นิยายเสียง อยู่ดีดีข้าก็เป็นเซียน
บทที่ 681ถึง 685
ตัวยังไม่ออก โผล่มาเพียงแค่เสียงตะคอกก็สามารถโจมตีเหล่าสมบัติจนถอยร่นได้ ไม่ต้องสงสัยเลย สิ่งที่อยู่ด้านในกระจกทองแดงจะต้องทรงพลังไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ใบหน้าของมัจฉาสัตมายาเคร่งขรึม เมื่อครู่เหล่าสมบัติเพิ่งปกป้องมันเอาไว้ ไม่เช่นนั้นกระทั่งวิญญาณของเขาจะต้องดับสลายหายไปอย่างแน่นอน!
สิ่งที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในพลังพิศวงกำลังจะออกมาอย่างนั้นหรือ?
มันคิดขึ้นมาในใจ
“คนผู้นี้...คนผู้นี้เผชิญหน้าด้วยไม่ง่ายเลย!”
ชามกระเบืองเคลือบเปิดปากเอ่ยออกมา ด้านในน้ำเสียงมีความหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย มันไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ภายในใจจึงเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา
ชามกระเบื้องเคลือบที่เหลืออีกเจ็ดใบเองก็สั่นสะท้านเล็กน้อยเช่นเดียวกัน พวกมันล้วนมีวิญญาณเป็นสตรีเพศ ทำให้ค่อนข้างจะขี้อายอยู่บ้าง อีกทั้งยังไม่เคยพบพานอันตรายใหญ่หลวงอันใดมาก่อน เพิ่งได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ในกระจกทองแดงซึ่งสามารถคุกคามพวกมันได้เป็นครั้งแรก จะแสดงท่าทางเช่นนี้ออกมาก็นับเป็นเรื่องปกติ
สำหรับสมบัติชิ้นอื่น ๆ แม้จะไม่ได้หวาดกลัว แต่ก็อดเกิดความสับสนตื่นตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พวกมันมีประสบการณ์น้อยเกิดไป แม้ว่าจะเคยต่อสู้มาก่อน แต่การต่อสู้ครั้งนั้นก็เป็นศึกที่เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง ไม่มีอันตรายหรือความกดดันอันใดให้พูดถึงทั้งสิ้น แตกต่างกับตอนนี้โดยสิ้นเชิง สิ่งที่อยู่ในกระจกทองแดนอันตรายเป็นอย่างมากและสามารถคุกคามพวกเขาอย่างหนัก!
ให้กล่าวแล้วผู้ที่สงบที่สุดก็คือ จอบเซียน
มันมีเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ ไม่เหมือนกับสมบัติชิ้นอื่น ๆ แม้มันจะประหลาดใจกับความทรงพลังของสิ่งที่อยู่ในกระจกทองแดง แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนก ไม่ได้หวาดเกรง ทั้งยังใจเย็นเป็นอย่างมาก
“ค่อนข้างจะน่าสนใจ!”
เสียงที่ออกมาจากกระจกทองแดงเองก็มีความประหลาดใจอยู่ มันคิดว่าเสียงที่เพิ่งตะโกนไปเมื่อครู่จะทำลายสมบัติทั้งหมดทิ้งได้ทันที ไม่คาดว่าเหล่าสมบัติทำเพียงแค่กระเด็นถอยออกไป
ตัวตนของมันเป็นสิ่งใด?
เป็นถึงจ้าวผู้หนึ่งในแดนกำเนิดพิศวง!
แม้ว่าเมื่อครู่มันจะไม่ได้ใช้พลังมากมายอันใด แต่ก็เพียงพอที่จะลบสมบัติทั่วไปในอาณาจักรอันแสนต่ำต้อยออกไปได้ ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาที่การใช้พลังของมันแต่อย่างใด
ผลออกมาคือนอกจากมันจะไม่สามารถกำจัดสมบัติเหล่านี้ได้ ยังไม่อาจสร้างความเสียหายให้พวกมันแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วจะให้มันไม่แปลกใจได้อย่างไร?
ดูเหมือนว่าอาณาจักรเบื้องนอกแสนต่ำต้อยจะไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่มันคิดจินตนาการ!
“ให้ข้าดูเสียว่าพวกเจ้าเป็นสิ่งใดกันแน่”
มีเสียงดังออกมาจากกระจกทองแดงอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงของมันมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่เล็กน้อย
ตามปกติแล้ว อาณาจักรเบื้องนอกอันแสนต่ำต้อย ไม่ควรจะมีสมบัติเหล่านี้ปรากฏออกมา...
เพียงชั่วพริบตา ลมหายใจอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิมก็กระเพื่อมออกมาจากกระจกทองแดง ทำให้เหล่าสมบัติสัมผัสได้ถึงอันตรายและแรงกดดันที่มากขึ้น
ชามกระเบื้องเคลือบทั้งแปดสั่นสะท้านหนักกว่าเดิม พวกมันไม่มีประสบการณ์การต่อสู้เช่นนี้ ทั้งยังไม่เคยต้องมาสัมผัสกับภัยอันตรายใด ๆ มาก่อน
“ไม่ต้องกลัว! พี่ชายอยู่ที่นี่แล้ว!”
จอบเซียนตะโกน ก่อนพุ่งมาอยู่ด้านหน้าพี่น้องชามกระเบื้องเคลือบทั้งแปด ช่วยต้านทานลดทอนแรงกดดันที่ชามกระเบื้องเคลือบได้รับ
“ของคุณพี่จอบ!”
“พี่จอบยอดเยี่ยมที่สุด!”
ด้วยความช่วยเหลือจากจอบเซียน ทำให้พี่น้องชามกระเบื้องเคลือบทั้งแปดได้รับแรงกดดันน้อยลง พวกมันจึงรีบเอ่ยขอบคุณจอบเซียนอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร สำหรับข้าแล้วนับเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย”
จอบเซียนเอ่ยออกมาอย่างไม่ยี่หระ เมื่อถูกพี่สาวน้องสาวชามกระเบื้องเคลือบเรียกว่า พี่จอบก็พลันอิ่มเอมใจขึ้นมา
“พี่จอบ ท่านช่วยข้าด้วยได้หรือไม่? ข้ารู้สึกกดดันเป็นอย่างมากจนเริ่มหายใจลำบากบ้างแล้ว!”
มัจฉาสัตมายาอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ มันเองก็ต้องการให้จอบเซียนช่วยเหลือ เพราะเริ่มจะทนไม่ได้บ้างแล้วจริง ๆ
“ไปให้พ้น! ไปหาพี่ชายคนอื่นของเจ้าเสีย!”
จอบเซียนตอบกลับด้วยความขุ่นเคือง ยังคิดจะให้เขาแบ่งแรงกดดันไปอีกงั้นหรือ?!
แรงกดดันที่อยู่บนตัวมันนับว่าไม่น้อย การช่วยเหลือพี่สาวน้องสาวทั้งแปดทำให้มันรับภาระหนัก อาจสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ
หากมันช่วยเหลือมัจฉาสัจมายาอีก มันคงต้องพังทลายลงภายในพริบตา
สิ่งที่อยู่ด้านในกระจกทองแดงนั้นน่ากลัวจริง ๆ!
“นอกจากนี้ ต่อไปก็อย่าได้เรียกข้าว่าพี่จอบอีก! เจ้าเรียกแล้วทำให้ข้ารู้สึกแขยงใจ เอาถังขยะมาราดใส่ข้ายังรังเกียจน้อยเสียยิ่งกว่า!”
มันพูดต่อ เมื่อนึกถึงเสียงของมัจฉาสัตมายาที่เรียกมันว่าพี่จอบ ก็พลันรู้สึกเกินจะทน คิดอยากจะอาเจียน!
“!!!”
มัจฉาสัตมายาอับจนคำพูด จอบเซียนช่างสองมาตราฐานเสียเหลือเกิน พี่สาวน้องสาวชามกระเบื้องเคลือบทั้งแปดเรียกได้ แต่มันเรียกไม่ได้หรือ?
นี่ก็แค่เห็นหญิงดีกว่ามิตรภาพ!
“???”
ถังขยะฉงน เหตุใดจึงดึงมันไปเกี่ยวข้องด้วยเล่า!
“เจ้าช่วยมีมารยาทหน่อยได้หรือไม่?” มันอดเอ่ยกับจอบเซียนไม่ได้
จอบเซียนนั้นไม่มีมารยาทแม้สักนิดเดียว!
วิ้งงงง!
แสงเจ็ดสีสาดทอออกมาจากกระจกทองแดง ทั่วทั้งอาณาจักรอวี้ซวีสั่นสะเทือน กระทั่งดาราดวงอื่นรอบบริเวณยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
หลังจากนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตปรากฏออกมาจากกระจกทองแดง
มันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มหึมาที่มองไม่ออกว่าเป็นเผ่าพันธุ์ใด หลังจากมันออกมาจากกระจกทองแดง ท้องฟ้าทั้งหมดก็คล้ายพังทลาย อาณาจักรอวี้ซวีไม่อาจทนรองรับมันได้!
ร่างกายส่วนบนของมันอยู่เหนือสูงขึ้นไปจนถึงด้านนอกอาณาจักอวี้ซวี ขนยาวปลิวสยายไปทั่ว แต่ละเส้นประหนึ่งมังกรยักษ์โผล่บิน ทั้งยังมีสีสันเปลี่ยนไปตลอดเวลา ดูแล้วชวนสะท้านขวัญจนไม่อาจบรรยายออกมาได้!
“ให้ข้าดูเสียว่าพวกเจ้าเป็นสิ่งใดกันแน่...”
มันมองลงมายังโลกอวี้ซวี ดวงตาทั้งสองข้างประหนึ่งดวงดาราจับจ้องมาทางเหล่าสมบัติ
“นี่มัน...ของเล่นอันใดกัน!”
หลังจากได้เห็นสมบัติมันก็ตกตะลึงไปชั่วขณะอย่างเห็นได้ชัด มันคาดไม่ถึงเลยว่าสมบัติเหล่านี้จะกลายเป็นเพียงเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของปุถุชนทั่วไป!
มีทั้งหม้อ ชาม กระบวย เกาอี้โยก ไม้เขี่ยฟืน แล้วก็ถังขยะ???
ทั้งหมดนี่มันอันใดกัน!
มันมึนงงอยู่บ้าง หรือว่ามันไม่ได้มายังที่แห่งนี้นานเกินไป จึงไม่รู้ว่าอาณาจักรที่แสนต่ำต้อยเหล่านี้จะพัฒนาขึ้นมาถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว?
กระทั่งปุถุชนก็สามารถครอบครองสมบัติระดับสูงเช่นนี้ได้?
ไม่มีทาง!
มันไม่อยากจะเชื่อ
แต่ว่าหากไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว เช่นนั้นผู้ใดจะสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเล่น ๆ?
อีกทั้งผู้แข็งแกร่งที่ไหนกันยังจำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้!
ผู้ที่ยังต้องใช้สิ่งเหล่านี้ย่อมต้องเป็นปุถุชนทั่วไป!
ไม่ต้องพูดถึงผู้แข็งแกร่งเสียด้วยซ้ำ กระทั่งผู้ฝึกตนธรรมดา ๆ ก็ยังไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งของเหล่านี้!
หากไม่ใช้ก็แสดงว่าต้องหมกมุ่น!
ผู้สร้างต้องหมกมุ่นกับสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก!
“พูดจาอันใดไร้สาระ!? อย่าคิดว่าตัวใหญ่แล้วพวกเราจะกลัวเจ้า!”
ถังขยะตะโกนออกมา มันเรียกใครว่าของเล่นกัน?
มันได้ยินคำเยาะเย้ยและเหยียดหยามเต็มน้ำเสียงของสิ่งมีชีวิตตนนั้น
มันโกรธเป็นอย่างมาก!
พวกมันทั้งหมดล้วนถูกคุณชายสร้างขึ้นมาเอง การที่เยาะเย้ยเหยียดหยามพวกมันเช่นนี้ ก็เหมือนกับการเยาะเย้ยเหยียดหยามคุณชาย!
“เอะอะเสียงดัง!”
สิ่งมีชีวิตตนนั้นเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาพร้อมท่าทางที่ดุร้ายขึ้น “เป็นเพียงของผุพังกองหนึ่ง กล้าดีอย่างไรมาพูดเช่นนี้กับข้า หากอยากตายก็ไม่ควรหาหนทางตายเช่นนี้!”
จากนั้นมันก็ชี้นิ้วไปทางจ้าวหลานที่กลายสภาพเป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ พลันเกิดความผันผวนจากพลังพิศวงขึ้น
พริบตาต่อมา ร่างของจ้าวหลานก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้มันได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าจะหลงเหลือเศษวิญญาณอยู่บ้าง แต่หากมันต้องการจะฟื้นฟูตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายทั้งยังจำเป็นต้องเผชิญกับความยุ่งยากอีกด้วย
อย่างไรเสีย ฝ่ามือของสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้ก็มีพลังอันไม่สามารถจินตนาการได้ถึง ยังคงหลงเหลือพลังตกค้างในร่างของมัน หากมันต้องการจะฟื้นฟูตนเอง แม้จะเป็นเพียงแค่การฟื้นฟูบางส่วนก็จะต้องลำบากและใช้เวลานานเป็นอย่างยิ่ง
“ขอบพระคุณท่านผู้ยิ่งใหญ่!”
จ้าวหลานรีบเอ่ยขอบคุณสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้
ครั้งนี้มันไม่เพียงแต่ฟื้นตัวกลับมาอย่างสมบูรณ์ แต่ยังแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ขนยาวบนร่างกายของมันก็เกิดการแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีทองบริสุทธิ์ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าสีน้ำเงินก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก!
มันในตอนนี้ เพียงแค่ยกมือก็สามารถสยบจักรพรรดิเซียนลงได้อย่างไม่มีปัญหา!
มันคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตพิศวงเช่นนี้ออกมาจากกระจกทองแดง แข็งแกร่งและน่ากลัวเสียยิ่งกว่า ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ที่มันเคยพบเจอมาหลายเท่า!
คนผู้นี้จะต้องมาจากแดนกำเนิดพิศวงอย่างแน่นอน อีกทั้งตำแหน่งฐานะในแดนกำเนิดพิศวงจะต้องสูงเป็นอย่างมาก มีบทบาทไม่ธรรมดา!
มันคิดขึ้นมาภายในใจ
ทว่าความจริงแล้ว แม้สิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้จะมาจากแดนกำเนิดพิศวงจริง แต่นั่นก็ไม่ใช่แดนกำเนิดพิศวงตามที่จ้าวหลานคิด
ภายในใจของจ้าวหลานคิดว่าสถานที่แห่งนั้นที่อยู่อีกด้านหนึ่งถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยแดนบรรพโกลาหล
ในความคิดของจ้าวหลานและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในจักรวาลโกลาหล สถานที่ถัดออกไปที่ถูกแดนบรรพโกลาหลปิดกั้นเอาไว้คือ แดนกำเนิดพิศวง
แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น
แหล่งที่มาแท้จริงของความพิศวงนั้นมาจากด้านนอกจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ และสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้ก็มาจากที่นั่น!
นี่นับเป็นข้อแตกต่างที่สำคัญ ที่มีช่องว่างความแตกต่างมากเกินไป
หากสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้มาจากสถานที่ที่ถูกแดนบรรพโกลาหลปิดกั้นเอาไว้ มันจะไม่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ ไม่อาจคุกคามและนำพาความรู้สึกอันตรายให้กับเหล่าสมบัติได้หนักหนาขนาดนี้
มีเพียงแต่แดนกำเนิดพิศวงที่ก้าวข้ามจักรวาลโกลาหลได้จึงจะสามารถนำพาอันตรายและแรงคุกคามขนาดหนักมาสู่เหล่าสมบัติได้!
“คราวนี้เจ้าทำได้ดีมาก ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะหัวเราะเสียงดังน่าเกลียดมากจนทำให้ข้าแขยงก็ตาม แต่ก็มีผลงานน่ายกย่อง ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าแล้วกัน”
สิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้นอ้าปากพูดต่อ “ไป ไปจำกัดพวกมันให้สิ้นซากเสีย!”
หากไม่ใช่เพราะจ้าวหลานส่งพลังเข้าไปยังกระจกทองแดงอย่างสุดแรงด้วยความสิ้นหวัง ทำให้มันที่อยู่ในอีกด้านสัมผัสตอบรับได้ มันคงไม่อาจจะมายังสถานที่แห่งนี้ได้
นี่เป็นเหตุผลที่ก่อนหน้านี้มันจึงไม่สังหารจ้าวหลานทิ้ง
มันเคยมอบกระจกทองแดงให้กับสิ่งมีชีวิตพิศวงที่อยู่ในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ ทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงเกิดการต่อสู้แย่งชิงกระจกทองแดงบานนี้ ทว่าตัวมันเองนั้นลืมเรื่องของกระจกทองแดงในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ไปนานแล้ว
ด้วยลักษณะของกระจกทองแดงช่างไม่ดึงดูดสายตาของมันเลย อีกทั้งในมือของมันยังมีกระจกทองแดงอยู่อีกจำนวนมาก มันไม่ได้มอบกระจกทองแดงให้กับสิ่งมีชีวิติพิศวงในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้เท่านั้น มันยังได้มอบให้กับสิ่งมีชีวิตพิศวงในจักรวาลโกลาหลแห่งอื่นอีกด้วย
ไม่คาดคิดเลยว่า กระจกทองแดงที่มันเคยไม่เห็นค่าในสายตา กลับสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่!
พวกมันต้องการเข้ามายังจักรวาลโกลาหลแห่งนี้มาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่สบโอกาส ทั้งยังไม่กล้าเคลื่อนไหวมากเกินไป
การที่มันสามารถเข้ามาในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ได้ นับว่าเป็นการช่วยเหลือพวกมันครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
‘ข้ามาพร้อมกับภารกิจที่แบกรับเอาไว้ คราวนี้จำเป็นต้องตรวจสอบทุกอย่างให้กระจ่างชัด!’
มันคิดขึ้นมาในใจพร้อมรอยยิ้มที่ยกขึ้นมุมปาก
ครั้งนี้มันไม่ได้มาเพื่อช่วยเหลือจ้าวหลานอะไรนี่
จ้าวหลานไม่คู่ควรกับความช่วยเหลือจากจ้าวแห่งความพิศวงอย่างมัน
หลี่จิ่วเต้า!
สิ่งมีชีวิตพิศวงตัวนี้มายังจักรวาลโกลาหลผืนนี้ก็เพื่อสืบค้นข้อมูลของหลี่จิ่วเต้า
ครั้งซีก้าวขึ้นบันไดสวรรค์ในแดนบรรพกาลได้ถึงร้อยขึ้นครานั้น หรือก็คือจุดสูงสุด มันได้เผยให้เห็นถึงพรสวรรค์เลิศล้ำเกินหยั่ง จนเป็นที่สนใจของกองกำลังย่อยของพวกมันในจักรวาลโกลาหลผืนนี้
พรสวรรค์เลิศล้ำเกินหยั่งระดับนี้ เมื่อใดที่ได้เติบโต ย่อมต้องน่าครั่นคร้ามเป็นที่สุด กองกำลังย่อยของพวกมันในด้านนี้จึงคิดหาวิธีกำจัดซีไปก่อน
ฝ่ายพิศวงลางร้ายมีกองกำลังย่อยมากมายคณานับ จุดกำเนิดที่แท้จริงมิได้เจือจุนกองกำลังย่อยเหล่านี้เท่าใด เพียงแต่ให้กองกำลังย่อยต่าง ๆ แยกย้ายกันไปสั่งสมอำนาจในจักรวาลโกลาหลแต่ละผืน แล้วยึดครองจักวาลโกลาหลแต่ละผืนนั้นด้วยกำลังของตน
เช่นนี้ก็เพื่อให้สมาชิกกองกำลังย่อยเหล่านี้ได้รับการขัดเกลาจนเติบโตขึ้น
แท้จริงแล้ว กองกำลังย่อยของพวกมันไม่มีอำนาจพลังพอจะบุกเข้าไปในแดนบรรพโกลาหล มิฉะนั้น ก็คงไม่ถูกพลังในแดนบรรพโกลาหลสกัดกั้น ยึดครองจักรวาลโกลาหลผืนนี้ได้นานแล้ว
แต่เพื่อกำจัดสิ่งที่ประเมินมิได้อย่างซี ไม่ให้ซีมีโอกาสเจริญก้าวหน้า กองกำลังย่อยเลือกที่จะยกทัพทั้งหมดเข้าจู่โจม และหาหนทางส่งบรรพจารย์โบราณท่านหนึ่งเข้าไป
ส่งบรรพจารย์โบราณระดับนี้เข้าไป ย่อมต้องฆ่าล้างแดนบรรพโกลาหล และกำจัดซีออกไปได้ ทว่าเรื่องที่มิมีผู้ใดคาดคิดคือ เบื้องหลังของซีมีผู้ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการคอยคุ้มครองอยู่!
พวกมันไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นเป็นใคร บรรพจารย์โบราณที่ส่งเข้าไปไม่ทันได้ประกอบกิจอันใด ก็ถูกร่างแย่งวิถีของผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นกำราบ
ต่อมา แดนกำเนิดพิศวงลางร้ายอย่างแท้จริงยังต้องแตกตื่น ส่งพลังไปเจือจุนบรรพจารย์ท่านนั้น กระนั้นยังมิไหว
แดนกำเนิดพิศวงลางร้ายที่แท้จริงให้ความสำคัญต่อสถานการณ์นี้มาก ซ้ำต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนยังจุติลงมาด้วยตนเอง
ทว่าหารู้ไม่ ท่านผู้นั้นอัศจรรย์ถึงขีดสุด ทั้งที่มิใช่ร่างจริง เป็นเพียงร่างแยกวิถี ก็บดขยี้ต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนจนแหลกลาญลงไปได้!
พวกมันต่างตะลึงงัน สะท้านในอก
แต่พวกมันมิได้เกรงกลัว
เบื้องหลังพวกมันมีพลังเทวโลกคอยค้ำจุน ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายพวกมันได้
เพราะอย่างนั้น หลังจากสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้รับรู้ถึงการมีอยู่ของกระจกสัมฤทธิ์ ก็รีบไปหาเหล่าต้นบรรพจารย์ ถามว่าสามารถเข้าไปสืบข้อมูลที่จักรวาลโกลาหลแห่งนี้ก่อนได้หรือไม่
ดูว่าท่านผู้นั้นมีภูมิหลังความเป็นมาอย่างไร
เหล่าบรรพจารย์อนุญาตให้มันไป มันถึงมายังจักรวาลโกลาหลผืนนี้โดยอ้างกระจกสัมฤทธิ์
ยามมา มันระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะกังวลว่าจะถูกท่านผู้นั้นจับได้ แต่หลังจากมันมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย จึงคิดว่าท่านผู้นั้นหาได้เก่งกล้าสามารถไปเสียทุกอย่าง มิได้จับตาดูสถานการณ์ในจักรวาลโกลาหลผืนนี้อยู่ตลอด
นี่คือโอกาสอันดีสำหรับมันอย่างไม่ต้องสงสัย
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ห้วงมิติระเบิดแหลกลาญ จ้าวหลานบุกออกไปข้างหน้าตามคำบัญชา มันไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว พลังทวีไม่รู้กี่เท่าตัว แผ่นหินเขียวปูพื้นเข้าถล่มมัน ถูกมันป้องกันไว้ได้ด้วยพลังกล้าแกร่ง
มันรู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้สามารถกำราบจักรพรรดิเซียน กระหน่ำบรรพจารย์เซียนได้ง่ายดาย พลังที่มีอาจเหนือชั้นกว่าบรรพจารย์เซียนด้วยซ้ำ ก้าวสู่ขอบเขตที่เหนือกว่านั้นไปแล้ว
“ยังกล้าโอหังต่อหน้าข้าอยู่อีกรึ?! ข้า…”
จ้าวหลานเริ่มลืมตัว ตะคอกโหวกเหวกไม่หยุด ทว่ามันไม่ทันกล่าวจบ ก็รู้สึกถึงสายตาน่าประหวั่นพรั่นพรึงมองมาหามันจากทางด้านหลัง มันกลัวจนรีบหุบปาก วาจาที่กำลังจะพ่นออกไปต้องฝืนกลืนกลับเข้าไป
มันเกือบทำให้จ้าวแห่งความพิศวงผู้นี้ไม่พอใจอีกแล้ว!
มันก่อนนี้ลำพองอวดดีเกินไป จนสร้างความไม่พอใจให้กับจ้าวแห่งความพิศวงผู้นี้ จึงถูกจ้าวแห่งความพิศวงผู้นี้ตบเป็นหมอกเลือด…
หลังจากมันหุบปาก ก็รู้สึกได้ว่าสายตาที่จ้องมันจากทางด้านหลังหายลับไป
เหงื่อเย็นไหลโซมลงมาตามตัว นึกโชคดีอยู่เต็มประดา ยังดีที่มันมีไหวพริบ หุบปากทัน มิฉะนั้น มันได้โดนตบอีกแน่!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
มันมิกล้าเอื้อนเอ่ยวาจาใดอีก หลอมหอกยาวเล่มหนึ่งขึ้นมาด้วยพลังพิศวงลางร้าย บุกไปหาเหล่าของวิเศษ คลื่นพลังอันน่ากลัวซัดสาดใส่ปฐพีจนเสียงดังครืนคราน!
หมายจะกำจัดเหล่าของวิเศษไปให้หมด!
นี่คือคำสั่งจากจ้าวแห่งความพิศวงซึ่งอยู่เบื้องหลังของมัน แม้มันจะปวดใจอย่างมาก นึกเสียดายอยู่หน่อย ๆ ถึงอย่างไร วัสดุของวิเศษเหล่านี้ต่างอัศจรรย์เหลือแสน เลอค่าสูงส่ง ถูกทำลายไปทั้งอย่างนี้นับว่าน่าเสียดายยิ่ง
ทว่ามันก็มิกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของจ้าวแห่งความพิศวง
มันลงมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มี มิได้กักเก็บแม้แต่น้อย เป้าหมายคือทำลายเหล่าของวิเศษให้สิ้นซาก!
หอกยาวทิ่มแทงออกไป พลังน่าพรั่นพรึงปะทุออกมา โต๊ะเก้าอี้หินออกหน้ารับศึก แต่ก็ต้องถอยด้วยแรงกระเทือนไปทันที ซ้ำยังเกิดรอยร้าวตามตัวอีกด้วย!
แม้ว่ารอยร้าวนั้นกระจิริด บางยิ่งกว่าเส้นผม กระนั้นก็เกิดรอยร้าวขึ้นมาแล้วจริง ๆ พลังของจ้าวหลานในยามนี้ ทำอันตรายเหล่าของวิเศษได้จริง ๆ!
จ้าวหลานตาเป็นประกาย อยากจะระเบิดเสียงหัวเราะ ทว่าเพียงพริบตาเดียว มันก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ ทำเช่นนั้นเท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ!
มันระเบิดพลังอีกครั้ง บุกเข้าไปในดงของวิเศษ พลังที่ระเบิดออกมาจากหอกยาวสะเทือนเลือนลั่น บรรดาของวิเศษเริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
มัจฉาสัตมายาถอยกลับไปนานแล้ว การต่อสู้เช่นนี้มิใช่การต่อสู้ที่มันสามารถเข้าร่วมได้ หากฝืนเข้าร่วม น่ากลัวว่ามันคงถูกปลิดชีพในชั่วพริบตา
“พี่หลิวเล่า”
หัวใจของมันหนักอึ้ง หากพี่หลิวไม่ออกโรง ด้วยพลังของเหล่าของวิเศษเพียงอย่างเดียวคงยากจะพ้นภัย!
บัดนี้ ลำพังเพียงต่อกรกับจ้าวหลานยังลำบากยากเข็ญสำหรับเหล่าของวิเศษ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจัดการกับจ้าวแห่งความพิศวง หากคิดจะผ่านภัยพิบัติครั้งนี้ ยังต้องหวังพึ่งพี่หลิว!
แต่จนบัดนี้พี่หลิวยังไม่หือไม่อือเลยสักนิด…
หรือว่าพี่หลิวกลับไปแล้ว มิได้อยู่ในอาณาจักรอวี้ซวี?
จ้าวหลานยิ่งได้ต่อสู้ก็ยิ่งดุดัน เหล่าของวิเศษถูกกำราบจนยิ่งทุลักทุเล กลายเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างสิ้นเชิง
อันที่จริง เป็นเพราะประสบการณ์ต่อสู้ของเหล่าของวิเศษน้อยเกินไป จึงมิอาจระเบิดพลังในตัวออกมาได้เต็มที่
หากว่าเหล่าของวิเศษสามารถเปล่งอำนาจที่แท้จริงออกมาได้ พวกมันไม่มีทางถูกถล่มจนอยู่ในสภาพยับเยินปานนี้ ต่อให้จ้าวหลานในเวลานี้ดุดันเพียงใด ก็ไม่มีทางเป็นเช่นนี้ได้!
อีกด้าน จ้าวแห่งความพิศวงมองดูทุกอย่างเงียบเชียบ มันไม่ยี่หระที่จะลงมือกับเหล่าของวิเศษ ในสายตาของมัน เหล่าของวิเศษเป็นเพียงของดาษดื่น
หากมันลงมือ เพียงโจมตีง่าย ๆ ก็สามารถสยบเหล่าของวิเศษได้แล้ว
ของวิเศษเหล่านี้ยังไม่ควรค่าให้มันต้องลงมือ
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
จ้าวหลานสายตาเหี้ยมเกรียม จู่โจมรุนแรง ไม่ให้โอกาสเหล่าของวิเศษแม้แต่น้อย หมายจะกำจัดให้สิ้นซากในคราเดียว
เหล่าของวิเศษกดดันขึ้นเป็นเท่าตัว เริ่มสึกหรอบ้างแล้วไม่มากก็น้อย เปลวเพลิงบนกระบองเขี่ยไฟเริ่มเบาบางลง ถังขยะพ่น ‘ของเสีย’ ออกมา
ถ้วยกระเบื้องพิถีพิถันแปดถ้วยก็เต็มไปด้วยรอยร้าว พวกมันต่างรู้สึกถึงภยันตรายอันใหญ่หลวง ซึ่งอาจถูกกำจัด!
“ฆ่า!”
เมื่อได้เห็นภาพนี้ จ้าวหลานก็ลงมือรุนแรงยิ่งขึ้น มันต้องเร่งพลังอีกหน่อย เท่านี้มันก็จะกำจัดเหล่าของวิเศษได้หมด!
แต่นั่นเป็นเพียงความทึกทักเอาเองของมันเท่านั้น
มันคิดว่ามันเร่งกำลังอีกนิดก็จะกำราบเหล่าของวิเศษลงได้ หากเป็นของวิเศษชิ้นอื่นอาจเป็นเช่นนั้นจริง
แต่ของวิเศษเหล่านี้ไม่ธรรมดา
มันประเมินเหล่าของวิเศษต่ำเกินไป!
ในนาทีความเป็นความตาย เป็นช่วงเวลาที่กระตุ้นพลังแฝงได้ดีที่สุด สถานการณ์ของเหล่าของวิเศษในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น พวกมันสัมผัสถึงอันตรายที่อาจถูกกำจัด ส่งผลให้พวกมันเอาชนะความกลัว เปล่งพลังอันรุนแรงยิ่งขึ้นออกมาได้!
ถึงอย่างไร พวกมันก็ไม่ธรรมดา หลังจากถูกบีบคั้นจนวิกฤต พลังของพวกมันที่ไม่เคยระเบิดออกมาก็ปะทุในบัดนี้!
เสียงดัง ‘ตู้ม!’ แผ่นหินเขียวปูพื้นถล่มอีกครั้ง กฎวิถีอันน่ากลัวเคลื่อนทะยาน หอกยาวซึ่งหลอมด้วยพลังพิศวงลางร้ายของจ้าวหลานถูกทำลายจนป่นปี้ในบัดดล ต้านทานมิได้เลย!
ถ้วยกระเบื้องพิถีพิถันแปดถ้วยเปล่งประกายเจิดจ้า รอยร้าวตามตัวหายสาบสูญ คืนสภาพดังเก่า พวกมันส่ายตัวถ้วยเบา ๆ คลื่นแสงสีขาวพิเศษซัดสาดออกไป จ้าวหลานกอดหัวร้องลั่นอย่างเจ็บปวด ดวงวิญญาณถูกโจมตีอย่างรุนแรง!
กระบองเขี่ยไฟลุกโชนอีกครั้ง แผดเผามาถึงจ้าวหลานในชั่วพริบตา ทันใดนั้น ตัวจ้าวหลานลุกเป็นไฟ ควันดำโขมง จ้าวหลานถูกไฟลวกจนต้องคำรามออกมาอย่างเจ็บปวดเหลือแสน
เปลวเพลิงสลาย ขนพิศวงบนตัวจ้าวหลานหลุดไปจนหมดแล้ว เนื้อตัวไหม้เกรียม อนาถจนไม่อาจทนมองได้ไหว
“เมื่อครู่กระบองบอกว่าเจ้าตาบอด มองไม่เห็นผิดชอบชั่วดี ข้าว่ามิใช่ ข้ารู้สึกว่าสมองเจ้าไม่ดีเท่าใด ข้ามาช่วยเรียกสติ”
ถังขยะบุกเข้ามา คว่ำลงบนหัวจ้าวหลาน มันไม่สงวนกลิ่นอายอีกต่อไป แผลงฤทธิ์เต็มที่ ชั่วพริบตานั้น จ้าวหลานสัมผัสถึงรสชาติที่ทรมานยิ่งกว่าตาย มันเกือบเสียสติเพราะกลิ่นเหม็นของถังขยะ!
เหล่าของวิเศษลงมืออย่างพร้อมเพรียง พลังที่ระเบิดออกมานั้นเหนือกว่าเก่ามากนัก บัดนี้ ไม่ว่าของวิเศษชิ้นไหนต่างสามารถเอาชนะจ้าวหลานได้ง่ายดาย มิเหมือนอย่างเก่า
“พอได้แล้ว!”
จ้าวแห่งความพิศวงทนดูไม่ไหว มันแค่นเสียงเย็น คลื่นพลังน่ากลัวถาโถม เหล่าของวิเศษกระเด็นกระดอน จ้าวหลานถูกช่วยไว้ได้
มันตกตะลึงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเหล่าของวิเศษจะวิวัฒนาการ เปล่งพลังยิ่งใหญ่ได้เพียงนี้
แต่เพียงไม่นานมันก็สงบความตะลึงนั้นได้
ต่อให้เหล่าของวิเศษสำแดงฤทธิ์เดชได้มหัศจรรย์เพียงใด ก็หาได้มีค่าในสายตาของมัน
“ข้ามอบพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ให้มันได้ อย่างเช่นแบบนี้…”
จ้าวแห่งความพิศวงปริปากเบา ๆ จิ้มนิ้วหนึ่งไปทางจ้าวหลาน ชั่วพริบตานั้น บาดแผลบนตัวจ้าวหลานหายไปทั้งหมด พลังปราณในตัวพุ่งพรวดไม่หยุด ไม่นานนักก็อยู่ในระดับสยดสยองอย่างยิ่งยวด!
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น จ้าวแห่งความพิศวงก็มิได้หยุดยั้ง เพิ่มพูนพลังของจ้าวหลานไปเรื่อย ๆ มันไม่ต้องการให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดอันใดอีก
พลังปราณของจ้าวหลานยกระดับอย่างบ้าคลั่ง พลังในกายยิ่งคูณทวี ระดับขอบเขตของจ้าวแห่งความพิศวงสูงเกินไป มันช่วยให้จ้าวหลานมีพลังไร้เทียมทานได้อย่างง่ายดาย
“ประมาณนี้คงพอแล้ว”
จ้าวแห่งความพิศวงหยุดมือ มิได้เพิ่มพลังของจ้าวหลานต่อ พลังที่จ้าวหลานมีในตอนนี้พอแน่นอน มันรู้สึกว่า ต่อให้ส่งจ้าวหลานเข้าไปในแดนบรรพโกลาหลก็คงมิมีผู้ใดทัดเทียม กวาดล้างได้ทั้งแดนบรรพโกลาหล
“พวกเจ้าเล่า ผู้ใดจะมอบพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ให้พวกเจ้ากัน”
จ้าวแห่งความพิศวงทอดมองเหล่าของวิเศษ เอ่ยเสียงราบเรียบ “มองเห็นนภาเท่าเพียงปากบ่อ พวกเจ้าต้อยต่ำเกินไป พลังและสิ่งที่เหนือกว่าจินตนาการของพวกเจ้ามีอยู่ถมเถ”
เหล่าของวิเศษหนักอึ้งในใจ จ้าวแห่งความพิศวงผู้นี้จัดการได้ยากจริง!
เสียงดังฟึ่บ ก้านหลิวก้านหนึ่งทะลุมิติมาอยู่ที่นี่
“ถูกต้อง มิมีผู้ใดมอบพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ให้พวกมันได้ เพราะพวกมันไม่ต้องการ พลังในตัวพวกมันกล้าแกร่งพออยู่แล้ว!”
ต้นหลิวมาถึง
“มองเห็นนภาเท่าเพียงปากบ่อ พวกเจ้าต้อยต่ำเกินไป พลังและสิ่งที่เหนือกว่าจินตนาการของพวกเจ้ามีอยู่ถมเถ ประโยคนี้เจ้าเอ่ยให้ตัวเองฟังหรือ”
ต้นหลิวเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้ายังไม่มีสิทธิ์เอ่ยวาจาเช่นนี้กับพวกมัน!”
ต้นหลิวกล่าวต่อ แข็งกร้าวไร้ผู้ใดทัดเทียม!
ต้นหลิวมาแล้ว!
หัวใจที่เต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ของเหล่าของวิเศษเบาลงอย่างสิ้นเชิง พวกมันเชื่อใจในตัวต้นหลิวมาก ต่างประจักษ์กันก่อนหน้านี้แล้วว่าต้นหลิวน่ากลัวปานใด
“พี่หลิวไร้เทียมทาน!”
มัจฉาสัตมายาตะโกนลั่น สีหน้าเต็มตื้น ในใจของเขา ต้นหลิวเป็นรองเพียงคุณชาย กวาดล้างศัตรูได้ทุกหมู่เหล่า!
“ตัวบ้าบออะไรอีกล่ะ!”
จ้าวแห่งความพิศวงแค่นเสียงเย็น คิ้วขมวดน้อย ๆ ตวาดออกมา “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงกล้าวางมาดใหญ่โตต่อหน้าข้าถึงเพียงนี้ มาแค่…ก้านหลิวก้านเดียวเท่านั้น”
พลังชั่วร้ายน่าครั่นคร้ามหลั่งไหลออกจากตัวมัน อวกาศนอกอาณาจักรระเบิดรุนแรง ดวงดาวทั้งหมดแตกออก ไม่เหลืออยู่สักดวง
“ตัวบ้าบออะไรอีกฮึ? ตาไม่ดีเอาเสียเลย ยังไม่รีบถอนรากถอนโคนมันมาอีก เจ้ามัวรออะไรอยู่?!”
จ้าวแห่งความพิศวงถีบเข้าที่ตัวจ้าวหลาน จนจ้าวหลานล้มหัวคะมำ ดินเต็มปาก
มันยั้งพลังอยู่ มิฉะนั้นที่ถีบไปพอจะเอาชีวิตจ้าวหลานแล้ว
จ้าวหลานอัดอั้นตันใจเป็นหนักหนา!
มันน่ะหรือตาไม่ดี?
มันกล้าตาดีที่ไหน?
มันแค่หัวเราะก่อนหน้านี้ยังมิได้ ไฉนเลยจะกล้าทึกทักอันใดเอาเองอีก!
หากมิใช่เช่นนี้ ด้วยนิสัยของมัน หลังจากได้ยินวาจาเหิมเกริมของต้นหลิว มีหรือจะอยู่เฉยได้ไหว?
ไม่มีทางอยู่แล้ว!
คงต่อว่าหรือลงมือกำราบต้นหลิวไปนานแล้ว!
ทว่ามันกล้าแค่คิดในใจเท่านั้น มิกล้าเอ่ยออกมาเลยสักนิด
มันคลานขึ้นจากพื้นทันที ก่อนจะบุกไปหาต้นหลิว
ระหว่างนี้ มันมิกล้าเปล่งแม้แต่ถ้อยคำเดียว กลัวจะพูดอันใดผิดแล้วแสลงหูจ้าวแห่งความพิศวงท่านนี้อีก
“เจ้าเพิ่มพลังให้มันได้ตลอดมิใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าทำต่อสิ พลังแค่นี้ของมันไม่คณนามือข้าหรอก…” ต้นหลิวเอ่ยเสียงเบา
จากนั้นก้านหลิวไหวเบา ๆ หนึ่งที ก็มีลำแสงเจิดจ้าพุ่งไปหาจ้าวหลาน
จ้าวหลานผวาทันที ดวงวิญญาณสั่นสะท้านไม่หยุด มันสัมผัสได้ว่าภายในลำแสงนี้มีพลังสยดสยองน่ากลัวเพียงใดแฝงเอาไว้ เกินกว่าที่มันจะรับมือไหว!
ต่อให้พลังที่มันมีในครอบครองตอนนี้จะแข็งแกร่งมหันต์ก็มิไหว!
อย่างที่คิด มันเปล่งพลังเต็มกำลังก็ต้านมิได้ ห่างชั้นกันเกินไป!
เสียงดังตู้ม มันถูกลำแสงนั้นยิงใส่ กระเด็นออกไปทันใด ล้มแทบเท้าจ้าวแห่งความพิศวง ปากกระอักเลือดออกมาไม่หยุด ร่างหายไปกว่าครึ่งค่อนตัว
จ้าวแห่งความพิศวงสายตาเย็นเยียบทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้นหลิวกำลังท้าทายมันอยู่!
มันไฉนเลยจะทนไหว?!
เป็นไปได้เช่นไร!
“ลุกขึ้นสู้ต่อ!”
มันตวาดเสียงเย็น กระทืบเท้ากับพื้น จ้าวหลานที่นอนแนบเท้ามันกระเด้งตัวขึ้นมาในบัดดล
จากนั้นฝ่ามือข้างหนึ่งของมันก็ซัดลงมา กดลงบนหัวจ้าวหลาน ถ่ายเทพลังสู่ตัวจ้าวหลาน
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ลำแสงพิศวงพวยพุ่งออกจากตัวจ้าวหลานเรื่อย ๆ ร่างทั้งร่างขยายจนมหึมา เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้จ้าวแห่งความพิศวงมิได้ ‘อ่อนโยน’ อย่างครั้งก่อน ถ่ายพลังออกไปอย่างบ้าคลั่งจนเพิ่มขึ้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า!
อย่าให้เอ่ยเลยว่าจ้าวหลานทรมานขนาดไหน พลังดุดันมากมายหลั่งไหลสู่ร่างของมันอย่างบ้าคลั่ง มันรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้ระเบิดเต็มที ความเจ็บปวดแผ่ซ่านสู่ทุกอณูในตัว มันได้ลิ้มรสความทุกข์ที่หนักหนายิ่งกว่าตายอีกครั้ง
“พอได้แล้ว พอได้แล้ว!”
มันร่ำไห้ น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไร้เสียง ร่ำร้องในใจไม่หยุด
จ้าวแห่งความพิศวงไม่สนใจความรู้สึกของมันเลยสักนิด มันใกล้จะระเบิดแล้วจริง ๆ ทว่าจ้าวแห่งความพิศวงก็ยังไม่มีทีท่าหยุดยั้ง
มันไม่เคยคิดเลยว่า ยามตัวเองได้รับพลังสยดสยองน่ากลัวปานนี้จะไม่รู้สึกสุขใจเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังตรอมตรมอย่างแสนสาหัสอีกด้วย!
ท้ายที่สุด จ้าวแห่งความพิศวงก็รามือ
“พอแล้ว”
มันเอ่ยเสียงราบเรียบ “ไปเถิด ถอนรากถอนโคนมันออกมาผ่าทำฟืน!”
พลังที่มันถ่ายเทให้แก่จ้าวหลานในครานี้แข็งแกร่งพอแน่นอน ต่อให้พาตัวจ้าวหลานไปยังอาณาจักรโกลาหลระดับกลาง จ้าวหลานก็สร้างชื่อเสียงได้แน่นอน กวาดล้างศัตรูได้มากมาย
“ได้!”
จ้าวหลานตอบรับทันที รีบบุกเข้าไปหาต้นหลิว
พลังในกายตอนนี้มหาศาลเกินไป มันจึงต้องรีบ ‘ระบาย’ ออกมา!
“พอแล้วรึ?”
ต้นหลิวหัวเราะเบา ๆ “นี่หรือคือสายตาการมองเห็นของเจ้า พลังแค่นี้หาได้พอไม่…”
ก้านหลิวของมันสะบัดอีกครั้ง ลำแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา ทิ่มแทงไปหาจ้าวหลาน!
เสียงดังปัง จ้าวหลานกระเด็นไปอยู่แทบเท้าจ้าวแห่งความพิศวงอีกครั้ง
หนนี้มันบาดเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม ทันทีที่ไปอยู่แทบเท้าจ้าวแห่งความพิศวง ร่างของมันก็ระเบิดแหลก กลายเป็นหมอกเลือด
เมื่อได้เห็นภาพนี้ นัยน์ตาจ้าวแห่งความพิศวงพลันหรี่ลง ประกายประหลาดวูบวาบอยู่ในนั้น
นี่มันเรื่องอันใดกัน? จักรวาลโกลาหลชั้นต่ำเยี่ยงนี้มีกำลังรบระดับต้นหลิวอยู่ด้วยรึ?
มันคิดไม่ถึงจริง ๆ!
ตามหลักแล้วไม่ควรเป็นเช่นนั้น ความโกลาหลเป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง ไม่ว่าญาณใดล้วนอยู่ใต้ขีดจำกัดของความโกลาหล ภายในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ พลังความโกลาหลแข็งแกร่งเพียงใด ระดับของสิ่งมีชีวิตในนั้นก็สูงได้เท่านั้น
พลังโกลาหลเป็นเหมือนเพดาน
แต่เห็นได้ชัดว่าต้นหลิวตรงหน้าทลายเพดานของจักรวาลโกลาหลผืนนี้ไปแล้ว พลังที่มีนั้นเกินกว่าพลังโกลาหลในจักรวาลโกลาหลผืนนี้!
ทำได้อย่างไรกัน?
มันเชื่อไม่ลง!
เพดานนั้นทลายได้ง่ายที่ไหนกัน?
ต่อให้เป็นความพิศวงลางร้ายอย่างพวกมัน ก็ต้องได้รับพลังเทวโลกมาช่วยจุนเจือก่อน จึงจะทลายเพดานในจักรวาลโกลาหล แล้วกระโดดข้ามขีดจำกัดออกมาได้
เท่าที่พวกมันรู้มา ภายในจักรวาลโกลาหลมากมายเหล่านี้ มีสิ่งมีชีวิตไม่กี่ตนที่สามารถทลายเพดานของจักรวาลโกลาหลที่ตนอยู่ จนสามารถกระโดดข้ามขีดจำกัดออกมาได้
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากมาก จนแทบเป็นไปไม่ได้เลย ถึงอย่างไรพลังที่ใช้บำเพ็ญตน ทั้งวิถีและวิชาอาคมล้วนมาจากจักรวาลโกลาหล ไฉนเลยจะทลายได้?
ต้นหลิวกลับทลายได้ จะมิให้มันตะลึงได้อย่างไร?
“มิน่าถึงหยิ่งผยองปานนี้! กระนั้นก็ไม่มีประโยชน์! เพดานของจักรวาลโกลาหลชั้นต่ำเช่นนี้ ทลายได้แล้วอย่างไร เดิมทีก็มิได้สูงอยู่แล้ว!”
จ้าวแห่งความพิศวงแค่นเสียงเย็น ชี้นิ้วไปยังจ้าวหลานผู้กลายเป็นหมอกเลือด เสี้ยวอึดใจนั้น หมอกเลือดที่สลายออกหลอมรวมเข้าด้วยกันอีกครั้ง กายเนื้อของจ้าวหลานหลอมรวมเข้ามา
ทันทีที่กายเนื้อของจ้าวหลานหลอมรวมขึ้นมา ก็มีแรงดูดมหาศาลดึงมันขึ้น มือใหญ่ของจ้าวแห่งความพิศวงกดลงบนหัวของจ้าวหลานอีกครั้ง ถ่ายพลังเข้าไปในตัวจ้าวหลานต่อ
ไม่เอาน่า!
พวกท่านสองคนสู้กันเองเลยมิได้หรือ?
ไยต้องให้ข้าเป็นตัวกลางด้วย!
ชั่วพริบตานั้น น้ำตาของจ้าวหลานหลั่งรินลงมาดุจสายฝน เจ็บปวดชอกช้ำ เหตุใดมันถึงอนาถาเช่นนี้ เสมือนลูกบอลให้จ้าวแห่งความพิศวงกับต้นหลิวเตะไปเตะมา!
ศึกต่อสู้ระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ ใช่เรื่องให้ตัวละครต่ำต้อยเช่นมันคอยเป็นตัวกลางที่ไหน ดวลกันไป ดวลกันมา มันต้องลำบากแทบแย่ มิสู้ฆ่ามันเสียเลยยังจะดีกว่า!
แต่ทั้งหมดนี้มิอาจเป็นไปตามที่ใจมันนึก ร่างของมันบวมเป่งขยายตัวประหนึ่งลูกบอลยักษ์กลมกลึง ความรู้สึกเจ็บปวดเหลือล้น คล้ายจะระเบิดอยู่รอมร่อกลับมาอีกครั้ง มันร้องไห้จนน้ำมูกไหล
หนนี้ จ้าวแห่งความพิศวงลงมือรุนแรงยิ่งขึ้น พลังที่ถ่ายเทลงไปนั้นกล้าแกร่งยิ่งขึ้น นี่คือพลังที่ฝืนถ่ายเข้าไป อย่าให้เอ่ยเลยว่ามันทรมานปานใด ทุกข์ทนยิ่งกว่าตายอย่างแท้จริง
“ไม่ต้องรีบ ค่อยเป็นค่อยไป ข้าให้เวลาเจ้าจนพอ คราวนี้อย่าให้ข้าต้องผิดหวังอีก…”
ต้นหลิวเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง มิได้ลงมือยับยั้งแต่อย่างใด
เหิมเกริมยิ่งนัก!
สีหน้าของจ้าวแห่งความพิศวงขุ่นหมอง เขาเคยถูกหมิ่นเกียรติถึงเพียงนี้ที่ไหน?
มันเร่งความเร็วในการถ่ายเทพลังทันที พลังมากมายถูกมันส่งเข้าไปในตัวจ้าวหลาน
“อ๊ากกกกก!”
จ้าวหลานทนไม่ไหวอีกต่อไป ตะโกนด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกถูกฝืนถ่ายเทพลังเช่นนี้ทรมานเกินไป มันควบคุมตัวเองไม่ไหวแล้ว!
“หือ? จะหยุดแล้วหรือ อย่าหยุดจะดีกว่า พลังเท่านี้ยังไม่พอ…”
ต้นหลิวเอ่ยเสียงเรื่อยเปื่อย
พี่ชาย!
พี่ชายบังเกิดเกล้า!
พี่ชายบังเกิดเกล้าที่เคารพ!
เลิกพูดเสียทีได้หรือไม่?!
หลังจากจ้าวหลานได้ยินคำกล่าวของต้นหลิว ก็ร้องไห้หนักยิ่งขึ้น
จะทำร้ายกันก็ไม่น่าถึงขั้นทำเหมือนมันมิใช่มนุษย์นี่!
เอ่อ… แม้ว่ามันจะมิใช่มนุษย์จริง ๆ กระนั้นก็ไม่ควรทำร้ายมันถึงเพียงนี้!
“ได้ สมดังที่เจ้าหวัง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
เดิมจ้าวแห่งความพิศวงคิดรามือแล้ว แต่เมื่อได้ยินวาจาเหล่านั้นของต้นหลิว มันกลับเร่งความเร็วในการถ่ายพลังอีกครั้ง
“อ๊ากกกก!”
จ้าวหลานโหยหวน ชักกระตุกไปทั้งร่าง สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนราง ไม่รู้สึกตัวอีกต่อไป
ในที่สุด จ้าวแห่งความพิศวงก็ยอมรามือ พลังที่มันถ่ายไปคราวนี้มากพอและแข็งแกร่งพอจะทำลายล้างจักรวาลโกลาหลผืนหนึ่ง มันไม่เชื่อว่าจะกำราบต้นหลิวมิได้
“เจ้าตัวไร้ประโยชน์!”
มันปรายตามองจ้าวหลาน พบว่าตัวจ้าวหลานยังชักอยู่ ไม่เหลือสติ
“มอบพลังให้เจ้า เจ้ายังรับไม่ไหว เศษสวะจริง ๆ!”
มันแค่นเสียงเย็น ชี้นิ้วออกไป ทันใดนั้น มีลำแสงแทรกซึมเข้าไปยังส่วนวิญญาณของจ้าวหลาน ช่วยประคองวิญญาณจ้าวหลาน คืนสติให้มัน
ไม่นานนัก สติจ้าวหลานก็กลับมา
“ฉีกมันเป็นชิ้น ๆ!”
มันออกคำสั่งใส่จ้าวหลานเสียงเย็น
จ้าวหลานคำรามเสียงต่ำ ประหนึ่งอสุรกายคลุ้มคลั่ง ต้องการเร่งปลดปล่อยพลังในตัวที่ ‘เกินเกณฑ์’ ไปอย่างมาก
มันกระโจนตัวขึ้น เหาะไปทางต้นหลิว
“นี่หรือคือขอบเขตโลกทัศน์ของเจ้า ก็จริง ปลาซิวปลาสร้อยอย่างเจ้า ไหนเลยจะมีโลกทัศน์กว้างไกลได้…”
ต้นหลิวปริปาก ลำแสงเจิดจ้าพวยพุ่งออกไปอีกครั้ง จ้าวหลานถูกหวดกลับมาประดุจพ่อที่ตีลูก ร่างกายระเบิดเป็นหมอกเลือด ห่างชั้นกันมากจริง ๆ
ดุดันปานนี้เชียวหรือ?!
นัยน์ตาของจ้าวแห่งความพิศวงหรี่ตาอย่างแรง สะท้านใจอย่างยิ่งยวด มันคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าต้นหลิวจะมาถึงขั้นนี้ ทรงพลังแกร่งกล้าได้ถึงเพียงนี้!
แบบนี้ใช่การทลายเพดานของจักรวาลโกลาหลชั้นต่ำที่ไหน แบบนี้เหมือนทลายเพดานจักรวาลโกลาหลระดับสูงออกมาชัด ๆ!
มันมีสีหน้าเคร่งเครียด เผชิญกับศัตรูตัวฉกาจเข้าแล้วจริง ๆ หนนี้ มันมิได้ถ่ายพลังให้แก่จ้าวหลานอีก เพียงบุกเข้าไปหาต้นหลิวด้วยตนเอง
เสียงดัง ‘ฟึ่บ!’ มันเรียกดาบใหญ่สีดำออกมา ก่อนจะควงดาบใหญ่สีดำนั้นฟาดฟันใส่ต้นหลิว
“ข้าบอกแล้วว่า ในตัวพวกมันมีพลังเบ็ดเสร็จอย่างที่เจ้าจินตนาการไม่ออก บัดนี้ ข้าจะให้เจ้าได้เห็น ให้เจ้าเป็นตัวช่วยกระตุ้นพลังของพวกมันออกมา”
ต้นหลิวคำรามออกมา พลังประหลาดบางอย่างซัดสาดออกมา พันธนาการจ้าวแห่งความพิศวงไว้กลางอากาศ
“อะ…อะไรกัน!”
จ้าวแห่งความพิศวงอุทานเสียงหลง กลัวจนสติแทบกระเจิง
ต้องมีพลังฝีมือระดับใดกัน ถึงสะกดมันได้ด้วยวาจาเดียว?!
มันขนลุกเกลียว เหงื่อเย็นไหลโซมกาย พลังที่พันธนาการมันอยู่นี้เหนือชั้นกว่ามันมาก มันมิอาจสลัดหลุดไปได้เลย ไม่ถือว่าอยู่บนบรรทัดฐานเดียวกัน!
“ปล่อยเฮือกสุดท้ายของเจ้าออกมาเสีย กระตุ้นพลังของพวกมันออกมา”
ต้นหลิวเอ่ยเสียงเบา
หมายความว่าอย่างไร?
จ้าวแห่งความพิศวงทำหน้าฉงน ไม่เข้าใจความหมายในวาจาของต้นหลิว
ทว่ามันก็ได้เข้าใจในเวลาต่อมา
ก้านหลิวเปล่งแสงมาอยู่ข้างกายของมันในชั่วพริบตา พร้อมหวดก้านกระแทกมัน
มันรู้สึกได้ทันทีว่า มีกฎระเบียบบางอย่างแทรกซึมเข้าสู่ร่างของมัน จนพลังส่วนใหญ่ในตัวถูกสะกดไว้
จากนั้นก้านหลิวก็เหินออกห่าง พลังที่พันธนาการมันไว้หายลับไป มันกลับมาเคลื่อนไหวตัวได้อีกครั้ง ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมอีก
“ไปเถิด ฆ่าพวกมันให้เกลี้ยง แล้วเจ้าจะได้ไปจากที่แห่งนี้แบบเป็น ๆ”
ต้นหลิวเอ่ยเสียงเบา “วางใจได้ ข้าไม่ลงมือช่วยเหลือแต่อย่างใด และจะรักษาคำพูดให้”
จ้าวแห่งความพิศวงมิได้โง่ หลังจากได้ยินคำกล่าวของต้นหลิว ก็ถึงคราวกระจ่างแจ้งในบัดดล
ต้นหลิวคิดจะใช้เขาขัดเกลาเหล่าของวิเศษ!
ในใจพลันรู้สึกอัปยศอย่างถึงที่สุด มันเป็นตัวตนระดับไหน เป็นถึงจ้าวแห่งความพิศวงที่ก้าวกระโดดออกจากจักรวาลโกลาหลมาได้ กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือขัดเกลา…เครื่องใช้ชีวิตประจำวัน!
มันรู้สึกแย่มากจริง ๆ อีกทั้งยังรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ทว่ามันไม่มีสิทธิ์เลือกอันใด ได้แต่ทำตามที่สั่ง
ต้นหลิวสะกดจ้าวแห่งความพิศวงไว้กลางอากาศได้ในวาจาเดียว หวดคราเดียวก็ผนึกพลังในตัวมันไว้ได้ นี่มิใช่ผู้ที่มันสามารถต่อกรไหว ห่างชั้นกันเกินไป!
อีกฝ่ายมีความเป็นมาอย่างไรกัน?!
มันคิดในใจอย่างอดมิได้ รู้สึกอยู่เสมอว่าต้นหลิวดูมิใช่สิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้
พลังโกลาหลในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้ต่ำต้อยเกินไป สิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดจากพลังโกลาหลต่ำต้อยเช่นนี้ ย่อมมีศักยภาพจำกัด
ต้นหลิวกลับแข็งแกร่งน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ เทียบกับสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลโกลาหลระดับสูงกว่าแล้วก็ยังแกร่งกล้าน่ากลัวยิ่งกว่า มันสงสัยจริง ๆ ว่าต้นหลิวเป็นสิ่งมีชีวิตภายนอก มิใช่สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้
เดี๋ยวก่อน…!
สิ่งมีชีวิตภายนอกมิใช่สิ่งมีชีวิตดั้งเดิมในอาณาจักรแห่งนี้รึ!?
มันนึกถึงผู้ที่บดขยี้ต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนจนแหลกลาญขึ้นมาในบัดดล!
เป้าหมายที่มันต้องการสืบเสาะ!
พวกมันคิดว่า ท่านผู้นั้นก็มิใช่สิ่งมีชีวิตดั้งเดิมในจักรวาลโกลาหลแห่งนี้เช่นกัน น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตจากภายนอก!
ต้นหลิวก็เป็นสิ่งมีชีวิตจากภายนอก…
อีกทั้งต้นหลิวยังแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ!
มันรู้สึกว่าต้นหลิวน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับท่านผู้นั้น!
‘มิน่า ข้าถึงมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่น ที่แท้ต้นหลิวมันก็รอข้าอยู่แล้ว!’
จ้าวแห่งความพิศวงตรึกตรองดู ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าต้นหลิวมีความเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น ที่คนผู้นั้นมิได้ลงมือจัดการมัน คงเพียงเพราะต้นหลิวรออยู่ที่นี่
‘อ๊ากกก เดิมคิดว่าท่านผู้นั้นมิได้สนใจจักรวาลโกลาหลผืนนี้มาก บัดนี้ดูแล้วมิใช่เลย! ท่านผู้นั้นดูเหมือนจะใส่ใจจักรวาลโกลาหลผืนนี้เป็นพิเศษ!’
มันร่ำร้องคำรามในใจ ทีแรกคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดี ที่ไหนได้ หาใช่เช่นนั้นไม่ นี่คือเส้นทางที่ลิขิตไว้แล้วว่านำไปสู่ความตาย!
“พี่หลิว ท่านหมายความว่า?”
“พวกเราต้องสู้กับมันต่อหรือ”
เหล่าของวิเศษหันมองต้นหลิว ถามอย่างไม่เข้าใจ
“อืม”
ต้นหลิวกล่าว “พลังของพวกเจ้านั้นไร้ขอบเขต เพียงแต่ยังไม่ถูกกระตุ้นออกมาเท่านั้น ก่อนนี้พวกเจ้าอาศัยอยู่แต่ในลาน ไม่รู้ว่าพลังในตัวนั้นแข็งแกร่งปานใด วันนี้ข้าจะกระตุ้นพลังพวกเจ้าออกมาให้หมด!”
มันเหลือบมองจ้าวแห่งความพิศวง ก่อนจะกล่าวต่อ “แน่นอนว่า กระตุ้นพลังทั้งหมดของพวกเจ้าออกมามิได้หรอก มันกระจอกเกินไป”
การต่อสู้ชี้ชะตาความเป็นความตายเท่านั้นที่กระตุ้นพลังแฝงออกมาได้ง่าย เหล่าของวิเศษก่อนหน้านี้คือตัวอย่างที่ดีที่สุด
และที่มันไม่ยอมปรากฏตัวออกมาเสียทีก็เพราะเหตุผลนี้
มันต้องการกระตุ้นพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ของเหล่าของวิเศษออกมา
เรื่องบ้าอะไรกัน!?
พอจ้าวแห่งความพิศวงได้ยินถ้อยคำของต้นหลิว ก็โมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยว ต้นหลิวจะบอกว่าตัวมัน…เทียบชั้นเครื่องใช้ประจำวันจำพวกนี้มิได้หรือ?
บัดซบ!
หยามเกียรติมันมากเกินไปแล้ว!
“เริ่มเลย จำไว้ว่าข้าจะไม่ลงมือช่วยพวกเจ้า”
ต้นหลิวบอกกับเหล่าของวิเศษ
“เข้าใจแล้ว!”
“ได้เลยพี่หลิว!”
เหล่าของวิเศษรู้ดีว่าต้นหลิวไม่มีทางทำร้ายพวกมัน และพวกมันล้วนต้องการแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ การต่อสู้ก่อนหน้านี้ระคายใจเกินไป พวกมันสู้ไม่ชนะจ้าวหลานผู้นั้นด้วยซ้ำ แล้วยังเกือบมีอันเป็นไปอีก พวกมันทำให้คุณชายขายหน้าเกินไปแล้ว
พวกมันเป็นผลงานของคุณชาย เปรียบเสมือนศักดิ์ศรีของคุณชายในระดับหนึ่ง พวกมันควรจะแข็งแกร่งกว่านี้จริง ๆ มิฉะนั้น ภายหน้าคงทำให้คุณชายขายหน้ากว่านี้แน่
หลังจากนั้นพวกมันก็กรูกันเข้าไป จู่โจมใส่จ้าวแห่งความพิศวง
“ฆ่า!”
จ้าวแห่งความพิศวงกลั้นน้ำโหอยู่เต็มอก เมื่อเห็นเหล่าของวิเศษบุกมาหามัน มันก็เข้าห้ำหั่นเต็มกำลัง
อนิจจา…พลังของมันที่ถูกสะกดนั้นมหาศาลเกินไป มิฉะนั้น มันกระดิกนิ้วไม่กี่ทีก็กำราบเหล่าของวิเศษได้แล้ว!
และนี่ก็เป็นความตั้งใจของต้นหลิว
หากพลังของจ้าวแห่งความพิศวงรุนแรงเกินไป เหล่าของวิเศษคงไม่ทันได้สู้ เพราะอย่างนั้น ต้นหลิวจึงจงใจสะกดพลังของจ้าวแห่งความพิศวงจนถึงระดับที่เหล่าของวิเศษรับมือไหว เช่นนี้เหล่าของวิเศษจึงจะสู้ได้ และกระตุ้นพลังแฝงออกมา
การต่อสู้เปิดฉาก จ้าวแห่งความพิศวงดุดันอย่างแท้จริง เหล่าของวิเศษถูกข่มจนสะบักสะบอม
“เท่านี้เองหรือ?!”
จ้าวแห่งความพิศวงยิ้มเย็น สำแดงวิชาพิฆาต บัดนี้มันไม่คิดมากอีกต่อไป ฆ่าได้สักตัวก็คุ้มสำหรับมันแล้ว!
มันเผยวิชาลับบางอย่าง พลังพิศวงซัดสาด ม่านหมอกประหลาดบางอย่างกระจายออกไป ปกคลุมเหล่าของวิเศษไว้ทั้งหมด
ชั่วพริบตานั้น เหล่าของวิเศษยิ่งเสียเปรียบมากขึ้น ไม่ว่าถังขยะจะส่งกลิ่นเหม็นเน่าเท่าไหร่ก็มิไหว ล้วนถูกม่านหมอกประหลาดนี้ระงับเอาไว้!
พลังแต่ละด้านของพวกมันก็ถูกกำราบ ท่ามกลางม่านหมอกพิเศษเช่นนี้ พวกมันเสมือนว่าตาบอด มองไม่เห็นสิ่งใด ประสาทสัมผัสวิญญาณถูกปิดกั้นทั้งหมด!
จ้าวแห่งความพิศวงกระโจนเข้าไปในม่านหมอกพิเศษนั้น หลอมดาบยาวสีดำเล่มหนึ่งขึ้นด้วยพลังพิศวง ภายในม่านหมอกพิเศษนี้ มันคือผู้ชี้ชะตา ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลกระทบอันใด กลับมีพลังเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย!
มันเป็นเหมือนวิญญาณที่จับตัวมิได้ ในสถานการณ์ที่ประสาทสัมผัสญาณของเหล่าของวิเศษถูกปิดกั้นทั้งหมด จะไม่อาจจับร่องรอยมันได้
มันลงมืออย่างโหดเหี้ยม ตวัดดาบคราเดียวฟันผ้าเช็ดโต๊ะผืนหนึ่งออกเป็นริ้ว ๆ แล้วเตะออกไปจนแผ่นหินเขียวปูพื้นแหลกลาญ เศษหินปลิวว่อน
“พี่หลิว จะไม่เป็นไรแน่หรือ!?”
มัจฉาสัตมายามาอยู่ข้างกายต้นหลิวถามอย่างกังวล
“ไม่เป็นไร”
ต้นหลิวตอบเสียงเบา “เหล่าของวิเศษเป็นผลงานคุณชาย ไหนเลยจะเกิดเรื่องได้ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นข้า หากคิดกำจัดเหล่าของวิเศษให้สิ้นซากจริง ๆ ก็ไม่มีทางทำได้”
วาจาของมันผ่านกรรมวิธีบางอย่าง จึงมีเพียงมัจฉาสัตมายาเท่านั้นที่ได้ยิน
หากเหล่าของวิเศษได้ยินด้วย มันเกรงว่าการขัดเกลาจะไม่ได้ผล
ผลงานคุณชาย ผู้ใดจะกำจัดได้?
ขนาดมันก็ยังทำไม่ได้
“ก็จริง!”
หลังจากได้ยินคำกล่าวของต้นหลิว มัจฉาสัตมายาก็สบายใจได้เสียที มันไม่กังวลอีกต่อไป
คิดแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง นี่คือสิ่งที่คุณชายใช้เป็นประจำ ไยจะถูกกำจัดได้ง่าย ๆ
เป็นไปไม่ได้!
‘แปลกจริง เหตุใดถึงไม่เห็นชางเหยา’
หลังจากหายกังวลในเรื่องเหล่าของวิเศษ มัจฉาสัตมายาก็นึกถึงชางเหยาขึ้นมา
ตามหลักแล้วไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ
เขามาปรากฏตัวตั้งนานแล้ว ด้วยนิสัยของชางเหยา คงมาหาแล้วถึงจะถูก
ทว่าจวบจนบัดนี้ เขาก็ยังไม่เห็นเงาของชางเหยา
‘ยอมแพ้แล้วหรือ’
เขาคิดในใจ ‘ยอมแพ้แล้วก็ดี! ข้าจะได้อยู่อย่างสงบเสียที’
ชางเหยาเจอเขาทีไรเป็นต้องตัวติดกับเขาอยู่ตลอด น่าปวดหัวเป็นที่สุด เขาคิดอยู่ตลอดว่าถ้าชางเหยาเลิกทำตัวติดเขาแจเสียทีก็คงดี
ทว่าบัดนี้ ชางเหยาเลิกติดเขาแล้วจริง ๆ เขากลับรู้สึกโหวงเหวงและไม่สบายใจอย่างมาก
‘คงมิใช่ว่าข้ามีใจให้นางกระมัง!’
หัวใจของมัจฉาสัตมายากระตุกวูบ นึกในใจว่าคงมิใช่ว่าเขาชอบชางเหยาเข้าแล้วกระมัง?
‘เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้! ข้าไฉนเลยจะชอบนาง ข้าอยากให้นางอยู่ห่างจากเขาแทบแย่!’
เขารีบสลัดความคิดนั้นทิ้ง อนิจจา แม้เขาจะพูดเช่นนั้น ในใจก็ยังผิดหวังมากอยู่ดี ผิดหวังเพราะไม่ได้พบชางเหยา
‘ข้าฝักใฝ่ในวิถีแห่งเต๋า จะไขว้เขวเพราะความรักฉันหนุ่มสาวเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่ได้ ๆ! รีบหยุดความคิดฟุ้งซ่านของเจ้าเสียที!’
ยิ่งเขาอยากสลัดความคิดนั้นทิ้ง กลับยิ่งคิดถึงชางเหยา อยากให้ชางเหยาปรากฏตัวต่อหน้าเขา เรียกเขาว่า ‘ท่านพี่ชวน’
หัวใจของเขาว้าวุ่นเหลือแสน
อีกด้าน การต่อสู้ของเหล่าของวิเศษเริ่มเปลี่ยนไป
เดิมทีเหล่าของวิเศษมีพลังไร้ขีดจำกัดอยู่แล้ว เพียงแต่เหล่าของวิเศษยังสำแดงได้ไม่เต็มที่เท่านั้น ภายใต้แรงกดดันถึงนาทีชีวิตจากจ้าวแห่งความพิศวง พลังแฝงของเหล่าของวิเศษถูกรีดเร้นออกมา เผยพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!
ผ้าเช็ดโต๊ะที่ถูกตัดเป็นริ้วเปล่งแสงพร้อมกับสมานกลับมาเป็นผืนเดียว พุ่งไปหาจ้าวแห่งความพิศวง นี่หาใช่ผ้าเช็ดโต๊ะแต่อย่างใด เสมือนมีดคมไร้เทียมทานเสียมากกว่า จ้าวแห่งความพิศวงชูดาบใหญ่ตั้งรับ ผ้าเช็ดโต๊ะตัดดาบสะบั้นในบัดดล ซ้ำยังผ่าร่างจ้าวแห่งความพิศวงเป็นสองส่วน!
แผ่นหินเขียวปูพื้นก็หลอมรวมเข้าด้วยกันใหม่ ถล่มใส่จ้าวแห่งความพิศวง ด้วยความรุนแรงราวกับทั้งจักรวาลโกลาหลได้ถาโถมเข้าหาจ้าวแห่งความพิศวงอย่างไรอย่างนั้น จ้าวแห่งความพิศวงถูกกดทับจนแหลกละเอียด สภาพน่าสังเวชจนแทบทนดูมิได้
“ไอ้เวรตะไลนี่ รังแกน้องถ้วยหรือ ข้าจะเล่นงานเจ้าให้ตายเลย!”
จอบเซียนปะทุพลัง กดจ้าวแห่งความพิศวงไว้ที่พื้นแล้วกระหน่ำทุบ จ้าวแห่งความพิศวงกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ของวิเศษชิ้นอื่นปะทุพลังออกมาเช่นเดียวกัน จ้าวแห่งความพิศวงอนาถจนถึงที่สุด!
“แน่จริงก็คลายผนึกพลังของข้าสิ!”
จ้าวแห่งความพิศวงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว โมโหจนอกจะระเบิด
มันเป็นตัวตนระดับใดกัน กลับถูกเครื่องใช้ประจำวันของปุถุชนเล่นงานจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ ขายหน้าเกินไปแล้ว!
“ตามที่เจ้าปรารถนา”
ต้นหลิวปริปาก ส่งลำแสงออกไปคลายผนึกพลังบางส่วนของจ้าวแห่งความพิศวง
พลังปราณของจ้าวแห่งความพิศวงทวีคูณในพริบตา ข่มเหล่าของวิเศษลงได้อีกครั้ง คิดกำจัดเหล่าของวิเศษให้ได้เร็วที่สุดอย่างโหดเหี้ยม
อนิจจา เหล่าของวิเศษมิได้ธรรมดาอย่างที่มันคิด
เมื่อเหล่าของวิเศษถูกบีบคั้นจนพบเจอวิกฤตอีกครั้ง เหล่าของวิเศษสามารถรีดเร้นพลังแฝงออกมาได้ ก็ปะทุพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จับจ้าวแห่งความพิศวงห้อยตัวแล้วกระหน่ำทุบ
ด้วยเหตุนี้ หลังจากปลดผนึกครั้งแล้วครั้งเล่า พลังที่เหล่าของวิเศษระเบิดออกมาก็ยกระดับขึ้นไม่หยุด
ท้ายที่สุด จ้าวแห่งความพิศวงก็ไม่เหลือผนึกในตัวอีกต่อไป แต่ไม่ว่าจะปะทุพลังออกมารุนแรงปานใดก็ไม่ไหว ไม่อาจกำราบเหล่าของวิเศษลงได้ ต้องถูกเหล่าของวิเศษสังหาร
ก่อนตาย อย่าให้เอ่ยเลยว่าจ้าวแห่งความพิศวงอดสูเพียงใด
มันคิดไม่ถึงเลยว่า จะตายด้วยน้ำมือพวกเครื่องใช้ประจำวัน!
นี่นับเป็นการตายที่อนาถาที่สุด!
จ้าวหลานก็ถูกเหล่าของวิเศษฆ่าไปด้วย
“ไปเถิด กลับกันได้แล้ว”
ต้นหลิวบอกเบา ๆ “คราวหน้าหากมีโอกาสแบบนี้อีก เราค่อยลุยกันต่อ”
“ได้เลย!”
“ได้สิ!”
เหล่าของวิเศษตอบเสียงตื่นเต้นดีใจ
“ยังไม่มาอีกหรือ”
มัจฉาสัตมายาหันมองไปทางที่ตั้งของจักรวรรดิชางเยว่ หวังว่าชางเหยาจะมาหาเขา
แต่น่าเสียดาย ที่นั่นมิได้มีร่างของผู้ใดเหินเข้ามา
ชางเหยายังไม่ปรากฏตัว!
‘นางจะยอมแพ้ง่าย ๆ ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้! ต้องกำลังเล่นลูกไม้จงใจปล่อยให้โหยหาแน่นอน หวังให้ข้าเป็นฝ่ายไปหานางเองรึ! ข้าไม่ติดกับหรอก!’
มัจฉาสัตมายาคิดในใจ
ชางเหยาไม่มา มัจฉาสัตมายาพะวักพะวน เขารู้สึกว่าตัวเองอาจชอบชางเหยาเข้าแล้วจริง ๆ ความผิดหวังในใจจะรุนแรงเกินไปแล้ว
“คิดถึงนางก็ไปหานางสิ เอาแต่มัวสับสนที่นี่อยู่เพื่ออะไร”
จอบเซียนเดินไปอยู่ข้างกายมัจฉาสัตมายาพร้อมกล่าว “กล้า ๆ หน่อย จะหดหัวอยู่เช่นนี้มิได้!”
พวกมันต่างรู้เรื่องราวระหว่างมัจฉาสัตมายาและชางเหยา คราวก่อนก็เห็นกันหมดแล้ว
“อย่างเช่นข้า”
จอบเซียนกล่าวต่อ “ข้าชอบน้องถ้วย ข้าไม่เคยซ่อนความรู้สึก แสดงความรักอย่างอาจหาญ จีบอย่างกล้าหาญ!”
“ท่านชอบน้องถ้วยคนใดหรือ”
มัจฉาสัตมายาถามเสียงเบา
“ข้าชอบ…”
จอบเซียนทอดมองถ้วยกระเบื้องทั้งแปด พลันไม่แน่ใจขึ้นมา
บ้าเอ๊ย!
ถ้วยกระเบื้องทั้งแปดใบเหมือนกันทุกประการ ญาณศัสตราภายในก็เป็นดวงเดียวกัน เขายังไม่รู้เลยว่าเขาชอบถ้วยไหน
“ข้าชอบทั้งหมด!”
สุดท้าย มันบอกออกไปแบบนี้
ชอบทั้งหมด?
มัจฉาสัตมายาหัวเราะในใจไม่หยุด จอบเซียนแยกไม่ได้เห็น ๆ ต่างหากเล่า!
ยังจะกล้าบอกว่าชอบทั้งหมดอีก!
ปากแข็งเท่านั้นแหละ!
“จะไปหรือไม่”
ต้นหลิวมองมัจฉาสัตมายาพลางถาม “ถ้าเจ้าไป พวกเราจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”
ไปหรือไม่ไป?
มัจฉาสัตมายาสับสน เขาอยากไป แต่ไปแล้วจะให้เอื้อนเอ่ยคำใดเล่า
ความรู้สึกที่เขามีต่อชางเหยาเป็นเช่นไรก็ยังไม่แน่ใจ…
ช่างเถิด
เขาเอ่ย “ไม่ไป”
รอให้เขาแน่ใจเมื่อไหร่ ค่อยไปหาชางเหยาก็ยังไม่สาย
ถึงอย่างไรก็มีพี่หลิวอยู่ เขากลับมาได้ทุกเมื่อ หาได้เสียเวลาไม่
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถิด”
ต้นหลิวเอ่ยบอก สร้างเส้นทางขึ้นมา และกลับไปพร้อมกับเหล่าของวิเศษ
...
เวลานั้น เจ้าหลวงกลับไปถึงนครพิศวงของจ้าวหลานแล้ว
“เฮ้อ พี่ใหญ่คงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว!”
มันถอนหายใจหนักหน่วง เอ่ยด้วยความเสียใจเหลือแสน “พี่ใหญ่ของข้า เป็นเพราะข้าพาท่านไปเจอเรื่องร้าย ๆ ทว่าพี่ใหญ่โปรดวางใจ ข้าจะดูแลคนของท่านเป็นอย่างดี!”
ส่วนเรื่องแก้แค้นแทนพี่ใหญ่นั้น มันไม่นึกถึงเลยแม้แต่น้อย
มันสลัดความคิดเช่นนี้ตั้งแต่ครานั้นแล้ว เหล่าของวิเศษน่ากลัวเกินไป ลึกล้ำเกินหยั่ง หากยังคิดแก้แค้นอยู่ รังแต่จะพาตัวเองไปตาย
“ช่างเถิด ข้าหนีเอาตัวรอดดีกว่า!”
เจ้าหลวงขบคิดไปมา รู้สึกว่าอยู่ที่นี่ต่อไม่ปลอดภัย
เหล่าของวิเศษอาจบุกมาหาเพื่อถอนรากถอนโคนของมัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้ว เกรงว่าเหล่าของวิเศษคงโมโหกันแย่
มันล้มเลิกความคิดซ่องสุมกำลังในนครของจ้าวหลาน หากแต่ปล้นสะดมสมบัติในนครของจ้าวหลานจนเกลี้ยง แล้วพาสิ่งมีชีวิตพิศวงที่เหลืออยู่ในนครของจ้าวหลานไปจากที่นี่
“จ้าวแห่งรัตติกาล!”
ระหว่างที่มันได้สนทนากับสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายในนครของจ้าวหลาน มันก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของจ้าวแห่งรัตติกาล
นครรัตติกาลที่จ้าวแห่งรัตติกาลสถาปนาขึ้นนั้นยิ่งใหญ่กว่านี้ เหนือชั้นกว่านครของจ้าวหลานไปมาก มันตัดสินใจไปฝากตัวเป็นพรรคพวกของจ้าวแห่งรัตติกาล
ต้นไม้ใหญ่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ได้ ถึงอย่างไรศัตรูของมันก็เป็นถึงเหล่าของวิเศษ น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก มันมิกล้าอยู่ตามลำพัง
หลังจากได้เข้าเป็นพรรคพวกของจ้าวแห่งรัตติกาล อย่างน้อยยามเหล่าของวิเศษบุกมาหา ก็ยังมีจ้าวแห่งรัตติกาลคอยออกหน้าแทนมัน
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือ การฝากตัวเป็นพรรคพวกเช่นนี้ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ
อย่างเช่นจ้าวหลาน ก่อนหน้านี้ มันกับจ้าวหลานเคยคบค้าสมาคมกันมาบ้าง กระนั้น หากมิใช่ว่ามันยกของที่ได้จากจ้าวตะเข้ให้หมด ใช่ว่าจ้าวหลานจะยอมรับมันไว้
จ้าวแห่งรัตติกาลยิ่งทรงพลังเข้าไปใหญ่ ย่อมไม่มีทางเห็นหัวคนต่ำต้อยเช่นมัน มันต้องยกทุกสิ่งที่ได้จากจ้าวหลานให้จึงจะพอ
มิฉะนั้น จ้าวแห่งรัตติกาลก็ไม่มีทางยอมรับเขาเป็นพรรคพวก
‘ไม่เป็นไร อย่างน้อยข้าก็ดูดกลืนสสารพิศวงทั้งหมดในนครของพี่ใหญ่แล้ว ไม่ขาดทุน ๆ!’
เจ้าหลวงเอ่ยในใจ
ก่อนไป มันต้องดูดกลืนสสารพิศวงทั้งหมดในนครของจ้าวหลานจนเกลี้ยงแน่นอน ไม่ทิ้งขว้างแม้แต่น้อย
“เวลา! สิ่งที่ข้าต้องการคือเวลา!”
ก่อนนี้มันดูดกลืนสสารพิศวงจากนครของจ้าวตะเข้ไปไม่น้อย บัดนี้ได้ดูดกลืนสสารพิศวงในนครของจ้าวหลานอีก สิ่งที่มันขาดแคลนที่สุดในตอนนี้คือเวลา ทันทีที่มันหลอมสสารพิศวงทั้งหมดที่มันดูดกลืนเข้าไปได้แล้ว พลังของมันจะต้องยกระดับอย่างทวีคูณแน่นอน
มันตัดสินใจแล้ว หลังจากไปถึงดินแดนของจ้าวแห่งรัตติกาลจะสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่กระทำเรื่องอื่น จะตั้งใจหลอมสารพิศวงที่ได้ดูดกลืนเข้าไป
“รีบเดินทางดีกว่า!”
มันเร่งฝีเท้าไม่หยุด รุดหน้าสุดชีวิต ตราบใดที่ยังไปไม่ถึงดินแดนของจ้าวแห่งรัตติกาล มันก็มิอาจสบายใจ
ด้วยการเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ พวกมันไปถึงดินแดนของจ้าวแห่งรัตติกาลอย่างรวดเร็ว
สสารพิศวงเข้มข้นโลดแล่น ที่นี่น่าครั่นคร้ามเกินบรรยาย ทอดสายตามองไป พวกมันเต็มไปด้วยดวงดาราอันมีขนพิศวงงอกอยู่
‘สมเป็นจ้าวแห่งรัตติกาล!’
เจ้าหลวงเอ่ยในใจอย่างอดมิได้
ดวงดาราเหล่านั้นมีแต่จะมีขนาดใหญ่กว่านครพิศวงที่จ้าวหลานประทับอยู่ จ้าวแห่งรัตติกาลรวมดวงดารามหึมามากมายขนาดนี้เข้าด้วยกันได้ อีกทั้งยังมีพลังพิศวงลางร้ายเพียงพอที่จะกัดกร่อนดวงดารามหึมาเหล่านี้ ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ
เทียบกับที่นี่แล้ว นครพิศวงที่สร้างโดยจ้าวหลานเหมือนเป็นของเด็กเล่น ห่างชั้นกันมากนัก
มันอดระส่ำระส่ายขึ้นมามิได้ จ้าวแห่งรัตติกาลจะยอมรับมันเข้าพวกหรือ?
มันรู้สึกว่าจ้าวแห่งรัตติกาลอาจไม่ชอบสิ่งที่มันนำมาด้วยก็ได้…
“ต้องลองดูสักตั้ง!”
มาถึงนี่แล้ว มันไม่มีทางยอมไปง่าย ๆ จึงมุ่งไปยังชายแดน ตะโกนเข้าไปด้วยเสียงนอบน้อมว่า “ท่านจ้าวแห่งรัตติกาลผู้ยิ่งใหญ่ ข้าน้อยมาที่นี่เพราะได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน หวังว่าจ้าวแห่งรัตติกาลจะยอมให้ข้าน้อยได้เข้าพบสักครา!”
ครืนคราน!
อวกาศด้านนี้ปั่นป่วนอยู่พักหนึ่ง ร่าง ๆ หนึ่งพลันจุติลงมา
มันมีรูปร่างสูงใหญ่ ขนยาวพิศวงสีส้มงอกอยู่เต็มกาย แข็งแกร่งกว่าจ้าวหลานตั้งไม่รู้กี่เท่า หลังจากเจ้าหลวงได้พบ ก็คุกเข่ากับพื้นทันที
“สวัสดี ข้ามาขอสมัครเป็นพรรคพวกของจ้าวแห่งรัตติกาล!”
มันรีบบอก พร้อมนำทุกอย่างที่ได้มาจากนครของจ้าวหลานออกมา “กิตติศัพท์ของจ้าวแห่งรัตติกาลแซ่ซ้องไปไกล ข้าอยากเป็นหนึ่งในผู้ใต้บัญชาของจ้าวแห่งรัตติกาล วันหน้าจะได้ร่วมเป็นเกียรติกับจ้าวแห่งรัตติกาล หวังว่าจะยอมรับข้าไว้!”
“ไม่เลวนี่ ลุกขึ้นเถิด”
ใบหน้าของสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้นเผยรอยยิ้มพึงใจ วาจาของเจ้าหลวงถูกคอมันมาก มันกล่าวต่อ “ทางเลือกของเจ้าถูกต้องแล้ว ในบรรดานครพิศวงอันยิ่งใหญ่ นครอันมีจ้าวแห่งรัตติกาลเป็นผู้นำแข็งแกร่งที่สุด! เจ้าเลือกเข้าพวกเรานับว่าฉลาดมาก วันหน้าย่อมไม่ลำบาก”
มันสะบัดมือ เก็บทุกอย่างที่เจ้าหลวงนำมาให้
หลังจากเห็นสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้เก็บของไปแล้ว เจ้าหลวงก็โล่งอก
ของเหล่านี้อาจไม่เข้าตาจ้าวแห่งรัตติกาล กระนั้นก็มิได้หมายความว่าไม่เข้าตาสิ่งมีชีวิตพิศวงตนอื่น นี่อย่างไร เข้าตาสิ่งมีชีวิตพิศวงตรงหน้าผู้นี้แล้ว
มันรู้ดีว่า ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องมีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนจึงจะสำเร็จ มิฉะนั้นไม่มีทางบรรลุได้เลย
หากมิใช่ว่ามันยอมยกของเหล่านี้ออกมาก่อน ไม่แน่ว่าสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้จะยอมพูดจากับมันหรือไม่ หรืออาจฆ่ามันด้วยฝ่ามือเดียวก็เป็นได้
“ไปเถิด ข้าจะพาเจ้าไปพบจ้าวแห่งรัตติกาล”
สิ่งมีชีวิตพิศวงตนนี้นำทางอยู่ข้างหน้า จนมาอยู่ในดวงดาราที่ลึกที่สุด
“เจ้ารออยู่ที่นี่พอ”
มันพาเจ้าหลวงมาอยู่หน้าวิหารโบราณแห่งหนึ่ง และสั่งให้เจ้าหลวงรออยู่ที่นี่ ส่วนตัวมันเดินเข้าไปในวิหารโบราณ
“ท่านจ้าว มีคนจากด้านนอกมาขอเข้าพวกกับเรา”
มันเข้าพบและรายงานต่อจ้าวแห่งรัตติกาล
อย่างที่คิด มันริบของที่เจ้าหลวงนำออกมาไปเอง มิได้ส่งมอบขึ้นไป
จ้าวแห่งรัตติกาลมีม่านแสงพิศวงปกคลุมอยู่ทั่วกาย มองไม่เห็นว่ามีรูปลักษณ์อย่างไร
มันมิได้ตัวมโหฬารดังเช่นสิ่งมีชีวิตพิศวงตนอื่น หากแต่มีขนาดตัวไม่ต่างหากมนุษย์ปกติมากนัก
“พาเข้ามาสิ”
จ้าวแห่งรัตติกาลเอ่ยเสียงเย็นชา
จากนั้นสิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้นก็ออกจากวิหารโบราณ และพาเจ้าหลวงเข้ามา
“ออกไปได้”
จ้าวแห่งรัตติกาลสั่งให้สิ่งมีชีวิตพิศวงตนนั้นถอยออกไป
“สวัสดีท่านจ้าวแห่งรัตติกาล!”
เจ้าหลวงหวาดวิตก หลังจากเข้ามาถึงมันก็คุกเข่าอยู่ภายในวิหาร หมอบศีรษะกับพื้น มิกล้าจ้องมองจ้าวแห่งรัตติกาล
“ไม่ต้องเกร็ง”
จ้าวแห่งรัตติกาลกล่าว “ลุกขึ้นมาพูดจาเถอะ”
“ขอรับ!”
เจ้าหลวงรีบยืนขึ้น กระนั้นก็ยังมิกล้ามองจ้าวแห่งรัตติกาล กลัวจะเป็นการจาบจ้วงจ้าวแห่งรัตติกาล
หารู้ไม่ จ้าวแห่งรัตติกาลเดินเข้าไป ตบบ่าเจ้าหลวงอย่างสนิทสนม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เห็นเจ้าแล้วชวนให้ข้านึกถึงบุตรของข้าที่ตายไป เจ้าเหมือนกับบุตรชายของข้าที่ตายไปแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าเจ้าจะเต็มใจเป็นบุตรบุญธรรมของข้าหรือไม่?”
อะไรนะ!?
มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้ด้วยรึ!
เจ้าหลวงเต็มตื้นจนแทบอยากกระโดดลิงโลด เดิมมันคิดว่าจ้าวแห่งรัตติกาลยอมรับมันเป็นพวกก็ดีมากแล้ว สุดท้ายมันยังได้เป็นบุตรบุญธรรมของจ้าวแห่งรัตติกาลอีกหรือ?
ประเสริฐเกินไปแล้ว!
“คารวะท่านพ่อบุญธรรม!”
มันรีบคุกเข่าต่อจ้าวแห่งรัตติกาล และเรียกท่านพ่อบุญธรรมทันที
“ดี ๆๆ นับแต่นี้ไป เจ้าคือบุตรชายแสนดีของข้า!”
จ้าวแห่งรัตติกาลหัวเราะร่วน “นี่สินะคือวาสนา ให้ข้าได้พบเจ้า! เจ้าเหมือนบุตรชายของข้าที่ตายไปแล้วมากจริง ๆ”
“นับเป็นเกียรติของข้า!”
อย่าให้เอ่ยเลยว่าในใจเจ้าหลวงปีติปานใด ได้เป็นบุตรชายของจ้าวแห่งรัตติกาล วันหน้ามันมีหรือจะไม่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร?
“ข้าสัมผัสได้ว่าในตัวเจ้ามีสสารพิศวงรวนเรอยู่มาก”
จ้าวแห่งรัตติกาลตบบ่าเจ้าหลวง พร้อมกล่าว “ข้าจะช่วยเจ้าหลอมรวมผสาน ให้เจ้าได้แข็งแกร่งขึ้นเอง”
สิ้นเสียงของมัน เจ้าหลวงรู้สึกถึงพลังมวลหนึ่งที่เข้าสู่ร่างมันในพริบตา จากนั้นมันก็สัมผัสได้ว่าสสารพิศวงที่มันดูดกลืนจากจ้าวตะเข้และจ้าวหลานกำลังหลอมรวมผสานกันอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังของมันอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน สสารพิศวงเหล่านี้ก็กลายเป็นพลังของมันทั้งหมด กำลังรบของมันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในชั่วพริบตา
มันในตอนนี้เทียบกับจ้าวหลานแล้วไม่ถือว่าห่างชั้นกันมากนัก
“ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง”
จ้าวแห่งรัตติกาลตบเจ้าหลวงอีกครั้ง จากนั้นเจ้าหลวงรู้สึกได้ว่ามีสสารพิศวงที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าหลั่งไหลเข้ามาในตัวมัน กำลังรบของมันคูณทวีอีกครั้ง!
จ้าวหลานมีกำลังรบระดับราชันแห่งเซียน ตัวมันนั้นข้ามหน้าจ้าวหลานไปแล้ว เป็นถึงยอดเซียนซึ่งเหนือกว่าราชันแห่งเซียน!
“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรม!”
มันตื้นตันจนโขกศีรษะให้จ้าวแห่งรัตติกาลอีกครั้ง
“ไม่ต้องขอบคุณ ในเมื่อบัดนี้ข้าคือบิดาบุญธรรมของเจ้า ย่อมต้องอบรมสั่งสอนเจ้าเป็นอย่างดี นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไป ข้าจะช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้”
จ้าวแห่งรัตติกาลบอกยิ้ม ๆ
“สสารพิศวงในตัวเจ้ารวนเรเช่นนี้ ดูท่าเจ้าคงผ่านอะไรมามาก เจ้าเล่าให้พ่อฟังที พ่ออยากฟังเรื่องราวของเจ้า”
จ้าวแห่งรัตติกาลกล่าวต่อ