271-275

บทที่ 271

รถลากดูแล้วไม่ใหญ่มากนัก สามัญธรรมดาไม่ต่างจากรถลากทั่วไป ทว่าภายในกลับหรูหราโอ่อ่ายิ่ง ราวกับความแตกต่างระหว่างฟ้าดิน


พวกอ้ายฉานครุ่นคิดไม่ตก รถลากเล็กเพียงนี้…ให้พวกเขาขึ้นไปนั่งด้วยจะพอหรือ?


แต่ตอนเข้าไปภายในรถลาก พวกนางกลับต้องต่างตกใจ ดวงตาเล็ก ๆ เบิกกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


ภายในกว้างมาก ไม่แออัดเลยแม้แต่น้อยราวกับพระราชวังอย่างไรอย่างนั้น ซ้ำยังแบ่งออกเป็นหลายห้องอีกด้วย!


ภายในรถลากเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณแฝงความสูงศักดิ์ สะอาดสะอ้านงดงามจริง ๆ


“ภายในรถลากกลายเป็นอีกมิติหนึ่ง ตกแต่งได้ดีมาก ข้าคิดว่านี่คงเป็นรถลากชั้นสูง ราคาของมันน่าจะสูงมากเลยทีเดียว!”


“ข้าคิดว่ารถลากคันนี้ร้ายกาจกว่ารถลากคันอื่น ไม่แน่อาจจะมีพลังป้องกันกับพลังโจมตีอันน่าสะพรึงซ่อนอยู่ก็เป็นได้!”


“ใช่ ๆ!”


พวกอ้ายฉานคุยกัน ทั้งหมดต่างรู้สึกว่ารถลากคันนี้ไม่ธรรมดา มันควรเรียกว่า 'มหาสมบัติ' เสียมากกว่า!


รถลากชั้นยอด?


ร้ายกาจกว่ารถลากคันอื่น?


มีพลังป้องกันกันพลังโจมตีอันน่าสะพรึง?


ในใจของเซี่ยเหยียนนั้นหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก


รถลากคันนี้จะดีเช่นพวกอ้ายฉานกล่าวได้อย่างไร...


นางฟังผู้อาวุโสเล่าความเป็นมาของรถลากคันนี้แล้ว


รถลากคันนี้เป็นเพียงชั้นวางดอกไม้ ภายในดูดีช่วยให้สะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้มีพลังอื่นใดแฝงอยู่เลย


พลังป้องกันกับพลังโจมตีอันน่าสะพรึงอะไรพวกนั้น รถลากคันนี้ไม่มีสักนิดเดียว...


ผู้อาวุโสซื้อมันกลับมาแล้วลองปรับแต่ง ควบคุมดัดมุมโครงรถลาก แต่ช่างประเสริฐนัก ผู้อาวุโสใช้พลังเพียงเล็กน้อย ผลที่ตามมาเกือบทำมุมโครงรถลากระเบิด!


ยังดีที่ผู้อาวุโสระมัดระวัง พอรู้ว่ารถลากคันนี้ไม่มีพลังป้องกัน เขาก็หยุดมือทันเวลา มิฉะนั้นคงไม่ใช่เพียงแค่มุมของโครงรถลากที่จะยุบเท่านั้น แต่รถลากทั้งคันคงจะพังไปแล้ว!


นับประสาอะไรกับพลังโจมตีของรถลากคันนี้


ผู้อาวุโสกักพลังวิญญาณไว้ในรถลาก แต่ก่อนเขาจะปลดปล่อยพลังวิญญาณมากไปกว่านี้ รถลากก็ต้านเอาไว้ไม่อยู่ พลังวิญญาณที่ถูกเทเข้าในรถลากเกือบระเบิด!


รับพลังวิญญาณเอาไว้ไม่ได้ รถลากคันนี้จะมีพลังโจมตีได้อย่างไรกัน!


ข้อดีเพียงอย่างเดียวของรถลากคันนี้คือให้ความสะดวกสบายกับความสวยงาม


เพราะเหตุนี้ผู้อาวุโสจึงสนใจนำรถลากคันนี้กลับมาด้วย


สำหรับท่านเซียน ความสะดวกสบายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด


เรื่องพลังป้องกันกับพลังโจมตีนั้น ทั้งหมดหาใช่เรื่องสำคัญ


ผู้ใดจะทำร้ายคนเป็นเซียนได้?


‘พวกอ้ายฉานยังเด็ก พวกเขาไม่รู้ความเท่าใดนัก…’


อันหลานเสวี่ยเอ่ยในใจของนาง


นางเคยไปโรงประมูลมาก่อน จึงรู้ว่ารถลากคันนี้ไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่พวกอ้ายฉานกล่าวมา หน้าที่หลักของรถลากคือให้ความสะดวกสบาย


ถึงแม้พวกอ้ายฉานจะมีขอบเขตพลังสูงส่ง แต่พวกเขายังเด็กเกินไป


หากพวกอ้ายฉานตื่นรู้พัฒนาพลังวิญญาณได้แล้ว พวกอ้ายฉานจะรู้ว่ารถลากคันนี้ไม่ได้ร้ายกาจอะไรเลย


‘มันเป็นรถลากของราชวังจริง ๆ!’


หลิงอินกล่าวในใจ


ก่อนขึ้นรถลาก นางมองรถลากแล้วคุ้นตายิ่ง


หลังจากขึ้นรถลากแล้ว นางก็ยิ่งแน่ใจมากขึ้น


นี่เป็นรถลากของราชวังระดับล่างสุด


มีบางครั้งที่ผู้ฝึกตนต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในโลกกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ทำให้การเดินทางนั้นเป็นไปอย่างยาวนาน


ดังนั้นผู้ฝึกตนมักใช้ยันต์เคลื่อนย้าย แท่นค่ายกลเคลื่อนย้าย ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อลดเวลาเดินทางให้น้อยลง


แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะชิ้นไหนก็ล้วนแต่มีราคาสูง ผู้ฝึกตนธรรมดาไม่สามารถซื้อได้


ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถสลักอักขระค่ายกลเคลื่อนย้ายได้ ซ้ำแล้ววัสดุที่ต้องใช้ยังล้ำค่าและมีราคาสูงยิ่ง


ผู้ฝึกตนมากมายจะไม่ใช้ยันต์เคลื่อนย้าย ค่ายกลเคลื่อนย้าย แท่นค่ายกลเคลื่อนย้าย เว้นแต่จะมีเหตุการณ์จำเป็น


ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องมือวิเศษต่าง ๆ เคลื่อนที่ เช่น บางคนเหินกระบี่ บางคนขี่น้ำเต้า


นอกจากนี้ ยังมีผู้ฝึกตนอีกหลายคนที่จับสัตว์อสูรมาใช้เป็นพาหนะ


แต่ไม่ว่าจะเป็นการนำอาวุธวิเศษหรือสัตว์อสูรมาใช้เป็นพาหนะ เมื่อใช้นานวันเข้ามันก็กลายเป็นไม่สะดวกสบาย


ในสมัยโบราณมีปรมาจารย์นักหลอมศัสตราวุธผู้หนึ่ง ร่างกายของเขาต้องทนทุกข์เจ็บปวดเพราะเหตุนี้


เขามักจะเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ เสาะหารวบรวมวัสดุ ใช้เวลาเสาะหานานวันเข้า ความไม่สะดวกสบายระหว่างทางทำให้เขาทนไม่ไหว


เขาจึงตั้งใจศึกษาและสร้างรถลากอันสะดวกสบายขึ้นมาในที่สุด มันถูกเรียกว่า รถลากราชวัง


มีสัตว์อสูรดึงรถลากไปข้างหน้า ตัวเองก็เพลิดเพลินกับความสะดวกสบายระดับสูงอยู่ในรถลากราชวังได้ ตอนรถลากราชวังปรากฏขึ้นครั้งแรก มันก็ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนจำนวนมากในทันที!


ผู้ฝึกตนหลายคนมาขอปรมาจารย์นักหลอมศัสตราวุธสร้างรถลากขึ้นมาให้


ถึงแม้รถลากราชวังที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยปรมาจารย์นักหลอมศัสตราวุธจะเน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก ทว่ามันกลับไม่มีพลังป้องกันกับพลังโจมตีเลย


แต่เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว การสร้างรถลากสมบูรณ์แบบเช่นนี้ขึ้นมาก็มีราคาสูงมากเลยทีเดียว


ผู้ฝึกตนมากมายไม่สามารถจ่ายราคาที่สูงเพียงนี้ พวกเขาจึงขอให้สร้างรถลากราชวังราคาต่ำลงมา ด้วยเหตุนี้ รถลากราชวังระดับล่างสุดจึงกำเนิดขึ้นมา


หลิงอินเกิดในสมัยโบราณ นางจำได้อย่างชัดเจนว่าในยุคนั้นมีรถลากแบบนี้อยู่ทุกหนทุกแห่ง


แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตนักบุญก็มีรถลากเช่นนี้ในการครอบครอง


ยอดฝีมือขอบเขตนักบุญนั้นทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์ นึกอยากไปที่ใดก็สามารถไปได้ดั่งใจนึก แต่พวกเขายังมาชื่นชอบรถลากราชวังเช่นนี้


เพราะมันสะดวกสบายจริง ๆ


แน่นอนว่ารถลากราชวังของเหล่ายอดฝีมือขอบเขตนักบุญไม่ใช่รถลากราชวังระดับล่าง พวกเขาครอบครองรถลากราชวังระดับสูง ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน


มันสามารถเดินทางผ่านความว่างเปล่า ป้องกันศัตรูภายนอก โจมตีศัตรูแข็งแกร่งราวกับผู้มาจากสรวงสวรรค์


...


เมื่อครุ่นคิดถึงตอนนั้น นางเองก็มีอยู่หนึ่งคัน


เป็นรถลากที่ลากโดยสัตว์อสูรมีปีกเก้าหัว บินเหาะท่ามกลางเมฆาอยู่บนยอดเมฆา


ภายในรถลากมีหน้าต่างหลายบาน สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้จากหน้าต่าง


มวลเมฆาสีขาวบริสุทธิ์ภายนอกเคล้าคลอกับหมอกสีขาวลอยละล่อง ราวกับหมอกเทพเซียน ฉากนี้นับว่างดงามจับใจยิ่ง


และใต้หน้าต่างแต่ละบานก็มีเก้าอี้โยกไม้ หลี่จิ่วเต้านั่งลงแล้วก็รู้สึกว่ามันสบายมาก


“ไม่เลว รถคันนี้ดีมาก”


เขาเอนตัวนอนบนเก้าอี้โยกพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ชมทิวทัศน์งดงามของยอดเมฆให้รู้สึกสุขสบายยิ่ง


รถลากคันนี้ดีกว่าเครื่องบินในดาวเคราะห์สีฟ้าเสียอีก!


ข้างนอกมีสัตว์อสูรเก้าตัวกำลังดึงรถลากอยู่ พลันทันใดนั้นเอง สีหน้าของพวกมันทั้งหมดก็เปลี่ยนไป


จู่ ๆ สายรุ้งมงคลก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางอากาศศักดิ์สิทธิ์เหนือจืนตนาการเคลื่อนไหวมาทางพวกมัน


ซ้ำแล้ว พวกมันยังรู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญมหาเต๋าดังอยู่รำไร


ไม่เพียงเท่านั้น พวกมันยังเห็นแสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องลงมาจากท้องนภาตกลงมาบนรถลาก!


เพียงชั่วพริบตาเดียว บนรถลากนั้น...พวกมันสัมผัสได้ถึงจังหวะแห่งเต๋าอันน่าอัศจรรย์ยิ่ง ดูเหมือนรถลากจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น!


“นี่มัน...เกิดอะไรขึ้น!?”


“รุ้งมงคลสวรรค์ตกลงบนรถลาก จากนั้นรถลากก็เกิดเปลี่ยนแปลงขึ้น!?”


“จังหวะแห่งเต๋าช่างน่าเกรงขามจริง ๆ ให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิเสียอีก!”


พวกมันตกตะลึงสุดแสนจะพรรณนา เดิมทีรถลากคันนี้สามัญธรรมดายิ่ง แต่เมื่อรุ้งมงคลศักดิ์สิทธิ์ตกลงมา คลื่นจังหวะแห่งเต๋านั้นน่าสะพรึงเสียยิ่งกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิ!


“เพียงประโยคเดียวก็ทำให้รถลากระดับล่างเหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิแล้ว!?”


ภายในรถลาก หลิงอินมีสัมผัสญาณที่ทรงพลัง นางรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของรถลากได้ในทันที


และด้วยเหตุนี้เองทำให้นางอดไม่ได้ที่จะกู่ร้องก้องอยู่ในใจ

บทที่ 272

นี่... นี่... นี่...!


หลิงอินตกใจ ในใจยากเกินจะพรรณนา!


แรกเริ่มรถลากคันนี้ไม่มีอะไรเลย แต่หลังจากที่ท่านเซียนกล่าวว่า “ไม่เลว รถลากคันนี้ดีมาก” รถลากก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทันที นางสัมผัสได้ถึงคลื่นจังหวะแห่งเต๋าเหนือกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิเสียอีก!


กล่าวออกมาก็คล้อยตามแล้ว?


นี่เป็นอุบายของท่านเซียนใช่หรือไม่?


แม้ว่านางจะติดตามท่านเซียนมาระยะหนึ่งแล้ว แต่นางก็ยังตกใจกับวิธีการเช่นนี้ นี่มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว เหนือเกินกว่าขอบเขตรับรู้ของนางยิ่งนัก!


เซียนคืออะไร?


เซียนมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง!


นางนึกถึงประโยคนี้ ก็รู้สึกว่ามันเข้าที ท่านเซียนกล่าวอะไร ทุกอย่างก็เป็นตามนั้น นี่มันร้ายกาจเกินไปแล้ว!


เซี่ยเหยียนกับอันหลานเสวี่ยเองก็สัมผัสได้ถึงคลื่นจังหวะแห่งเต๋าภายในรถลาก


ในชั่วพริบตาพวกนางก็รู้สึกตัว พวกนางต่างตกตะลึงทึ่มทื่อ นิ่งค้างที่เดิมราวกับภายในใจมีคลื่นมหึมาโหมซัดกระหน่ำได้รับแรงกระแทกครั้งใหญ่!


ท่านเซียนกล่าวอะไร พวกนางเองได้ยินกับหู


หลังจากท่านเซียนกล่าวว่า ‘ใช่ ดีมาก’ รถลากทั้งคันนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงสั่นสะเทือนสวรรค์และโลก ทั่วทั้งร่างสัมผัสได้ถึงคลื่นจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งหนือจินตนาการ!


นี่...นี่มันช่างน่าทึ่งจริง ๆ!


เพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้รถลากแข็งแกร่งยิ่งกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิ นี่ย่อมอยู่เหนือการรับรู้ของพวกนางอย่างไม่ต้องสงสัย!


พวกนางคาดไม่ถึงรถลากคันนี้จะเป็นรถลากชั้นยอดถึงเพียงนี้...


นี่เป็นไปได้อย่างไร!


หากเป็นเช่นนั้น ก่อนหน้านี้เหตุใดรถลากถึงไม่แสดงอะไรให้เห็นเลยเล่า!?


นอกจากนี้...ยังสัมผัสได้ถึงจังหวะแห่งเต๋าชั้นยอด ทั้งยังเป็นความรู้สึกที่พวกนางคุ้นเคยอย่างยิ่ง


เป็นภาพวาดของท่านเซียนจึงสัมผัสได้ถึงคลื่นจังหวะแห่งเต๋าชั้นยอดเช่นนี้!


ภายในรถลากเริ่มปรากฏคลื่นจังหวะแห่งเต๋าชั้นยอดพวกนางนึกถึงท่านเซียนทันที ถึงกับคิดว่าท่านเซียนเป็นผู้ประทานให้แก่รถลาก!


‘เป็นอย่างที่คิด!’


‘รถลากคันนี้เป็นรถลากระดับสูงจริง ๆ ด้วย!’


พวกอ้ายฉานก็รู้สึกถึงจังหวะแห่งเต๋าเช่นกัน


แต่พวกเขาคาดไม่ถึงท่านเซียนจะเป็นผู้ประทานให้ เพราะพวกเขาเองก็รู้สึกว่ารถลากคันนี้ไม่ใช่รถลากธรรมดา


หลังจากนั้นไม่นานรุ้งมงคลบนท้องนภาก็สลายไป คลื่นจังหวะแห่งเต๋าค่อย ๆ เบาลงกลับมาเป็นปกติอีกครั้งราวกับทุกอย่างหวนคืนสู่ความสงบ


สัตว์อสูรทั้งเก้าที่ดึงรถลากก็สัมผัสได้ถึงจังหวะแห่งเต๋าชั้นยอดเช่นเดียวกัน หัวใจของพวกมันไม่อาจสงบได้เลย


จะให้พวกสงบได้อย่างไร?


สวรรค์! พวกมันไม่เคยรู้สึกถึงจังหวะแห่งเต๋าชั้นยอดเช่นนี้มาก่อนในชีวิตนี้ ภายใต้จังหวะแห่งเต๋าเช่นนี้ พวกมันตัวเล็กกระจ้อยร่อยราวกับฝุ่นธุลี!


ผู้อาวุโสด้านใน...แท้จริงแล้วเขามีตัวตนตนเช่นใดกัน!?


พวกมันกลืนน้ำลายอึกๆ แม้ว่าพวกมันจะไม่รู้ว่าทั้งหมดเกิดอะไรขึ้น แต่พวกมันรู้ดีว่าทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสด้านในเป็นแน่!


จังหวะแห่งเต๋าเช่นนี้ ต่อให้เซี่ยเหยียนเป็นเทพธิดาก็ไม่อาจทำได้ ช่องว่างนั้นใหญ่เกินไป!


มีผู้ใดสามารถทำเช่นนี้ได้อีกหรือ เว้นแต่ที่ผู้อาวุโสที่เซี่ยเหยียนเรียกด้วยความเคารพว่า นายท่าน?


เป็นไปไม่ได้!


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”


ไม่ไกลออกไปนัก ชายหนุ่มผู้หนึ่งโผล่ศีรษะออกมาจากกลางอากาศ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ใช้ดวงตาตื่นตกใจจ้องรถลากคันข้างหน้า


เดิมทีเขากำลังเดินทางผ่านมิติอากาศ


แต่ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงจังหวะแห่งเต๋าชั้นยอดตกลงมานอกความว่างเปล่า


เขาจึงได้โผล่ศีรษะออกมาจากกลางอากาศทันที


ทันใดนั้น เขาก็ได้เห็นฉากอันน่าอัศจรรย์จนชั่วชีวิตนี้ไม่อาจลืม!


รถลากแสนธรรมดากลับมีรุ้งมงคลศักดิ์สิทธิ์เหนือสรรพสิ่งเคลื่อนไหวตามไปด้วย ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ยินเพลงสรรเสริญมหาเต๋า!


หลังจากนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มสาดส่องลงมายังรถลาก รถลากเริ่มเปลี่ยนรูปลักษณ์ ความธรรมดาดั้งเดิมหายไปพร้อมกับคลื่นจังหวะแห่งเต๋าอันน่าอัศจรรย์ค่อย ๆ เคลื่อนไหวทีละน้อยชวนให้ตื่นตะลึง!


จังหวะแห่งเต๋านั้นทำให้วิญญาณของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ร่างกายของเขาสะท้านราวกับเจอความหนาวเย็น นี่มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว หนังศีรษะของเขาชาหนึบจริง ๆ!


“มีเพียงมหาจักรพรรดิที่ได้ครอบครองจังหวะแห่งเต๋า ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงจังหวะแห่งเต๋าเช่นนี้เลย!”


เขากล่าวอย่างสั่นกลัว รู้สึกแน่ใจอย่างยิ่งแล้ว


เพราะในตระกูลของพวกเขาครอบครองวิชามหาจักรพรรดิอยู่ นั่นรวมถึงอาวุธมหาจักรพรรดิด้วย เขาจึงสามารถรับรู้ความแตกต่างได้อย่างชัดเจน!


“แดนบูรพาทิศของเหยียนโจวไม่ได้เรียบง่ายเลยสักนิด ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”


เขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจากแดนบูรพาทิศ ไม่ใช่แม้แต่สิ่งมีชีวิตจากเหยียนโจว ไม่ใช่แม้แต่สิ่งมีชีวิตจากดินแดนหยิน


แต่เรื่องในเหยียนโจว แดนบูรพาทิศ เขาล้วนรอบรู้ทุกอย่างลึกซึ้ง!


ความรอบรู้เช่นนี้เกินกว่าความรู้ของสิ่งมีชีวิตบนแดนบูรพาทิศจะรู้เสียด้วย!


เขามาจากดินแดนฮวง มีนามว่า ซางเหิง ลูกรักสวรรค์ที่จัดงานชุมนุมใหญ่ขึ้นที่ภาคกลางครั้งนี้เป็นคนของตระกูลเขา


ก่อนหน้าผู้ที่หยุดยั้งกลุ่มอำนาจลับภาคกลางไม่ให้ทำลายลัทธิไท่เสวียนก็คือเขา


ตระกูลซางสืบทอดมรดกต่อกันมาอย่างยาวนาน และเป็นหนึ่งในตระกูลจักรพรรดิที่เก่าแก่ที่สุดในโลก บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นมหาจักรพรรดิกันมากมายนับไม่ถ้วน


ในสมัยโบราณ สิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนเปิดฉากก่อหายนะบนโลก


ช่วงเวลานั้น พวกเขาตระกูลซางอยู่แนวหน้าและถือเป็นกำลังสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นผู้นำ


สุดท้าย ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลด้วยผู้คนทั้งโลก สงครามจึงสิ้นสุดลง สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรเทียนหยวนถูกขับไล่ออกไป


แต่พวกเขาทุกคนรู้ว่าอาณาจักรเทียนหยวนจะไม่ยอมรามือ พวกมันจะต้องหวนกลับอีกครั้งอย่างแน่นอน


ทั่วแผ่นดินบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก ยอดฝีมือระดับสูงเสียชีวิตเกือบทั้งหมด


สภาพแวดล้อมของโลกย่ำแย่เพราะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ครั้งนั้น ทรัพยากรฝึกตนขั้นสูงสูญหาย ยากจะกำเนิดยอดฝีมือแข็งแกร่งขึ้นมา


พวกเขารู้ดีว่าเมื่อสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวนโจมตีอีกครั้ง พวกเขาจะต้องออกมาช่วยกันทั้งหมด

สิ่งมีชีวิตทั้งโลกจะต้องช่วยกันหยุดยั้งไว้


มันจะไม่เป็นเหมือนเมื่อครั้งสมัยโบราณที่มียอดฝีมือ ตระกูลแข็งแกร่งหลบซ่อนไม่ลงสนามรบ พวกเขาจะไม่เปิดโอกาสให้ทำเช่นนั้นเป็นอันขาด!


ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมการล่วงหน้า


พวกเขารวมตัวกับตระกูลจักรพรรดิ สำนัก และนิกายอื่น ๆ สร้างเครือข่ายข่าวกรองขนาดใหญ่ไปทั่วโลก


เครือข่ายข่าวกรองนี้ไม่ว่าข่าวอะไรก็มี เชี่ยวชาญการขุดค้นข้อมูลตั้งแต่นามกองกำลังที่ซ่อนตัวสมัยโบราณจนถึงข้อมูลยอดฝีมือ


เผื่อว่าตอนอาณาจักรเทียนหยวนโจมตีอีกครั้ง พวกเขาจะสามารถหายอดฝีมือกับตระกูลแข็งแกร่งเหล่านี้เจอ ทำให้ยอดฝีมือกับตระกูลแข็งแกร่งเหล่านี้ไม่อาจซ่อนตัว จำต้องเข้าร่วมสนามรบเท่านั้น


และเครือข่ายข่าวกรองนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก


พวกเขาออกค้นหายอดฝีมือกับตระกูลแข็งแกร่งที่ซ่อนตัวมาตั้งแต่สมัยโบราณ รวมถึงยอดฝีมือกับตระกูลแข็งแกร่งที่แม้แต่จะรู้ถึงหายนะสมัยโบราณแล้วแต่ยังจงใจซ่อนตัว


เรื่องที่เขารู้ตำแหน่งลัทธิไท่เสวียนกลุ่มอำนาจลับในภาคกลางนั้นก็เป็นข่าวจากเครือข่ายข่าวกรอง


คิดว่ามีกลุ่มอำนาจลับอยู่แค่ในภาคกลางของเหยียนโจวหรือ?


ย่อมไม่ใช่!


ทางแดนบูรพาทิศ ทักษิณทิศ ประจิมทิศ อุดรทิศของเหยียนโจวล้วนมีกลุ่มอำนาจลับอยู่เช่นกัน


กลุ่มอำนาจเหล่านี้ซ่อนตัวตั้งแต่สมัยโบราณ หรือก็คือซ่อนตัวหลังจากรับรู้สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น


แค่กลุ่มอำนาจลับเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ลึก ปิดกั้นอย่างสมบูรณ์ ไม่เหมือนกับลัทธิไท่เสวียนกลุ่มอำนาจลับภาคกลางที่ยังพอมีทางบ้าง


เขามาจากภาคกลางมาถึงแดนบูรพาทิศนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุ


คนในตระกูลซางส่งข่าวมาบอกว่ากลุ่มอำนาจลับแดนบูรพาทิศกำลังมีปัญหา เขาจึงมาช่วย


ตามข้อมูลที่รวบรวมจากเครือข่ายข่าวกรอง แดนบูรพาทิศในสมัยโบราณนั้นไม่ธรรมดา อีกฝ่ายมีความลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่มาก!

บทที่ 273

“นี่มันไม่ธรรมดาจริง ๆ!”


ซางเหิงตะลึงอ้าปากค้าง เขาคาดไม่ถึงจากภาคกลางไปแดนบูรพาทิศจะได้มาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้


นี่ทำให้เขาตกใจจริง ๆ


กาลเวลาแปรเปลี่ยน ขุนเขาสายน้ำผันแปร ความลับมากมายพลันถูกปกปิด


เดิมทีพวกเขาไม่สนใจแดนบูรพาทิศของเหยียนโจว


เพราะเมื่อเทียบกับแดนอื่น สภาพแวดล้อมในแดนบูรพาทิศของเหยียนโจวนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า


ทว่าตอนหลังพวกเขาได้รับข่าวสารจากเครือข่ายข่าวกรอง จึงรู้ได้ในทันทีว่า แดนบูรพาทิศของเหยียนโจวนั้นหาได้เรียบง่ายไม่ อีกฝ่ายมีความลับมากมายซ่อนอยู่!


ในเวลานั้นเองพวกเขาจึงเริ่มสนใจแดนบูรพาทิศของเหยียนโจวมากขึ้น


เพียงแต่ยิ่งตรวจสอบมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งกริ่งเกรงมากขึ้นเท่านั้น ความลับในแดนบูรพาทิศของเหยียนโจวช่างน่ากลัวยิ่งนัก!


พวกเขาไม่กล้าตรวจสอบเพิ่มเติมเพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบมากเกินไป สายเครือข่ายข่าวกรองของพวกเขาในแดนบูรพาทิศของเหยียนโจวถูกสั่งห้ามไม่ให้สืบสวนเรื่องในแดนบูรพาทิศอีก เพราะจำต้องตรวจสอบเรื่องกลุ่มอำนาจลึกลับสำคัญนี้เสียก่อน


ซางเหิงเป็นหนึ่งในศิษย์คนสำคัญของตระกูลซาง


ดังนั้นเขาจึงรอบรู้ไม่น้อย


เขารับรู้ถึงความน่ากริ่งเกรงของแดนบูรพาทิศ แต่เขานึกไม่ถึงว่าความน่ากลัวของแดนบูรพาทิศจะมากมายถึงเพียงนี้!


คลื่นจังหวะแห่งเต๋าไหลเวียนรอบรถลาก แม้แต่มหาจักรพรรดิยังเทียบเคียงไม่ได้ ห่างกันหลายขุม แท้จริงแล้วรถคันนี้เป็นรถลากชนิดใดกัน?


บุคคลในรถลากนั้นยิ่งใหญ่มาจากที่ใด!?


เขาครุ่นคิดไปมาไม่ตก จิตใจฟุ้งซ่านอยู่เป็นเวลานาน!


ยามนี้รถลากฟื้นคืนความสงบอีกครั้ง ไร้ร่องรอยจังหวะแห่งเต๋า และเคลื่อนไปท่ามกลางหมู่เมฆอย่างรวดเร็ว


สัตว์อสูรเก้าตนกำลังลากรถลาก ดูแล้วคล้ายกับกำลังมุ่งไปภาคกลาง


ในเวลาเดียวกันนั้น ด้านหลังปรากฏรถลากโบราณ ผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งลากรถลากไปข้างหน้า มีอสูรร้ายท่าทางดุร้ายนั่งอยู่ด้านหลังรถลากโบราณ


อสูรร้ายตัวนี้หัวเป็นเสือ มีปีกสองข้าง ขนทั้งร่างอสูรร้ายเป็นสีดำทมิฬ


รถลากโบราณแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังจากนั้นก็แซงมาอยู่ข้างหน้า เคียงคู่กับรถลากที่มีสัตว์อสูรทั้งเก้าลากอยู่


ตอนอสูรร้ายบนรถลากโบราณเห็นสัตว์อสูรทั้งเก้าตนกำลังลากรถลาก ดวงตาของมันเบิกกว้างขึ้นแผ่กลิ่นชั่วร้าย!


“หยุดพวกมัน!”


อสูรร้ายตะโกนเสียงกร้าว ผู้ฝึกตนที่กำลังลากรถลากรีบเข้าไปขวางสัตว์อสูรทั้งเก้าตนทันที บังคับให้สัตว์อสูรทั้งเก้าตนหยุดลงในที่สุด


“หมายความว่าอย่างไร?”


“เหตุใดต้องหยุดพวกเรา?”


สัตว์อสูรทั้งเก้าตนมองอสูรร้ายพลางถาม


อสูรร้ายแผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัว แสดงให้พวกมันเห็นพลังอันเหนือชั้นกว่า


หากเป็นเมื่อก่อน พวกมันเห็นอสูรร้ายน่ากลัวเช่นนี้คงจะวิ่งหนีป่าราบไปนานแล้ว!


ทว่าตอนนี้พวกมันไม่กลัวแม้แต่น้อย


พวกมันกลัวก็จริง


แต่สุภาษิตที่ว่า ตีสุนัขต้องดูเจ้าของ


เบื้องหลังพวกมันมีเทพธิดาอย่างเซี่ยเหยียน รวมถึงมีผู้อาวุโสทรงพลังเหนือจินตนาการอยู่ พวกมันยังต้องกลัวอีกหรือ?


คิดถึงตรงนี้แล้ว พวกมันก็เหยียดหลังพลางเชิดหน้าขึ้น


“เป็นแค่สัตว์พาหนะ...ยังจะทะนงตนถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?”


สายตาของอสูรร้ายกวาดมองสัตว์อสูรทั้งเก้าตนอย่างเย็นชา สัตว์อสูรทั้งเก้าตนตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว


แต่ต่อมาไม่นาน สัตว์อสูรทั้งเก้าตนก็เหยียดตัวขึ้นอีกครั้ง


นี่...เจ้าอสูรร้ายเข้าใจอะไรมั่วซั่วนัก!


เพียงได้ลากรถลากให้ผู้อาวุโสเหนือจินตนาการในวันนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ไปชั่วชีวิตแล้ว!


เดิมทีพวกมันไม่รู้ว่าผู้อาวุโสแข็งแกร่งเพียงใด แต่หลังจากได้เห็นรุ้งมงคลโปรยปรายลงมาจากท้องนภา รถลากเปลี่ยนสภาพกำเนิดจังหวะแห่งเต๋า พวกมันก็รู้แล้วว่าผู้อาวุโสท่านนั้นแข็งแกร่งเหนือจินตนาการยิ่งนัก!


ตอนนี้พวกมันยินยอมเต็มใจที่ได้เป็นสัตว์อสูรลากรถ!


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า!”


“ยังจะไม่หลบอีกรึ!”


สัตว์อสูรทั้งเก้าตนกล่าวโดยไม่เอ่ยถึงผู้อาวุโสในรถลาก


เซี่ยเหยียนเคยสั่งกำชับพวกมัน พวกมันจึงไม่กล้าสร้างความรำคาญใจให้ผู้อาวุโสท่านนั้น


“ข้าทนเห็นสัตว์อสูรเป็นทาสไม่ได้เป็นที่สุด! สัตว์อสูรเช่นพวกเจ้าไร้ความหยิ่งทะนง ไร้ศักดิ์ศรี นับวันยิ่งอ่อนแอจนแทบจะทำให้เผ่ามนุษย์ครองใต้หล้านี้ไปแล้ว!”


อสูรร้ายกล่าวอย่างเย็นชา ปราณชั่วร้ายยิ่งแผ่ซ่านมากขึ้น


มันมาจากดินแดนฮวงสายเลือดของมันเป็นที่เคารพศรัทธา มีสายเลือดของฉงฉี*[1] สัตว์อสูรร้ายโบราณชั่วร้าย และมันก็มาจากหนึ่งในเผ่าชั่วร้าย


อย่างที่มันบอกมันทนเห็นสัตส์อสูรเป็นทาสไม่ได้


ในใจของมัน แม้ว่าใต้หล้าจะถูกเผ่ามนุษย์ครอบครอง แต่มันยังคงดูถูกเผ่ามนุษย์ ถือว่าเผ่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ต่ำต้อย!


และเห็นได้ชัดว่าที่มันใช้ผู้ฝึกตนมาเป็นคนลากรถ


ผู้ฝึกตนเหล่านี้เป็นทาสของมัน


มันหยุดสัตว์อสูรทั้งเก้าตน เพราะด้วยเหตุผลนี้เช่นกัน


“พวกเจ้าทำให้สัตว์อสูรต้องอับอาย ย่อมไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป เจ้านายเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าจะตามเจ้าไปด้วย!”


อสูรร้ายเต็มไปด้วยจิตสังหารกล่าวต่อ “สัตว์อสูรสูงส่งมาตลอด เผ่ามนุษย์เป็นเพียงเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำจอมฉกฉวยโอกาส!”


ภายในรถลากนั้น


“ข้าจะออกไปดูเสียหน่อย”


เซี่ยเหยียนกล่าว


สัตว์อสูรทั้งเก้าตนถูกบังคับให้หยุดกะทันหัน นางตระหนักว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นจึงเดินออกมาจากรถลาก


เมื่อนางออกมาก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างอสูรร้ายร้ายกับสัตว์อสูรทั้งเก้าตน จึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


“จอมฉกฉวยโอกาส? เผ่าพันธุ์ต่ำต้อย?”


เซี่ยเหยียนกล่าวเสียงเย็น “เผ่ามนุษย์ครองอำนาจมาตั้งกี่ยุคแล้ว เหตุใดยังกล่าวเช่นนี้อยู่อีก?”


นางกล่าวต่อ “เผ่ามนุษย์ไม่เคยเป็นเผ่าพันธุ์ต่ำต้อย! บางทีสายเลือดของเผ่ามนุษย์อาจเทียบกับเผ่าอื่นไม่ได้ แต่สติปัญญารวมถึงศักยภาพของเผ่ามนุษย์นั้น เผ่าพันธุ์อื่นเทียบไม่ได้เสียด้วยซ้ำ!”


กล่าวกันตามจริงแล้ว เผ่ามนุษย์นั้นด้อยกว่าเผ่าพันธุ์อื่นในทุกด้าน


ทว่าเป็นอย่างที่เซี่ยเหยียนกล่าว สติปัญญารวมถึงศักยภาพของเผ่ามนุษย์ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าเผ่าพันธุ์อื่น!


มิฉะนั้นเผ่ามนุษย์จะเป็นนายครอบครองโลกใบนี้ได้อย่างไร!


“น่าขัน!”


อสูรร้ายแค่นเสียงเย็นชากล่าวว่า “นานมาแล้ว เผ่ามนุษย์ไม่นับเป็นอะไรเลย เป็นเพียงมดปลวก แค่อาศัยเล่ห์เหลี่ยมฉกฉวยโอกาส จากนั้นคิดตั้งตัวครอบครองแผ่นดิน?”


มันยังคงกล่าวต่อไป “นับแต่นี้ไป สัตว์อสูรจะเป็นนายครอบครองโลกใบนี้อีกครั้ง เผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าจะกลายเป็นอาหารของทุกเผ่าพันธุ์อีกครั้ง!”


ก่อนหน้านี้ เผ่ามนุษย์ถือได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์อ่อนแอมาก และทุกเผ่าพันธุ์ก็ใช้เผ่ามนุษย์เป็นอาหาร


“ขี้เกียจเกินกว่าจะสนทนากับเจ้าแล้ว ไปซะ ฆ่าพวกมันให้หมด!”


อสูรร้ายกล่าวอย่างเบื่อหน่าย สั่งให้ทาสผู้ฝึกตนที่เป็นมนุษย์จัดการ


ผู้ฝึกตนเหล่านี้เป็นทาสมนุษย์ที่มาจากดินแดนฮวง พวกเขามีพละกำลังมาก ได้รับการฝึกฝนจากมันมานานแล้ว จึงเชื่อฟังคำสั่งของมันเท่านั้น


“หยุดมือ!”


ในขณะนั้นเอง ซางเหิงเหาะเหินออกมาอย่างรวดเร็ว


เขาได้เห็นฉากน่าอัศจรรย์สุดพรรณนาแล้ว ทั้งยังรู้ว่าคนในรถลากหาใช่คนธรรมดาไม่ เขาจะปล่อยให้อสูรร้ายตนนี้เปิดฉากสังหารได้อย่างไร?


ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นไม่ได้อย่างแน่นอน!


“สิ่งมีชีวิตอื่นไม่รู้สถานการณ์ปัจจุบัน เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ?”


ซางเหิงมองอสูรร้ายพลางลั่นวาจาเสียงดัง


เขารู้จักอสูรร้ายตนนี้


อสูรร้ายกับเขามาจากดินแดนฮวงเช่นเดียวกัน


“ซางเหิง...”


อสูรร้ายเหลือบมองซางเหิงพลางกล่าวว่า “แน่นอนว่าข้ารู้สถานการณ์ปัจจุบัน แต่หากข้าจะฆ่าปลาตัวเล็กเหล่านี้ก็คงไม่เป็นไรมึใช่หรือ...”


มันก็รู้จักซางเหิงเช่นกัน


เพียงแต่ครั้งนี้มันไม่คิดจะไว้ใหน้าซางเหิง



[1] ฉงฉี สัตว์อสูรโบราณแห่งความชั่วร้ายที่สนับสนุนคนพาลขัดขวางคนดีในตำนานของจีน

บทที่ 274

ฉงฉี หนึ่งในอสูรร้ายบรรพกาลผู้เลื่องชื่อ มันมีนิสัยดุร้ายอำมหิต โหดเหี้ยมยิ่งกว่าอสูรร้ายตนอื่น


ในยุคบรรพกาล กล่าวถึงฉงฉีเมื่อใด ผู้คนเป็นต้องหน้าถอดสีกันทั้งนั้น ฉงฉีคร่าชีวิตผู้อื่นเพียงเพราะความบาดหมางเล็ก ๆ นับเป็นฝันร้ายของทุกเผ่า


โดยเฉพาะกับเผ่ามนุษย์ ยิ่งหวาดกลัวในตัวฉงฉีหนักกว่าเผ่าอื่น


ฉงฉีชิงชังเผ่ามนุษย์เป็นพิเศษ ต่อให้เผ่ามนุษย์เป็นใหญ่ในใต้หล้านี้มาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย ฉงฉีก็ยังดูแคลนเผ่ามนุษย์ เห็นเผ่ามนุษย์เป็นมดปลวก


ฉงฉีไม่กินเผ่าพันธุ์อื่น กินแต่เผ่ามนุษย์เท่านั้น


ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ที่ได้เจอฉงฉีต่างถูกกลืนกินโดยไม่มีข้อยกเว้น


มหาจักรพรรดิเผ่ามนุษย์หลายคนก็เคยโดนฉงฉีกลืนกิน


เรียกได้ว่าเผ่ามนุษย์แค้นฉงฉีเข้ากระดูกดำ


ทว่าฉงฉีแข็งแกร่งเกินไป ด้อยกว่าเพียงสิบอสูรร้ายบรรพกาลที่ชื่อก้องมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เผ่ามนุษย์จึงยากจะทำอันตรายฉงฉีได้


ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ลูกหลานรุ่นหลังของฉงฉีชิงชังเผ่ามนุษย์เช่นเดียวกับฉงฉี กินเผ่ามนุษย์เป็นอาหารและใช้เผ่ามนุษย์เป็นทาส


อสูรร้ายตรงหน้าผู้นี้มีสายเลือดบริสุทธิ์ยิ่ง พลังก็แกร่งกล้า เลื่องชื่อมากในดินแดนฮวง สิ่งมีชีวิตในรุ่นราวคราวเดียวกันมิมีผู้ใดกำราบมันได้


ปลาซิวปลาสร้อย?


เจ้าช่างกล้าพูดจริงเชียว!


เกรงว่าบรรพชนของเจ้ามานี่ก็ไม่อาจทำอะไรรถลากคันนี้ได้!


ซางเหิงอิดหนาระอาใจ นี่ก็เพราะจังหวะแห่งเต๋าของรถลากนั้นสงบ ไม่เผยให้ภายนอกได้เห็น อสูรร้ายเลือดบริสุทธิ์มิได้เห็นภาพประกายมงคลที่จุติลงจากฟ้าเมื่อครู่


มิฉะนั้น ต่อให้อสูรร้ายตนนี้กล้าหาญกว่านี้อีกร้อยเท่าก็มิกล้าลั่นวาจาเช่นนี้แน่นอน!


เขาได้สัมผัสกับจังหวะแห่งเต๋านั้นด้วยตนเอง ในความรู้สึกของเขา แม้แต่ฉงฉีก็ไม่อาจต้านทานจังหวะแห่งเต๋าเช่นนี้ได้!


จังหวะแห่งเต๋านั้นสูงส่งเหนือชั้นยิ่งนัก สรรพวิถีล้วนถูกกำราบ อยู่เหนือวิถีทั้งปวง ฉงฉีไม่แข็งแกร่งปานนั้นหรอกกระมัง…


หากฉงฉีแข็งแกร่งปานนั้นจริง ในรายนามสิบอสูรร้ายแห่งบรรพกาลย่อมต้องมีชื่อฉงฉี


เขากำลังจะบอกไปว่าในรถลากมีคนใหญ่คนโตผู้น่ากลัวเกินหยั่งนั่งอยู่ อย่าได้กำเริบเสิบสาน


ทว่าเมื่อกำลังจะเอ่ยปาก เขาก็หยุด มิได้กล่าวต่อ


เขาคาดว่าภายในรถลากมีคนใหญ่คนโตน่ากลัวเกินหยั่ง


แต่…ความจริงเป็นเช่นนั้นจริงหรือ


หากเขาคิดผิดเล่า


ถ้าที่รถลากเปลี่ยนสภาพมิใช่ฝีมือของผู้ใด แต่เป็นเพราะรถลากคันนี้แต่เดิมนั้นไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ถึงได้เกิดการเปลี่ยนสภาพขึ้นมาเองเล่า?


เขายังมิได้เข้าไปในรถลาก จึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่แท้จริงภายในรถลากนั้นเป็นอย่างไร


กระนั้น ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่อนุญาตให้อสูรร้ายตนนี้เข่นฆ่าผู้อื่นตามอำเภอใจ


“ไปเถิด อย่าสร้างเรื่องสร้างราว เวลานี้โกลาหลพอแล้ว อย่าได้สร้างความบาดหมางโดยไม่จำเป็นเลย!”


เขาเดินมาอยู่เบื้องหน้าอสูรร้ายพร้อมกล่าวกับมัน


สงครามใหญ่ใกล้ปะทุ สิ่งมีชีวิตทั้งปวงร่วมแรงร่วมใจยังไม่แน่ว่าจะหยุดยั้งได้ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเกิดศึกภายใน


“น้ำหน้าอย่างเจ้าบังอาจขวางทางข้าด้วยรึ? เปลี่ยนเป็นซางเจี๋ย ลูกรักสวรรค์ในตระกูลเจ้าอาจจะยังพอไหว!”


นัยน์ตาอสูรร้ายเย็นเยียบ จิตสังหารไม่ลดลงแม้แต่น้อย


มันลงมือฟาดกรงเล็บเข้าไป เสียงกู่ร้องดังระงมอยู่ในมิติ พลังแกร่งกล้าก่อให้เกิดระเบิดครั้งใหญ่


ลมปราณขอบเขตเทวาคืบคลาน ตัวมันทรงพลังสยดสยองขนาดที่จุดประกายเพลิงเทวา บรรลุขอบเขตเทวาสำเร็จ!


มิหนำซ้ำ ลมปราณเทวานี้ดุดันท่วมท้น มิใช่พลังรบของขอบเขตเทวาธรรมดา แต่อาจอยู่ในขั้นสูงสุดของขอบเขตเทวาแล้วก็ได้!


มันไม่ไว้หน้าซางเหิง ฟาดกรงเล็บใส่ทันที


แม้ตระกูลซางจะแกร่งกล้า กระนั้นสายเลือดฉงฉีก็ไม่ธรรมดา มิได้ด้อยไปกว่าตระกูลซางเลย


“เจ้า!”


ซางเหิงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เขายังมิได้เป็นเทวา แต่เป็นเพียงราชันผู้เกริกไกรเท่านั้น เมื่อเผชิญกับการโจมตีของอสูรร้ายตนนี้ เขาไม่อาจต้านทานได้เลย


พลังอันแข็งแกร่งปกคลุมฟ้าดิน บารมีดุดันล้นนภา อสูรร้ายแสยะยิ้มเย็น มันมิใช่ระดับที่ซางเหิงจะหยุดยั้งได้!


เสียงดัง ‘กร๊อบ!’ มีเสียงกระดูกแหลกลาญดังอยู่ภายในตัวซางเหิง กรงเล็บของอสูรร้ายไม่ทันกระแทกลงมา ซางเหิงก็รับไม่ไหวอีกต่อไป กระดูกในตัวเริ่มหักงอ!


“วันนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้า เพราะไว้หน้าตระกูลซาง ทว่าเจ้าบังอาจกีดขวางข้า เรื่องนี้ปล่อยผ่านไม่ได้ จำต้องให้เจ้าได้รับบทเรียน!”


อสูรร้ายมีสีหน้าเย็นชา กรงเล็บที่ฟาดใส่กดทับลงไปเรื่อย ๆ


ดั่งเช่นที่มันว่า มันไม่คิดเอาชีวิตซางเหิง ทว่าเกียรติยศของมันไม่ยอมให้ผู้ใดจาบจ้วง!


“แมวน้อยจากหนใด บังอาจมาอวดดีอยู่ที่นี่!” เซี่ยเหยียนแค่นเสียงเย็น


นางมิได้นิ่งเฉย ถึงอย่างไรซางเหิงก็พูดจาเข้าข้างพวกเขา


นางคลี่ฝ่ามือนวลเนียนดุจหยก ประกายอ่อนโยนเจิดจรัสทว่าไม่แยงตาทิ่มแทงออกจากฝ่ามือ!


แสงนั้นดูเหมือนอ่อนโยน ความจริงแล้วทรงพลังเหลือแสน พลังที่แฝงไว้อยู่ในนั้นชวนสะท้าน พริบตาเดียวก็ทะลุกรงเล็บของอสูรร้าย เลือดสาดกระเซ็น!


กรงเล็บทะลุ อสูรร้ายเจ็บปวดจนหน้าตาเหยเก ร่างของมันร่วงจากรถลากคันใหญ่ยักษ์ ขณะที่หางของมันสะบัดไปมา ก็หวดทาสมนุษย์ที่ทำหน้าที่ลากรถกระเด็น


เมี้ยว!


ภายในรถลาก ลั่วสุ่ยได้ยินคำกล่าวของเซี่ยเหยียนแล้วก็พลันส่งเสียงร้องอย่างโมโห


ด่าอสูรร้ายตนนั้นก็ด่าไป ไยต้องมีคำว่า ‘แมวน้อย’ ด้วย?


เซี่ยเหยียนได้ยินเสียงร้องของลั่วสุ่ย จึงหันไปมองลั่วสุ่ยพลางกล่าว “ขออภัย ข้ามิได้ว่าเจ้า ประเด็นคือเจ้านี่หน้าตาเหมือนแมวน้อยจริง ๆ…”


จากนั้น นางกระโจนขึ้นจากแท่นเหยียบหน้ารถลากไปอยู่ด้านนอก


เจ้าอธิบายกระไร?


ที่พูดมาต่างจากไม่พูดตรงไหน?


ลั่วสุ่ยขุ่นเคืองใจสุด ๆ สะบัดอุ้งเท้าแมวใส่ร่างของเซี่ยเหยียนอย่างเคียดแค้น


หากมิใช่ว่าท่านเซียนอยู่ที่นี่ นางต้องถามเซี่ยเหยียนให้รู้ความว่านางหมายความอย่างไร ทำไมรึ อสูรร้ายตนนั้นเหยียดยามนางหรือ


อย่าคิดว่าได้เป็นเทวาแล้วเก่งนักหนา ขออภัย ลั่วสุ่ยผู้นี้ไม่ยี่หระ และลั่วสุ่ยผู้นี้ก็หาได้ต้อยต่ำกว่าเทวาไม่!


หากสู้กันจริง นางมั่นใจว่าตัวเองสามารถบดขยี้เซี่ยเหยียนได้สบาย


เผ่ามัจฉาจากเก้าอาณาจักรตอนบนนั้นมิได้กินไปอย่างเปล่า ๆ


ตอนนี้ตัวนางเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองน่ากลัวปานใด


หลี่จิ่วเต้าอมยิ้มพลางอุ้มแมวน้อยสีขาวขึ้นมา


เขาได้ยินวาจาของเซี่ยเหยียนเช่นกัน คิดในใจไปว่าแมวน้อยสีขาวตัวนี้รู้ความยิ่งนัก ทำท่าประหนึ่งว่าฟังรู้เรื่อง ซ้ำยังโบกอุ้งเท้าใส่เซี่ยเหยียนอย่างโกรธแค้นอีกต่างหาก!


“เด็กใจแคบ เซี่ยเหยียนมิได้ว่าเจ้า”


เขาลูบขนแมวน้อยสีขาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พร้อมกอดไว้ในอกแล้วเดินไปข้างหน้า


ด้านนอกนั้น อสูรร้ายบันดาลโทสะ ประกายดุดันแผ่ซ่านออกมาจากทั่วทั้งตัว ตาสองข้างแดงก่ำยิ่ง


มันดูแคลนเผ่ามนุษย์เป็นที่สุด บัดนี้กลับถูกมนุษย์ทำให้บาดเจ็บ มันทนไม่ได้ จิตสังหารพวยพุ่งถึงขีดสุด!


โฮก! โฮก! โฮก!


มันคำรามกราดเกรี้ยว ร่างกายขยายอย่างรวดเร็ว กลายสภาพไปเหมือนขุนเขาลูกหนึ่ง บดบังแม้กระทั่งดวงอาทิตย์บนนภา!


ปีกบนหลังของมันกระพือ เสียงฟ้าร้องคำรามไม่หยุด อสนีบาตสุดสยดสยองแลบแปลบปลาบ ถล่มไปหาเซี่ยเหยียน


เซี่ยเหยียนไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด ดวงหน้าขาวผ่องงดงามนิ่งสงบ คนทั้งคนปกคลุมอยู่ในแสงเทวะ ประหนึ่งเทพีแห่งสงคราม สง่างามดุดัน องอาจน่าหวาดหวั่น!


นางแข็งแกร่งอย่างยิ่ง กระโจนตัวขึ้น ฝ่ามือวาววามสองข้างทาบออก ประกายแสงที่ดูเหมือนอ่อนโยนทว่าแท้จริงแล้วน่ากลัวพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง ปัดป้องอสนีบาตที่ฟาดเข้ามาหานางจนแหลกลาญ


นี่คือประกายแห่งไท่หัว นางบำเพ็ญจนอยู่ในระดับสูงแล้ว


แก่นกำเนิดวิถีแห่งไท่หัวที่สำนักไท่หัวมีในครอบครองนั้นมาจากประกายแห่งไท่หัวแสงหนึ่ง และประกายแห่งไท่หัวนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง คล้ายว่าจะเป็นประกายแห่งเซียน!


“แมวน้อยตัวนี้อยากถูกทุบตีก็มิบอก!”


เซี่ยเหยียนดุดันอาจหาญไร้ผู้ใดเทียม แสงเทวะหลั่งไหลออกมาอยู่รอบตัว ประกายแห่งไท่หัวกระเพื่อมไปมาจนเกิดเป็นจังหวะแห่งเต๋าแสนน่ากลัว กำราบอสูรร้ายตนนั้น!


นางบดขยี้อสูรร้ายตนนี้อยู่ฝ่ายเดียว!

บทที่ 275

ขอบเขตเทวาทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด ภาพการณ์สยดสยองน่าหวาดหวั่น แม้แต่ฟ้าดินยังเปลี่ยนสี เสียงระเบิดดังอยู่ในมิติแห่งนี้ไม่หยุดหย่อน พลังกระแทกเป็นหลุมใหญ่หลุมแล้วหลุมเล่า!


คลื่นพลังที่ซัดสาดยังแฝงไว้ซึ่งฤทธิ์ทำลายล้าง ยอดเขาในรัศมีพันลี้ทลายจนสิ้น ก้อนหินกลิ้งถล่มกันระนาว


รถลากเปล่งประกายนุ่มนวล ปัดป้องพลังทั้งหมดที่โถมเข้ามาได้ อสูรทั้งเก้าที่ลากรถอยู่ด้านหน้าก็ได้รับการคุ้มครองเช่นกัน ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย


พวกมันถึงเบาใจ ก่อนหน้านี้พวกมันเป็นกังวลอยู่ตลอดว่าอาจตายด้วยคลื่นพลังดุดันนี้


สุดยอด!


สมกับเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักไท่หัว!


เมื่อได้เห็นพลังแกร่งกล้าของเซี่ยเหยียนอีกครั้ง ความกังวลของหลี่จิ่วเต้ามลายหายไปจนสิ้น


อสูรร้ายตัวมโหฬารดั่งขุนเขาปานนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยเหยียนยังมิใช่คู่ต่อสู้ ต้องถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียว เขามีสิ่งใดต้องกังวลอีก


นอกจากนี้ รถลากคันนี้เยี่ยมยอดยิ่งนัก


ไม่เห็นหรือว่าข้างนอกนั่นต่อสู้กันจนฟ้าแทบถล่ม เกิดเป็นหลุมเล็กใหญ่หลุมแล้วหลุมเล่า ด้านรถลากกลับเงียบสงบ ไม่แม้แต่จะโคลงเคลง


เห็นได้ชัดว่ารถลากนี้มิใช่ของดาด ๆ ถึงป้องกันพลังทั้งหมดไว้ได้


“คือว่า…ข้าขอเข้าไปด้วยได้หรือไม่”


ซางเหิงทะยานมาอยู่ใกล้ ๆ รถลาก ก่อนจะส่งเสียงถาม


การต่อสู้ระหว่างเซี่ยเหยียนและอสูรร้ายน่ากลัวเกินไป คลื่นพลังที่แผ่ขยายออกมาล้วนเป็นพลังระดับเทวา ต่อให้เขาเป็นถึงราชันผู้เกริกไกรก็ไม่อาจทนได้ไหว


หากยังไม่หาที่ปลอดภัย เกรงว่าเขาต้องตายด้วยลูกหลงจากคลื่นพลังการต่อสู้นี้


แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดคือออกจากพื้นที่สู้รบนี้


ทว่าคลื่นพลังที่ซัดสาดออกมานั้นน่ากลัวเกินไป มิติแหลกลาญ เขาไม่อาจหายตัวผ่านทางมิติได้


เห็นรถลากแล้วจึงคิดว่าจะขอเข้าไปหลบภัยข้างในเสียหน่อย


นี่เพราะตัวเขาอยู่ไม่ห่างจากรถลากมากนัก ทว่าระยะทางแค่นี้ก็แทบผลาญพลังทั้งหมดของเขาไปจนสิ้นแล้ว!


อีกอย่าง เขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ภายในรถลากเป็นอย่างไรด้วย


ต่อให้สถานการณ์คับขัน ก็มิกล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไป หากว่าภายในรถลากมีคนใหญ่คนโตแสนน่ากลัวอยู่จริง การที่เขาทะเล่อทะล่าบุกเข้าไปไม่ต่างจากรนหาที่ตาย เฉกเช่นเดียวกับอยู่ข้างนอกนี้ต่อ


“ได้อยู่แล้ว”


หลี่จิ่วเต้าตอบ ดูออกว่าซางเหิงอยู่ในสภาพไม่ดีเท่าไร


ซางเหิงมีแผลตามตัวซ้ำยังเลือดไหลไม่หยุด สภาพจะดีได้อย่างไร


เขาประทับใจในตัวซางเหิงไม่น้อย


เมื่อครู่ภาพที่ซางเหิงออกหน้าตอบโต้อสูรร้ายตนนั้นเขาก็เห็นทั้งหมด


“ขอบคุณ!”


หลังได้รับคำตอบแน่ชัด ซางเหิงก็รีบเข้ามาอยู่ในรถลาก


เขาถอนหายใจโล่งอก ไม่มีแรงกดดันชวนหวาดหวั่นอีก นับว่าตนปลอดภัยแล้ว รถลากสามารถขวางกั้นพลังทั้งหมดไว้ด้านนอกได้


ทว่าในตอนนั้นเอง เขาเพิ่งสังเกตว่าคนที่ยอมให้เขาเข้ามาเมื่อครู่เป็นเพียงปุถุชน!


บนรถลากสูงส่งเหลือแสนเยี่ยงนี้ เหตุใดจึงมีปุถุชนอยู่!?


สถานการณ์เช่นนี้นับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของเขาโดยแท้!


กระนั้น เขาก็ไม่มีเวลาคิดอันใดไปมากกว่านี้ ต้องรีบนั่งขัดสมาธิกับพื้น รีดเร้นวิชาปรับสภาพร่างกาย


ก่อนหน้าถูกอสูรร้ายตนนั้นฟาดกรงเล็บเข้าใส่ แม้จะไม่กระแทกโดนตัว แต่ถึงอย่างนั้นพลังแสนแกร่งกล้านั้นก็ทลายกระดูกภายในตัวเขาไปไม่น้อย


บวกกับระลอกคลื่นพลังที่โถมทับ เขาเสียพลังไปอีกนับคณา หากเขาไม่รีบปรับปรุงสภาวะของร่างกาย มีหวังเกิดปัญหาใหญ่กับตัวเขาแน่!


ศึกใหญ่ข้างนอกดำเนินต่อเนื่อง ซ้ำยังดุเดือดยิ่งขึ้นไปอีก อยู่ในจุดที่แรงปะทุใกล้ถึงจุดสูงสุด!


แรงกระแทกจากคลื่นพลังที่โถมทับเข้ามายิ่งทวีความรุนแรง รถรบโบราณที่อสูรร้ายนั่งมา รวมถึงผู้ฝึกตนที่มีหน้าที่ลากรถต่างกายแหลกสลายภายใต้แรงกระแทกเยี่ยงนี้ กลายเป็นหมอกสีเลือดกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า!


โฮก! โฮก! โฮก!


อสูรร้ายคำราม มันถูกบดขยี้จนอยู่ในสภาพอนาถ เลือดท่วมตัว แผลตามตัวล้วนแต่ฉกรรจ์ เลือดเนื้อทะลักออกมาอยู่ข้างนอก


มันคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเซี่ยเหยียนจะทรงพลังถึงเพียงนี้ แม้แต่ตัวมันยังมิใช่คู่ต่อสู้ ถูกเซี่ยเหยียนบดขยี้อยู่ฝ่ายเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ


ระหว่างนี้ มันปล่อยพลังที่ทวีความแกร่งกล้าออกมาเรื่อย ๆ แต่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด เซี่ยเหยียนก็มักเหนือกว่ามันอยู่เสมอ!


“พี่หญิงเซี่ยเหยียนฝีมือฉกาจยิ่งนัก!”


“เจ้านี่บอกว่าเผ่ามนุษย์อย่างเราเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำ ซ้ำยังบอกว่าภายหน้าเราจะตกเป็นอาหารของเผ่าอื่น พี่หญิงเซี่ยเหยียนไม่ต้องออมมือ อัดมันให้ยับไปเลย!”


พวกอ้ายฉานส่งเสียงตะโกนอยู่บนรถลากด้วยความเดือดดาล


ก่อนหน้าอสูรร้ายตนนี้โอหังถึงขีดสุด ซ้ำยังพูดจาหมา ๆ พวกเขาพลอยโมโหกันหมด ถึงได้ส่งเสียงตะโกนบอกเซี่ยเหยียนอัดอสูรร้ายตนนี้ให้ยับเสีย


“ได้”


เซี่ยเหยียนยิ้มพลางตอบรับ เมื่อได้ยินเสียงของพวกอ้ายฉาน


นางเพิ่มพลังโจมตี จู่โจมหนักหน่วงยิ่งขึ้น ราวกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำใส่อสูรร้ายตนนั้นไม่หยุดหย่อน


นางลงมือโดยมีการ ‘อัดให้ยับ’ เป็นเป้าหมาย


ไอ้บัดซบเอ๊ย!


มนุษย์ฝีมืออัศจรรย์อะไรกันนี่!


อสูรร้ายอยากจะร่ำไห้ ตัวมันที่ไร้เทียมทานในหมู่รุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่เคยคิดเลยว่าจะอยู่ในสภาพน่าสังเวชปานนี้ มันต้องโดนอัดจนแหลกลาญจริง ๆ หรือ?


เจ็บใจนัก คำรามกราดเกรี้ยวไม่หยุด ยกระดับสายเลือด ปล่อยวิชาออกไปวิชาแล้ววิชาเล่า


ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนแล้วเปล่าประโยชน์ เมื่อแสงแห่งไท่หัวของเซี่ยเหยียนกวาดล้างออกไป ก็ไม่มีสิ่งใดยับยั้งต้านทานได้ วิชายิ่งใหญ่ปานใดก็ไม่ไหว ทลายราบได้ทุกสรรพสิ่ง!


นี่มันแสงอะไรกันนี่!?


วิญญาณของอสูรร้ายสั่นระรัว ยามนี้นึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง


มันว่างนักหรือถึงได้ออกไปขวางทาง!


ดูตอนนี้สิ ชีวิตคงมันต้องจบสิ้นลงที่นี่!


บนรถลากนั้น


ซางเหิงลืมตาอย่างเหลือเชื่อ ‘หาย…แล้ว?’


เขายากจะเชื่อได้ลง ตนรีดเร้นเคล็ดวิชาออกมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น กระดูกทั้งหมดที่เคยหักในร่างกายกลับฟื้นสภาพกลับมาได้ทั้งหมด พลังที่ถูกผลาญจนสิ้นก็กลับคืนมาเช่นกัน!


แต่ไม่นานนักเขาก็คิดตก


จังหวะแห่งเต๋ามิได้เผยออกไปนอกรถ จังหวะแห่งเต๋าทั้งหมดถูกเก็บไว้ภายใน เขาในตอนนี้ถูกจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งปกคลุมไว้ทั้งตัว ในสภาวะแบบนี้ เขาไม่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วสิเป็นไปได้ยาก!


ไม่คลางแคลงเลยว่า หากเขาได้บำเพ็ญโดยมีจังหวะแห่งเต๋าปกคลุมร่างกายหนึ่งวัน ย่อมก้าวกระโดดจากขอบเขตราชันผู้เกริกไกรไปถึงขอบเขตราชันขั้นสมบูรณ์ได้!


หลังคิดตกแล้ว ซางเหิงก็จิตใจสงบอย่างรวดเร็ว บัดนี้อยู่ในรถลากแล้ว เขาสามารถรู้ได้ว่าสถานการณ์ภายในรถลากเป็นเช่นไร


‘เป็นเพราะรถลากไม่ธรรมดาเป็นทุนเดิม ถึงได้เปลี่ยนสภาพขึ้นมาเองจริงหรือ?’


เขาคิดในใจอย่างอดไม่ได้


ภายในรถลาก นอกจากพวกหลี่จิ่วเต้าแล้ว เขาไม่เห็นผู้ใดอีก


แต่เดิมเขาคาดการณ์ว่ามีคนใหญ่คนโตเกินหยั่งประทับในรถลาก แต่เห็นได้ชัดว่าการคาดการณ์นี้ผิดพลาด


กลุ่มของหลี่จิ่วเต้าประกอบด้วยปุถุชนสองคน และแมวน้อยสีขาวตัวหนึ่ง ไม่มีผู้ใดมีพลังปราณกระเพื่อมอยู่ เห็นได้ชัดว่ามิได้อยู่บนเส้นทางการฝึกตน


เด็กแปดคนที่เหลือแม้มีขอบเขตพลังในระดับสูงเหนือการคาดหมายของเขา กระนั้นก็ยังไม่พ้นทั้งเก้าขั้นแห่งขอบเขตพรตเต๋า


ผู้ฝึกตนหญิงอีกคนที่เหลือ ระดับพลังสูงสู้เด็กทั้งแปดคนไม่ได้ด้วยซ้ำ…


ในคนกลุ่มนี้มิมีคนใหญ่คนโต


สายเลือดของลั่วสุ่ยวิวัฒนาการอยู่ตลอด ขอบเขตพลังอยู่ในระดับสูงยิ่ง


เพียงแต่ก่อนออกมา นางอำพรางลมปราณพลังของตนไว้


ตามท่านเซียนออกไปข้างนอก ทำตัวโดดเด่นมากไปก็มิเป็นการดี…


สาเหตุที่ซางเหิงจับคลื่นพลังปราณจากตัวนางไม่ได้ก็เพราะเหตุนี้


ส่วนหลิงอิน นางใช้เคล็ดวิชาลับโบราณปกปิดพลังที่แท้จริงของตนไว้ อย่าว่าแต่ซางเหิงเลย กระทั่งนักบุญมาเองก็ไม่อาจจับสัมผัสตื้นลึกหนาบางของนางได้


ลั่วสุ่ยปกปิดระดับพลังเช่นกัน กระนั้นก็ไม่อาจเทียบได้กับหลิงอินผู้ปกปิดพลังลมปราณด้วยเคล็ดวิชาลับโบราณ


ซางเหิงสัมผัสคลื่นพลังปราณจากตัวลั่วสุ่ยไม่ได้ เพราะขอบเขตของตัวเขายังต่ำ หากเจอกับสิ่งมีชีวิตที่มีขอบเขตเทียบเท่าหรือแข็งแกร่งกว่าลั่วสุ่ย วิธีปกปิดของลั่วสุ่ยจักไม่ส่งผลเลยสักนิด


ทว่าหลิงอินต่างออกไป สิ่งมีชีวิตในระดับเดียวกันไม่อาจจับสัมผัสได้เลย


ด้วยสถานการณ์ของหลิงอินในตอนนี้ การจะล่วงรู้ภูมิหลังของนาง อย่างต่ำก็ต้องเป็นถึงจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์


หลิงอินอยู่ข้างกายท่านเซียนเสมอ ซ้ำยังเป็นจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาลมาเกิดใหม่ ความเร็วในการเลื่อนระดับพลังของนางย่อมไม่เป็นรองผู้ใด…


บัดนี้นางอยู่ในระดับราชันเทวาแล้ว!


“เซี่ยเหยียน ลงมือเบา ๆ หน่อย”


ภายในรถลาก หลี่จิ่วเต้าบอกกับเซี่ยเหยียนที่กำลังบดขยี้อสูรร้าย


ลงมือเบา ๆ หน่อย?


ท่านเซียนหมายความว่าอย่างไร


คิดจะปล่อยอสูรร้ายตนนี้ไปหรือ


เซี่ยเหยียนคิดในใจ


และความรุนแรงที่มือก็ผ่อนลงในพริบตา มิกล้าลงมือหนักอีก

266-270

บทที่ 266

ณ เมืองชิงซาน


หลี่จิ่วเต้าปรุงซุปกระดูกหม้อใหญ่ไว้พร้อมสำหรับทำหม้อไฟ


เขาเคยกินหม้อไฟมาก่อน จึงมีทั้งเตาถ่าน และหม้อทองแดง


หม้อทองแดงเป็นหม้อหยวนหยางที่เขาทำขึ้นมาเอง


เขาเตรียมน้ำจิ้มหลากหลายชนิด ระหว่างรอให้พวกอ้ายฉานกลับมาพร้อมกับเนื้อและอาหารทะเล


ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ราตรีเริ่มย่างกราย


หลิงอินกับเซี่ยเหยียนมาถึงอย่างรวดเร็ว


หลังจากนั้นไม่นานนัก พวกอ้ายฉานก็กลับมา


“คุณชาย ท่านดูสิ ข้านำวัวยักษ์มาด้วย!”


“ข้าเอานกยักษ์กลับมา!”


“ของข้าเป็นแพะ!”


“ข้าเอากุ้งกลับมาด้วยหลายตัวเลย!”




พวกอ้ายฉานพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะนำสัตว์อสูรที่ล่าได้ออกมา


“ไม่เลว ไม่เลว!”


หลี่จิ่วเต้าพึ่งพอใจเป็นอย่างมากเมื่อเห้นวัวยักษ์สีดำ นกตัวใหญ่ แพะภูเขา กุ้งและสัตว์อสูรอื่น ๆ


มองแวบแรกก็รู้ว่าสัตว์เหล่านี้ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา หลี่จิ่วเต้าคิดว่า สิ่งที่พวกเขาล่ากลับมาน่าจะเป็นสัตว์อสูร


สัตว์อสูร...!


ภายในใจของหลี่จิ่วเต้ารู้สึกตื่นเต้น


เขากินเนื้อมามากมาย แต่ไม่เคยกินเนื้อสัตว์อสูรมาก่อน ครั้งนี้นับว่าเขาได้รับอานิสงส์จากพวกอ้ายฉานแล้ว


‘ถึงจะกินเข้าไปแล้วก็ไม่อาจฝึกตนได้ ทว่าเนื้อสัตว์อสูรเหล่านี้ก็น่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย!’


หลี่จิ่วเต้าคิดขึ้นมาในใจ


เขาไม่คิดว่าตนเองจะสามารถฝึกตนได้จากกินเนื้อสัตว์อสูร หากสามารถฝึกตนได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ เช่นนี้ เกรงว่าบนโลกคงไม่เต็มไปด้วยปุถุชนคนธรรมดามากมายเพียงนี้...


การฝึกตนนั้นขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ ไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์อสูร หากไร้ซึ่งพรสวรค์ก็ไม่อาจเข้าสู่เส้นทางการฝึกตนได้


เซี่ยเหยียนมองไปยังซากของสัตว์อสูรต่าง ๆ ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมา “ทั้งหมดนี้…พวกเจ้าล่าเองหมดเลยหรือ?”


นางคาดไม่ถึงอยู่บ้างว่า เด็ก ๆ อย่างพวกอ้ายฉานจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้


สัตว์เหล่านี้ ไม่ว่าจะตัวไหน นางก็สัมผัสได้ถึงแก่นชีวิตอันน่าทึ่งในเลือดและเนื้อ แสดงให้เห็นว่าสัตว์เหล่านี้ทรงพลังเป็นอย่างมากในยามที่มีชีวิต ไม่ได้เป็นเพียงสัตว์อสูรธรรมดาทั่วไป


โดยเฉพาะนกยักษ์ตัวนั้น แก่นชีวิตที่อยู่ภายในเลือดเนื้อนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง นางรู้สึกว่ามันอาจไม่ใช่สัตว์อสูร แต่เป็นอสูรร้ายที่สืบเชื้อสายมาตั้งแต่สมัยโบราณ!


ปีกสีทอง...ครุฑ!


เป็นมันนั่นเอง!


เซี่ยเหยียนที่รู้สึกว่านกยักษ์ตัวนี้เหมือนกับอสูรร้าย จึงนึกทบทวนตำราเกี่ยวกับอสูรร้ายที่นางเคยอ่านมา


แล้วนางก็นึกออกขึ้นมาจริง ๆ!


นกยักษ์ด้านหน้านางเหมือนกับอสูรร้ายยุคโบราณอย่างครุฑปีกทองไม่มีผิด!


ครุฑปีกทอง อสูรร้ายโบราณอันเลื่องชื่อ มีความดุร้ายเป็นอย่างมาก เป็นรองเพียงสิบอสูรร้ายในตำนานเท่านั้น!


ดูเหมือนว่าสายเลือดครุฑปีกทองในร่างของนกยักษ์ตัวนี้จะบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่แสดงลักษณะออกมาเหมือนเช่นนี้


กระทั่งอสูรร้ายที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ขนาดนี้กลับถูกสังหาร พวกเด็ก ๆ แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยหรือ?


พรรคจื่อเสีย...!


ใช่แล้ว


เซี่ยเหยียนนึกขึ้นมาได้ ตอนที่อันหลานเสวี่ยไปสำนักไท่หัวเพื่อตามหานางได้กล่าวเอาไว้ว่าตนเองมากจากพรรคจื่อเสีย ทว่าในยามนั้นนางไม่ได้คิดอะไรมาก


ตอนที่นางมาเห็นพวกเด็ก ๆ จึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้


เมืองชิงซานได้ให้กำเนิดแปดอัจฉริยะสะท้านฟ้า และทุกคนล้วนเข้าร่วมพรรคจื่อเสีย…


เห็นได้ชัดเจนว่าพวกอ้ายฉานคือแปดอัจฉริยะสะท้านฟ้า!


นี่คือความน่ากลัวของอัจฉริยะสะท้านฟ้า?


พวกเขาอายุไม่เท่าไหร่ แถมยังเริ่มฝึกฝนมาเพียงไม่กี่เดือน กลับสามารถสังหารอสูรร้ายสายเลือดบริสุทธิ์ได้แล้ว?


ช่างน่าตื่นตะลึงจริง ๆ!


‘สมกับเป็นท่านเซียน!’


เซี่ยเหยียนอดเอ่ยขึ้นมาภายในใจไม่ได้


นางรู้ดีเป็นอย่างยิ่งว่าพวกอ้ายฉานมีพรสวรรค์สะท้านฟ้าได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะท่านเซียน


สามารถทำให้เด็กแปดคนมีพรสวรรค์สะท้านฟ้าได้ หากไม่ใช่ท่านเซียน ผู้ใดจะทำได้อีก!


หลิงอินที่อยู่ด้านข้างเองก็ดูจะประหลาดใจเช่นเดียวกัน


เด็กอายุเพียงไม่กี่ปีกลับแข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่น แข็งแกร่งกว่านางแต่กาลก่อนเป็นอย่างมาก!


จ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาลมาเกิดใหม่ ยังไม่อาจทัดเทียมกับผู้ที่ได้รับการชี้แนะจากท่านเซียน...


หลิงอินคิดขึ้นมาภายในใจ


เด็กที่ท่านเซียนรัก ล้วนโชคดีเป็นอย่างยิ่ง!


อันหลานเสวี่ยมองด้วยความอิจฉา นางเองก็จำได้ถึงต้นกำเนิดของครุฑปีกทองเช่นกัน


“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ทั้งหมดนี่คือที่พวกข้าล่ามา!”


“คิคิ คุณชาย พวกเราเก่งมากใช่หรือไม่!”


พวกอ้ายฉานยิ้มหัวเราะพลางกล่าวกับคุณชาย


“เก่ง พวกเจ้าเก่งมาก เข้าไปพักในบ้านเถอะ เดี๋ยวคุณชายจะจัดการกับเหล่าสัตว์พวกนี้เอง จากนั้นพวกเรามากินหม้อไฟกัน!”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวขึ้นมากับพวกอ้ายฉาน


เซี่ยเหยียนอาสาขึ้นมา “คุณชาย ข้าจะช่วยท่านจัดการขน!”


“ได้!”


หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า จากนั้นจึงเริ่มจัดการกับสัตว์อสูรเหล่านี้


“ข้าเองก็จะช่วย!”


“ข้าด้วย!”


หลิงอินและอันหลานเสวี่ยเองก็ร่วมวงด้วย


มันทำให้หลี่จิ่วเต้าสบายขึ้นไม่น้อย เขาไม่ต้องไปยุ่งอยู่กับการกำจัดขนอีก จึงลงมือรีดเลือดมาแปรสภาพให้กลายเป็นก้อน


ก้อนเลือดใส่กับหม้อไฟแล้วอร่อยเป็นอย่างยิ่ง


เขาทำความสะอาดเนื้อที่ถูกกำจัดขนไปแล้ว จากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ สะดวกแก่การจุ่มลงในหม้อไฟ


ในที่สุด หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็กินหม้อไฟด้วยกันในลานท่ามกลางอากาศร้อน ๆ


ดีที่ลูกแก้วที่อวิ๋นกู่มอบให้สามารถปรับอุณหภูมิได้ตามต้องการ อากาศในลานเล็กจึงกำลังดี ทั้งยังกว้างขวางพอ


หากจะทานกันภายในบ้านนั้น ก็มีพื้นที่เล็กเกินไป


“ว้าว นี่มันอร่อยเกินไปแล้ว!”


จู้จื่อกินสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าครุฑปีกทองเข้าไปหนึ่งคำ รสชาติอันแสนอร่อยก็ระเบิดออกมา!


“ครั้งหน้าหากเจอนกแบบนี้ ข้าจะล่ามากินอีก!”


เขาพึมพำออกมาขณะกำลังเคี้ยว


ล่ามากินอีก?


สมกับเป็นเด็กที่ท่านเซียนรัก ช่างแข็งแกร่งหาญกล้า อสูรร้ายเลือดบริสุทธิ์บอกจะล่าสังหารก็ล่าสังหาร!


การกินหม้อไฟในครั้งนี้ได้เปิดประตูบานใหม่ให้กับพวกจู้จื่อ ในอนาคตอสูรร้ายเลือดบริสุทธิ์เหล่านี้คงจะต้องทนทุกข์ทรมานแล้ว...


อันหลานเสวี่ยคิดขึ้นมาในใจ วันข้างหน้าเกรงว่าจะมีอสูรร้ายเลือดบริสุทธิ์จำนวนมากกลายเป็นอาหารมื้อใหญ่ให้กับพวกจู้จื่อ


หากคนนอกได้ยินความคิดของนาง คงจะพูดไม่ออกอย่างแน่นอน


อสูรร้ายเลือดบริสุทธ์ อสูรร้ายที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ ทั้งดุร้ายและทรงพลัง พวกมันมักจะเป็นฝ่ายกินสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่เสมอ กลับถูกลดฐานะกลายเป็นของกินในปากคนไปเสียแล้ว?


“น้ำผลไม้เองก็อร่อยมากเช่นกัน!”


“ยังมีน้ำจิ้มนี่อีก!”


“คุณชายฝีมือดีจริง ๆ”


พวกอ้ายฉานกินกันอย่างมีความสุข เนื้อจิ้มจุ่มกินกับน้ำจิ้มแล้วรสชาติลงตัวอย่างถึงที่สุด!


แถมยังมีน้ำผลไม้ให้ดื่มแก้เลี่ยน ไม่ต้องพูดเลยว่าพวกเขามีความสุขกันมากแค่ไหน!


นอกจากนี้ พวกเขารับรู้ได้ว่าร่างกายถูกโอบล้อมไว้ด้วยพลังอันนุ่มนวลและแข็งแกร่ง ทั้งยังเสริมพลังและเลื่อนระดับให้พวกเขาในทุกด้าน!


นี่นับเป็นวาสนาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขารับรู้ได้ว่ามันให้ผลเสียยิ่งกว่าการกินโอสถจักรพรรดิ!


“ถ้าอร่อยก็กินให้มากขึ้น ยังมีเนื้อ ผัก และน้ำผลไม้อีกมาก”


หลี่จิ่วเต้ากล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม


พวกเด็ก ๆ ต้องไม่ชอบดื่มชาอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเตรียมน้ำผลไม้จำนวนมากไว้สำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ


รสชาติของเนื้อสัตว์อสูรนั้นแตกต่างจากเนื้อทั่วไป มันให้ความสดมากกว่า นุ่มมากกว่า และก็อร่อยมากกว่า หลี่จิ่วเต้ามีความสุขเป็นอย่างยิ่งที่ได้กิน


พวกเขาทั้งกินทั้งพูดคุยหัวเราะเฮฮากันไม่หยุด ทำให้คุ้นเคยกันมากยิ่งขึ้น


“พี่เซี่ยเหยียน ท่านจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมครั้งใหญ่ที่ภาคกลางหรือไม่?”


อ้ายฉานกล่าวออกมา “พวกเรากำลังจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่ภาคกลาง หากพี่เซี่ยเหยียนไป เช่นนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเลย!”

บทที่ 267

“ใช่แล้ว ข้าไป พวกเราไปด้วยกันเถิด”


เซี่ยเหยียนตอบยิ้ม ๆ


งานชุมนุมใหญ่แห่งภาคกลาง


ถูกจัดขึ้นโดยโอรสสวรรค์จากตระกูลจักรพรรดิโบราณในดินแดนฮวงคนหนึ่ง ลือกันว่าตระกูลจักรพรรดิโบราณนี้ทรงพลังแกร่งกล้า มีการสืบสานมาอย่างยาวนาน บารมีสูงส่งในดินแดนฮวง


เดิมทีเซี่ยเหยียนไม่อยากไป


สถานการณ์ในตอนนี้วุ่นวายยิ่ง สิ่งมีชีวิตจากดินแดนฮวงและดินแดนฝอมาเยือนเหยียนโจวกันคับคั่ง นางไม่ต้องการร่วมวง


ทว่าตระกูลจักรพรรดิโบราณนี้ส่งเทียบเชิญมาถึงสำนักไท่หัว หากนางไม่ไป ดูเป็นการไม่ไว้หน้าตระกูลจักรพรรดิโบราณนี้เท่าใด อาจเกิดเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลัง


ด้วยเหตุนี้ สุดท้ายนางก็ตัดสินใจเข้าร่วม


แต่นางคิดไม่ถึงว่า พรรคจื่อเสียก็ได้เทียบเชิญด้วย


นางได้ยินว่ามีเพียงกลุ่มอำนาจที่รุ่งโรจน์ในแต่ละภาคเท่านั้นถึงได้รับเทียบเชิญ และพรรคจื่อเสียหาใช่กลุ่มอำนาจรุ่งเรืองไม่…


เมื่อลองขบคิดดู นางก็เข้าใจ


เกรงว่าที่ตระกูลจักรพรรดิโบราณนี้ส่งเทียบเชิญให้พรรคจื่อเสียมิได้มุ่งไปที่พรรคจื่อเสีย คงมุ่งไปที่พวกอ้ายฉานมากกว่า


ช่วงก่อนนี้ พวกอ้ายฉานสำแดงพรสวรรค์สะท้านโลกันตร์ออกมา สะเทือนไปทั้งเหยียนโจว


ตระกูลจักรพรรดิโบราณนี้ก็ได้ยินมาเช่นเดียวกัน ถึงได้ส่งเทียบเชิญให้พรรคจื่อเสีย


“เยี่ยมเลยพี่หญิง!”


“พวกเราไปด้วยกัน!”


พวกอ้ายฉานเอ่ยด้วยความดีใจ


ถึงแม้พวกเขาจะมิได้รู้จักกับเซี่ยเหยียนนานนัก ทว่าพวกเขาทุกคนต่างชอบเซี่ยเหยียนมาก อยากอยู่กับเซี่ยเหยียนให้นานกว่านี้


“งานชุมนุมใหญ่หรือ?”


หลังได้ยินคำว่างานชุมนุมใหญ่ หลี่จิ่วเต้าสนอกสนใจขึ้นมา


เขาไม่อาจบำเพ็ญตน ทว่าเขาสนใจในเรื่องราวของโลกแห่งการฝึกตนมาก


งานชุมนุมใหญ่ที่มีกลุ่มผู้ฝึกตนมารวมตัว คงสนุกยิ่ง!


เขายังไม่เคยเห็นภาพเช่นนั้นมาก่อน!


แม้ว่าชีวิตของเขาในเมืองชิงซานนั้นเริงร่าสบาย ทว่าอย่างไรก็น่าเบื่อไปหน่อย เขาอยากไปร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งนี้


“คุณชายสนใจหรือ”


เซี่ยเหยียนตาเป็นประกาย รู้สึกได้ว่าท่านเซียนใคร่สนใจในงานนี้มาก


ทว่านางกลับยังมีข้อกังขาในใจ


ท่านเซียนท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน อาศัยอยู่ในเมืองปุถุชน เห็นได้ชัดว่าเพราะไม่ต้องการข้องแวะกับโลกแห่งการฝึกตนเท่าใด


ไฉนบัดนี้ท่านเซียนกลับอยากร่วมงานชุมนุมใหญ่ของโลกแห่งการฝึกตนเสียได้?


หรือท่านเซียนต้องการเปิดเผยตัวตนแล้วหรือ?


ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น…


นางไม่รู้สึกเลยว่าท่านเซียนมีประสงค์ต้องการเปิดเผยตัวตน


“อยากไปดูชมอยู่เหมือนกัน อยู่แต่ในเมืองชิงซานน่าเบื่อนัก อยากไปร่วมครึกครื้นบ้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าสะดวกหรือไม่”


หลี่จิ่วเต้ากล่าว


เข้าใจแล้ว!


ท่านเซียนมิได้มีประสงค์เปิดเผยตัวตนจริง ๆ


ไม่อย่างนั้นท่านเซียนคงไม่พูดจาถามว่าสะดวกหรือไม่


หากประสงค์เปิดเผยตัวตนจริง ไฉนเลยต้องสนว่าสะดวกหรือไม่ ท่านเซียนอยากไปย่อมไปได้อยู่แล้ว


ท่านเซียนกำลังบอกนางเป็นนัย ๆ


เซี่ยเหยียนคิดตกแล้ว


นางเอ่ยยิ้ม ๆ “คุณชายอยากไปย่อมสะดวก ไฉนเลยจะไม่สะดวกเล่า”


ดูเอาเถิด สำนักใหญ่โตก็คือสำนักใหญ่โต จะพูดจะจามีความมั่นใจอยู่เต็มร้อย


หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ


“ถ้าสะดวก ข้าขอตามไปด้วย”


หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม


“คุณชายก็จะไปหรือ เยี่ยมไปเลย!”


“ดี ๆ!”


พวกอ้ายฉานยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก


“ข้ากลับไปเมื่อใดจะเตรียมการทันที!”


เซี่ยเหยียนบอก


ท่านเซียนต้องการเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย นางจำต้องเตรียมการให้ดี!


“หลิงอินอยากไปเที่ยวเล่นที่นั่นหรือไม่”


หลี่จิ่วเต้าหันมองหลิงอินพลางถาม


ทุกคนกำลังนั่งกินสุกี้หม้อไฟด้วยกัน อีกทั้งยังตัดสินใจเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่ภาคกลางด้วยกัน หากไม่ถามหลิงอินดู เขารู้สึกไม่เหมาะเท่าไร


“อยากสิ!”


หลิงอินตอบ


บอกตามตรง นางมิใคร่สนใจงานชุมนุมใหญ่ในภาคกลางที่ว่านี้นัก


นางเป็นถึงจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล เคยเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่มาแล้วทุกรูปแบบ


ทว่าท่านเซียนถามนางเช่นนี้แล้ว ไฉนนางจะตอบว่าไม่ไปได้


งานชุมนุมใหญ่ในภาคกลางมีสถานที่พิเศษอยู่หรือ


มิเช่นนั้นไยท่านเซียนถึงอยากไป


นางคิดในใจ รู้สึกว่าที่ท่านเซียนไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ภาคกลางมิใช่เพราะผุดความคิดกะทันหัน แต่มีความหมายบางอย่าง


และที่พานางไป เกรงว่าอาจมีความหมายเช่นกัน


“ได้”


หลี่จิ่วเต้าพยักหน้าให้หลิงอิน ก่อนจะหันไปถามเซี่ยเหยียน “พาไปด้วยอีกสักคนสะดวกหรือไม่”


“สะดวก ไฉนเลยจะไม่สะดวก ต่อให้คุณชายพาไปอีกสิบคนก็ไม่เป็นปัญหา”


เซี่ยเหยียนตอบยิ้ม ๆ


“เช่นนี้ก็ดี”


หลังได้ยินคำตอบเซี่ยเหยียน หลี่จิ่วเต้าจึงวางใจ เขากลัวเหลือเกินว่าการเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ภาคกลางจะสร้างความวุ่นวายให้เซี่ยเหยียน


แต่ฟังจากน้ำเสียงของเซี่ยเหยียน เห็นได้ชัดว่าเขาคิดมากไป มิได้วุ่นวายถึงปานนั้น


มิฉะนั้น เซี่ยเหยียนคงไม่ตอบตกลงโดยไม่อิดออด


จริงสินะ การมีพลังในครอบครองเป็นเรื่องดียิ่ง


สำนักไท่หัวเป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจฝึกตนที่แข็งแกร่งรุ่งเรืองที่สุดแห่งแดนบูรพาทิศ ไม่จำเป็นต้องระวังตัวมากนัก แสดงให้เห็นถึงความทรงพลังของสำนัก


ยังดีที่เขามีสัมพันธ์ไม่เลวกับสำนักไท่หัว ขณะที่รักษาความปลอดภัยของตนได้ ยังได้รับความสะดวกสบายอีกหลายอย่าง


หากมิใช่เช่นนั้น การไปเที่ยวเล่นที่ภาคกลางเป็นได้เพียงความคิดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น


“ข้าเตรียมการเรียบร้อยเมื่อใดจะมารับคุณชายกับพี่หญิงหลิงอิน”


เซี่ยเหยียนบอก


“ได้”


หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้น “มา ๆ กินสุกี้หม้อไฟกันต่อเถิด!”


“ได้เลย!”


“กิน ๆๆ!”


พวกอ้ายฉานเอ่ยด้วยความชื่นมื่น




ขณะเดียวกัน มีสิ่งมีชีวิตมหาศาลกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเหยียนโจว ต่างมุ่งหน้าไปยังภาคกลางเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่


ตระกูลจักรพรรดิโบราณจากดินแดนฮวงแข็งแกร่งน่ากลัวเกินไป มิมีผู้ใดหาญกล้าล่วงเกินตระกูลจักรพรรดิโบราณเช่นนี้ เมื่อได้รับเทียบเชิญจึงมุ่งหน้าไปทันที


ผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่มิได้มีเพียงสิ่งมีชีวิตในเหยียนโจว สิ่งมีชีวิตจากดินแดนฮวงที่เดินทางมายังเหยียนโจวก็ได้รับเทียบเชิญเช่นกัน


นอกจากนี้ สิ่งมีชีวิตจากดินแดนฝอที่อยู่ในเหยียนโจวก็ได้รับเทียบเชิญด้วย


...


ณ ภาคกลาง


ที่ตั้งลัทธิไท่เสวียน


“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้!”


สีหน้าเจ้าลัทธิไท่เสวียนอึมครึมย่ำแย่ ในมือเขามีเทียบเชิญอยู่ใบหนึ่ง กล่าวเชิญลูกศิษย์วัยเยาว์ในลัทธิของเขาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่จัดขึ้นในภาคกลาง


“พวกเราถูกจับได้แล้วหรือ”


“พวกเขาล่วงรู้การมีอยู่ของพวกเราได้อย่างไร!”


ไม่เพียงแต่ลัทธิไท่เสวียนที่ได้รับเทียบเชิญ กลุ่มอำนาจลับอื่น ๆ ก็ได้รับเทียบเชิญกันถ้วนหน้า ลูกศิษย์วัยเยาว์ในกลุ่มอำนาจพวกเขาถูกเชิญไปเช้าร่วมงานชุมนุมใหญ่เช่นกัน


พวกเขาเลือกซ่อนตัวตั้งแต่ยุคโบราณ มิกล้าเปิดเผยร่องรอยในยุคนี้แม้แต่น้อย เหตุใดพวกเขาถึงยังถูกจับได้อีก


“หรือว่าเป็นฝีมือของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงผู้นั้น!”


พวกเขานึกถึงประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงในทันที


ครานั้น ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงเคยมาเยือนที่ตั้งสำนักลัทธิของพวกเขา โดยมีเจ้าลัทธิไท่เสวียนนำทาง


นั่นเป็นความทรงจำแสนอัปยศ พวกเขาถูกประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงเข้ากำราบด้วยกำลัง ซ้ำยังถูกบีบบังคับให้มอบคัมภีร์บันทึกโบราณอันเป็นการสืบสานที่พวกเขาแต่ละสำนักเก็บรักษาไว้อย่างดี ต่อประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิง


หลังเรื่องนี้จบลง พวกเขาทั้งหมดต่างผูกใจเจ็บกับลัทธิไท่เสวียน


ถึงอย่างไรเจ้าลัทธิไท่เสวียนก็เป็นผู้พาประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงมาที่นี่


พวกเขาไม่เพียงแต่ถูกประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงกำราบด้วยกำลัง ตำแหน่งที่ตั้งของพวกเขายังถูกเปิดเผยต่อประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงอีกด้วย


ลัทธิไท่เสวียนเจ้าเล่ห์นัก หลังเรื่องจบก็ปิดผนึกม่านพลังอย่างสมบูรณ์


ยามที่พวกเขาบุกไปถึง หากมิใช่เพราะกังวลว่าจะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนอาจเปิดเผยตัวพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องทลายม่านพลังของลัทธิไท่เสวียน แล้วล้างบางลัทธิไท่เสวียนให้ได้!


ทว่าจวบจนบัดนี้พวกเขายังไม่คิดปล่อยลัทธิไท่เสวียนไป ต่างเพ่งเล็งลัทธิไท่เสวียนอยู่ตลอด ขอเพียงมีคนจากลัทธิไท่เสวียนกล้าออกจากม่านพลัง พวกเขาก็กล้าลงมือสังหาร!

บทที่ 268

พวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่มาส่งเทียบเชิญ


เทียบเชิญถูกห่อหุ้มด้วยพลังแกร่งกล้า ตรงเข้ามาถึงสถานที่พำนักของพวกเขา ราวกับม่านพลังไม่มีอยู่ บนเทียบเชิญมีข้อความเชื้อเชิญเด็กรุ่นหลังผู้มีฝีมือโดดเด่นของกลุ่มอำนาจพวกเขาไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่ภาคกลาง


จะให้พวกเขาเปิดเผยตัวตนหรือ?


กลุ่มอำนาจลับทั้งหลายเดือดดาลถึงขีดสุด จิตสังหารพลุ่งพล่าน ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาของพวกเขาสูญเปล่า บัดนี้ถูกเปิดโปงอย่างสมบูรณ์


ไม่ไปหรือ?


เป็นไปได้เยี่ยงไร


ผู้ส่งเทียบเชิญส่งมาถึงด้านในสถานที่พำนักของพวกเขาได้ง่ายดายปานนี้ ราวกับม่านพลังไม่มีอยู่ บ่งบอกว่าอีกฝ่ายมีความสามารถกล้าแกร่ง เกินกว่าที่พวกเขาจะต้านทานได้ไหว


หากไม่ไป…เท่ากับรนหาที่ตาย


“ลัทธิไท่เสวียน…สมควรตายนัก!”


“ฆ่า!”


พวกเขาล้วนโกรธจัด ทนไม่ไหวอีกต่อไป เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะลัทธิไท่เสวียน พวกเขาต้องการให้ลัทธิไท่เสวียนชดใช้อย่างสาสม


พวกเขาตั้งใจหลบซ่อนตัวมาตั้งแต่ยุคโบราณ มิกล้าเผยตัวแม้แต่น้อยในยุคนี้ บัดนี้ทุกอย่างสูญเปล่า โทสะในใจพวกเขาพวยพุ่งในระดับที่ระงับไม่ได้อีกต่อไป!


พวกเขาออกโรงอย่างพร้อมเพรียง ส่งยอดฝีมือทั้งหมดในสำนักบุกไปยังสถานที่ตั้งลัทธิไท่เสวียน


บัดนี้พวกเขาปราศจากความกังวล เพราะทุกอย่างหมดสิ้นประโยชน์แล้ว


พวกเขาจำต้องเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อไปถึงงานชุมนุมใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขาไม่อาจหลบซ่อนปิดบังได้อีก พวกเขาจักเผยตัวสู่ธารกำนัลอย่างสิ้นเชิง


ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงสถานที่ตั้งของลัทธิไท่เสวียน


พวกเขามองหน้ากันและกัน ไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดไปมากกว่านี้ ทุกคนต่างมีความในใจเดียวกัน จากจิตสังหารรุนแรงที่แผ่ซ่านออกมาจากแต่ละคน พวกเขาก็เข้าใจแล้วทุกอย่าง


ตู้ม ตู้ม ตู้ม!


พวกเขาจู่โจมทันที อาวุธศักดิ์สิทธิ์ อาวุธราชันศักดิ์สิทธิ์ และแม้กระทั่งอาวุธจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงกู่ร้อง เปล่งพลานุภาพแสนสยดสยอง อสนีบาตแปลบปลาบ มิติบิดเบี้ยว ทุกสิ่งถล่มใส่ม่านพลังของลัทธิไท่เสวียน หมายจะบุกเข้าไป!


“อ๊ากกก! เฮ่อเหยียน ข้าต้องซวยเพราะเจ้า!”


ภายในลัทธิไท่เสวียน เจ้าลัทธิไท่เสวียนคำรามอย่างเดือดดาล


เขาเข้าใจว่าประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน เฮ่อเหยียนเป็นผู้เปิดเผยเรื่องราวของกลุ่มอำนาจลับอย่างพวกเขาออกไป


เวลานั้น เสียงม่านพลังแหลกลาญดังขึ้น ยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับต่าง ๆ บุกเข้ามา พวกเขาลงมือด้วยความเคียดแค้น ทั้งยังลงมืออย่างพร้อมเพรียง ม่านพลังของลัทธิไท่เสวียนไม่อาจกีดขวางพวกเขาได้เลย ไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว


“ทุกท่าน โปรดฟังข้าก่อน ข้าเอง…ก็เป็นเหยื่อเหมือนกัน!”


หยวนเซิ่ง เจ้าลัทธิไท่เสวียนร่ำไห้ตะโกนบอก


เขาไฉนเลยเคยคิดอยากพาประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนไปยังสถานที่ตั้งของกลุ่มอำนาจลับต่าง ๆ


แต่เขา…ไม่มีทางเลือก!


ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนแข็งแกร่งเกินไป หากไม่พาไป เขาคงต้องตายตั้งแต่ครานั้น ลัทธิไท่เสวียนของพวกเขาก็ต้องถึงคราวจบสิ้นตั้งแต่ครานั้น!


“เหยื่อบ้าเหยื่อบออันใด!”


“วันนี้ลัทธิไท่เสวียนจักถูกลบล้าง!”


จิตสังหารของยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับต่าง ๆ มิได้ลดทอนไปแต่อย่างใด พวกเขาล้อมหยวนเซิ่งไว้ หากไม่ล้างบางทั้งลัทธิไท่เสวียน ยากจะสาสมต่อความแค้นของพวกเขา


ถึงอย่างไรอีกไม่นานพวกเขาก็ต้องเผยตัวอยู่ดี มิต้องกลัวจะเอิกเกริกเกินไป


“ล้างแค้นต้องล้างกับตัวการ พวกเจ้าไปหาเฮ่อเหยียนสิ ข้าเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์จำยอมเช่นกัน!”


หยวนเซิ่งตื่นตระหนก วันนี้ลัทธิไท่เสวียนของพวกเขาคงหนีไม่พ้นเคราะห์ร้าย ต้องถูกล้างบาง!


เขาสังหรณ์ใจมานานแล้วว่าจะเกิดเรื่อง จึงปิดผนึกม่านพลังของลัทธิไท่เสวียน และคิดเคลื่อนย้ายสมาชิกลัทธิไท่เสวียนออกไปให้หมด


การเคลื่อนย้ายอาจเปิดเผยตัวตนของลัทธิไท่เสวียน กระนั้นยังดีกว่าถูกล้างบางอย่างสิ้นเชิง!


ทว่ากลุ่มอำนาจลับทั้งหลายล้อมลัทธิไท่เสวียนไว้หมดแล้ว พวกเขาไม่มีโอกาสเคลื่อนย้ายได้เลย


บัดนี้ ลางสังหรณ์ของเขากลายเป็นจริง กาลอวสานของลัทธิไท่เสวียนมาถึงแล้วจริง ๆ!


“ฆ่า!”


“อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”


ยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับต่าง ๆ สายตาเย็นยะเยือก ไม่เปลี่ยนความคิดแม้แต่น้อย ยังคงต้องการล้างบางทั้งลัทธิไท่เสวียน


ส่วนการคิดบัญชีกับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนนั้น…


คิดอันใดอยู่ หากพวกเขาสามารถถึงเพียงนั้น มีหรือจะปล่อยให้ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนทำตามอำเภอใจในสำนักลัทธิของพวกเขา


ไปคิดบัญชีกับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน เท่ากับรนหาที่ตาย!


พวกเขาลงมือ สุดยอดวิชาทั้งหลายถูกปล่อยออกมาพร้อมกัน หยวนเซิ่งไม่มีความคิดแม้แต่จะป้องกันตน เขาหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง


ให้ป้องกันอย่างไร?


ยอดฝีมือที่ลงมือนั้นล้วนแต่แกร่งกล้ากว่าเขา ไม่มีทางเลยที่เขาจะป้องกันได้


พรวด พรวด พรวด!


ขณะนั้นเอง พลังแสนน่ากลัวมวลหนึ่งพลันปรากฏ น่ากลัวจนสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ ยอดฝีมือกลุ่มอำนาจลับต่าง ๆ ล้วนสะเทือนจนกระเด็นออกไป ปากกระอักเลือด โลหิตกระเซ็นอยู่บนพื้น


“ความสมัครสมานนั้นสำคัญที่สุด มัวต่อสู้ห้ำหั่นกันไปไย ทุกท่านกลับไปเตรียมตัวดีกว่า จักได้พาโอรสสวรรค์ผู้มีสามารถโดดเด่นในแต่ละกลุ่มอำนาจเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่”


เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากกลางอากาศ สีหน้าราบเรียบ ผมสีทองยาวถึงเอว ดวงตาวาวโรจน์ บุคลิกสูงส่งไม่ธรรมดา


“งานชุมนุมใหญ่?”

“เจ้าคือคนส่งเทียบเชิญหรือ?”


สีหน้ายอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับทั้งหลายเปลี่ยนไปฉับพลัน ปราณของเด็กหนุ่มเหนือกว่าขอบเขตพรตเต๋าทั้งเก้าขั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้เกริกไกร หรืออาจแข็งแกร่งยิ่งกว่านั้น!


“ถูกต้อง”


เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “หนูต่ำทรามเช่นพวกเจ้าชินกับการหลบซ่อนตัว ขืนไม่จับตาดูไว้หน่อย ประเดี๋ยวหนูต่ำทรามอย่างพวกเจ้าจะเผ่นไปอีก”


หนู?


ดูแคลนกันปานนี้…ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาหรือ!?


เหล่ายอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับเดือดดาล ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นถึงตระกูลนักบุญจากยุคโบราณ อีกฝ่ายกลับเรียกขานพวกเขาดั่งหนู หากมิใช่ว่าพวกเขามีกำลังไม่พอ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสังหารเด็กหนุ่มผู้นี้ลง ณ ที่นี้!


“แม้เป็นเพียงฝูงหนูต่ำทราม ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ของยุคนี้ก็นับว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง…เอาเถิด เลิกคิดเรื่องห้ำหั่นกันเองเสียที อยู่เฉย ๆ เสีย!”


เด็กหนุ่มปรายตามองเหล่ายอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับทั้งหลายด้วยความรังเกียจ จากนั้นร่างของเขาก็สลายไปจากที่แห่งนี้เสียแล้ว


วาสนาการเปลี่ยนแปลงสะท้านนภากำลังจะปรากฏในดินแดนหยินอย่างนั้นหรือ


นั่นหาใช่วาสนาการเปลี่ยนแปลงไม่…


เด็กหนุ่มล่วงรู้ความจริง สิ่งที่กำลังจะปรากฏในดินแดนหยินคือหายนะครั้งใหญ่ คือภัยพิบัติที่เรื้อรังมาตั้งแต่ยุคโบราณ ภัยพิบัติที่พร้อมถล่มใส่สิ่งมีชีวิตทั้งแดน…


หากมิใช่เพราะเหตุนี้ เขาไม่มีทางออกหน้าช่วยลัทธิไท่เสวียน


เขาอาจล้างบางกลุ่มอำนาจลับทั้งหมดนี้ด้วยซ้ำ


สิ่งที่เขาดูแคลนมากที่สุดก็คือพวกเห็นแก่ตัว มองแต่ตนเอง…


เรื่องนี้มิใช่ความปลอดภัยส่วนบุคคลอีกแล้ว หากแต่เป็นภัยพิบัติที่ทั้งแดนต้องเผชิญ การเห็นแก่ตัวไม่เพียงแต่เป็นภัยต่อผู้อื่น ยังบ่อนทำลายตัวเองอีกด้วย!


“พวกเจ้าคิดจริงหรือว่าแค่ซ่อนตัวไว้ก็มิมีผู้ใดล่วงรู้ ครั้งยุคโบราณ ข้าเพียงแต่ไม่ว่างจัดการพวกเจ้า ที่ไม่จัดการพวกเจ้าในยุคนี้ ก็เพื่อให้พวกเจ้าได้เปล่งประกายในยามนี้!”


เด็กหนุ่มพึมพำเสียงเบา “พวกต่ำทรามที่ซ่อนตัวในความมืดของยุคนี้ ต้องออกมาอยู่กลางแจ้งทั้งหมด เข้าร่วมมหาสงครามที่มิได้เข้าร่วมในยุคโบราณ!”


ไม่เพียงแต่เหยียนโจวเท่านั้นที่มีกลุ่มอำนาจเห็นแก่ตัว หนีสงครามเอาตัวรอด แคว้นอื่นในดินแดนหยิน รวมถึงดินแดนฮวงล้วนมีกลุ่มอำนาจลับเห็นแก่ตัวเยี่ยงนี้อยู่


กลับเป็นดินแดนฝอที่ไม่มี ดินแดนฝอเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาก มหาสงครามยุคโบราณครานั้น พุทธศาสนาเป็นกำลังสำคัญทีเดียว


กลุ่มอำนาจลับทั้งปวงในอาณาจักรนี้ต่างคิดว่าพวกเขาซ่อนตัวได้ดีเยี่ยม หารู้ไม่ พวกเขาหนีไม่พ้นสักคน ถูกสืบจนเจอตัวกันนานแล้ว


ที่ก่อนหน้านี้มิได้เอาเรื่องกลุ่มอำนาจลับเหล่านี้ มีเหตุผลดังที่เด็กหนุ่มว่า เก็บกลุ่มอำนาจลับเหล่านี้ไว้เพื่อเวลาที่ภัยพิบัติจุติลงมาในยุคนี้อีกครั้ง กลุ่มอำนาจลับเหล่านี้ยังสามารถเข้าร่วมสงครามได้




สำนักไท่หัว


“คุณชายต้องการเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่ภาคกลางถือเป็นเรื่องใหญ่!”


เซี่ยเหยียนรายงานเรื่องนี้ต่อผู้อาวุโสเวิงอู๋โยว


“ผู้อาวุโส เราแยกย้ายกันไปเตรียมการ ท่านไปเตรียมรถลาก ข้าไปเตรียมสัตว์อสูรมาลากรถ!”


นางกล่าวกับผู้อาวุโส แล้วออกจากสำนักไท่หัว

บทที่ 269

เหยียนโจวมีขนาดใหญ่มาก พื้นที่ทั้งห้าภูมิภาคต่างกว้างขวาง การเดินทางระหว่างภาคมิใช่เรื่องเล็ก จำต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่จึงจะส่งไปถึง


ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่เยี่ยงนี้ กลุ่มอำนาจฝึกตนที่ครอบครองนั้นมีเป็นส่วนน้อย ซึ่งสำนักไท่หัวไม่มี


การที่พวกเขาต้องเดินทางจากแดนบูรพาทิศไปยังภาคกลาง จำต้องค่อย ๆ รุดหน้าไป


เวิงอู๋โยวกับเซี่ยเหยียนแยกย้ายกันปฏิบัติหน้าที่ คนหนึ่งไปเตรียมรถ คนหนึ่งไปตามหาสัตว์อสูรลากรถ


รถนั้นหาง่าย


เวิงอู๋โยวจำได้ว่าเคยเห็นจากร้านประมูลว่ามีการเปิดประมูลรถลาก เพียงแต่รถลากนั้นมีประโยชน์ใช้สอยน้อยนิด อีกทั้งราคายังสูงลิ่ว จึงหลุดประมูลไปในตอนนั้น มิมีผู้ใดเสนอราคา


รถลากคั้นนั้นเป็นของจากยุคโบราณ ภายนอกดูมิได้วิเศษวิโสใด ๆ ขนาดก็ไม่ใหญ่ ทว่าภายในนั้นมีความยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ ด้านในหรูหราสบายอย่างยิ่ง


ทว่า…ก็ได้เพียงแค่นั้น


รถลากโบราณคันนี้ นอกจากความหรูหราภายใน มันไม่เหลือประโยชน์อื่นใดอีก บินเหินไม่ได้ โจมตีไม่ได้ และไม่มีกลไกป้องกันใด ๆ…


ทว่าเนื่องด้วยเป็นรถลากในยุคโบราณ อยู่มานานนม ราคาจึงสูงยิ่ง


ไม่มีผู้ใดเต็มใจซื้อรถลากที่ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยจะได้เยี่ยงนี้ด้วยราคาสูง เพราะอย่างนั้นครานั้นจึงหลุดประมูล ไม่มีคนเสนอราคาสักคน


เวิงอู๋โยวมาถึง สอบถามไปว่ารถลากโบราณคันนั้นยังอยู่หรือไม่


รถลากคันนั้นแทบจะเปิดประมูลทุกครั้งที่มีงาน ทว่าไม่เคยมีผู้ใดเสนอราคา


หนนี้ก็เช่นกัน


เมื่อรถลากโบราณถูกยกขึ้นมาบนแท่นประมูล ไม่มีผู้ใดในที่นี้เสนอราคา เวิงอู๋โยวจึงประมูลรถลากคันนี้ได้สบาย


หลังจากนั้น เขาออกจากร้านประมูล นำรถลากกลับไปที่สำนักไท่หัว รอคอยการกลับมาของเซี่ยเหยียน


รถคันนี้เตรียมไว้ให้ท่านเซียนนั่ง นั่งสบายก็พอ ประโยชน์ใช้สอยอื่นมีหรือไม่ก็ไม่ต่าง


อีกด้าน เซี่ยเหยียนมาอยู่บนเขาอสูรแห่งหนึ่ง


ผู้ฝึกตนในปฐพีนี้มีอยู่ถมเถ จำนวนสัตว์อสูรก็ไม่น้อยเช่นกัน


หรือหากย้อนกลับไปถึงยุคสมัยอันเก่าแก่ที่สุด ครานั้นยังเป็นอาณานิคมของอสูรเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ มนุษย์ยังมิใช่เจ้านายของที่แห่งนี้


เทียบกันแล้ว อสูรมีกายเนื้อแข็งแรง สายเลือดทรงพลัง มนุษย์นั้นเทียบไม่ได้เลย ทั้งกายเนื้ออ่อนแอ สายเลือดก็เทียบไม่ได้


ทว่ามนุษย์ใฝ่เรียน ซ้ำยังมีพรสวรรค์สูงส่ง คล้อยตามการพัฒนาเมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นเจ้านายของอาณาจักรแห่งนี้


อย่างเขาอสูรที่เซี่ยเหยียนมานี้ มีอยู่มากมายในแดนบูรพาทิศ มีสัตว์อสูรมากมายอาศัยอยู่ภายใน


เวลาเพียงสองเดือนกว่า ระดับพลังของเซี่ยเหยียนก้าวกระโดดอีกครั้ง นางจุดประกายเพลิงเทวาในกาย บรรลุขอบเขตเทวาสำเร็จ


เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งปี นางบรรลุจากขอบเขตประสานวิญญาณจนถึงขอบเขตเทวา กลายเป็นเทพเจ้าตนหนึ่ง ความเร็วนี้เรียกได้ว่าผิดปกติ หากผู้อื่นรู้เข้า ย่อมต้องตกตะลึงจนกรามค้าง!


ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นางได้ขลุกอยู่กับท่านเซียนบ่อย ๆ เล่า


ประโยชน์ที่นางได้รับนั้นมหาศาล!


นี่ขนาดนางมิได้ตั้งใจฝึกฝนเท่าใด หากนางเก็บตัวบำเพ็ญโดยไม่สนสิ่งอื่น ขอบเขตของนางย่อมสูงส่งกว่านี้ กลายเป็นนักบุญยังมิใช่ปัญหา


“หาเจอแล้ว”


นางเปิดประสาทสัมผัสเทวา พริบตาเดียวจิตก็ครอบคลุมทั้งเขาอสูร หยั่งรู้สถานการณ์ทั้งหมดในเขาอสูร


เสียงดัง ‘ฟึ่บ!’ นางมาอยู่ตรงหน้าสัตว์อสูรตนหนึ่ง


มันคือราชสีห์ตัวสีเหลืองทอง ทั้งเนื้อทั้งตัวราวกับหล่อด้วยทองคำ เจิดจ้าแยงตา ขนาดตัวเท่าภูเขาลูกเล็ก ไอเลือดชั่วร้ายดุดันน่าหวาดหวั่น


“โฮก!”


ราชสีห์ตัวสีเหลืองทองคำราม ดวงตาสิงโตของมันจ้องมองเซี่ยเหยียนด้วยความระแวง พลางส่งเสียงถาม “เจ้าเป็นใคร!?”


ขนทั้งตัวของมันตั้งชัน สีหน้าเคร่งเครียดกังวล มันสัมผัสได้ถึงอันตรายใหญ่หลวงจากตัวเซี่ยเหยียน


เด็กสาวที่ดูอายุไม่มากผู้นี้ มีพลังพอจะปลิดชีพมันได้สบาย!


“ไปกับข้าเถิด ข้าจักมอบวาสนาการเปลี่ยนแปลงให้เจ้า ให้เจ้าได้ลากรถให้ผู้อาวุโสท่านหนึ่ง”


เซี่ยเหยียนกล่าว


หา?


ลากรถ?


เป็นสัตว์พาหนะรึ?


ทันทีที่ราชสีห์ตัวสีเหลืองทองได้ยินก็บันดาลโทสะในบัดดล


มันเป็นถึงจ้าวอสูรในถิ่นนี้ มีศักดิ์ศรีของตน ต่อให้มันมีพลังไม่สู้เด็กสาวตรงหน้า กระนั้นมันไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีไปเป็นสัตว์พาหนะให้ผู้อื่นเด็ดขาด!


“เจ้าฆ่าข้าเถิด!”


มันจ้องเซี่ยเหยียนด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยว “เผ่ามนุษย์ของเจ้ามีวาจาหนึ่ง ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้ ข้าเองก็เป็นเช่นนั้น ยอมตายเสียดีกว่าเป็นสัตว์พาหนะ!”


“อย่างนั้นหรือ”


เซี่ยเหยียนคลี่ยิ้ม มิได้โมโหแต่อย่างใด


นางหยิบแตงกวาเขียวชอุ่มออกมาลูกหนึ่ง หักท่อนหนึ่งแล้ววางบนก้อนหิน ส่งสัญญาณให้ราชสีห์สีเหลืองทองไปกิน


นี่คือแตงกวาที่ท่านเซียนมอบให้นาง


ท่านเซียนไม่เพียงแต่มอบแตงกวาให้นางจำนวนหนึ่ง แล้วยังมีมะเขือเทศอีกจำนวน ท่านเซียนบอกว่าแตงกวากับมะเขือเทศกินดิบ ๆ ก็อร่อย


“โฮก!”


ราชสีห์สีเหลืองทองคำรามกราดเกรี้ยว ดวงตาสิงโตมองเซี่ยเหยียนด้วยความชิงชัง “ลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้ เมื่อครู่เจ้ามิได้ฟังที่ข้าบอกหรือ หยามเหยียดข้าถึงเพียงนี้!?”


มันโกรธจนแทบระงับโทสะไม่ไหว อวัยวะภายในเกือบจะระเบิดออกมา


หักแตงกวาท่อนเล็ก ๆ ให้มันกิน เซี่ยเหยียนเห็นมันเป็นตัวอะไร?


มันเป็นถึงราชสีห์!


กินเนื้อ!


มิได้กินเจ!


เซี่ยเหยียนรังแกสิงโตเกินไปแล้ว!


บัดซบ หากมิใช่ว่ามันสู้เซี่ยเหยียนไม่ได้ มันต้องกลืนกินเซี่ยเหยียนลงไปทั้งเป็นแน่!


“เจ้าจงดูให้ดี นี่คือวาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ทั้งชีวิตนี้ของเจ้าก็ไม่อาจได้มา”


เซี่ยเหยียนกล่าว


แม้นเป็นแตงกวาท่อนเล็ก ขนาดใหญ่สู้เล็บยังไม่ได้ ทว่านี่คือแตงกวาที่ท่านเซียนปลูกด้วยตนเอง ล้ำค่าหายากยิ่งกว่าโอสถจักรพรรดิเสียอีก ระดับมหาจักรพรรดิยังใช่ว่าจะมีโอกาสได้รับ


นางกล่าวว่านี่คือวาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ชั่วชีวิตของราชสีห์สีเหลืองทองมิอาจได้รับ หาได้เป็นการเหยียดหยามราชสีห์สีเหลืองทองไม่ แต่เป็นการพูดถึงข้อเท็จจริงเท่านั้น


“เจ้าหลอกข้าเหมือนข้าโง่หรือ!”


ราชสีห์สีเหลืองทองคำราม โกรธจนควันออกจมูก


ไปตายซะ ให้แตงกวาขนาดเล็กกว่าเล็บมาแล้วบอกว่าเป็นวาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ชั่วชีวิตของมันก็ไม่อาจได้รับหรือ ย่ำยีกันเกินไปแล้ว!


มันกินเนื้อไม่กินเจ หากมันกินเจแล้วอยากกินแตงกวาขึ้นมา สามารถหาแตงกวามาเองได้เป็นตัน!


เจ้ากำลังสบประมาทผู้ใดอยู่!


ทว่าตอนนั้นเอง สายลมบางเบาพัดโชย กลิ่นหอมสดชื่นของแตงกวาแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูหัวใจ


จากนั้น มันสูดจมูกอย่างแรง สูดดมกลิ่นหอมสดชื่นนี้อย่างละโมบ


หอมเหลือเกิน!


เพียงแวบเดียวมันก็ดื่มด่ำติดอยู่ในภวังค์ มันไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อน หอมกว่าทุกกลิ่นที่มันเคยได้สูดดม!


“อายุขัยของข้า…เพิ่มพูนขึ้น!?”


เพียงครู่เดียว มันก็เบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ


หลังจากได้กลิ่นหอมสดชื่นของแตงกวา มันกลับรู้สึกได้ว่าแก่นกำเนิดชีวิตในตัวมันกำลังทวีคูณอย่างรวดเร็ว!


เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!


แก่นกำเนิดชีวิตทวีคูณ บ่งบอกว่ามันสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น!


เสียงดัง ‘ฟิ้ว!’ มันพุ่งไปอยู่ตรงก้อนหินอย่างรวดเร็ว กลืนแตงกวาที่มีขนาดเท่าเล็บเข้าไป กลัวเหลือเกินว่าเซี่ยเหยียนจะเปลี่ยนใจดึงกลับ!


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!


แทบจะพริบตาที่มันกลืนกินลงไป ร่างกายของมันก็ส่องแสงเจิดจ้า มีเสียงครืนครานดังออกมาจากตัว อายุขัยและขอบเขตพลังล้วนเพิ่มพูนเป็นเท่าตัว!


ทรงพลังยิ่ง!


นี่…นี่คือโอสถจักรพรรดิหรือ!?


ร่างราชสีห์สีเหลืองทองสั่นสะท้านรุนแรง วิญญาณสะเทือน สะท้านอย่างยิ่งยวด!


“ลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้ ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจถึงเพียงนี้ ข้าเองก็ไม่อาจฝืน”


เซี่ยเหยียนสั่นศีรษะเบา ๆ หมุนกายทำท่าจะไป


“อย่า ๆๆ! นางเซียน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเคยกล่าวว่าลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้ตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า เปล่าเลย!”


ราชสีห์สีเหลืองทองรีบวิ่งเข้าไปหาเซี่ยเหยียนท่าทางประดุจสุนัข ส่ายหัวกระดิกหางใส่เซี่ยเหยียน เอ่ยอย่างพะเน้าพะนอ “สิ่งที่ข้ากล่าวคือ จะฆ่าจะหยามแล้วแต่ท่าน อย่างไรข้าต้องเป็นสัตว์พาหนะให้ได้! ต่อให้ท่านฆ่าข้า หยามข้า ข้าก็จะเป็น!”


ให้ตายสิ ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?


เซี่ยเหยียนได้ยินแล้วได้แต่อุทานว่าสุดยอด ราชสีห์สีเหลืองทองช่างกล้าลั่นวาจาจริง ๆ!

บทที่ 270

เซี่ยเหยียนพาราชสีห์สีเหลืองทองไปด้วย เป็นผลให้มันหน้าชื่นตาบาน ลืมวาจาที่เขาลั่นว่ายอมตายเสียดีกว่าเป็นสัตว์พาหนะไปจนสิ้น


น่าขัน เป็นสัตว์พาหนะดีขนาดนี้ ไยมันต้องไม่ยอมด้วย!


ส่วนศักดิ์ศรีที่ว่า อืม เป็นสัตว์พาหนะแล้วค่อยตามศักดิ์ศรีกลับมายังได้


นางขึ้นเขาอสูรอีกหลายลูก และพาสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในเขาอสูรแต่ละลูกไป


เริ่มแรก สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนไม่เต็มใจเฉกเช่นราชสีห์สีเหลืองทอง แต่หลังจากนางหยิบแตงกวาออกมา สัตว์อสูรเหล่านี้ก็กระตือรือร้นกันเหลือแสน ไม่ว่าอย่างไรก็ขอติดตามนางไปเป็นสัตว์พาหนะให้ได้


นับราชสีห์สีเหลืองทองด้วย บัดนี้มีสัตว์อสูรทั้งหมดเก้าตน


มีอสูรลากรถเก้าตน จักได้ช่วยกันแบ่งเบาภาระ เดินทางต่อไปได้เรื่อย ๆ อย่างไร้ปัญหา


“จำไว้ สิ่งที่ไม่ควรถามอย่าถาม ไม่ควรพูดอย่าพูด! ผู้อาวุโสท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน อย่าสร้างปัญหาให้ตัวพวกเจ้าเอง!”


เซี่ยเหยียนเตือนสัตว์อสูรเหล่านี้เสียงขึงขัง ป้องกันมิให้อสูรเหล่านี้ฝ่าฝืนข้อห้ามของท่านเซียน


“พวกเราเข้าใจ!”


“ไม่มีทางพูดมากถามมาก!”


ราชสีห์สีเหลืองทองและอสูรตนอื่นตอบอย่างรวดเร็ว


พวกมันได้ลิ้มรสประโยชน์ที่ได้แล้ว ซ้ำยังล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของเซี่ยเหยียน จึงมิกล้าบุ่มบ่ามแม้แต่น้อย


“ดี”


เซี่ยเหยียนพยักหน้า ก่อนจะพาอสูรเหล่านี้กลับสำนักไท่หัว


เวิงอู๋โยวเห็นว่าเซี่ยเหยียนกลับมาแล้ว จึงนำรถลากออกมา อสูรทั้งเก้าตนคล้องสายเชือกอย่างรู้หน้าที่ ยอมเป็นสัตว์พาหนะด้วยความดีอกดีใจ


“ข้าไปก่อน”


เซี่ยเหยียนบอกลาเวิงอู๋โยว ขึ้นนั่งรถลาก ควบอสูรทั้งเก้าตนมาอยู่นอกเมืองชิงซาน


นางสั่งให้อสูรทั้งเก้าตนลากรถไปซ่อนตัวไว้ก่อน ประเดี๋ยวปุถุชนในเมืองชิงซานจะแตกตื่นเอา


หลังจากกำชับทุกอย่างเรียบร้อย นางเดินเท้าเข้าไปในเมืองชิงซาน


“ท่านเซียนยังต้องเรียกขานว่าผู้อาวุโส ผู้อาวุโสท่านนี้มีภูมิหลังเช่นไรกันแน่”


“หรือว่าจะเป็นนักบุญ?”


อสูรทั้งเก้าตนสนทนากันเสียงเบา คาดหวังต่อผู้อาวุโสที่เซี่ยเหยียนกล่าวถึงอย่างเต็มเปี่ยม


เซี่ยเหยียนเดินเข้าไปในเมืองชิงซาน มาอยู่ที่ร้านของท่านเซียน


“คุณชาย ข้ามาแล้ว!”


นางได้พบท่านเซียน บอกท่านเซียนว่านางเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้สามารถเดินทางไปยังภาคกลางได้


“ได้”


หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า คาดหวังในการไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ที่ภาคกลางอย่างมาก


ถึงอย่างไร นับแต่เขาพำนักอยู่ในเมืองชิงซานก็ไม่เคยเดินทางไปที่อื่นอีก อยู่แต่ในเมืองชิงซานมาโดยตลอด


เขาอยากรู้อยากเห็นโลกภายนอกมาก


เพียงแต่ในอดีต เขามีความกังวลในใจ มิกล้าเที่ยวเพ่นพ่านที่อื่น


ในโลกแห่งการฝึกตน เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนและสัตว์อสูร ปุถุชนคนหนึ่งทะเล่อทะล่าออกเพ่นพ่านเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง


เมื่อครั้งเขาเลือกพำนักในเมืองชิงซานก็เพราะเมืองชิงซานอยู่ติดกับสำนักไท่หัว ได้รับความคุ้มครองจากสำนักไท่หัว ไม่มีผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรเข้ามาก่อความวุ่นวาย ปลอดภัยเหลือคณา


บัดนี้เขาสิ้นข้อกังวลเหล่านั้น


เขาได้ประจักษ์ถึงความเก่งกาจของพวกอ้ายฉาน มิหนำซ้ำการเดินทางครั้งนี้ยังมีเซี่ยเหยียนมาด้วย เขาจะต้องกังวลถึงสิ่งใดอีก


เมื่อครั้งพายเรือชมทัศนียภาพที่ทะเลสาบชิงสุ่ย เซี่ยเหยียนเคยลงมือสังหารสิ่งมีชีวิตประหลาดแสนแข็งแกร่งตนหนึ่ง เขายอมรับในฝีมือของเซี่ยเหยียนมาก


นอกจากนี้ เซี่ยเหยียนยังมีฐานะเป็นศิษย์สายตรงของสำนักไท่หัว


สำนักไท่หัวทรงพลังถึงเพียงนั้น เป็นถึงกลุ่มอำนาจยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ ผู้ใดหาญกล้าแตะต้องเซี่ยเหยียน


และเพราะเหตุผลนี้ เขาถึงอยากไปภาคกลาง ไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่นี้ หากมีเพียงเขาคนเดียว หรือมีเพียงพวกอ้ายฉาน เขาคงไม่อยากไป


ความปลอดภัยสำคัญที่สุด


แต่มีเซี่ยเหยียนอยู่ เท่ากับมีความปลอดภัยอยู่


“ข้าไปบอกพวกอ้ายฉาน”


อันหลานเสวี่ยเอ่ยยิ้ม ๆ พลางเดินออกจากลานเล็ก เดินทางไปแจ้งข่าวพวกอ้ายฉาน


พวกอ้ายฉานต่างอยู่ที่บ้านของตน


เมื่อคืนนางมิได้กลับ ค้างในลานเล็กของท่านเซียนหนึ่งคืน


แน่นอนว่ามิใช่นางที่ปริปากขอค้างหนึ่งคืน ท่านเซียนไม่เอ่ยปาก นางไฉนเลยจะกล้าบอกว่าขอค้างหนึ่งคืน


แต่เพราะท่านเซียนเป็นฝ่ายรั้งนางไว้


นางจึงได้พักในสถานที่ประทับของท่านเซียนหนึ่งคืน สร้างความดีใจให้นางอย่างมหาศาล นางตื่นเต้นจนมิได้หลับทั้งคืน


อาหารเช้าที่ท่านเซียนตื่นเช้ามาทำให้ก็ช่วยให้นางได้รับผลประโยชน์อย่างเหนือจินตนาการ


นางอยากพักอยู่กับท่านเซียนไปตลอด…


ทว่านางรู้ดี นี่เป็นเพียงฝันเกินจริงของตนเท่านั้น


นางจะพักอยู่กับท่านเซียนไปตลอดได้อย่างไร!


ได้พักเพียงหนึ่งคืนนับเป็นวาสนาสูงสุดของนางแล้ว!


เมื่อคืนท่านเซียนเห็นว่านางไม่มีที่อยู่ ถึงยอมให้นางอยู่ค้างหนึ่งคืน


นางรู้ตำแหน่งบ้านของพวกอ้ายฉาน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็พาพวกอ้ายฉานมายังบ้านท่านเซียน


อ้ายฉานมิได้บอกผู้ใหญ่ในบ้านถึงตัวตนที่แท้จริงของท่านเซียน พวกเขากลัวว่าผู้ใหญ่ในบ้านจะเผลอหลุดปาก แล้วรบกวนแผนการท่องโลกในฐานะปุถุชนของท่านเซียน


“ไปเถิด”


หลี่จิ่วเต้าปิดประตูลาน อุ้มแมวน้อยสีขาวขึ้นแล้วออกเดินทางพร้อมพวกเซี่ยเหยียน


ไปภาคกลางคราวนี้ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด ทิ้งแมวน้อยสีขาวไว้ที่บ้านเขามิใคร่จะสบายใจนัก จึงพาไปด้วย


ครั้นมาถึงบ้านหลิงอิน หลี่จิ่วเต้าก็มิได้เข้าไป แต่เขาให้อ้ายฉานเข้าไปเรียกหลิงอิน


เขามิกล้าเข้าไป ความทรงจำเยือนบ้านหลิงอินครั้งก่อนยังสดใหม่ราวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน


หนก่อนที่มาบ้านหลิงอิน ชวนหลิงอินไปคืนสุกี้หม้อไฟที่บ้าน ปรากฏว่ามารดาของหลิงอินเข้ามาถึงก็ถามเขาว่าจะเกี่ยวดองกับหลิงอินเมื่อใด ซ้ำยังบอกอีกว่ายิ่งเกี่ยวดองไวยิ่งดี จะได้รีบมีลูก!


ความสัมพันธ์ยังไปไม่ถึงไหน จะให้มีลูกแล้วหรือ?


หลี่จิ่วเต้านึกกลัวจากใจจริง!


เขายัง…อายุน้อย!


เขามิได้ให้อันหลานเสวี่ยกับเซี่ยเหยียนเข้าไปเช่นกัน เพราะกลัวว่ามารดาของหลิงอินจะเข้าใจผิดอีก ถึงเวลานั้นคงยิ่งวุ่นวายไปใหญ่


เขาจึงให้อ้ายฉานเข้าไป


อ้ายฉานเป็นเด็ก เข้าไปคงไม่มีปัญหา


ผ่านไปไม่นาน หลิงอินกับอ้ายฉานเดินออกมา


“ไปเถิด ไปดูทิวทัศน์ที่ภาคกลางบ้าง”


คนครบแล้ว พวกหลี่จิ่วเต้าจึงเดินทางออกไปที่นอกเมืองชิงซาน


“ข้ากลัวว่าคนในเมืองจะแตกตื่น จึงทิ้งรถลากไว้นอกเมือง”


เซี่ยเหยียนนำทางอยู่ด้านหน้า เมื่อมาถึงนอกเมือง สัตว์อสูรทั้งเก้าจึงลากรถออกมากลางอากาศ


ก่อนหน้านี้ อสูรทั้งเก้าตัวล้วนซ่อนตัวอยู่ในมิติอากาศ


“คุณชายเชิญขึ้นรถ!”


เซี่ยเหยียนกล่าวกับท่านเซียนอย่างนอบน้อม


นี่หรือผู้อาวุโสท่านนั้น?


อสูรทั้งเก้าตนเห็นท่าทีนบนอบเยี่ยงนี้ของเซี่ยเหยียน จึงเดาว่าหลี่จิ่วเต้าก็คือผู้อาวุโสที่เซี่ยเหยียนพูดถึง


‘ผู้อาวุโสเก่งกาจยิ่ง อยู่ในขั้นกลับสู่พื้นฐานอย่างสมบูรณ์ ไม่มีเค้ากระเพื่อมของพลังปราณแม้แต่น้อย เหมือนปุถุชนเปี๊ยบ!’


พวกมันคิดในใจ


ก่อนหน้านี้เซี่ยเหยียนเคยเตือนพวกมันแล้วว่า ผู้อาวุโสท่องโลกมนุษย์ในฐานะปุถุชน พวกมันอย่าได้พูดหรือถามอะไรเหลวไหลเด็ดขาด


“ได้”


หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า ขึ้นไปบนรถลาก


สำนักใหญ่ก็คือสำนักใหญ่


อสูรที่ใช้ลากรถล้วนไม่ธรรมดา ดุดันเหลือแสน


หากว่าไม่มีเซี่ยเหยียน เขาคงไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้


และเมื่อเข้ามานั่งด้านใน เขายิ่งสะท้อนใจ


ผู้ฝึกตนนี่สุดยอด ภายนอกรถลากคันนี้ดูไม่เท่าไร ทว่าภายในกลับวิเศษถึงเพียงนี้ ใหญ่โตหรูหรายิ่งกว่าวังเสียอีก!


จากนั้นพวกหลิงอินและอันหลานเสวี่ยก็ขึ้นรถลากมาเช่นกัน