใคร!”


ราชันเย่ตวาดเสียงเย็น นัยน์ตาส่องประกาย กฎแห่งปริภูมิเวลาอันน่ากลัวโลดแล่นอยู่ในนั้น มันจ้องมองภาพร่างของหลี่จิ่วเต้า หมายจะไล่ย้อนกลับไปยังแก่นกำเนิด


เสียงดังตึง จู่ ๆ ร่างมันก็สั่นไหวอย่างหนักจนเกือบล้มหัวคะมำ เกิดอุบัติเหตุกับมันยามไล่ย้อนแก่นกำเนิดของหลี่จิ่วเต้า จนเกือบต้องสิ้นชีพ!


ยังดีที่มันมีไหวพริบดีพอ เมื่อรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล ก็ถอนกำลังกลับอย่างเด็ดเดี่ยว ดึงพลังกลับทั้งหมด


มันตกใจแทบแย่ ความกลัวอันไร้ขอบเขตปรากฏในใจ ด้วยพลังระดับมัน การไล่ย้อนไปถึงแก่นกำเนิดควรเป็นเรื่องง่ายดาย มันสามารถปรับห้วงเวลาได้ตามต้องการ


ทว่ามันเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น ยังไม่ทันได้ไล่ย้อนอย่างเป็นทางการ ก็มีอันตรายถึงชีวิต สร้างความตื่นตระหนกแก่มันอย่างมาก!


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าของภาพร่างนี้เก่งกาจจนไม่อาจวัดได้!


มันมิได้ลังเล คิดจะเรียกยอดฝีมือผู้ทรงพลังยิ่งกว่าเข้ามาช่วย มันรู้สึกว่าตัวมันคงมิใช่คู่ต่อสู้ของภาพร่างนั้น กลัวจะเกิดเรื่อง!


“ถูกผนึกไว้หมดแล้ว!”


สีหน้าของมันมืดมน ย่ำแย่ถึงขีดสุด


พื้นที่แห่งนี้ถูกผนึกไว้จนสิ้น ไม่ว่าพลังใดล้วนมิอาจส่งออกไปได้ รวมถึงปริภูมิเวลาก็ด้วย มันไม่สามารถเรียกกำลังเสริมจากภายนอกมาได้


อีกด้าน ภาพร่างนั้นขยับ


เขาหายตัวออกจากที่แห่งนี้ เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง ก็มาอยู่ท่ามกลางเหล่าสมาชิกอย่างจ้าวแห่งเรือนจำ คล้ายว่ากำลังรำกระบวนท่ามวย เชื่องช้าอย่างยิ่งยวด อีกทั้งยังดูจะมีช่องโหว่มากมาย ไร้ซึ่งพละกำลัง


ทว่าทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นภายนอกเท่านั้น ความจริงมิใช่เช่นนั้นเลย!


ชั่วขณะที่เขาต่อยมวย สิ่งมีชีวิตถูกซัดกระเด็นออกไปมหาศาล กระอักเลือดออกจากปากไม่หยุด ร่วงหล่นลงไปกันถ้วนหน้า ไม่เหลือพลังจะต่อสู้ได้อีก


จ้าวแห่งเรือนจำบุกเข้ามา แข็งแกร่งกว่าสมาชิกตนอื่นตั้งไม่รู้เท่าใด ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าภาพร่างนี้ จ้าวแห่งเรือนจำอ่อนปวกเปียกไม่อาจต้านได้แม้แต่การโจมตีเดียว!


พรวด!


เลือดเนื้อสาดกระจาย หมัดที่ดูนุ่มนวลไร้กำลังแรง แต่เมื่อซัดกระทบตัวจ้าวแห่งเรือนจำ กลับน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอสนีบาต ร่างของจ้าวแห่งเรือนจำแหลกสลายในบัดดล ไม่มีกำลังจะตอบโต้แม้แต่น้อย!


เมื่อราชันเย่ได้เห็นภาพนี้ ก็สั่นไปทั้งขา ตัวมันมีขอบเขตพลังสูงส่ง มองเห็นหลายอย่างจากหมัดที่ร่างนั้นซัดออกมา


นี่…วิชามวยอันใดกัน?


มันตั้งสมาธิต่อสู้ไม่ได้เลย น่ากลัวเกินไป ไม่สงสัยเลยว่าต่อให้เป็นมันที่บุกเข้าไปก็ไม่อาจต้านทานหมัดนี้ได้


ทว่าเรื่องนี้มันมิอาจเป็นฝ่ายกำหนด


กระบวนท่ามวยถูกสำแดงออกมา พลังแปลกประหลาดบางอย่างดึงมันเข้ามา มันจำต้องรับศึก


“อ๊ากกกก!”


มันคำรามเสียงต่ำ เปล่งประกายเจิดจ้าทะลุนภา แผลงฤทธิ์เดชทุกอย่าง มิกล้ากักเก็บพลังเลยสักนิด


แต่ก็ยังไร้ประโยชน์


มันถูกกระเทือนจนกระเด็นออกไป เลือดเนื้อระเบิดออก สูญเสียพลังจะต่อสู้ได้อีก!


เวลานี้ ภาพร่างของหลี่จิ่วเต้าเก็บหมัด ย่างกลับไปยังเส้นทางโบราณในก้าวเดียว


จากนั้นเขาก็กระทืบเท้าเบา ๆ


ชั่วพริบตาเดียว พลังมหาศาลปะทุออกมาจากเส้นทางโบราณ ทะลวงซากปริภูมิเวลาแห่งนี้ออกไป ก่อร่างเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อกับยุคปัจจุบัน!


“ไป!”


พวกจักรพรรดินีรุดหน้าไปตามเส้นทางโบราณ ร่างของพวกนางค่อย ๆ หายลับจากที่แห่งนี้


เส้นทางโบราณก็ค่อย ๆ หายลับตาไป


ทว่าขณะที่เส้นทางโบราณกำลังจะหายจากซากปริภูมิเวลา เงาร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามารั้งท้ายเส้นทางโบราณ จนออกไปจากซากปริภูมิเวลาได้


“สำเร็จ!”


เขาพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ความตื่นเต้นในน้ำเสียงปิดไว้ไม่มิด


หน้าตาของหนานฉงเต็มไปด้วยความปีติยินดีอย่างสะกดไม่อยู่ ในที่สุดเขาก็ไปจากซากปริภูมิเวลาแสนเส็งเคร็งแห่งนี้ได้แล้ว!


คิดดูสิว่าผ่านมาแล้วตั้งเท่าไหร่


ตัวเขาเองยังจำแทบไม่ได้ ในซากปริภูมิเวลาไม่มีเวลา แต่เขารู้ดีว่าช่วงเวลาที่เขาได้อยู่ในซากปริภูมิเวลายาวนานกว่าช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่มากนัก


ตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าข้ามผ่านมาได้อย่างไรครั้งแล้วครั้งเล่า พายุปริภูมิเวลาที่ปรากฏในแต่ละครั้งล้วนน่าประหวั่นพรั่นพรึง บัดนี้คิดดูแล้ว เขายังรู้สึกผวา


ทว่าตอนนี้เรื่องเหล่านั้นล้วนไม่สำคัญ


เขาออกจากซากปริภูมิเวลา หลังจากนี้ไม่ต้องห่วงกังวลเรื่องพายุปริภูมิเวลาอีก


ถึงได้กล่าวว่า เขาผู้นี้เป็นบุคคลน่าจดจำอย่างแท้จริง โหดเหี้ยมพอ ใจกล้าพอ สถานการณ์เฉกเช่นตอนนั้น ผู้ใดเล่าจะไม่ตื่นกลัว


แต่เขากลับสามารถระงับความลนลานหวาดผวาในใจลงได้ ติดสอยห้อยตามเส้นทางโบราณ หนีจากซากปริภูมิเวลาได้สำเร็จ


“ไปตามเส้นทางโบราณ!”


เขาไม่เพียงแต่ใจกล้าพอ สมองยังดีด้วย เขารู้ดีว่าหากไปอยู่ที่ปริภูมิเวลาอื่น กองกำลังเบื้องหลังราชันเย่ต้องไม่ปล่อยเขาไว้แน่ และคงมาหาถึงที่


แต่การมุ่งไปตามเส้นทางโบราณนั้นแตกต่างกัน


เบื้องหลังของเส้นทางโบราณต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ต่อให้กองกำลังเบื้องหลังราชันเย่บุกมา เขาก็อยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าปริภูมิเวลาอื่น อย่างน้อยก็มีกองกำลังเบื้องหลังเส้นทางโบราณออกคานกำลังให้


...


ณ ซากปริภูมิเวลา


ราชันเย่หน้าซีดเผือด ขณะนำทัพเหล่าสมาชิกอย่างจ้าวแห่งเรือนจำออกไป พวกมันบาดเจ็บหนักเกินไป จึงจำต้องได้รับการรักษาให้ทันท่วงที มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่


“หนานฉง…หนีไปแล้ว!”


“อ๊ากกก! ความแค้นของเราไม่มีที่ให้สะสางแล้ว!”


สิ่งมีชีวิตในสถานที่นี้คำรามอย่างกราดเกรี้ยว พวกเขาถูกหนานฉงลวงจนหมดท่า หากมิใช่เพราะหนานฉง พวกเขาก็สามารถฉวยโอกาสหนีจากที่นี่ไปได้เช่นเดียวกัน!


พวกเขายิ่งเคียดแค้นในตัวหนานฉง


น่าเสียดาย หนานฉงหนีไปแล้ว พวกเขาออกไปไม่ได้ ความคิดล้างแค้นอีกฝ่ายจึงต้องดับสูญตามไปด้วย


“หนานฉงหนีไปแล้ว แต่จ้าวกิเลนดำยังอยู่!”


“ใช่แล้ว! ยังมีหมอนั่นอยู่ด้วย!”


พวกเขานึกถึงจ้าวกิเลนดำขึ้นมา ดวงตาเปล่งประกายกันถ้วนหน้า หนีไปหนึ่ง ยังเหลืออีกหนึ่ง ยอดเยี่ยม พวกเขามีที่ให้ชำระแค้นอยู่!


“พี่น้องเอ๋ย พวกเรารีบรักษาบาดแผลกันก่อน อย่าให้จ้าวกิเลนดำลอบโจมตีได้อีก! รอจนพวกเราฟื้นตัวแล้ว ค่อยผนึกกำลังลากจ้าวกิเลนดำออกมาสะสางหนี้แค้น!”


ยอดฝีมือตนหนึ่งตะโกนบอกด้วยความรอบคอบ กลัวว่าจ้าวกิเลนดำจะบุกออกมากะทันหันเฉกเช่นหนานฉง หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาแย่แน่


“ได้!”


“รอให้พี่น้องทั้งหลายฟื้นตัวได้แล้วค่อยติดต่อกัน!”


ยอดฝีมือตนอื่นพากันพยักหน้า มีศัตรูคนเดียวกัน เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเช่นนี้เพื่อแก้แค้น!


ขณะเดียวกัน จ้าวกิเลนดำยังคงหลบอยู่ในหลืบอันห่างไกล คลี่ยิ้มกว้างออกมา “หนานฉงเอ๋ย เจ้าต้องเสียท่าเพราะความฉลาดเป็นเหตุแท้ ๆ เจ้าเก่งกาจมากก็จริง ทั้งฉลาดและกล้าหาญ แต่สำหรับข้า ก่อนหน้านี้ที่เจ้ากลับไปเป็นการรนหาที่ตาย โง่เขลาเบาปัญญาที่สุด!”


มันกล่าวต่อ “หลังจากเจ้ากลับไปได้ไม่นาน ก็มีคลื่นพลังสยดสยองยิ่งกว่าปะทุ เกรงว่าเจ้าคงตายอยู่ที่นั่น ไม่มีทางได้หวนคืนแล้วกระมัง!”


ส่วนที่นั่นเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นนั้น มันไม่รู้ คลื่นพลังที่ระเบิดออกจากที่นั่นน่ากลัวเกินไป มันจึงมิกล้าไปตรวจสอบอันใด และคอยหลบซ่อนในที่แห่งนี้มาตลอด


อีกทั้งมันก็เข้าใจว่าหนานฉงถูกคลื่นพลังนั้นโหมซัด ตายอยู่ที่นั่นแล้ว


“หนานฉงเอ๋ยหนานฉง เจ้ามักว่าข้าโง่อยู่เสมอ สมองไม่ดีเท่าเจ้า น่าขันยิ่งนัก ข้าต่างหากที่ชาญฉลาดอย่างแท้จริง เจ้าต่างหากที่สมองไม่ดี! ผู้ที่อยู่รอดต่อไปได้เท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์มีเสียง!”


มันยิ้มกริ่มอย่างลำพอง ดีอกดีใจยกใหญ่


ทว่าสิ่งที่มันไม่รู้คือ มันต่างหากคือผู้ที่น่าสังเวชที่สุด หนานฉงหนีจากซากปริภูมิเวลาไปได้แล้ว บัดนี้ ยอดฝีมือในซากปริภูมิเวลาต่างหมายหัวมัน ลงบัญชีไว้ที่มันทั้งหมด ภายหน้า มันย่อมไม่ได้พบจุดจบที่ดี


...


เส้นทางโบราณเชื่อมต่อยุคปัจจุบันอีกครั้ง พวกจักรพรรดินีจึงกลับสู่ยุคปัจจุบันได้สำเร็จ โดยปราศจากอุปสรรคใด ๆ


การเดินทางครานี้ พวกนางสะท้อนใจเหลือคณา ได้รับรู้เรื่องราวหลายอย่างที่พวกนางไม่เคยรู้มาก่อน


จักรวาลโกลาหลหลายหนหลายแห่ง ปรโลกซึ่งเป็นภพหลังความตาย กองกำลังซึ่งกุมอำนาจควบคุมปริภูมิเวลา พวกนางไม่รู้จริง ๆ ว่ายังมีกองกำลังลับอันยิ่งใหญ่เช่นนี้อีกมากเท่าใด หากได้ค้นหากันจริง ๆ คงน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นที่สุด!


ยังดีที่พวกนางได้พบคุณชาย อนาคตมีหลักประกัน พวกนางพลันรู้สึกโชคดีอยู่ในใจเป็นอย่างมาก!


“ท่านอาจารย์ พวกเราไปพักผ่อนก่อนเถิด รอจนพักผ่อนดีแล้ว ข้าค่อยเล่าทุกอย่างให้ท่านฟังอย่างละเอียด”


จักรพรรดินีบอกกับอาจารย์ของนาง


อาจารย์จักรพรรดินีพยักหน้า “ได้!”


หลังจากนั้น พวกนางก็หาที่พักผ่อน การเดินทางนี้ พวกนางเองก็เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ จำต้องพักผ่อนฟื้นตัวให้ดี


หนานฉงเข้ามาถึงอาณาจักรผืนนี้ตามเส้นทางโบราณ


เขามิกล้าเข้าใกล้มากนัก รักษาระยะห่างไกล ๆ ไว้ตลอด หลังจากเข้ามาถึงอาณาจักรแห่งนี้ เขาก็รีบจากไปโดยไว มิกล้าติดตามต่อไป


น่าขัน ขืนไล่ตามไปแล้วพบกับผู้อยู่เบื้องหลังเส้นทางโบราณ เขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายได้อย่างไร


“ที่นี่ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดไว้เท่าไร…”


เขาพึมพำกับตัวเองเสียงเบา คิ้วขมวดมุ่น


ในความคิดของเขา ที่นี่คงเป็นสถานที่พำนักของผู้อยู่เบื้องหลังเส้นทางโบราณ ควรต้องมหัศจรรย์เกินหยั่งถึงจะถูก ถึงอย่างไรท่านผู้นั้นก็สยดสยองจนน่าเหลือเชื่อ


แต่ที่นี่หาได้มหัศจรรย์เกินหยั่งไม่ เทียบกับจักรวาลโกลาหลที่เขาอาศัย ไม่รู้ห่างชั้นตั้งกี่เท่า ผิดจากที่เขาคาดการณ์ไว้อย่างสิ้นเชิง


“ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่ควรมองเพียงภายนอก”


เขาหรี่ตาลง เอ่ยเสียงเข้ม “ในเมื่อท่านผู้นั้นประทับอยู่ที่นี่ ที่นี่ย่อมต้องมีจุดโดดเด่น ตอนนี้ข้าดูไม่ออก คงเพราะขอบเขตพลังของข้าต่ำเกินไป ที่นี่ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่”


ต่อมา เขาค้นพบสถานที่ลับแห่งหนึ่ง สร้างม่านพลังไว้ที่นี่ชั้นแล้วชั้นเล่า จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหา เขาจึงรีดเร้นพลังรักษาอาการบาดเจ็บ


เรื่องด่วนของเขาในตอนนี้คือต้องฟื้นตัวให้ได้ก่อน เรื่องอื่นล้วนรองลงมา รอให้เขาฟื้นพลังแล้วค่อยวิเคราะห์แยกแยะยังได้


...


ภายในปรโลก


“เหมือนว่า…จะเสียแผน!”


ฉินก่วงอ๋องคิ้วขมวดเป็นปม เรื่องราวมิได้ดำเนินต่อไปตามที่พวกเขาคาดเดา คงเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่นขึ้น


เวลาผ่านไปไม่น้อยแล้ว ตามปกติ พวกจักรพรรดินีน่าจะต้องตายกลายเป็นวิญญาณหยินนานแล้ว ทว่าฟากพวกเขากลับจับสัมผัสถึงวิญญาณหยินของพวกจักรพรรดินีมิได้ บ่งบอกว่าพวกนางยังไม่ตาย


ด้วยอำนาจของกฎระเบียบ พวกเขาย่อมจับสัมผัสผู้ที่ตายกลายเป็นวิญญาณหยินได้ ไม่มีทางเป็นอื่น พลังในปริภูมิเวลาคงพ่ายแพ้ มิใช่คู่มือของพวกจักรพรรดินี


“บารมีของปรโลกไม่อาจหยาม ปล่อยให้เกิดรอยรั่วมิได้เด็ดขาด! อาตมาจะไปสนทนากับกองกำลังปริภูมิเวลา ดูว่าความจริงเป็นอย่างไร”


เสียงของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ดังอยู่ข้างหูยมราชแห่งสิบขุมนรก


“ตามแต่พระกษิติครรภโพธิสัตว์จะกรุณา!”


ยมราชแห่งสิบขุมนรกตอบเสียงนอบน้อม


ผ่านไปได้ระยะหนึ่ง เสียงของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ ในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านี้ก็สามารถสนทนากับกองกำลังปริภูมิเวลาได้แล้ว


ขณะเดียวกัน ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความน่ากลัวและความแข็งแกร่งของปรโลกทางอ้อม


สนทนากับกองกำลังปริภูมิเวลาได้ตามต้องการ ปรโลกไฉนจะต้องอ่อนกำลัง


หากอ่อนกำลัง ย่อมไม่มีสิทธิ์ได้สนทนา


ปรโลกกับกองกำลังปริภูมิเวลาทรงอำนาจเท่า ๆ กัน


“ล้มเหลวจริง ๆ พวกนางมีบุคคลลึกลับสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง จึงต่อกรด้วยยากยิ่ง”


พระกษิติครรภโพธิสัตว์ปริปาก “แต่อาตมาทำข้อตกลงกับกองกำลังปริภูมิเวลาแล้ว ว่าจะผนึกกำลังโจมตีด้วยกัน”


กฎระเบียบของปรโลกถูกทำลายย่ำยีตามอำเภอใจเช่นนี้ พวกเขาไม่อาจทนได้ ด้านกองกำลังปริภูมิเวลาก็เช่นกัน ไม่คิดจะรามือง่าย ๆ


วิญญาณหยินและปริภูมิเวลาต่างเป็นข้อหวงห้ามพวกเขาทั้งสองฝ่ายไม่อนุญาตให้ผู้อื่นกล้ำกราย พวกเขาจะเอาความให้ถึงที่สุด ถอนรากถอนโคนมันให้สิ้น!


“เตรียมตัวให้พร้อมเถิด”


พระกษิติครรภโพธิสัตว์กล่าว “คนผู้นั้นจัดการไม่ได้ง่าย พวกเราลงมือตามใจชอบมิได้เด็ดขาด ต่อไปนี้ พวกเราจะหารือกับกองกำลังปริภูมิเวลาอย่างรัดกุม เพื่อให้ได้มาซึ่งแผนอันมั่นคง”


นี่มิใช่เรื่องเล็ก


เขากับกองกำลังปริภูมิเวลาต่างเข้าใจในจุดนี้ดี เพราะอย่างนั้น หลังจากพวกเขาสนทนากันสั้น ๆ ก็ตัดสินใจร่วมมือกันโจมตีทันที


หากลงมือตามลำพังคงได้สูญเสียใหญ่หลวงกว่านี้แน่!


...


ภายในเอกภพ พลังปราณพิศวงลางร้ายคืบคลานแผ่ขยาย ดวงดาราระหว่างทางหุบความสว่างในทันที มิกล้ายุ่งกับความพิศวงลางร้ายเช่นนี้แม้แต่น้อย


จ้าวหลานนำทัพพิศวงด้วยตนเอง ออกเดินทางในจักรวาล บุกไปยังอาณาจักรอวี้ซวี


เบื้องหลังจ้าวหลาน เจ้าหลวงยืดอกอย่างองอาจมาดมั่น กระตือรือร้นจนแทบอดใจไม่ไหว


ในที่สุดก็ถึงวันที่มันได้แก้แค้น จะไม่ให้มันตื่นเต้นได้อย่างไร


ใช่แล้ว จ้าวหลานก็คือพี่ใหญ่ของมัน มันหาพวกสำเร็จแล้ว ที่สำคัญคือจ้าวหลานดีกับมันมาก หลังจากได้ยินเรื่องราวที่เกิดกับมัน ก็ระดมพลทันที ทั้งยังนำทัพด้วยตนเอง เพื่อพามันมาแก้แค้น


แม้มันจะรู้ว่าจ้าวหลานคงพุ่งเป้าไปที่บรรดาของวิเศษเสียมากกว่า กระนั้นมันก็มิได้สนใจ ขอเพียงมันได้แก้แค้นก็พอ!


‘พี่ใหญ่ของข้ามาแล้ว ขอดูหน่อยเถิดว่าคราวนี้พวกเจ้ายังผยองได้อีกหรือไม่!’


มันเอ่ยในใจอย่างเคียดแค้น อย่าให้เอ่ยเลยว่าชิงชังเหล่า ‘ของใช้ประจำวัน’ เพียงใด มันถูกกระบองเขี่ยไฟลนก้น ถูกขันไม้ฟาดหัว ถูกเครื่องมือแกะสลักทั้งชุดขูดเจาะตามทั่วตัวมัน!


มิหนำซ้ำ มันยังถูกถังน้ำเสียคลุมหัว รสชาตินั้นจนบัดนี้มันนึกขึ้นมาได้แล้วยังอดพะอืดพะอมมิได้ อยากจะอาเจียนยิ่งนัก


มันเชื่อใจพี่ใหญ่ของมัน พี่ใหญ่ของมันโอบกอดสสารพิศวงที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่า พลังลึกล้ำเกินหยั่ง กรีฑาทัพคราวนี้ ย่อมต้องกำราบเหล่าของวิเศษได้อย่างง่ายดาย!


ผ่านไปไม่นาน พวกมันก็มาถึงอาณาจักรอวี้ซวี กองกำลังจำนวนมหาศาลนั้นบดบังฟ้าดิน พลังปราณพิศวงลางร้ายแผ่ขยายไปทั่วทุกระเบียดนิ้วของอาณาจักรอวี้ซวี สิ่งมีชีวิตที่ยังอยู่ในอาณาจักรอวี้ซวีตื่นตระหนกกันหมด สั่นสะท้านไปทั้งวิญญาณ


เหตุใดถึง…มากันอีกแล้ว?!


พวกเขาคุ้นเคยกับพลังปราณพิศวงลางร้ายเช่นนี้ที่สุด เรื่องครั้งก่อนเพิ่งผ่านไปไม่นาน พลังพิศวงลางร้ายนี้กลับมาอีกแล้วหรือนี่!


พวกมัจฉาสัตมายาจะมาช่วยพวกเขาได้ทันเวลาหรือไม่?


ยามนี้ พวกเขาต่างพากันเพรียกหาพวกมัจฉาสัตมายาในใจ หวังให้พวกมันมาช่วยพวกเขาเหมือนคราวก่อน


...


ณ เมืองชิงซาน


ภายในลานเล็กของหลี่จิ่วเต้า


ก้านหลิวก้านหนึ่งปรากฏออกมากลางอากาศ เผยตัวอยู่เบื้องหน้าเหล่าของวิเศษ


“ไปกันเถิด เหมือนว่าพวกเจ้าจะได้สนุกกันอีกแล้ว”


เสียงหัวเราะเบา ๆ ของต้นหลิวดังขึ้น มันทิ้งพลังไว้ที่อาณาจักรอวี้ซวี อึดใจเดียวก็จับสัมผัสได้ว่าสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายบุกไปอีกแล้ว


“ข้าจะส่งพวกเจ้าไปเอง” มันกล่าวต่อ


ต้นหลิวนั้นไร้คู่ต่อกร ขอบเขตที่แท้จริงสูงจนไม่อาจหยั่งถึง


มันไม่ได้จงใจทิ้งพลังเอาไว้ในอาณาจักรอวี้ซวี แต่เพราะมันเดินท่องไปมาในอาณาจักรอวี้ซวีทำให้หลงเหลือร่องรอยไว้ และก็ยังคงไม่เลือนหายแม้ผ่านมานานแล้ว ด้วยร่องรอยที่มันหลงเหลือเอาไว้เหล่านั้นทำให้มันสามารถสัมผัสได้ถึงการรุกรานเข้ามาของสิ่งมีชีวิตพิศวง


“อะไรนะ!”


หลังจากมัจฉาสัตมายาได้ยินต้นหลิวเอ่ยออกมา มันก็ตกใจจนกระโจนออกมาจากบ่อน้ำ


สิ่งมีชีวิตพิศวงกลับมาอีกครั้งหรือ?


มันอดโมโหไม่ได้ ช่างไม่ยอมจบยอมสิ้นเสียจริง!


บนตัวมันมีของที่เปล่งแสงออกมา ตามด้วยเสียงของท่านพ่อดังขึ้น บอกเล่าให้มันฟังว่าเหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงได้กลับมาอีกครั้งแล้ว


มันรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้!”


“ไม่เป็นไร ข้าจัดการเอง จะไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้น”


ต้นหลิวเอ่ยปาก “พวกมันเพิ่งมาถึง ข้าจะส่งพวกเจ้าไปที่นั่นเอง”


หลังจากนั้น ต้นหลิวก็แผ่กิ่งก้านทะลุฟากฟ้า สร้างทางเชื่อมสองอาณาจักรขึ้นมาในพริบตา มัจฉาสัตมายากระโจนขึ้นไปทันใดพร้อมกับร่างที่เปล่งแสง ก่อนจะกลายเป็นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาคนหนึ่ง


“ไปกันเถิดเหล่าพี่น้อง! ไปเล่นสนุกกัน!”


“ไป ไป ไป!”


เหล่าสมบัติตื่นเต้นกันขึ้นมา ทั้งหม้อ จาน กระบวย กระถาง และเหล่าเครื่องเรือนอื่น ๆ ต่างพากันทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว


ฝีมือของต้นหลิวนั้นลึกล้ำเกินหยั่งถึง เพียงแค่พริบตาเดียว มันก็ส่งมัจฉาสัตมายาและเหล่าสมบัติไปถึงอาณาจักรอวี้ซวีด้วยความเร็วที่ทำให้คนไม่อยากจะเชื่อ


“พี่ต้นหลิวไร้เทียมทาน เป็นอันดับหนึ่งรองจากคุณชาย!”


ปากของมัจฉาสัตมายาหวานยิ่ง แม้จะเอ่ยประจบประแจง แต่คำพูดเหล่านั้นก็ออกมาจากใจ


ยกเว้นคุณชายแล้ว มันก็ไม่คิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่สามารถเอาชนะพี่ต้นหลิวได้ ภายในใจของมันพี่ต้นหลิวนั้นไร้เทียมทานอย่างถึงที่สุด!


“เอาล่ะ พวกเจ้าไปเล่นเถิด ข้าจะไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย”


ต้นหลิวจากไป มันเบื่อหน่ายเกินกว่าจะอยู่ที่นี่ เพียงแค่ทิ้งใบหลิวลงมาส่ง ๆ ก็สามารถกวาดล้างสิ่งมีชีวิตพิศวงทั้งหมดได้แล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ


“ไป”


มัจฉาสัตมายากับเหล่าสมบัติออกเดินทาง ก่อนจะมาถึงจุดที่เหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงอยู่อย่างรวดเร็ว


“มากันแล้ว”


เจ้าหลวงผ่อนคลายเป็นอย่างมาก หลังจากเห็นมัจฉาสัตมายากับเหล่าสมบัติแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข


ที่แห่งนี้คือบ้านเกิดของมัจฉาสัตมายา มันรู้ดีว่ามัจฉาสัตมายาจะต้องมาอย่างแน่นอน


พวกมันเองก็เพิ่งมาถึงที่นี่ ยังไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด มัจฉาสัตมายาพร้อมทั้งเหล่าสมบัติก็โผล่ออกมาแล้ว


“นี่ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!”


จ้าวหลานมองเหล่าสมบัติที่ลอยอยู่ ดวงตาของมันเปล่งประกาย ก่อนมามันคิดว่าตนเองประเมินเหล่าสมบัติเอาไว้สูงมากแล้ว แต่หลังจากมันได้เห็นเหล่าสมบัติก็รู้ทันทีว่า ตนเองยังคงประเมินต่ำเกินไปก่อนหน้านี้ สมบัติเหล่านี้เหนือชั้นพิเศษยิ่งกว่าที่มันคิด!


สมบัติเหล่านี้สร้างขึ้นมาจากวัสดุอันใด?


มันมองไม่ออกโดยสิ้นเชิง


แต่สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือ วัสดุเหล่านั้นจะต้องหายากและไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


ผู้ใดกัน!


ทั้งฟุ่มเฟือยและสิ้นเปลืองเช่นนี้ ถึงกับใช้วัสดุหายากและไม่ธรรมอย่างถึงที่สุดมาทำเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน สิ่งนี้ทำให้หัวใจของมันแทบหลั่งเลือดออกมา หากวัสดุเหล่านี้ถูกเปลี่ยนนำมาหลอมเป็นอาวุธ ไม่รู้ว่าพลังของมันจะน่าสะพรึงกลัวถึงขั้นใด!


อย่างน้อยก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันเหล่านี้เป็นเท่าตัว!


และเนื่องจากเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน นั่นหมายความว่าย่อมมีเจ้าของอยู่เบื้องหลัง และเจ้าของสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ธรรมดา ทั้งยังต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมากแน่นอน


ทว่ามันก็ไม่ได้มีความกังวลใจอยู่แม้แต่น้อย


มันไม่สนว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ต่อให้แข็งแกร่งก็จะแข็งแกร่งได้สักเพียงใดกันเชียว? เบื้องหลังของมันนั้นคือความพิศวง กระทั่งภพเซียนก็ยังเกรงกลัวไม่กล้าเผชิญหน้ากับพวกมัน จนต้องหนีออกไป!


“เป็นเจ้าอีกแล้ว ไม่คิดกลัวตายบ้างหรือไร?!”


มัจฉาสัตมายาจับจ้องไปทางเจ้าหลวงด้วยประกายตาเย็นชา “เจ้าหนีไปได้ในครั้งก่อน แต่เจ้ายังคิดหรือว่าครั้งนี้จะหนีไปได้?”


“หนี? เหตุใดข้าจึงต้องหนีด้วย?”


เจ้าหลวงส่งเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดต่อ “พี่ใหญ่ของข้ามาแล้ว เหตุใดข้าต้องหนีด้วย คราวนี้เป็นพวกเจ้าที่ต้องเกรงกลัว!”


“พรืด! เจ้านี่น่าสนใจจริง ๆ ครั้งก่อนก็ขุดหลุมใส่พี่ชาย ครั้งนี้เจ้าจะขุดหลุมใส่พี่ใหญ่อีกหรือไม่?”


ถังขยะหัวเราะ กลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาจนเหล่าสมบัติทั้งหมดถอยหนี กลิ่นมันเกินจะทนจริง ๆ!


“เจ้าเก็บกลิ่นไปเสีย!”


“ยังไม่ทันจะสู้กับพวกมัน เจ้ากลับโจมตีพวกเราก่อนเสียแล้ว!”


เหล่าสมบัติจำนวนมากต่างตะโกนใส่ถังขยะ


“ขออภัย ขออภัย ข้าลืมตัวไปหน่อย ข้าจะเก็บคืนมา!”


ถังขยะรีบเก็บกลิ่นกลับไป ก่อนเอ่ยขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า


“โอกกก!”


อีกด้านหนึ่ง เจ้าหลวงที่เพิ่งได้กลิ่นเหม็นเน่ารู้สึกทนไม่ได้จนต้องอาเจียนออกมาทันที มันเคยถูกถังขยะทรมานมาก่อน ทำให้ไม่อาจทนกลิ่นเหม็นเน่าได้อีกแล้ว แม้จะเป็นเพียงกลิ่นเล็กน้อยก็ตาม


“พี่ใหญ่โปรดลงมือแก้แค้นให้ข้าด้วย!”


มันร้องไห้พลางเอ่ยกับจ้าวหลาน


“วางใจได้”


จ้าวหลานเอ่ยกับเจ้าหลวง “ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าย่อมล้างแค้นให้เจ้าอย่างแน่นอน”


จากนั้นมันก็หันไปมองสิ่งมีชีวิตพิศวงที่มันพามาด้วยแล้วออกคำสั่ง “ไป จัดการพวกมันทั้งหมดให้ข้าเสีย!”


“รับทราบ!”


สิ่งมีชีวิตพิศวงนับไม่ถ้วนเหล่านั้นรับคำสั่ง พวกมันต่างพุ่งไปทางเหล่าสมบัติด้วยความดุดันอย่างพร้อมเพรียง ลมหายใจพิศวงแผ่กระจายไปทั่ว ปิดกั้นดวงตะวันที่อยู่เหนือสวรรค์ทั้งเก้าชั้นขึ้นไป ทำให้ทั้งอาณาจักรอวี้ซวีมืดลง ประหนึ่งวันโลกาวินาศกำลังจะมาเยือน


“มาเลย!”


“ฆ่า!”


เหล่าสมบัติต่างตื่นเต้น หายากที่จะมีโอกาสให้พวกมันได้ลงมือ ส่วนใหญ่แล้วพวกมันทำได้เพียงแต่อยู่ด้านในลานเล็ก ๆ


นครพิศวงของจ้าวหลานนั้นแข็งแกร่งกว่านครพิศวงที่จ้าวตะเข้สร้างขึ้นมา สิ่งมีชีวิตพิศวงที่มันพาด้วยนั้นเหนือชั้นกว่าจ้าวตะเข้ไปไกล


ฝ่ายของจ้าวตะเข้นั้นมีสิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีดำอยู่เพียงไม่กี่ตัว ทว่าจ้าวหลานนั้นมีสิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีดำมากถึงห้าสิบกว่าตัว อีกทั้งพลังต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีดำเหล่านี้ล้วนแข็งแกร่งกว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดของจ้าวตะเข้


แต่พวกมันก็ยังไม่เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับเหล่าสมบัติ


ชามกระเบื้องเคลือบทั้งแปดเปล่งแสง ด้านในมีญาณศาสตราพี่สาวน้องสาวอยู่แปดตน คลื่นแสงกวาดล้างสิ่งมีชีวิตพิศวงจำนวนมากจนหมดสิ้น!


กระทั่งสิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีดำตัวหนึ่งที่อยู่ตรงก็ทนไม่ได้ ถูกกำจัดสลายหายไปอย่างไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย


แผ่นหินปูพื้นทุ่มตัวด้วยความน่ากลัวสะท้านฟ้า ไม่มีสิ่งมีชีวิตพิศวงตนใดสามารถหยุดยั้งมันได้ ต่างถูกกำจัดทิ้งภายในพริบตาเดียว!


ไม้เขี่ยฟืนเองก็มีเปลวเพลิงลุกโชน ทำให้ผู้มองหวาดผวา เพลิงนี้เกรงว่าอาจล้างผลาญได้กระทั่งสวรรค์!


กระบวยไม้ เครื่องมือแกะสลักครบชุดและเหล่าสมบัติอื่น ๆ ก็มีพลังต่อสู้เกินต้านทานได้เช่นนั้น กวาดล้างสิ่งมีชีวิตพิศวงทั้งหมดทิ้งไปในเวลาเพียงชั่วอึดใจ!


“วิถีแห่งความเที่ยงธรรมส่องลงมาบนโลก โปรดเรียกข้าว่าแสงแห่งวิถีความเที่ยงธรรม!”


การโจมตีของจอบเซียนนั้นดุดันน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่า เพียงหนึ่งจอบฟาด สิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีดำนับสิบตัวก็ถูกสังหารในทันที สสารพิศวงแตกกระจาย!


เมื่อเหล่าสมบัติสำแดงพลัง จ้าวหลานก็ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด นี่มันบ้าอันใดกัน!? เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ดุร้ายเป็นอย่างมาก เพียงแค่ชั่วอึดใจกองทัพสิ่งมีชีวิตพิศวงก็ถูกสังหารเป็นชิ้น ๆ หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด!


ในตอนนั้นเอง ใบหน้าของมันก็ซีดเซียวลง ยับย่นเสียจนราวกับสามารถบีบน้ำออกมาได้


บัดซบ!


คำพูดของถังขยะก่อนหน้านี้เหมือนจะถูกต้อง มันถูกขุดหลุมใส่จริง ๆ!


มันไม่มีความมั่นใจเหมือนตอนมาถึงอีกต่อไป ต่อให้เริ่มลงมือสู้กลับ มันก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถจัดการสมบัติเหล่านั้นได้


“ไม่...ไม่ใช่แบบนี้สิ!”


อีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของเจ้าหลวงไม่น่าดูเสียยิ่งกว่า มันไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเหล่าสมบัติจะดุร้ายถึงเพียงนี้ ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีดำห้าสิบกว่าตัว แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตพิศวงขนสีน้ำเงินถูกกวาดล้างไปด้วย


สีน้ำเงินนั้นเป็นสสารพิศวงที่อยู่เหนือยิ่งกว่า พลังของมันนั้นเหนือยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตพิศวงสีดำ สามารถจัดการพลังระดับราชันแห่งเซียนลงได้


ทว่าพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าสมบัติกลับช่างเปราะบาง ถูกสังหารทิ้งในชั่วพริบตา


มันกลัวมากจริง ๆ กลัวจนทั้งร่างสั่นสะท้าน ครั้งนี้มันมาแก้แค้นเสียที่ไหน มันมาเพื่อส่งตัวเองสู่หนทางตายต่างหาก!


จ้าวหลานนั้นแข็งแกร่งที่สุด หยิบยืมพลังพิศวงจนสามารถต่อกรกับขั้นยอดเซียนได้ ทว่าเมื่อดูจากภาพเบื้องหน้าที่สิ่งมีชีวิตพิศวงส่วนใหญ่มลายสิ้นไม่ใช่คู่ต่อกรกับเหล่าสมบัติแล้ว


‘สู้ไม่ค่อยได้ โอกาสชนะมีไม่มาก!’


จ้าวหลานคิดขึ้นมาในใจ เตรียมตัวฉีกความว่างเปล่าหนีไปจากที่นี่


แต่เมี่อมันกำลังจะส่งมือฉีกความว่างเปล่า ก็พบว่ารอบบริเวณนี้ถูกปิดกั้นเอาไว้!


เหล่าสมบัติได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งก่อนแล้ว จึงปิดกั้นความว่างเปล่าทั่วบริเวณเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหลวงและสิ่งมีชีวิตพิศวงหนีไปได้


‘จบสิ้นแล้ว!’


เจ้าหลวงร้องไห้ แม้มันต้องการหนีในตอนนี้ก็ไม่สามารถหลบหนีได้!


ไม่ต้องกล่าวเลยว่ามันรู้สึกเสียใจภายหลังมากเพียงใด หากรู้เร็วกว่านี้ ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้มันก็จะไม่มาด้วย!


ความแข็งแกร่งของพี่ใหญ่ที่มันเชื่อมั่นอย่างไม่ลืมหูลืมหา ต่อหน้าสมบัติเหล่านี้ไม่อาจนับได้ว่าเป็นสิ่งใดเสียด้วยซ้ำ!


‘หากข้ามีโอกาสอีกครั้ง ข้าจะไม่คิดแก้แค้นอีกแล้ว ข้าจะออกห่างไปเสียให้ไกล!’


มันร่ำไห้เอ่ยออกมาภายในใจ ไม่คิดแก้แค้นอีกต่อไป


ทว่าคิดสิ่งเหล่านี้ไปก็ไร้ประโยชน์ ครั้งนี้มันได้ตายแน่ ไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว


“คิดว่าจะจัดการข้าได้จริง ๆ อย่างนั้นรึ?!”


ในตอนนั้นเอง จ้าวหลานก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงเย็นชา ก่อนจะเรียกกระจกทองแดงบานหนึ่งออกมา บนตัวของมันเต็มไปด้วยพลังพิศวงอันไม่อาจจินตนาการถึงกำลังแล่นพล่านอยู่


“ฆ่า!”


มันกระตุ้นพลังของกระจกทองแดง เตรียมพร้อมจะสู้ฝ่าออกไป


นี่คือสมบัติล้ำค่าที่มันได้รับมาโดยคาดไม่ถึง ยามนั้นมีพลังพิศวงปะทุออกมา ตามด้วยยอดฝีมือผู้หนึ่งที่อาจออกมาจากแดนบรรพโกลาหล ได้เข้ามาสยบพลังพิศวงทั้งหมดเอาไว้


ตอนนั้นเองที่สมบัติพิศวงลอยออกมาด้านนอก


มันได้รับกระจกทองแดงนี้มาโดยบังเอิญ จากที่ศึกษาดูแล้ว กระจกทองแดงนี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง บางทีอาจช่วยแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าของมันได้!


กระจกทองแดงนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง ภายใต้การเรียกใช้ด้วยความพยายามอย่างสุดชีวิตของจ้าวหลาน มันก็ระเบิดพลังที่เหนือเกินกว่าจินตนาการออกมา ทำลายการปิดล้อมพื้นที่ของเหล่าสมบัติ!


“พี่ใหญ่ทรงอำนาจยิ่งนัก!”


เจ้าหลวงตอบสนองรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่การปิดล้อมรอบบริเวณเปิดออก มันก็หนีออกไปทันที เร็วเสียยิ่งกว่าจ้าวหลานด้วยซ้ำ!


“!!!”


จ้าวหลานโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เจ้าหลวงที่แสนน่าตายผู้นี้ เอ่ยคำหนึ่งก็เรียกพี่ใหญ่ อีกคำก็เรียกพี่ใหญ่ ปากหวานประจบเสียยิ่งกว่าผู้ใด ทว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นกลับวิ่งหนีเร็วที่สุด!


“หนีได้เก่งนัก!”


“น่าเสียดาย ปล่อยให้มันหนีไปได้อีกแล้ว!”


เหล่าสมบัติพากันอารมณ์เสีย พวกมันไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องนอกเหนือความคาดหมายเช่นนี้ พวกมันยังอยากจะ ‘เล่น’ กับเจ้าหลวง!


จ้าวหลานน่าเวทนาอย่างมาก แม้มันเองก็สามารถตอบสนองอย่างรวดเร็ว ลงมือฉีกความว่างเปล่าในทันที แต่ก็ยังคงช้าเกินไป!


พลังของเหล่าสมบัติพุ่งเข้ามาในพริบตา จับกุมตัวมันเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถหนีไปได้แม้ต้องการ!


“นี่มันบ้าอันใดกัน!”


มันสบถสาปแช่งครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ต้องกล่าวเลยว่าความเกลียดชังที่มีต่อเจ้าหลวงมากมายเพียงใด


ถ้ามันยังมีโอกาสได้พบเจ้าหลวงอีกครั้ง มันจะต้องฉีกเจ้าหลวงออกเป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอน!


เจ้าหลวงฉกฉวยโอกาสหลบหนีของมันไป!



จ้าวหลานรู้สึกย่ำแย่ ไม่คาดคิดว่าตนเองจะถูกเจ้าหลวงขุดหลุมใส่เช่นนี้


กล่าวตามตรงแล้ว เมื่อยามที่เจ้าหลวงบากหน้ามาขอพึ่งใบบุญ ถ้าหากเจ้าหลวงไม่ได้นำของดีจำนวนมากมาด้วย เกรงว่ามันคงไม่แม้แต่จะชายตามองเสียด้วยซ้ำ


มันมีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นจำนวนมาก แต่ละคนล้วนเหนือชั้นกว่าเจ้าหลวง เช่นนั้นแล้ว มันจะใส่ใจเจ้าหลวงในฐานะน้องชายได้อย่างไร? ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่


แม้ครั้งหนึ่งมันจะเคยดูแลให้ความช่วยเหลือเจ้าหลวงมาไม่น้อย แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนผ่านไปนานมากจนมันลืมเลือนหมดสิ้นแล้ว ถ้าหากเจ้าหลวงไม่มาพบ มันคงลืมไปเสียแล้วว่ามีตัวตนเช่นเจ้าหลวงอยู่ด้วย


มันไม่ได้มาอาณาจักรอวี้ซวีด้วยเหตุผลที่ต้องการล้างแค้นให้เจ้าหลวงแม้แต่น้อย เจ้าหลวงไม่คุ้มค่ากับการที่มันจะทำสงครามครั้งใหญ่เช่นนี้ เป้าหมายของมันคือเหล่าสมบัติที่เจ้าหลวงกล่าวถึงต่างหาก


แต่ผู้ใดจะรู้กันว่า มันจะถูกผู้ที่เล็กจ้อยจนตนเองไม่เหลียวแลขุดหลุมใส่ ทั้งยังฉกฉวยโอกาสหลบหนีของมันไป ภายในใจของมันเต็มไปด้วยรสชาติหลากหลาย!


‘จ้าวตะเข้เองก็คงจะโดนมันหลอกเช่นนี้!’


มันกัดฟันเอ่ยขึ้นมาในใจด้วยความชิงชัง


ตอนนี้มันมั่นใจอย่างสมบูรณ์แล้วว่า จ้าวตะเข้เองก็โดนเจ้าหลวงขุดหลุมใส่ด้วยวิธีเช่นนี้ เจ้าหลวงชักจูงให้จ้าวตะเข้มาจัดการกับเหล่าสมบัติ และเมื่อผลออกมาว่าสู้ไม่ได้ก็ถูกเจ้าหลวงทิ้งเอาไว้ วิ่งหลบหนีไปเพียงผู้เดียว!


‘มารดามันเถอะ นี่อาจเป็นแผนการที่มันวางเอาไว้นานแล้วใช่หรือไม่!?’


หน้าของมันซีดลง รู้สึกว่านี่อาจเป็นกับดักที่เจ้าหลวงวางเอาไว้ตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้ก็เป็นจ้าวตะเข้ ตอนนี้ถึงคราวของมัน ต่างโดนล่อลวงมาเพื่อให้ถูกกำจัด จากนั้นก็รับช่วงเอานครพิศวงของพวกมันไป


มีความเป็นไปได้มาก!


ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าหลวงจะนำทรัพย์สมบัติทั้งหมดของจ้าวตะเข้มาได้อย่างไร?!


ต่อไปเจ้าหลวงก็จะฉกชิงทรัพย์สมบัติทั้งหมดของมัน!


คิดมาถึงตรงนี้แล้ว ภายในใจของมันยิ่งรู้สึกเจ็บปวด มันถูกผู้ที่ไม่มีค่าในสายตาอย่างเจ้าหลวงวางแผนใส่ตั้งแต่ต้น ตัวมันช่างโง่งมเสียจริง!


เหล่าสมบัติยังไม่ได้ลงมือในทันที ทำเพียงแค่ล้อมรอบจ้าวหลานที่ตอนนี้เหลืออยู่เพียงลำพังผู้เดียวเอาไว้ มันเป็นถึงผู้มีอำนาจแข็งแกร่งที่สุด พวกสมบัติย่อมต้องการจะเล่นสนุกกับจ้าวหลานเสียก่อน


“ข้าบอกแล้วว่าเจ้ากำลังถูกขุดหลุมใส่ แต่เจ้าก็ยังไม่เชื่อ ทั้งยังปฏิบัติราวกับมันผู้นั้นเป็นน้องชาย จิ๊จิ๊ ดวงตาของเจ้าจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน!”


เปลวเพลิงลุกโชนบนไม้เขี่ยฟืน มันหัวเราะพลางกล่าวออกมา “ไฟสามารถทำให้ตาของเจ้าสว่างขึ้นได้ ข้าจะช่วยเจ้ารักษาตาให้เอง”


อะ...อันใดนะ?


ไฟสามารถทำให้ตาสว่างได้?


บัดซบ!


แม้จะพูดจาไร้สาระแค่ไหนก็ไม่อาจพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้ได้!


ไฟนั่นจะทำให้ตาสว่างได้อย่างไร ทำได้แค่เพียงช่วยให้ตาบอดเท่านั้น!


จ้าวหลานระงับความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ เห็นได้ชัดเจนว่าไม้เขี่ยฝืนเตรียมพร้อมจะเล่นกับมันแล้ว!


“มาสิ มาให้ข้าช่วยรักษาดวงตาของเจ้า ตาของเจ้าจะได้สว่าง ไม่ต้องตาบอดแยกดีชั่วไม่ออกเหมือนตอนนี้อีกต่อไป”


ไม้เขี่ยฟืนลงมือส่งเปลวเพลงพุ่งออกไปใส่ดวงตาของจ้าวหลานโดยตรง


จ้าวหลานจะยอมให้เปลวเพลิงนั้นสัมผัสกับดวงตาของตนได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าตามันจะต้องถูกทำลายจนบอดอย่างแน่นอน


มันชูกระจกทองแดงในมอขึ้นมา ถ่ายถอดพลังพิศวงเข้าไปด้านในอย่างบ้าคลั่ง หากมันใช้พลังของตนเองต่อกรกับเหล่าสมบัติ นั่นคงไม่ต่างอันใดไปจากการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง มันไม่อาจสู้ได้โดยสิ้นเชิง กระจกทองแดนนับว่าเป็นความหวังเดียวของมัน


กระจกทองแดงนั้นไม่ธรรมดาสามัญเลย แม้มันจะศึกษาหาข้อมูลด้วยตนเองมานานแสนนาน มันก็ยังไม่มีความเข้าใจอันใดกับกระจกทองแดง


อย่าว่าแต่มันจะไม่เข้าใจเลย กระทั่งข้อมูลสักเล็กน้อยมันยังไม่รู้ กระจกทองแดงลึกล้ำเกินไป ห่างไกลจากความรู้ความเข้าใจของมันอย่างสิ้นเชิง


มันรู้เพียงแค่ว่า กระจกทองแดงมาจากสถานที่อันเป็นต้นกำเนิดความพิศวง เป็นของล้ำค่าอันไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ทว่าน่าเสียดายที่มันไม่อาจไขความลับของกระจกทองแดงได้


หากมันสามารถไขความลับของกระจกทองแดงได้ มันจะไม่ต้องมาลงเอ่ยเช่นนี้อย่างแน่นอน มันจะต้องประสมความสำเร็จสูงล้ำ มีพลังเหนือเกินกว่าที่จะสามารถจินตนาการได้ และก่อตั้งนครพิศวงที่ยิ่งใหญ่สุดขึ้นมา


เกรงว่าต่อให้เป็นภพเซียน มันก็สามารถยกทัพไปกำราบได้อย่างง่ายดาย


ในตอนนั้นเอง ก็มีเรื่องเหนือกว่าความคาดคิดเกิดขึ้น มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวกระเพื่อมออกมาจากตัวกระจกทองแดง ขณะเดียวกันก็มีแสงเจ็ดสีพุ่งออกมาจากด้านในกระจกทองแดง ทำลายเปลวเพลิงของไม้เขี่ยฟืนทิ้งภายในพริบตา ไม่หลงเหลือสิ่งใดเอาไว้


“นี่มัน...เกิดเรื่องใดขึ้น!”


จ้าวหลานตกตะลึงจนพูดติดขัด มันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น!


นี่เป็นครั้งแรกที่กระจกทองแดงระเบิดพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ทั้งยังเปล่งแสงเจ็ดสีอันชวนสะท้านขวัญ


มันอดสั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณไม่ได้ พลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้คือสิ่งใดกัน?! มันไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการถึง นี่มันน่าหวาดกลัวเกินไป เป็นพลังที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่มันเคยพบเจอมา!


มันไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ด้วยพลังนี้กระทั่งจักรพรรดิเซียนก็ไม่อาจเทียบ บรรพจารย์เท่านั้นจึงจะพอต้านทานได้!


“มี...มีหนทางรอดแล้ว!”


มันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างถึงที่สุดในทันที ดวงตาของมันเต็มไปด้วยประกายวาววับ!


มีหนทางรอดเกิดขึ้นในเส้นทางสู่ความตาย มันจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?


ความลับอันยิ่งใหญ่ของกระจกทองแดงคล้ายระเบิดจนเผยออกมา เป็นหนทางรอดของมัน!


“ฮ่าฮ่า!”


มันหัวเราะออกมาอย่าบ้าคลั่ง ไม่ต้องกล่าวเลยว่ามันตื่นเต้นมีความสุขถึงเพียงใด


ในตอนนี้ มันไม่ได้ชิงชังเจ้าหลวงแล้ว ทั้งยังเกิดความขอบคุณกับเจ้าหลวงขึ้นมาในใจ


ถ้าหากเจ้าหลวงไม่พามันมาที่นี่ ความลับอันยิ่งใหญ่ในกระจกทองแดงก็จะไม่ถูกเปิดเผย ตอนนี้มันตื่นเต้นมีความสุขเสียยิ่งกว่าการได้รับสมบัติเหล่านั้นมาเสียอีก!


เมื่อความลับอันยิ่งใหญ่ของกระจกทองแดงเปิดเผยออกมาแล้ว อนาคตของมันจะต้องสดใสอย่างแน่นอน สมบัติเหล่านั้นไม่อาจเทียบมูลค่าได้แม้แต่น้อย


อีกด้านหนึ่ง เหล่าสมบัติต่างรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล พวกมันเร่งบินถอยกลับไปรวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ พลังที่แผ่ซ่านออกมาจากกระจกทองแดงทำให้พวกมันรู้สึกถูกคุกคามเป็นอย่างมาก!


มันเก็บท่าทางอยากเล่นสนุกก่อนหน้าทันที ตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวในกระจกทองแดงกำลังจะออกมา


นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกแต่อย่างใด พวกมันอาจกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับอันตราย!


“ไฟสามารถทำให้ตาสว่างได้? บัดซบ! ไม้เขี่ยฟืนเช่นเจ้า กลับกล้าพูดจาเช่นนี้! รอก่อนเถอะ ข้าจะสับเจ้าแล้วเผาเป็นฟืน!”


ดวงตาของจ้าวหลานเปล่งประกายดุร้าย มันตะโกนออกมาด้วยเสียงเย็นชา ภายในใจไร้ซึ่งความตึงเครียดแล้วหวาดกลัว


มันยังต้องตึงเครียดและหวาดกลัวสิ่งใดอีก?


ไม่เห็นว่าเหล่าเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันเหล่านี้กำลัง ‘เบียดเสียด’ เข้าหากันด้วยความกลัวอย่างนั้นหรือ?


ตอนนี้ฝ่ายที่ต้องตึงเครียดและหวาดกลัวควรเป็นเหล่าเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันต่างหาก!


วูบ!


แสงเจ็ดสีสาดทอออกมาราวกับสามารถย้อมทั้งอาณาจักรอวี้ซวีได้ พลังพิศวงอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากด้านในกระจกทองแดง เพียงแค่พริบตาเดียว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอาณาจักรอวี้ซวีก็พลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมา ประหนึ่งมีประตูนรกมาเปิดอ้าต้อนรับ รอเก็บเกี่ยวชีวิตพวกเขาไปในชั่วอึดใจข้างหน้า!


ตู้มมม!


พลังที่หลั่งไหลออกมาจากกระจกทองแดงทำให้ท้องฟ้าระเบิดออก เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ขึ้นหลุมแล้วหลุมเล่า พลังอันสับสนวุ่นวายกรูเข้ามาอย่างต่อเนื่อง!


กฎเกณฑ์ของอาณาจักรอวี้ซวีพังทลายลง ไม่สามารถแบกรับพลังเหล่านี้ได้อย่างสิ้นเชิง ช่องว่างไม่ได้มีเพียงน้อยนิด หากแต่ราวกับเป็นหิ่งห้อยกับดวงตะวันอันเจิดจ้า ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้แม้แต่น้อย!


จ้าวหลานหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังผยองมากยิ่งขึ้น ตอนนี้มันยิ่งไม่ตึงเครียดและหวาดกลัวมากกว่าเดิม อย่าว่าแต่เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันเหล่านี้เลย กระทั่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังของพวกมันมาเองก็ยังไม่มีความกลัวเกรง อย่างไรเสียพลังของกระจกทองแดงที่ระเบิดออกมาก็ต้องเหนือกว่า!


อีกทั้งภายในใจของมันยังมีความภาคภูมิใจอย่างถึงที่สุด ความรู้สึกของมันที่มีต่อกระจกทองแดงนั้นไม่ผิด ผลคือกระจกทองแดงทรงพลังเป็นอย่างมาก จะต้องเป็นสมบัติต้นกำเนิดของความพิศวงอย่างแน่นอน


“จงสั่นสะท้าน จงหวาดกลัวเสียเถิด พวกเจ้าเตรียมตัวเผชิญหน้ากับการดับสูญ! ข้าจะลบล้างวิญญาณทั้งหมดของพวกเจ้าทิ้ง ทำให้พวกเจ้าสูญสลายไปอย่างสมบูรณ์!”


จ้าวหลานไม่อาจหยุดหัวเราะได้ อีกทั้งยังจงใจขยายเสียงหัวเราะของตนเองออกไป ทั่วทั้งอาณาจักรอวี้ซวีดังกึกก้องไปด้วยเสียงหัวเราะ มันเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง สุขใจแบบถึงที่สุด


จะไม่ให้มันมีความสุขได้อย่างไร ในอึดใจสุดท้ายก่อนที่มันจะตาย มันมองไม่เห็นความหวังในการเผชิญหน้ากับเหล่าสมบัติได้แม้แต่น้อย ทั้งยังต้องทนกับการเยาะเย้ยเล่นสนุกของไม้เขี่ยฟืนโดยไม่อาจทำสิ่งใดได้ ทว่าตอนนี้กระจกทองแดงกลับสำแดงพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา มีความสามารถมากพอจะสยบสมบัติทั้งหมดลงได้ ทุกอย่างพลิกกลับตาลปัตร มันย่อมอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้


แต่ในตอนนั้นเอง พลันมีฝ่ามือขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากกระจกทองแดงพุ่งตรงเข้าหามัน


รอยยิ้มบนใบหน้าจ้าวหลานนิ่งค้าง มันหวาดกลัวอกสั่นขวัญแขวนเกือบปัสสาวะราดออกมา!


ฝ่ามือนี้ปกคลุมไปด้วยขนทั่วบริเวณ มีเจ็ดสีสับเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดูแล้วชวนให้รู้สึกแปลกประหลาดน่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง


“หนวกหู!”


เสียงโบราณดังขึ้นมาจากกระจกทองแดง จ้าวหลาน มัจฉาสัตมายา และเหล่าสมบัติต่างฟังแล้วไม่เข้าใจภาษา แต่พวกมันกลับสามารถเข้าใจความหมายได้


การโจมตีของมือที่เต็มไปด้วยขนนั้นฟาดลงมาอย่างรุนแรง พลังอันน่าสะพรึงกลัวไร้ขอบเขตจับจ้าวหลานเอาไว้ แม้ว่าจ้าวหลานต้องการจะร้องขอความเมตตาก็ไม่อาจทำได้!


มันร้องไห้ออกมาทันที หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก มันก็คงจะไม่กำเริบเสิบสานเอะอะโวยวายถึงเพียงนี้!


มันไม่รู้ว่า ความกำเริบเสิบสานเอะอะของมันจะไปยั่วยุสิ่งที่สถิตอยู่ด้านในกระจกทองแดง


มันรู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง!


มือขนาดใหญ่ปกคลุมไปด้วยขนตบลงบนหัวของจ้าวหลานในทันใด เพียงแค่พริบตาเดียวร่างกายทั้งหมดของมันก็ระเบิดออกกลายเป็นหมอกละอองเลือด


เห็นได้ชัดว่า เจ้าของมือขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยขนไม่ต้องการจะเอาชีวิตของจ้าวหลาน แม้ว่าร่างกายเลือดและเนื้อของจ้าวหลานจะระเบิดออก แต่วิญญาณก็ไม่ได้สลายหายไป ยังคงเหลือเศษเสี้ยวของวิญญาณอยู่ ไม่ได้ตายลงอย่างสมบูรณ์


“พรืด เจ้าทำข้าหัวเราะจนแทบจะตายแล้ว!”


ถังขยะอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “สมควรแล้ว สมควรแล้วจริง ๆ วางท่าเสแสร้งจนโดนตบ เจ้าช่างสุดยอดจริง ๆ!”


ก่อนหน้านี้จ้าวหลานวางท่ากำเริบเสิบสานผยองเป็นอย่างยิ่ง แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันไรก็ถูกมือใหญ่ด้านในกระจกทองแดงตบจนร่างระเบิดออกกลายเป็นเพียงหมองละอองเลือด นี่มันช่างน่าขันเกินไปแล้ว!


“ยังโหดเหี้ยมไม่เพียงพอ ถ้าสังหารมันไปเลยจะดียิ่งกว่านี้”


ไม้เขี่ยฟืนเอ่ย “ส่วนหนึ่งของดวงวิญญาณมันยังคงหลงเหลืออยู่ อยากให้ข้าเผาทำความสะอาดมันให้หรือไม่?”


“บังอาจ!”


ทันใดนั้นเอง เสียงด้านในกระจกทองแดงก็ดังขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับพลังกดดันอันมหาศาล ความว่างเปล่าทั้งหมดในอาณาจักรอวี้ซวีระเบิดออกมา กระทั่งดวงดาราอื่นที่อยู่รอบบริเวณยังได้รับผลกระทบ ถึงกับมีดาวดวงหนึ่งแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ กระจายตกลงมา


ทางด้านเหล่าสมบัติก็มีพลังที่มองไม่เห็นพุ่งเข้าโจมตีพวกมันพร้อมกับเสียง พวกมันรีบระเบิดพลังออกมาต้านทานเอาไว้


ทว่าครั้งนี้พวกมันไม่อาจต้านทานได้อย่างราบรื่นเหมือนเคย ถูกกระแทกจนกระเด็นออกไป แสงที่เปล่งอยู่รอบกายสลัวลง


สีหน้าของมัจฉาสัตมายาพลันแปรเปลี่ยน ดูเหมือนว่าคราวนี้มันจะพบกับศัตรูตัวฉกาจเข้าแล้ว!



ฟังจบแล้วถ้าใครอยากสนับสนุนช่องโดเนท ให้ช่องของเราเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น หรืออยากขอนิยาย
ช่องทางสนับสนุนช่องอยู่ใต้ลิงค์คลิปชั่นนะครับ